วิกิพีเดีย:โลกของสัตว์/รู้หรือไม่

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

รู้หรือไม่ ที่นำเสนอแล้ว[แก้]

  • ค้างคาว มีจำนวนมากมายกว่า 950 ชนิด พวกมันอาศัยอยู่ในเกือบทุกแห่งของโลก ยกเว้นในเขตพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็น กินอาหารหลากหลายประเภท ค้างคาวที่จัดเป็นพวกธรรมดาที่สุดคือค้างคาวกินแมลง ซึ่งจะออกล่าเหยื่อกลางอากาศในขณะบิน และค้างคาวกินน้ำหวานและเกสรจากดอกไม้รวมทั้งค้างคาวกินเนื้อ ที่ออกล่าเหยื่อเช่นปลา นก กิ้งก่าและกบเป็นอาหาร แต่สำหรับค้างคาวแวมไพร์ เป็นค้างคาวเพียงชนิดเดียวที่กินเลือดเป็นอาหาร
  • วอลรัส มีงายาว ๆ ไว้สำหรับทำหน้าที่หลายอย่าง พวกมันจะใช้งาฉุดตัวของมันเองขึ้นจากน้ำมาอยู่บนน้ำแข็ง รวมทั้งยังใช้สำหรับป้องกันตัวเองจากศัตรูและวอลรัสตัวอื่น ๆ ที่เป็นคู่แข่งในฤดูผสมพันธุ์ งายาว ๆ คู่หนึ่งของวอลรัส สามารถมีความยาวได้ถึง 1 เมตร
  • กระต่ายป่าอาร์กติก และสัตว์ขั้วโลกเหนือบางชนิด สามารถเปลี่ยนสีขนของพวกมันได้ในฤดูหนาว เพื่อช่วยให้พวกมันแอบหลบซ่อนศัตรูอยู่ท่ามกลางหิมะ สีขาวของขนจะกลมกลืนกับสีขาวของหิมะ ช่วยให้ศัตรูไม่สามารถมองเห็นและฉวยโอกาสหลบหนีไป แต่ในฤดูร้อนขนสีขาวกลับทำให้ถูกพบเห็นได้โดยง่าย พวกมันจึงต้องเปลี่ยนสีขนให้เป็นสีน้ำตาลเพื่อให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมแทน
  • วัวมัสค์ มีขนชั้นนอกที่ยาวและรุงรัง เพื่อช่วยให้มันอยู่รอดได้ท่ามกลางความหนาวเย็นของเขตอาร์กติก ส่วนขนหนาชั้นในนั้นจะช่วยกันความชื้นให้แก่ร่างกาย วัวมัสค์กินหญ้า มอสและไลเคนเป็นอาหาร ในฤดูหนาวพวกมันจะใช้กีบเท้าขุดหิมะเพื่อคุ้ยหาอาหารที่ถูกทับอยู่ข้างใต้
  • หมีขั้วโลก คือนักล่าบนบกที่เก่งกาจและมีขนาดใหญ่ที่สุดในแถบอาร์กติก พวกมันสามารถวิ่งได้อย่างรวดเร็ว ว่ายน้ำได้ยอดเยี่ยม สามารถดำน้ำลงไปใต้น้ำแข็งเพื่อล่าแมวน้ำลายวงแหวน ซึ่งเป็นอาหารหลัก รวมทั้งจับนกทะเลและสัตว์บกชนิดอื่น ๆ เช่นกวางเรนเดียร์และกระต่ายป่าอาร์กติกอีกด้วย หมีขั้วโลกมีขนหนาสีขาวปกคลุมทั้งทั้งร่างกายแม้กระทั่งที่ฝ่าเท้า เพื่อช่วยรักษาความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย

  • วาฬเพชฌฆาต สามารถว่ายน้ำได้เร็วถึง 55 กิโลเมตร/ชั่วโมง มันคือนักล่าที่ดุร้ายในการใช้ความเร็วไล่จับเหยื่อที่ว่ายน้ำเร็ว เช่นหมึก ปลาและแมวน้ำ บางครั้งพวกมันจะล่ากันเป็นฝูงและโจมตีแม้กระทั่งวาฬชนิดอื่น ๆ วาฬเพชรฆาตอาศัยอยู่ในทุกแห่งของมหาสมุทรทั่วโลก แม้จะมีชื่อว่าวาฬเพชรฆาตแม่พวกมันก็คือโลมาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดตระกูลหนึ่ง ที่มีขนาดยาว 10 เมตรและหนักถึง 9,000 กิโลกรัม
  • สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม บางชนิดเท่านั้น จะกินอาหารอยู่เพียงแค่หนึ่งหรือสองชนิดเท่านั้น เช่นแพนด้าในประเทศจีนจะกินเพียงแค่หน่อไม้และยอดอ่อนของใบไผ่เป็นอาหารหลัก แต่จะกินพืชชนิดอื่น ๆ เช่นต้นไอริสและโครคัสบ้างในปริมาณที่เล็กน้อย รวมทั้งล่าสัตว์ที่มีขนาดเล็กอย่างหนูและปลาบ้างเป็นครั้งคราว
  • หมาป่า ที่อาศัยในแถบทวีปแอฟริกา จะออกล่าสัตว์กันเป็นฝูงด้วยความร่วมมือและสามัคคีเป็นหมู่คณะ ทำให้สามารถล้มสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่าพวกมันได้อย่างง่ายดาย ฝูงหมาป่าจะออกติดตามฝูงสัตว์กินพืชเช่นม้าลายหรือกาเซลล์ไปตลอด และพยายามแยกสัตว์บางตัวในฝูงของสัตว์กินพืชที่อาจจะอ่อนแอหรือมีความเชื่องช้ากว่าตัวอื่น ๆ ในฝูงออกมาเป็นเหยื่อ
  • อูฐสองโหนก มีขนหนาปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย เพื่อช่วยในการรักษาความอบอุ่นในช่วงฤดูหนาว พวกมันอาศัยอยู่ในทะเลทรายโกบีในทวีปเอเชีย ซึ่งในฤดูหนาวจะมีอากาศที่หนาวเย็นมาก และในฤดูร้อน ขนหนา ๆ ยาว ๆ ของพวกมันจะค่อย ๆ ร่วงหลุดไปจนเหลือเพียงแค่ตัวโกร๋น ๆ เท่านั้น
  • แมวน้ำเวดเดลล์ สามารถดำน้ำได้ลึกกว่าแมวน้ำชนิดอื่น ๆ พวกมันจะดำน้ำลงไปเป็นระยะทางลึกกว่า 600 เมตร เพื่อล่าปลาค้อดและปลาชนิดอื่น ๆ เป็นอาหาร แมวน้ำเวดเดลล์สามารถดำน้ำอยู่ใต้น้ำได้นานมากกว่า 1 ชั่วโมง อาศัยอยู่ในท้องทะเลที่เย็นจัดในทวีปแอนตาร์กติกา ทั่วทั้งร่างกายปกคลุมด้วยชั้นไขมันหนาหรือเรียกว่า "บลับเบอร์" ที่ช่วยรักษาความอบอุ่นให้แก่ร่ายกาย

