ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ทุ่งสังหาร (ภาพยนตร์)"
บรรทัด 61: | บรรทัด 61: | ||
* เอ็ดเวิร์ด เอนเทโร เจ็ย ... สะรุน |
* เอ็ดเวิร์ด เอนเทโร เจ็ย ... สะรุน |
||
* ทอม เบิร์ด ... ที่ปรึกษาด้านการทหารชาวสหรัฐฯ |
* ทอม เบิร์ด ... ที่ปรึกษาด้านการทหารชาวสหรัฐฯ |
||
* [[สมเด็จกรมขุนสีสุวัตถิ์ ชีวันมุนีรักษ์|สีสุวัตถิ์ มุนีรักษ์]] ... พัด (ผู้นำเขมรแดง, หมู่บ้าน |
* [[สมเด็จกรมขุนสีสุวัตถิ์ ชีวันมุนีรักษ์|สีสุวัตถิ์ มุนีรักษ์]] ... พัด (ผู้นำเขมรแดง, หมู่บ้านที่ 2) |
||
* ลำพูน ตั้งไพบูลย์ ... ลูกชายของพัด |
* ลำพูน ตั้งไพบูลย์ ... ลูกชายของพัด |
||
* ไอร่า วีลเลอร์ ... เอกอัครราชทูตเวด (สถานทูตฝรั่งเศส) |
* ไอร่า วีลเลอร์ ... เอกอัครราชทูตเวด (สถานทูตฝรั่งเศส) |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 12:34, 26 มีนาคม 2556
ทุ่งสังหาร | |
---|---|
ไฟล์:The Killing Fields film.jpg ใบปิดภาพยนตร์ (ภาษาอังกฤษ) | |
กำกับ | โรแลนด์ จอฟเฟ |
เขียนบท | บรูซ โรบินสัน |
อำนวยการสร้าง | เดวิด พัตต์นัม |
นักแสดงนำ | แซม วอเตอร์สตัน, จอห์น มัลโควิช, เฮียง เอส. งอร์ |
กำกับภาพ | คริส เมนเกส |
ตัดต่อ | จิม คลาร์ก |
ดนตรีประกอบ | ไมค์ โอลด์ฟิลด์ |
ผู้จัดจำหน่าย | วอร์เนอร์บราเธอร์ส |
วันฉาย | 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2527 (สหรัฐอเมริกา) |
ความยาว | 141 นาที |
ประเทศ | สหราชอาณาจักร |
ภาษา | ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเขมร |
ข้อมูลจาก All Movie Guide | |
ข้อมูลจาก IMDb |
ทุ่งสังหาร (อังกฤษ: The Killing Fields) เป็นภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2527 ซึ่งกล่าวถึงประเทศกัมพูชาในยุคการปกครองของเขมรแดง โดยอาศัยเค้าโครงเรื่องจากประสบการณ์จริงของนักข่าวหนังสือพิมพ์ที่เข้าไปทำข่าวในกัมพูชาขณะนั้น 3 คน ได้แก่ ซิดนีย์ ชานเบิร์ก นักข่าวชาวอเมริกัน ดิธ ปราน ล่ามและนักข่าวชาวเขมร และจอน สเวน นักข่าวชาวอังกฤษ ภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์ครั้งที่ 57 เป็นผลงานการกำกับของโรแลนด์ จอฟเฟ นำแสดงโดยแซม วอเตอร์สตัน, ดร. เฮียง เอส. งอร์, จูเลียน แซนด์, และ จอห์น มัลโควิช ภาพยนตร์เรื่องนี้มีหลายฉากที่ถ่ายทำอยู่ในประเทศไทย ซึ่งมีลักษณะวัฒนธรรมและภูมิประเทศใกล้เคียงกับประเทศกัมพูชามากที่สุด เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น แม้จะสิ้นสุดยุคของเขมรแดงแล้ว แต่ประเทศกัมพูชาก็ยังคงเกิดสงครามกลางเมืองอย่างต่อเนื่อง การเข้าไปใช้สถานที่จริงถ่ายทำจึงไม่ปลอดภัย
ชื่อภาษาไทยของภาพยนตร์ชุดนี้มีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ครั้งแรกใช้ชื่อว่า "สิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน" ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็น "แผ่นดินของใคร" และ "ทุ่งสังหาร" ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้อยู่ในขณะนี้ เหตุที่มีหลายชื่อก็เนื่องจากว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้มีการเปลี่ยนผู้ถือครองลิขสิทธิ์ในประเทศไทยหลายครั้ง[1]
เนื้อเรื่อง
เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2516 สาธารณรัฐเขมรทำสงครามกลางเมืองต่อต้านกลุ่มเขมรแดง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการแทรกซึมตามเส้นทางโฮจิมินห์ของเวียดกงในสงครามเวียดนาม โดยมีสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล ดิธ ปราน ล่ามและนักข่าวของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ชาวเขมร เดินทางมารอรับซิดนีย์ ชานเบิร์ก นักข่าวชาวอเมริกันจากหนังสือพิมพ์เดียวกัน ที่สนามบินโปเชนตงในกรุงพนมเปญ แต่ด้วยเที่ยวบินที่ล่าช้าไป 3 ชั่วโมงและเกิดเหตุด่วนขึ้น ปรานจึงรีบออกไปหาข่าวและไม่ได้อยู่รอรับชานเบิร์ก หลังจากนั้นเมื่อชานเบิร์กเข้าพักที่โรงแรมแล้ว ปรานจึงเข้ามาบอกข่าวกับชานเบิร์กว่า เครื่องบินบี-52 ของอเมริกาทิ้งระเบิดลงที่เมืองเนียะเลือง (ในเขตจังหวัดเปรยเวง) ด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นฐานที่มั่นของเขมรแดง ทั้งสองจึงหาทางไปทำข่าวในสถานที่เกิดเหตุ โดยลักลอบเดินทางไปด้วยเรือของตำรวจน้ำ ณ ที่นั้น ทั้งสองได้พบกับสภาพเมืองที่ถูกทำลายจนราบเป็นหน้ากลอง และมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก เมื่อทั้งสองจะถ่ายภาพไปลงประกอบข่าว ทหารของรัฐบาลจึงขัดขวางไม่ให้พวกเขาถ่ายรูปและจับกุมตัวไปสอบสวน และได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมาไม่นานเมื่อกองทัพสหรัฐฯ นำเฮลิคอปเตอร์พานักข่าวมาทำข่าวตามที่ฝ่ายรัฐบาลและอเมริกาได้จัดฉากไว้เพื่อกลบเกลื่อนความจริงที่เนียะเลือง ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ชานเบิร์กรู้สึกหัวเสียเป็นอย่างมาก
2 ปีต่อมา ในปี พ.ศ. 2518 กรุงพนมเปญใกล้จะเสียให้แก่ฝ่ายเขมรแดง สหรัฐอเมริกาจึงสั่งปิดสถานทูตของตนเอง และดำเนินการอพยพพลเมืองสหรัฐฯ ในกัมพูชา ชานเบิร์กได้ช่วยเหลือในการอพยพปรานและครอบครัวไปอยู่ที่สหรัฐฯ แต่ตัวชานเบิร์กนั้นต้องการจะติดตามดูเหตุการณ์จนถึงที่สุด ปรานจึงตัดสินใจไม่ไปสหรัฐอเมริกา และอยู่ช่วยชานเบิร์กทำข่าวต่อไป แม้จะเสียใจที่ต้องพลัดพรากกับครอบครัวก็ตาม หลังจากนั้นกองทัพเขมรแดงสามารถเข้ามาในกรุงพนมเปญได้ ขณะที่ทั้งชานเบิร์กและปรานไปทำข่าวการฉลองชัยชนะและสันติภาพของเขมรแดงนั้น พวกเขาได้พบกับอัล ร็อกออฟ และจอน สเวน ผู้เป็นเพื่อนนักข่าวชาวต่างประเทศ ทั้งสองได้พาปรานกับชานเบิร์กไปดูอีกด้านหนึ่งของกรุงพนมเปญในวันนั้น ซึ่งยังคงปรากฏการฆ่าฟันโดยฝ่ายเขมรแดงอยู่ และขณะที่พวกเขาไปสำรวจโรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้บาดเจ็บจากสงครามจำนวนมาก ก็ถูกทหารเขมรแดงจับกุมขึ้นรถเอพีซีไปยังที่แห่งหนึ่ง ปรานได้พยายามเจรจากับหัวหน้ากลุ่มทหารเขมรแดงอยู่นานหลายชั่วโมง เพื่อขอให้ปล่อยตัวนักข่าวชาวตะวันตกทุกคนจนสำเร็จ
หลังจากถูกปล่อยตัวแล้ว ปรานและกลุ่มนักข่าวชาวตะวันตกทุกคนกลับมาในเมืองอีกครั้ง ทั้งหมดเก็บข้าวของของตนเองจากโรงแรมออกมาเท่าที่จะทำได้ และออกนอกเมืองตามคำสั่งของเขมรแดง ซึ่งสั่งให้ชาวเขมรในเมืองทุกคนทิ้งเมืองและอพยพไปสู่ชนบท โดยพวกเขาไปอยู่รวมกันที่สถานทูตฝรั่งเศสประจำกรุงพนมเปญ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ชาวต่างประเทศทั้งหมดและชาวเขมรที่ต้องการลี้ภัยมาอยู่รวมกัน กลุ่มของชานเบิร์กพยายามหาทางช่วยให้ปรานสามารถอพยพออกจากกัมพูชาได้ โดยสเวนช่วยทำหนังสือเดินทางปลอมของอังกฤษ ส่วนชานเบิร์กกับร็อกออฟช่วยถ่ายรูปปรานสำหรับติดบัตร โดยใช้อุปกรณ์ทุกอย่างเท่าที่จะหาได้ในสถานทูต แต่ที่สุดแล้วก็ไม่สำเร็จ เนื่องจากรูปถ่ายของปรานใช้การไม่ได้ ปรานจึงต้องอยู่ในกัมพูชาต่อไปภายใต้การปกครองของเขมรแดงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลายเดือนผ่านไป หลังจากชานเบิร์กออกมาจากกัมพูชาแล้ว ชานเบิร์กได้ให้ความช่วยเหลือครอบครัวของปราน ซึ่งอพยพจากกัมพูชามาก่อนหน้านั้นและพำนักอยู่ที่ซานฟรานซิสโก และพยายามขอความช่วยเหลือจากองค์กรด้านมนุษยธรรมต่างๆ ทั่วโลกในการตามหาปราน ส่วนปรานนั้นกลายเป็นแรงงานเกณฑ์ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเขมรแดงอันเลวร้าย (ในเรื่องนี้รัฐบาลเขมรแดงถูกอ้างถึงด้วยคำว่า "อังการ์") ต้องใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นแสนสาหัส และต้องแกล้งทำตัวเป็นคนไม่รู้หนังสือ เพื่อเอาตัวรอดจากคำสั่งฆ่าผู้มีความรู้ซึ่งถือว่าเป็นศัตรูทางชนชั้นของรัฐบาล เขาเกือบเสียชีวิตจากการลงโทษและถูกทรมานเพราะแอบดูดเลือดจากคอวัวกินเนื่องจากทนความอดอยากไม่ไหว โชคยังดีที่เขาได้รับการปล่อยตัว ปรานจึงพยายามลอบหนีออกจากค่ายกักกันที่เขาอยู่ แต่ก็ถูกเขมรแดงจับตัวได้ที่หมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งระหว่างทาง เขาได้พบกับหลุมศพของคนที่ตายจากการถูกเขมรแดงทรมานและสังหารด้วยข้อหาทรยศชาติจำนวนมากด้วย
ที่สหรัฐอเมริกา ชานเบิร์กได้รับรางวัลพูลิตเซอร์จากการทำข่าวสงครามกลางเมืองในกัมพูชา เขากล่าวว่าความสำเร็จทั้งหมดที่ได้รับนั้นมาจากความช่วยเหลือของปรานด้วย ในงานเลี้ยงคืนนั้น ชานเบิร์กได้เจอกับร็อกออฟขณะเข้าห้องน้ำ เขาโทษว่าชานเบิร์กไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการหาทางช่วยเหลือปรานออกมาจากกัมพูชา คำพูดนี้ทำให้ชานเบิร์กทุกข์ใจมาก และโทษตัวเองว่า ปรานยังอยู่ในกัมพูชาก็เพราะเขาต้องการให้ปรานอยู่ที่นั่นด้วยความเห็นแก่ตัว
ที่กัมพูชา หลังจากปรานถูกจับกุมตัวอีกครั้ง เขาก็ได้ทำงานเป็นพี่เลี้ยงให้กับลูกชายของพัด หัวหน้าเขมรแดงของหมู่บ้านที่ควบคุมตัวปรานไว้ ปรานยังคงแสร้งทำเป็นคนไม่รู้หนังสือ แต่พัดนั้นมองออกว่าปรานเป็นคนมีความรู้ และทำอุบายให้ปรานเผลอแสดงตัวออกมาว่าเขามีความรู้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม พัดเห็นว่าสถานการณ์ของรัฐบาลเขมรแดงเลวร้ายลงจากการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายภายในพรรคและการรุกรานของเวียดนาม เขาจึงฝากลูกชายไว้ให้ปรานดูแลก่อนที่จะถูกสังหารในเวลาต่อมา จากการขัดขวางไม่ให้ทหารเขมรแดงสังหารคนของตนเองเมื่อกองทัพเวียดนามใกล้จะรุกเข้ามาถึงหมู่บ้านของพัด ท่ามกลางความสับสนหลังการเข้ามาของกองทัพเวียดนาม ปรานพาลูกชายของพัดและนักโทษชายคนอื่นๆ อีก 4 คน หลบหนีออกจากกัมพูชาโดยมุ่งขึ้นไปทางชายแดนตอนเหนือ ระหว่างทางเพื่อนร่วมทางสามคนได้แยกกันไปอีกทางหนึ่ง ส่วนนักโทษที่เหลือกับลูกชายของพัดเสียชีวิตจากกับระเบิดที่ฝังไว้ในป่า ปรานจึงรอดชีวิตจนมาถึงศูนย์ผู้อพยพตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเพียงคนเดียว
ด้านชานเบิร์กนั้น เมื่อรู้ข่าวว่าปรานยังมีชีวิตอยู่และเขาปลอดภัยดี เขาจึงรีบแจ้งข่าวให้ครอบครัวของปรานรู้ และรีบเดินทางมาประเทศไทย เพื่อพบกับปรานที่ค่ายผู้อพยพตรงชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งสองได้กลับมาพบกันอีกครั้งในปี พ.ศ. 2522 อันเป็นเวลา 4 ปีให้หลังจากการลาจากในเหตุการณ์พนมเปญแตกครั้งนั้น
นักแสดง
- แซม วอเตอร์สตัน ... ซิดนีย์ ชานเบิร์ก
