เฮ่อ หลง
เฮ่อ หลง | |
---|---|
贺龙 | |
![]() จอมพล เฮ่อ หลง ใน ค.ศ. 1955 | |
สมาชิกคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน | |
ดำรงตำแหน่ง ตุลาคม ค.ศ. 1954 – 9 มิถุนายน ค.ศ. 1969 | |
ประธาน | เหมา เจ๋อตง |
รองนายกรัฐมนตรีจีน | |
ดำรงตำแหน่ง ตุลาคม ค.ศ. 1954 – 9 มิถุนายน ค.ศ. 1969 | |
หัวหน้ารัฐบาล | โจว เอินไหล |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 賀龍 22 มีนาคม ค.ศ. 1896 ซางจื๋อ หูหนาน จักรวรรดิชิง |
เสียชีวิต | 9 มิถุนายน ค.ศ. 1969 ปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน | (73 ปี)
พรรคการเมือง | พรรคคอมมิวนิสต์จีน (1926–1969) |
อาชีพ | นายพล นักการเมือง นักเขียน |
ชื่อเล่น | 贺老总 (Hè lǎozǒng, "หัวหน้าเฒ่าเฮ่อ") 贺胡子 (Hè húzi, "เฮ่อผู้มีหนวด") |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
รับใช้ | ![]() |
สังกัด | ![]() |
ประจำการ | ![]() ![]() ![]() |
ยศ | จอมพลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน |
บังคับบัญชา |
|
ผ่านศึก | |
รางวัล | ![]() ![]() ![]() |
เฮ่อ หลง (จีนตัวย่อ: 贺龙; จีนตัวเต็ม: 賀龍; พินอิน: Hè Lóng; 22 มีนาคม ค.ศ. 1896 – 9 มิถุนายน ค.ศ. 1969) เป็นนักปฏิวัติคอมมิวนิสต์ชาวจีนและหนึ่งในสิบจอมพลของสาธารณรัฐประชาชนจีน เขามาจากครอบครัวยากจนในชนบทของมณฑลหูหนาน และครอบครัวของเขาไม่สามารถให้การศึกษาในระบบแก่เขาได้ เขาเริ่มต้นอาชีพนักปฏิวัติหลังล้างแค้นให้การเสียชีวิตของลุง การหลบหนีไปอยู่นอกกฎหมายทำให้เขาดึงดูดเหล่าผู้ภักดีจำนวนหนึ่งจนกลายเป็นกองทัพส่วนตัวขนาดเล็ก ต่อมากองกำลังของเขาได้เข้าร่วมกับก๊กมินตั๋ง และได้เข้าร่วมในการกรีธาทัพขึ้นเหนือ
เขาก่อกบฏต่อก๊กมินตั๋งหลังเจียง ไคเชกเริ่มปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง เมื่อเขาวางแผนและนำการก่อการกำเริบหนานชางที่ไม่ประสบความสำเร็จ หลังจากหลบหนี เขาก่อตั้งโซเวียตขึ้นในชนบทของหูหนาน (และต่อมาในกุ้ยโจว) แต่ถูกบังคับให้ละทิ้งฐานเมื่อถูกกดดันจากการทัพโอบล้อมของเจียง เขาเข้าร่วมการเดินทัพทางไกลใน ค.ศ. 1935 กว่าหนึ่งปีหลังกองกำลังของเหมา เจ๋อตงและจู เต๋อถูกบังคับให้ทำเช่นนั้น เขาพบกับกองกำลังที่นำโดยจาง กั๋วเทา แต่เขากลับไม่เห็นด้วยกับจางเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ของกองทัพแดงและนำกองกำลังของเขาเข้าร่วมและสนับสนุนเหมา
หลังจากตั้งถิ่นฐานและก่อตั้งสำนักงานใหญ่ในฉ่านซี เขาเป็นผู้นำกองโจรในภาคตะวันตกเฉียงเหนือทั้งในสงครามกลางเมืองจีนและสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง และประสบความสำเร็จโดยในการขยายพื้นที่ควบคุมของคอมมิวนิสต์ เขาบังคับบัญชากำลังพล 170,000 นายภายในสิ้นปี ค.ศ. 1945 จากนั้น กองกำลังของเขาจึงถูกย้ายไปอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเผิง เต๋อหวย และกลายเป็นรองผู้บังคับบัญชาของเผิง เขาได้รับแต่งตั้งให้ควบคุมภาคตะวันตกเฉียงใต้ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1940 และใช้เวลาส่วนใหญ่ของคริสต์ทศวรรษ 1950 ในภาคตะวันตกเฉียงใต้เพื่อบริหารภูมิภาคนี้ทั้งในด้านพลเรือนและทหาร