  • แพนด้า ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกแพนด้าเมื่อแรกเกิดจะมีน้ำหนักเพียง 100 กรัมเท่านั้น มีขนาดพอ ๆ กับหนูขาว ตัวเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับขนาดของแม่แพนด้ายักษ์ ที่มีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม ลูกแพนด้าเมื่อแรกเกิดยังตาบอดและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มีขนสีขาวปกคลุมร่างกายบาง ๆ และราว 4 อาทิตย์ถึงจะมีขนสีขาวและดำเหมือนกับพวกโตเต็มวัยและลืมตาเมื่ออายุถึง 3 เดือนไปแล้ว และหัดเดินเมื่ออายุ 4 เดือน และเริ่มกินต้นไผ่เมื่ออายุ 6 เดือน
  • วาฬสีน้ำเงิน ที่เกิดใหม่ มีขนาดใหญ่โตกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด เมื่อแรกเกิดตัวมันยาวถึง 7 เมตรและหนัก 2,000 กิโลกรัม ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าคนถึง 30 คน และต้องกินนมมากถึงวันละ 500 ลิตรทีเดียว
  • ช้าง ตัวเมีย เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีระยะเวลาในการตั้งท้องยาวนานที่สุด มันจะอุ้มท้องอยู่ประมาณ 20 - 21 เดือนจึงจะคลอดลูกออกมา ลูกช้างแรกเกิดจะหนักประมาณ 100 กิโลกรัม มันสามารถยืนขึ้นได้เองหลังจากเกิดได้ไม่นาน และสามารถวิ่งตามแม่ของมันไปทั่ว เมื่อมีอายุได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น
  • ลูกสัตว์บางชนิด จะต้องยืนและต้องวิ่งให้ได้ตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่มันคลอดออกมา ถ้าลูกเล็ก ๆ ที่พึ่งคลอดออกมาของกวางแอนทีโลปช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แบบเดียวกับลูกของแพนด้ายักษ์แล้วล่ะก็ มันจะถูกพวกสัตว์นักล่าฉกไปเป็นอาหารทันที พวกมันต้องยืนขึ้นและเคลื่อนที่ตามฝูงของพวกมันไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่อย่างนั้นแล้วพวกมันก็จะไม่มีชีวิตรอด
  • โอพอสซัมเวอร์จิเนีย ออกลูกคราวเดียวได้จำนวนมากถึง 21 ตัว ซึ่งเป็นปริมาณที่มากที่สุดในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด ลูกอ่อนตัวยาวเพียง 1 เซนติเมตรเท่านั้น และลูกน้อยทั้งหมดของมันจะมีน้ำหนักรวมกันเพียง 2 - 3 กรัมเท่านั้น

  • โลมา ทั้งหมดออกลูกเป็นตัว โดยจะเอาส่วนหางออกมาก่อนเช่นเดียวกับวาฬ ซึ่งถ้ามันเอาหัวออกมาก่อนอาจจะจมน้ำตายได้ในระหว่างการคลอด ซึ่งทันทีที่มันคลอดออกมาหมดทั้งตัว แม่และโลมาตัวเมียตัวอื่น ๆ ในฝูงจะค่อย ๆ ช่วยกันดันลูกโลมาได้ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อสูดอากาศเป็นครั้งแรก
  • หนูจิงโจ้ เป็นสัตว์ที่ไม่ต้องดื่มน้ำ ไตของพวกมันจะคอยควบคุมปริมาณน้ำที่มีอยู่ภายในร่างกายของมัน ไตของหนูจิงโจ้มีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมกว่าไตของมนุษย์มาก สามารถทำได้แม้กระทั่งเปลี่ยนอาหารบางส่วนที่กินเข้าไป ให้กลายเป็นน้ำภายในร่างกายได้
  • แรด เป็นสัตว์ที่อาจโถมเข้าใส่ศัตรูด้วยความเร็วสูงสุด โดยปกติแรดนั้นเป็นสัตว์ที่รักความสงบ ยกเว้นแรดตัวเมียที่จะคอยปกป้องลูกอ่อนอย่างดุร้ายหากลูกอ่อนถูกรบกวน ตัวแม่จะก้มหัวลงและควบเข้าใส่ศัตรูและเสียบด้วยนอแหลม ๆ ของมัน ทำให้ไม่ค่อยมีนักล่าตัวใดเข้าใกล้ไปท้าทายแรดที่กำลังโกรธจัด
  • ตัวนิ่ม จะมีเกล็ดแข็ง ๆ ซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ไว้สำหรับป้องกันตัว เกล็ดนี้ทำให้มันมองดูคล้ายกับลูกสนขนาดยักษ์มากกว่า ตัวนิ่มกินมดและปลวกเป็นอาหารหลัก และเกล็ดหนา ๆ ของมันจะช่วยป้องกันจากการถูกมดกัด และกันอาการแสบร้อนของผิวหนังได้เป็นอย่างดี
  • เม่น เป็นสัตว์ที่แปลกประหลาดเพราะมีหนามแหลมคมเต็มตัว ร่างกายของเม่นปกคลุมไปด้วยหนามแหลม ๆ จำนวนมากถึง 30,000 อัน และเมื่อมีภัยหรือศัตรูมาถึงตัว เม่นจะเตือนด้วยการเขย่าขนของมันให้เกิดเสียงดังก่อน หากไม่ได้ผลทำให้ศัตรูหนีไป เม่นจะวิ่งเข้าใส่และใช้หนามแหลมคมทิ่มแทงเนื้อของศัตรู