- เฮียง เอส. งอร์ ... ดิธ ปราน
- จอห์น มัลโควิช ... อัล ร็อกออฟ
- จูเลียน แซนด์ส ... จอน สเวน
- เครก ที. เนลสัน ... พันตรีรีฟ, ผู้ช่วยทูตทหารสหรัฐฯ
- สปอลดิง เกรย์ ... กงสุลสหรัฐฯ ประจำสาธารณรัฐเขมร
- บิล แพเตอร์สัน ... ดร. แม็คเอนไทร์
- อาทอล ฟูการ์ด ... ดร. ซุนเดส์วัล
- เกรแฮม เคนเนดี ... โดกัล
- กาเทอรีน กราปุม เจ็ย ... เซอร์ เมือม (ภรรยาของปราน)
- โอลิเวอร์ ปีเอร์ปาโอลี ... ติโตนี่ (ลูกชายของปราน)
- เอ็ดเวิร์ด เอนเทโร เจ็ย ... สะรุน
- ทอม เบิร์ด ... ที่ปรึกษาด้านการทหารชาวสหรัฐฯ
- สีสุวัตถิ์ มุนีรักษ์ ... พัด (ผู้นำเขมรแดง, หมู่บ้านที่ 2)
- ลำพูน ตั้งไพบูลย์ ... ลูกชายของพัด
- ไอร่า วีลเลอร์ ... เอกอัครราชทูตเวด (สถานทูตฝรั่งเศส)
- เดวิด เฮนรี ... ฟรานซ์
- Patrick Malahide ... Morgan
- Nell Campbell ... Beth
- โจแอน แฮร์ริส ... ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์
- โจแอนนา เมอร์ลิน ... พี่สาวของซิดนีย์ ชานเบิร์ก
- เจย์ บาร์นีย์ ... พ่อของซิดนีย์ ชานเบิร์ก
- Mark Long ... Noaks
- Sayo Inaba ... Mrs. Noaks
- เมา เลง ... สีสุวัตถิ์ สิริมตะ
- ชินซอร์ ซาร์ ... Arresting Officer
- ฮวด มิง ตรัน ... ผู้นำเขมรแดง, หมู่บ้านที่ 1
- Thach Suon ... Sahn
- Neevy Pal ... Rosa
รางวัล
รางวัลออสการ์ ค.ศ. 1984
- สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (เฮียง เอส. งอร์)
- สาขาถ่ายภาพยอดเยี่ยม (คริส เมนเกส)
- สาขาลำดับภาพยอดเยี่ยม (จิม คลาร์ก)
ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล:
- สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (เดวิด พัตต์นัม)
- สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (แซม วอเตอร์สตัน)
- สาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (โรแลนด์ จอฟเฟ)
- สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม (บรูซ โรบินสัน)
รางวัลลูกโลกทองคำ ค.ศ. 1984
- สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (เฮียง เอส. งอร์)
ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล:
- สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทดรามา (เดวิด พัตต์นัม)
- สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประเภทดรามา (แซม วอเตอร์สตัน)
- สาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (โรแลนด์ จอฟเฟ)
- สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (บรูซ โรบินสัน)
- สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ไมค์ โอลด์ฟิลด์)
การถ่ายทำ
ภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้ถ่ายในประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ โดยเริ่มในวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 ในหลายพื้นที่ อาทิ ถนนท่าดินแดงในเขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร, จังหวัดนครปฐม, จังหวัดภูเก็ต, อำเภอชะอำ, อำเภอหัวหิน, อำเภอพิมาย และอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่[2]
อ้างอิง
- ↑ http://www.bangkokdvd.com/xdetails.asp?ID=17677
- ↑ เริ่มถ่ายทำภาพยนตร์ The Killing Fields ที่กรุงเทพฯ, หน้า 185. กาลานุกรมสยามประเทศไทย 2485-2554 โดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ISBN 978-974-228-070-3