เขาดำรงตำแหน่งพลเรือนและทหารหลายตำแหน่งหลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนใน ค.ศ. 1949 ใน ค.ศ. 1955 ผลงานของเขาในการนำชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับการยอมรับเมื่อเขาได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสิบจอมพล และเขายังดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีของจีนอีกด้วย เขาไม่สนับสนุนความพยายามของเหมา เจ๋อตงที่จะกวาดล้างเผิง เต๋อหวยใน ค.ศ. 1959 และยังพยายามที่จะฟื้นฟูเขา หลังการปฏิวัติทางวัฒนธรรมเริ่มต้นใน ค.ศ. 1966 เขาเป็นหนึ่งในผู้นำคนแรก ๆ ของกองทัพปลดปล่อยประชาชนที่ถูกกวาดล้าง เขาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1969 เมื่อผู้คุมฉีดกลูโคสให้ ทำให้โรคเบาหวานที่ไม่ได้รับการรักษาของเขามีภาวะแทรกซ้อน
ประวัติ
[แก้]ชีวิตช่วงต้น
[แก้]

เฮ่อ หลงเป็นหนึ่งในชนเผ่าถู่เจีย[1] เขาเกิดในซางจื๋อ หูหนาน และพี่น้องของเขารวมทั้งเฮ่อ อิง เติบโตมาในครอบครัวชาวนาฐานะยากจน แม้พ่อของเขาจะเป็นนายทหารผู้เยาว์ของราชวงศ์ชิงก็ตาม[2] พ่อของเขาเป็นสมาชิกของเกอเหล่าฮุ่ย (สมาคมพี่ชาย) สมาคมลับที่มีประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปถึงสมัยต้นราชวงศ์ชิง เมื่อครั้งยังหนุ่มเขาเป็นคนเลี้ยงวัวและไม่ได้รับการศึกษาในระบบ[3] เมื่ออายุได้ 20 ปี เขาฆ่าเจ้าหน้าที่ประเมินภาษีของรัฐบาลท้องถิ่นซึ่งฆ่าลุงของเขาเพราะไม่จ่ายภาษี[4] จากนั้นเขาก็หลบหนีและกลายเป็นคนนอกกฎหมาย ทำให้เกิดตำนานที่ว่าเขาเริ่มต้นอาชีพนักปฏิวัติด้วยมีดทำครัวเพียงสองเล่มเท่านั้น[3] หลังเริ่มชีวิตในฐานะคนนอกกฎหมาย เขาได้รับชื่อเสียงว่าเป็น "ผู้คล้ายโรบินฮูด" อาวุธประจำตัวของเขาคือมีดเชือดเนื้อ[2]
ประมาณ ค.ศ. 1918 เขาก่อตั้งกองทัพอาสาสมัครปฏิวัติที่สอดคล้องกับขุนศึกท้องถิ่นของหูหนาน[4] และใน ค.ศ. 1920 กองทัพส่วนตัวของเขาก็เข้าร่วมกองทัพปฏิวัติแห่งชาติ[5] ใน ค.ศ. 1923 เขาถูกการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพชาตินิยมที่ 20 ใน ค.ศ. 1925 เขาเปิดโรงเรียนฝึกทหารก๊กมินตั๋ง ขณะเขาบริหารโรงเรียนแห่งนี้ เขาก็ได้สนิทสนมกับนักเรียนของเขาบางคนซึ่งเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วย[4] ระหว่างการกรีธาทัพขึ้นเหนือใน ค.ศ. 1926 เขาทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 1 กองทัพน้อยที่ 9 ของกองทัพปฏิวัติแห่งชาติ[6] เขาทำหน้าที่ภายใต้การนำของจาง ฟาขุยระหว่างการกรีธาทัพ[4]
เขาเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปลายปี ค.ศ. 1926[5] ใน ค.ศ. 1927 หลังการล่มสลายของรัฐบาลก๊กมินตั๋งฝ่ายซ้ายของวาง จิงเว่ย์ในอู่ฮั่นและการปราบปรามคอมมิวนิสต์ของเจียง ไคเชก เขาออกจากก๊กมินตั๋งและเข้าร่วมกับคอมมิวนิสต์ โดยทำหน้าที่บัญชาการกองทัพน้อยที่ 20 กองย่อยที่ 1 ของกองทัพแดง[4]
การก่อการกำเริบเกิดขึ้นที่โบสถ์แองกลิกัน[1] อิทธิพลของศาสนาคริสต์ต่อวัฒนธรรมจีน[2]
