สมเด็จพระมไหยิกา ขัติยาวงษ์ศิริเสโฐวโรดม
สมเด็จพระมไหยิกา ขัติยาวงษ์ศิริเสโฐวโรดม | |
---|---|
พระอัยยิกาเจ้า | |
ประสูติ | ราว พ.ศ. 2317 |
ทิวงคต | พ.ศ. 2408 (91 พรรษา) พระตำหนักท่าโพธิ์ อุดงฦๅไชย กัมพูชาในอารักขาของฝรั่งเศส |
คู่อภิเษก | สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณ |
พระราชบุตร | นักองค์อิ่ม นักองค์ด้วง |
ราชวงศ์ | ตรอซ็อกผแอม (อภิเษกสมรส) |
ศาสนา | พุทธ |
สมเด็จพระมไหยิกา ขัติยาวงษ์ศิริเสโฐวโรดม บรมวรากุล สกลมงคลอุดม บรมบพิตรเปนเจ้า (สวรรคต พ.ศ. 2408) พระนามเดิม รศ หรือ รด[1] เป็นบาทบริจาริกาในสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณ หรือนักองค์เอง เป็นพระราชชนนีของสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี หรือนักองค์ด้วง และเป็นพระอัยยิกาในพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร หรือนักองค์ราชาวดี
พระประวัติ
[แก้]ถวายตัวเข้าเป็นฝ่ายใน
[แก้]สมเด็จพระมไหยิกา ขัติยาวงษ์ศิริเสโฐวโรดม มีพระนามเดิมว่า รศ เข้ารับราชการเป็นบาทบริจาริกาตำแหน่งพระสนมชั้นพระแม่นางในสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณ เมื่อครั้งยังประทับอยู่ในวังเจ้าเขมร ทางทิศใต้ของวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร ประสูติกาลพระโอรสพระองค์แรกชื่อ นักองค์อิ่ม (ต่อมาเป็น สมเด็จศรีไชยเชฐ พระมหาอุปราช) เมื่อ พ.ศ. 2337[2] ครั้น พ.ศ. 2338 สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณทรงสร้างพระราชวังขึ้นใหม่ในกรุงอุดงฦๅไชย แล้วตรัสให้ออกญาวัง (สัวะซ์) และออกญาวิบุลราช (เอก) เข้าไปยังกรุงเทพมหานคร กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ขอรับสมเด็จพระเอกกระษัตรี สมเด็จพระท้าว ท้าวมหากระษัตรี (พระมารดาเลี้ยง) นักนางโอด นักนางแก นักนางรศ รวมทั้งขุนนางและข้าของพระองค์กลับเมืองเขมร ซึ่งกษัตริย์สยามก็พระราชทานให้ครอบครัวออกจากกรุงเทพฯ เมื่อเดือน 7 ปีเถาะ[3] ครั้น พ.ศ. 2339 ปีมะโรง นักนางรศประสูติกาลพระราชโอรสอีกพระองค์หนึ่งคือนักองค์ด้วง[4] ครั้นเดือนเก้าปีเดียวกันนั้น สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณก็สวรรคต[4]
ในรัชสมัยของพระองค์เม็ญ นักนางรศถูกฝ่ายญวนนำไปไว้ที่ไซ่ง่อนและเว้ ตามลำดับ ภายหลังฝ่ายญวนพยายามจะผูกไมตรีกับนักองค์ด้วง จึงส่งนักนางรศ พระชนนี หม่อมกลีบ ภรรยา และพระธิดาของนักองค์ด้วงอีกหนึ่งพระองค์คืนกรุงพนมเปญ เมื่อแรม 8 ค่ำ เดือน 11 (ตรงกับวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2389)[5]
สมเด็จพระราชชนนี
[แก้]เรื่องราวของพระองค์ปรากฏอีกครั้งเมื่อสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี หรือนักองค์ด้วง พระราชโอรสเสวยราชสมบัติครองกรุงกัมพูชา เพราะใน พ.ศ. 2391 ทรงตั้งพระนามแก่เจ้านายฝ่ายในและบรรดาศักดิ์บาทบริจาริกาในราชสำนักทั้งหมด ทรงพระกรุณาพระราชทานพระนามสมเด็จพระราชมารดาเป็น สมเด็จพระวรราชินีขัติยวงษ์ ศิริเสโฐวโรดม บรมวรากุล มงคลอุดม บรมบพิตรเปนเจ้า มีพระกรุณาให้ใช้ราชาศัพท์ และถวายพระลัญจกรสององค์ องค์หนึ่งเป็นรูปกินรี และอีกองค์เป็นรูปเทพธิดาสถิตย์อยู่ปราสาท[6] โดยสมเด็จพระวรราชินี (รศ) มีขุนนางที่ขึ้นต่อพระองค์สามคน ขุนนางเหล่านี้ปกครองสามจังหวัด ได้แก่จังหวัดเปร๊ยเวง อันลงราช และมุขกำปูล[7]