  • หมาป่า เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก หมาป่าอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเรียกว่า แพ็ค ที่แปลว่าเป็นกลุ่มเป็นก้อน มีหมาป่าตัวผู้ 1 ตัวเป็นจ่าฝูงในการดูแลครอบครัว หมาป่าตัวเมียที่โตเต็มที่แล้วกับคู่ของมัน จะเป็นผู้นำฝูงซึ่งอาจมีสมาชิกมากถึง 20 ตัว
  • แคพิบารา คือตัวโรเดนท์ขนาดใหญ่ที่สุดที่ยังคงมีชีวิตอยู่ โรเดนท์หรือสัตว์กัดแทะก็คือกลุ่มของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกหนูหรือกระรอก มีความยาว 1.3 เมตร ทำให้แคพิบาราเป็นสัตว์ที่ตัวใหญ่ทีเดียวเมื่อเทียบกับสัตว์กัดแทะส่วนใหญ่ อาศัยอยู่รอบ ๆ หนองน้ำ ทะเลสาบและแม่น้ำในทวีปอเมริกาใต้
  • วาฬ มีหลายชนิดด้วยกัน วาฬบางชนิดอาศัยอยู่รวมกันเป็นครอบครัว เช่นวาฬไพลอต จะอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มมากกว่า 20 ตัวขึ้นไป ว่ายน้ำและหาอาหารด้วยกัน ในฝูงวาฬอาจจะมีตัวผู้หลายตัวและตัวเมียจำนวนหนึ่งกับลูก ๆ ของมันเท่านั้น
  • บีเวอร์ เป็นนักว่ายน้ำชั้นยอด มันมีหางแบนและกว้างซึ่งจะทำหน้าที่เหมือนกับใบพายของเรือในขณะว่ายน้ำ รวมทั้งยังมีพังพืดที่เท้าอีกด้วย มันสามารถดำน้ำและอยู่ใต้น้ำได้นานกว่า 5 นาที บีเวอร์จะเอาหางของพวกมันตีน้ำก่อนจะดำลงไปใต้น้ำ เพื่อเป็นการเตือนภัยให้แก่บีเวอร์ตัวอื่น ๆ
  • หนูฮาร์เวสต์ จะสร้างรังอยู่บนก้านของต้นหญ้า พวกมันจะพันกิ่งที่แข็งแรงเข้าด้วยกันเพื่อทำเป็นโครง หลังจากนั้นจะสานกิ่งหญ้าที่อ่อนกว่าขึ้นเป็นโครงสร้าง ที่มีลักษณะคล้ายกับลูกบอล มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 เซนติเมตร