เขากับจู เต๋อวางแผนและนำกำลังหลักของการก่อการกำเริบหนานชางใน ค.ศ. 1927 ในการก่อการกำเริบ เขากับจูนำกำลังผสม 24,000 นายพยายามยึดเมืองหนานชาง แต่พวกเขาไม่สามารถรักษาเมืองไว้เพราะก๊กมินตั๋งพยายามยึดเมืองคืนอย่างเลี่ยงไม่ได้ การทัพครั้งนี้ประสบปัญหาทางด้านการขนส่ง และฝ่ายคอมมิวนิสต์เสียกำลังพลไปถึงร้อยลพ 50 ในการสู้รบสองเดือน ทหารของเฮ่อส่วนใหญ่ที่รอดชีวิตยอมจำนน หนีทัพ และ/หรือกลับเข้าร่วมกับก๊กมินตั๋ง ท้ายที่สุด มีผู้รอดชีวิตเพียง 2,000 คนที่กลับมาสู้รบให้กับคอมมิวนิสต์ใน ค.ศ. 1928 เมื่อจูปฏิรูปกองกำลังของเขาในหูหนาน[7]
หลังจากกองทัพของเขาพ่ายแพ้ เขาหลบหนีไปยังลู่เฟิง กวางตุ้ง เขาใช้เวลาอยู่ในฮ่องกงระยะหนึ่ง แต่ต่อมาถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนส่งไปที่เซี่ยงไฮ้ จากนั้นจึงไปที่อู่ฮั่น[4] เจียง ไคเชกพยายามโน้มน้าวให้เขากลับมาเข้าร่วมก๊กมินตั๋งอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ล้มเหลว[ต้องการอ้างอิง]
กองโจรคอมมิวนิสต์
[แก้]
หลังการก่อการกำเริบหนานชางล้มเหลว เขาปฏิเสธข้อเสนอของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่จะส่งเขาไปศึกษาที่รัสเซียและเดินทางกลับไปยังหูหนาน ซึ่งเขาได้จัดตั้งกองกำลังใหม่ใน ค.ศ. 1930[6] กองกำลังของเขาควบคุมพื้นที่ชนบทอันกว้างใหญ่ในเขตชายแดนหูหนาน–หูเป่ย์ รอบพื้นที่ทะเลสาบหง และจัดระเบียบพื้นที่นี้ให้เป็นโซเวียตชนบท ในช่วงกลางปี ค.ศ 1932 กองกำลังก๊กมินตั๋งได้โจมตีสหภาพโซเวียตในฐานะส่วนหนึ่งของการทัพโอบล้อมครั้งที่สี่ กองกำลังของเขาละทิ้งฐานทัพ เคลื่อนพลไปทางตะวันตกเฉียงใต้ และก่อตั้งฐานทัพใหม่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกุ้ยโจวในกลางปี ค.ศ. 1933[8]
ใน ค.ศ. 1934 เหริน ปี้ฉือเข้าร่วมกับเฮ่อในกุ้ยโจวพร้อมกับกองกำลังที่รอดชีวิตของเขาเองหลังถูกบังคับให้ละทิ้งกองทัพโซเวียตของเขาในการทัพโอบล้อมอีกครั้งหนึ่ง เหรินและเฮ่อรวมกำลังกัน โดยเฮ่อกลายเป็นผู้บัญชาการทหาร และเหรินกลายเป็นกรรมาธิการการเมือง[9] เขาเข้าร่วมการเดินทัพทางไกลในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1935 กว่าหนึ่งปีหลังกองกำลังที่นำโดยจู เต๋อและเหมา เจ๋อตงถูกบังคับให้อพยพทหารโซเวียตของตนในเจียงซี[5] ความสามารถของเขาในการต้านก๊กมินตั๋งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากตำแหน่งของเขาในพื้นที่รอบนอกที่อยู่ภายใต้การควบคุมของคอมมิวนิสต์[2] ขณะกำลังเดินทัพทางไกล กองกำลังของเขาได้พบกับกองกำลังคอมมิวนิสต์ที่นำโดยจาง กั๋วเทาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1936 แต่ทั้งเขาและเหรินต่างไม่เห็นด้วยกับจางเกี่ยวกับทิศทางของการเดินทัพทางไกล และในที่สุดเขาก็สามารถนำกองกำลังของเขาเข้าสู่ฉ่านซีเพื่อเข้าร่วมกับเหมา เจ๋อตงในปลายปีนั้น ใน ค.ศ. 1937 เขาก่อตั้งกองทหารของเขาไว้ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฉ่านซีและก่อตั้งสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่นั่น[9] เนื่องจากกองทัพที่สองของกองทัพแดงจีนภายใต้การบังคับบัญชาของเฮ่อเป็นหนึ่งในกองกำลังคอมมิวนิสต์ไม่กี่กองที่เดินทางมาถึงเหยียนอานโดยยังคงสภาพเกือบสมบูรณ์ กองกำลังของเขาจึงสามารถรับหน้าที่ปกป้องเมืองหลวงแห่งใหม่หลังจากที่พวกเขามาถึงได้[2]