ครั้นสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดีเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2403 สมเด็จพระวรราชินีพร้อมด้วยเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางประชุมเพื่อสนองพระราชกระแสของสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี ที่จะพระราชทานพระบรมศพเป็นทานแก่สรรพสัตว์ เมื่อตกลงดังนั้นจึงแล่พระมังสาใส่พานเงินให้แก่สรรพสัตว์ หลังจากนั้นสมเด็จพระวรราชินีพร้อมด้วยขุนนางจึงอัญเชิญสมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์ มหาอุปราช ซึ่งเป็นพระราชนัดดา ขึ้นเสวยราชสมบัติสืบพระราชบิดา[8] ต่อมาเมื่อพระองค์เจ้าวัตถาและพระองค์เจ้าศิริวงษ์ทรงก่อการกบฏช่วง พ.ศ. 2404 พระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารเกรงว่าทัพของข้าศึกจะตีอุดงฦๅไชยแตก จึงทรงนำพระปิโยพระบรมชาติกระษัตรี และบาทบริจาริกาที่เป็นหญิงทั้งหมดลงเรือหนีไปเมืองพระตะบอง เหลือแต่สมเด็จพระหริราชรัตไนไกรแก้วฟ้า (พระองค์เจ้าศรีสวัสดิ) กับสมเด็จพระวรราชินี (รศ) และสมเด็จพระราชธิดาอีกสองพระองค์ ยังคงประทับอยู่ในพระราชวังอุดงฦๅไชยเพื่อเฝ้าพระบรมศพสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี[9] ใน พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 ระบุว่าสมเด็จพระมไหยิกามีบทบาทในการผสานความสัมพันธ์ระหว่างองค์พระหริราชรัตไนไกรแก้วฟ้า (นักองค์ศรีสวัสดิ) กับฝ่ายกบฏของพระยามหาฤทธิรงค์ชาญไชย (โสร์) และพระยากำแหงโยธา (แก้ว) ด้วยการว่ากล่าว และให้เข้าพิธีถือน้ำ ด้วยมุ่งให้ทั้งสองฝ่ายสมัครสมานดีต่อกัน[10]
สมเด็จพระอัยยิกาเจ้า
[แก้]แรม 5 ค่ำ เดือน 5 ปีชวด ฉศก 1227 ตรงกับ พ.ศ. 2407 พระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารทรงพระกรุณาโปรดให้จัดพระราชพิธีอภิเษกสมเด็จพระวรราชินี (รศ) พระอัยยิกา ถวายพระนามว่า สมเด็จพระมไหยิกา ขัติยาวงษ์ศิริเสโฐวโรดม บรมวรากุล สกลมงคลอุดม บรมบพิตรเปนเจ้า พร้อมกับถวายเครื่องอิสริยยศใหม่[11] แต่ในปีถัดมา ณ วันจันทร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 12 ปีฉลู สมเด็จพระมไหยิกาเสด็จทิวงคต ณ พระตำหนักท่าโพธิ์ ใกล้เขาพระราชทรัพย์ในกรุงอุดงฦๅไชย สิริพระชนมายุ 91 พรรษา พระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร พระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนขุนนางเดินทางจากกรุงพนมเปญไปอุดงฦๅไชย อัญเชิญพระโกศตั้งบำเพ็ญพระราชกุศล ณ พระราชวังสระสารพรรณยุค หลังจากนั้นทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ขุนนางที่ขึ้นตรงต่อสมเด็จพระมไหยิกาไปขึ้นต่อสมเด็จพระวรราชินี (แป้น) ทั้งหมด[12]
อ้างอิง
[แก้]- เชิงอรรถ
- ↑ ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. "พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 (83. สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีพระเจ้ากรุงกัมพูชาพิราลัย)". วชิรญาณ. สืบค้นเมื่อ 17 เมษายน 2564.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 167
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 171
- ↑ 4.0 4.1 ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 172
- ↑ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3, หน้า 296
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 267
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 277
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 298
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 312
- ↑ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4, หน้า 251
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 331
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 335
- บรรณานุกรม
- ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2560. 360 หน้า. ISBN 978-616-514-575-6
- ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563. 500 หน้า. ISBN 978-616-514-661-6
- เรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนรัชต์), พันตรี หลวง. ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563. 336 หน้า. ISBN 978-616-514-668-5