  • กอริลลา คือไพรเมตที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลก คำว่าไพรเมตคือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีซิมแปนซีและมนุษย์รวมกลุ่มอยู่ด้วย กอริลลาตัวผู้ที่โตเต็มที่จะมีความสูงประมาณ 1.75 เมตรและมีน้ำหนักถึง 275 กิโลกรัม
  • ยีราฟ คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่สูงที่สุดในโลก ยีราฟตัวผู้มีความสูงประมาณ 5.5 เมตร ซึ่งมากกว่าคนสามหรือสี่คนยืนต่อตัวกันบนไหล่ ยีราฟมีถิ่นอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาราในทวีปแอฟริกา ความสูงของมันช่วยให้มันกินใบไม้สด ๆ ฉ่ำ ๆ ที่อยู่บนยอดไม้ได้อย่างง่ายดาย
  • สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม คือสัตว์เลือดอุ่นที่มีโครงกระดูกแข็ง และมีขนปุย ๆ หรือเป็นเส้น ๆ การที่เป็นสัตว์เลือดอุ่นหมายความว่าพวกมันสามารถที่จะรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ได้ แม้ในช่วงอากาศจะหนาวเย็นมาก โครงกระดูกจะช่วยค้ำจุนร่างกายและปกป้องอวัยวะที่บอบบางภายในเช่นหัวใจ ปอดและสมอง
  • วาฬสีน้ำเงิน คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและยังเป็นสัตว์ที่ตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาด้วย ขนาดความยาวของลำตัวมากกว่า 33.5 เมตร ซึ่งยาวพอ ๆ กับรถยนต์จอดต่อ ๆ กันถึง 7 คันทีเดียว และมีน้ำหนักมากถึง 190,000 กิโลกรัมและอาศัยอยู่ในท้องทะเลตลอดชีวิต
  • ค้างคาวกิตติ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กที่สุดในโลก เมื่อโตเต็มวัยมันจะมีขนาดของลำตัวเพียง 3 เซนติเมตรและหนักเพียง 2 กิโลกรัมเท่านั้น

  • ช้าง เป็นเลี้ยงลูกด้วยนมที่เป็นสัตว์บกที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสามชนิดคือช้างทุ่งแอฟริกา ช้างป่าแอฟริกาและช้างเอเชีย ชนิดที่ตัวใหญ่ที่สุดคือช้างทุ่งแอฟริกา ตัวผู้ที่โตเต็มที่จะมีน้ำหนักมากถึง 7,5000 กิโลกรัม ซึ่งปริมาณน้ำหนักมากกว่าผู้ใหญ่นับร้อยคนรวมกัน เมื่อยืนจะมีความสูงถึงไหล่ประมาณ 4 เมตร ช้างอาจกินใบไม้ กิ่งไม้และผลไม้เป็นอาหารมากกว่าวันละ 300 กิโลกรัม
  • สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ส่วนใหญ่มีประสาทสัมผัสรับภาพ เสียงและกลิ่นที่ดี ประสาทสัมผัสเหล่านี้จะช่วยในการเฝ้าระวังศัตรูและหาอาหาร ติดต่อสื่อสารกับตัวอื่น ๆ การรับกลิ่นเป็นประสาทสัมผัสที่สำคัญที่สุดสำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลาย ๆ ชนิด เช่น กวาง กระต่าย จะใช้จมูกดมกลิ่นเพื่อจับสัญญาณอันตราย
  • ไฮยีนา จะออกล่าอาหารในตอนกลางคืน ช่วงเวลากลางวันพวกมันจะหลบอยู่ภายใต้พื้นดิน ไฮยีนาเป็นสัตว์กินซาก ซึ่งหมายความว่าพวกมันจะกินซากที่เหลือของสัตว์ที่ถูกนักล่าที่ตัวใหญ่กว่าเช่นสิงโตเป็นอาหาร และเมื่อสิงโตกินอิ่มแล้ว ไฮยีนาจะรีบเข้ายึดแย่งเอาซากสัตว์นั้นมากินทันที
  • แมวป่าพัลลาส เป็นแมวป่าที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายโกบี พวกมันจะมีขนที่หนาและยาวกว่าแมวป่าพันธุ์เล็กชนิดอื่น ๆ เพื่อเป็นการรักษาความอบอุ่นในฤดูหนาวของทะเลทรายโกบี แมวป่าพัลลาสมักอยู่เพียงลำพังตัวเดียวในถ้ำ ล่าสัตว์ขนาดเล็กเช่นนกและหนูเป็นอาหาร
  • นากทะเล กินสัตว์ทะเลเป็นอาหารเช่นหอยและปู พวกมันจะใช้ก้อนหินกะเทาะเปลือกหอยในขณะที่ลอยตัวหงายท้องอยู่ในน้ำ โดยวางก้อนหินไว้บนหน้าอกและโขลกเปลือกหอยกับหินจนแตกกระจาย จึงจะกินเนื้อนิ่ม ๆ ของหอยที่อยู่ภายใน