เมื่อกองทัพแดงถูกจัดระเบียบใหม่เป็นกองทัพลู่ที่แปดใน ค.ศ. 1937 เขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลที่ 120[5] ตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 1938 ถึง 1940 เขาต่อสู้กับทั้งกองทัพญี่ปุ่นและกองโจรที่สังกัดก๊กมินตั๋งในหูเป่ย์[9] ความรับผิดชอบของเขาเพิ่มขึ้นในช่วงสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง และใน ค.ศ. 1943 เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองกำลังคอมมิวนิสต์ในชานซี, ฉ่านซี, กานซู่, หนิงเซี่ย และมองโกเลียใน[5] เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเป็นผู้นำกองกำลังประมาณ 175,000 นายทั่วภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาได้แก่ จาง จงซฺวิ่น, สฺวี่ กวงต๋า และเผิง เช่าฮุย[10]
เขาประสบความสำเร็จในการขยายพื้นที่ฐานทัพคอมมิวนิสต์ตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนหนึ่งของความสำเร็จของเฮ่อเกิดจากความสับสนทางสังคมที่เกิดจากการรุกอิจิโกะของญี่ปุ่นในพื้นที่ของจีนซึ่งเป็นผลกระทบจากปฏิบัติการของญี่ปุ่น เขาสามารถขยายพื้นที่ปฏิบัติการของคอมมิวนิสต์ได้บ่อยครั้งโดยการเป็นพันธมิตรกับกองกำลังกองโจรอิสระในพื้นที่ซึ่งกำลังต่อสู้กับญี่ปุ่นเช่นกัน ประสบการณ์ในการต่อสู้กับก๊กมินตั๋งและญี่ปุ่นทำให้เขาตั้งคำถามถึงการเน้นย้ำอย่างไม่มีเงื่อนไขของเหมาเกี่ยวกับความสำคัญของสงครามกองโจรทางอุดมการณ์โดยไม่คำนึงถึงยุทธวิธีแบบเดิมและการจัดระเบียบทางทหาร[11]
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1945 หนึ่งเดือนหลังญี่ปุ่นยอมจำนน การบังคับบัญชากองกำลังของเฮ่อถูกโอนไปให้เผิง เต๋อหวย ซึ่งปฏิบัติการภายใต้ชื่อ "กองทัพสนามตะวันตกเฉียงเหนือ" เขากลายเป็นรองผู้บัญชาการของเผิง แต่ใช้เวลาที่เหลือของสงครามกลางเมืองจีนส่วนใหญ่อยู่ในสำนักงานใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนส่วนกลาง ในเหยียนอานและบริเวณใกล้เคียง[10] หลังญี่ปุ่นยอมจำนนใน ค.ศ. 1945 เขาได้รับเลือกให้เป็นกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และอิทธิพลของเขาก็เพิ่มขึ้นทั้งในกองทัพและระบบการเมืองคอมมิวนิสต์ ในช่วงใกล้สิ้นสุดสงครามกลางเมืองจีน เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพสนามที่ 1 ซึ่งปฏิบัติการอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงใต้[11] หลังคอมมิวนิสต์ชนะสงครามกลางเมืองใน ค.ศ. 1949 เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในคริสต์ทศวรรษ 1950 ทั้งในบทบาทพลเรือนและทหารในภาคตะวันตกเฉียงใต้[9]

สาธารณรัฐประชาชน
[แก้]
ความสำเร็จทางการทหารของเขาได้รับการยอมรับเมื่อเขาได้รับการเลื่อนยศเป็น 1 ใน 10 จอมพลใน ค.ศ. 1955[11] และเขาเคยดำรงตำแหน่งพลเรือนหลายตำแหน่ง เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี เขาเป็นหัวหน้าคณะกรรมการกีฬาแห่งชาติ และทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนกีฬากับสหภาพโซเวียตและประเทศต่างในยุโรปตะวันออก[12]: 139 เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เดินทางไปมาบ่อยที่สุด และเป็นผู้นำคณะผู้แทนจำนวนมากในต่างแดน พบปะกับผู้นำของประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย, สหภาพโซเวียต และเยอรมนีตะวันออก[8]
หลังเหมา เจ๋อตงกวาดล้างเผิง เต๋อหวยใน ค.ศ. 1959 เหมาก็แต่งตั้งเฮ่อเป็นหัวหน้าสำนักงานเพื่อสืบสวนอดีตของเผิงและหาเหตุผลวิพากษ์วิจารณ์เผิง เขาตอบรับตำแหน่งแต่ก็เห็นใจเผิงและรออยู่กว่าหนึ่งปีกว่าจะส่งรายงานของเขา ชื่อเสียงของเหมาเสื่อมถอยลงเมื่อเป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางว่าการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าของเหมาเป็นหายนะ และในที่สุดเขาก็นำเสนอรายงานที่เป็นไปในทางบวกและพยายามปกป้องเผิง[13] เผิงได้รับการฟื้นฟูบางส่วนใน ค.ศ. 1965 แต่ถูกกวาดล้างอีกครั้งในช่วงต้นของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมใน ค.ศ. 1966[14] เขาถูกกล่าวหาว่าก่อกบฏในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1964 หลังการเดินทางไปสหภาพโซเวียตกับโจว เอินไหล โซเวียตไม่พอใจกับแนวทางของจีน การปฏิวัติทางวัฒนธรรมตามมาในเวลาไม่นานเพื่อกำจัดลัทธิคอมมิวนิสต์และฝ่ายขวาในจีน
เจียง ชิงประณามเฮ่อในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1966 ว่าเป็น "พวกขวาจัด" และแบ่งฝักแบ่งฝ่ายภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน ภายหลังคำกล่าวหาของเจียง เขาและผู้สนับสนุนก็ถูกตราหน้าว่าเป็นพวกต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์จีนและถูกกวาดล้างอย่างรวดเร็ว[15] ผู้ข่มเหงเขาเลือกเขาออกมาโดยกล่าวหาว่าเขาเป็น "โจรที่ใหญ่ที่สุด[11] เขาเป็นสมาชิกคณะกรรมการกิจการทหารที่มีตำแหน่งสูงสุดเป็นอันดับสองในช่วงที่เขาถูกกวาดล้าง และวิธีการที่เขากับผู้ใกล้ชิดของเขาถูกกวาดล้างนั้นได้วางรูปแบบการกวาดล้างผู้นำกองทัพปลดปล่อยประชาชนหลายคนในเวลาต่อมาตลอดช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม[15]
หลังถูกกวาดล้าง เขาถูกกักบริเวณในบ้านอย่างไม่มีกำหนดเป็นเวลาสองปีครึ่งสุดท้ายของชีวิต เขาบรรยายสภาพความเป็นอยู่ของเขาในช่วงถูกคุมขังว่าเป็นการทรมานอย่างช้า ๆ โดยผู้จับกุมเขา "ตั้งใจทำลายสุขภาพของเขาเพื่อจะได้ฆ่าเขาโดยไม่ต้องเสียเลือด" ในช่วงหลายปีที่เขาถูกคุมขัง ผู้คุมได้จำกัดการเข้าถึงน้ำของเขา ตัดความร้อนในบ้านในช่วงฤดูหนาว และปฏิเสธไม่ให้เขาเข้าถึงยารักษาโรคเบาหวาน[16] เขาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1969 หลังเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากภาวะทุพโภชนาการรุนแรงที่เกิดขึ้นขณะถูกกักบริเวณในบ้าน เขาเสียชีวิตหลังเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลไม่นาน หลังจากการฉีดกลูโคสซึ่งทำให้โรคเบาหวานเรื้อรังของเขามีปัญหา[17]
เขาได้รับการฟื้นฟูบางส่วนหลังเสียชีวิตโดยเหมาใน ค.ศ. 1974 และฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์หลังเติ้ง เสี่ยวผิงขึ้นสู่อำนาจในปลายคริสต์ทศวรรษ 1970[ต้องการอ้างอิง] สนามกีฬาแห่งหนึ่งในฉางชาได้รับการตั้งชื่อตามเขาใน ค.ศ. 1987
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ Winchester 1
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 Lew 11
- ↑ 3.0 3.1 Whitson & Huang 28