  • แพนด้าแดง เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน มันจะขดตัวนอนอยู่บนต้นไม้ในช่วงเวลากลางวัน พอตกกลางคืนจะออกหาอาการเช่นหน่อไม้ รากไม้ ผลไม้และผลโอ๊ก รวมทั้งยังกินแมลง ไข่นกและสัตว์ตัวเล็ก ๆ อีกด้วย บางครั้งแพนด้าแดงก็จะตื่นนอนในตอนกลางวันและปีนต้นไม้ เพื่อหาใบไม้สด ๆ กินในช่วงฤดูร้อนด้วย
  • เมียร์แคต เป็นพังพอนชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ประมาณ 30 ตัวด้วยกันเรียกว่า โคโลนี ประกอบไปด้วยเมียร์แคตจำนวนหลายครอบครัวด้วยกัน ส่วนมากจะเป็นคู่ของตัวที่โตแล้วกับลูก ๆ โคโลนีที่ว่านี้จะอาศัยรวมกันอยู่ในเครือข่ายโพรงใต้ดิน โดยสมาชิกทั้งหมดจะช่วยกันผลัดเฝ้าระวังภัยจากศัตรู
  • หมี เป็นสัตว์กินเนื้อที่กินอาหารหลากหลายประเภท แต่มีส่วนมากยกเว้นหมีขั้วโลกจะกินพืชมากกว่าเนื้อสัตว์ หมีสีน้ำตาลจะกินผลไม้ ลูกนัท แมลงและปลา ในช่วงฤดูร้อนเมื่อปลาแซลมอนว่ายทวนน้ำเพื่อมาวางไข่ พวกมันจะลุยน้ำลงไปในแอ่งน้ำตื้น ๆ เพื่อจับปลามากินเป็นอาหาร
  • โคอาลา จะกินใบยูคาลิปตัสเป็นอาหาร ซึ่งใบไม้ชนิดนี้จะเหนียวมากและอาจเป็นพิษต่อสัตว์อื่นอีกหลายชนิด รวมทั้งไม่มีคุณค่าทางอาหารมากนัก ในแต่ละวันโคอาลาจะต้องกินใบยูคาลิปตัสหลายชั่วโมงเพื่อให้ได้สารอาหารที่เพียงพอ ส่วนเวลาที่เหลือมันจะนอนเพื่อสงวนพลังเอาไว้
  • หนู เป็นสัตว์ที่กินได้ทุกอย่าง พวกมันจะแทะสายไฟ ท่อน้ำหรือแม้กระทั่งผนังคอนกรีต แต่ละปีในสหรัฐอเมริกาหนูจะสร้างความเสียหายจำนวนมาก รวมมูลค่าเป็นพันล้านดอลลาร์ทีเดียว