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 Leung 49
- ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 China at War 162
- ↑ 6.0 6.1 Whitson & Huang 34
- ↑ China at War 147
- ↑ 8.0 8.1 Leung 49-50
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 Leung 50
- ↑ 10.0 10.1 Domes 43
- ↑ 11.0 11.1 11.2 11.3 China at War 163
- ↑ Minami, Kazushi (2024). People's Diplomacy: How Americans and Chinese Transformed US-China Relations during the Cold War. Ithaca, NY: Cornell University Press. ISBN 9781501774157.
- ↑ Rice 185-186
- ↑ Domes 116-117
- ↑ 15.0 15.1 Central Intelligence Agency ii
- ↑ Chung 391
- ↑ The Cambridge History of China 213
บรรณานุกรม
[แก้]- The Cambridge History of China. Vol 15: "The People's Republic". Part 2: "Revolutions". Eds. Roderick MacFarquhar & John K. Fairbank. Cambridge: Cambridge University Press. 1991. ISBN 0-521-24337-8.
- "Intelligence Report: Mao's 'Cultural Revolution' III. The Purge of the P.L.A. and the Stardom of Madame Mao". Central Intelligence Agency. June 1968. Retrieved May 27, 2012.
- China at War: An Encyclopedia. Ed. Li Xiaobing. United States of America: ABC-CLIO. 2012. ISBN 978-1-59884-415-3. Retrieved May 21, 2012.
- Chung, Jang. White Swans: Three Daughters of China. New York, NY: Touchstone. 2003. ISBN 0-7432-4698-5.
- Domes, Jurgen. Peng Te-huai: The Man and the Image. London: C. Hurst & Company. 1985. ISBN 0-905838-99-8.
- Rice, Edward E. Mao's Way. Berkeley: University of California Press. 1974. ISBN 0-520-02623-3.
- Leung, Edward Pak-wah. Historical Dictionary of the Chinese Civil War. United States of America: Scarecrow Press. 2002. ISBN 0-8108-4435-4.
- Lew, Christopher R. The Third Chinese Revolutionary War, 1945-1949: An Analysis of Communist Strategy and Leadership. The USA and Canada: Routelage. 2009. ISBN 0-415-77730-5
- Whitson, William W., & Huang Chen-hsia. The Chinese High Command: A History of Communist Military Politics, 1927-71. New York: Praeger Publishers. 1973.
- Winchester, Simon. "China's Ancient Skyline". The New York Times. July 5, 2007. Retrieved May 21, 2012.
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่เมษายน 2024
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2439
- บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2512
- จอมพลชาวจีน
- จอมพลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
- นักการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนจากหูหนาน
- นักการเมืองจากจางเจียเจี้ย
- นายพลกองทัพลู่ที่แปด
- ผู้ต่อต้านภาษี
- บุคคลที่ถูกข่มเหงจนเสียชีวิตในการปฏิวัติทางวัฒนธรรม
- นักการเมืองสาธารณรัฐประชาชนจีนจากหูหนาน
- สมาชิกกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 8
- ชาวถู่เจีย