  • เสือชีตาห์ เป็นสัตว์ที่วิ่งได้เร็วกว่าสัตว์ชนิดอื่นใด สามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วเกือบ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ไม่สามารถวิ่งด้วยความเร็วเท่านี้ได้นาน เสือชีตาห์จะอาศัยความเร็วในการรล่าเหยื่อย โดยจะย่องเข้าหาเหยื่อจนเหลือระยะห่างแค่ประมาณ 100 เมตร จากนั้นจึงพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูงสุดก่อนจะจู่โจมครั้งสุดท้าย
  • กระต่ายป่าสีน้ำตาล สามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วถึง 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยอาศัยขาหลังที่ทรงพลังในการช่วยให้มันเคลื่อนที่ได้เร็ว พอที่จะหนีจากศัตรูอย่างสุนัขจิ้งจอกได้
  • วาฬหัวคันศร หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วาฬไรท์กรีนแลนด์ อาศัยอยู่ในมหาสมุทรอาร์กติก มีขนาดลำตัวยาวได้ถึง 20 เมตร กินสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหารโดยการใช้แผ่นซี่กรองอาหารในปาก ที่เรียกว่าบาลิน
  • บ่าง ไม่ได้บินได้จริง ๆ เพียงแค่ร่อนจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งเท่านั้น พวกมันสามารถร่อนได้ไกลถึง 130 เมตรด้วยแผ่นหนังที่อยู่ด้านข้างลำตัว เมื่อบ่างทิ้งตัวจากกิ่งไม้ มันจะเหยีดแขนขาและกางแผ่นหนังออก ทำท่าทางเหมือนกับนักกระโดดร่มเมื่อทิ้งตัวจากเครื่องบิน
  • แมวน้ำลายเสือดาว คือนักล่าที่ดุร้ายที่สุดในแถบขั้วโลกใต้ มีถิ่นอาศัยอยู่ในผืนน้ำแถบทวีปแอนตาร์กติกา คอยล่าเพนกวิน ปลาหรือแม้กระทั่งแมวน้ำชนิดอื่น ๆ

  • ปลาฉลาม เป็นสัตว์ที่มีฟันพิเศษแตกต่างจากสัตว์อื่น แข็งแกร่งไม่ผุกร่อน ถ้าฟันซี่ไหนหักจะมีฟันใหม่งอกขึ้นมาแทนที่ ฟันแต่ละซี่คมกริบเหมือนใบมีดโกน ขอบฟันหยักเป็นเลื่อย และมีฟันรวมทั้งสิ้น 5 แถว คือ 3 แถวสำหรับด้านหน้า และ 2 แถวที่ซ่อนอยู่ใต้เพดานปาก
  • ฟองน้ำ เป็นสัตว์ทะเลที่มีชีวิตเรียบง่าย หากินโดยการกรองอาหารจากน้ำทะเลกิน ฟองน้ำธรรมชาติที่ใช้ในเวลาอาบน้ำ ก็คือซากของฟองน้ำที่ตายแล้วนำมาตากแห้ง
  • ปะการัง คือสัตว์ตัวจิ๋วที่สามารถสร้างกำแพงใต้น้ำขนาดมหึมา กำแพงนี้ก่อตัวจากหินปะการังซึ่งเป็นโครงกระดูกที่เหลืออยู่ของสัตว์ทะเลที่เรียกว่า ตัวปะการัง เวลาหลายล้านปีทำให้มีกองกระดูกมากพอที่จะก่อตัวเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ คล้ายกับกำแพงที่เรียกว่า แนวปะการัง ซึ่งจะเต็มไปด้วยซอกเล็กซอกน้อยที่ใช้เป็นที่หลบซ่อนและเป็นแหล่งอาศัยชั้นดีของบรรดาสิ่งทีชีวิตใต้ท้องทะเล ที่มีความสวยงานและมีความมหัศจรรย์ทั้งหลาย
  • หอยมือเสือ เป็นสัตว์ที่มีเปลือกแข็งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อาศัยอยู่ในแถบแนวปะการัง สามารถเจริญเติบโตจนมีขนาดใหญ่โตได้ถึงหนึ่งเมตร
  • ม้าน้ำ ออกลูกเป็นไข่โดยตัวเมีย และตัวผู้จะเป็นผู้นำไข่เหล่านี้มาเก็บไว้ในกระเป๋าบริเวณหน้าท้อง และเมื่อไข่พร้อมที่จะฟักเป็นตัว ลูกม้าน้ำตัวจิ๋ว ๆ ก็จะถูกบีบออกมาเป็นสาย จากกระเป๋าบริเวณหน้าท้องของม้าน้ำตัวผู้

  • ดอกไม้ทะเล จะใช้อาวุธภายในตัวของพวกมันคือพิษที่เอาไว้สำหรับต่อยเหยื่อ โดยมันจะยิงเหงี่ยงเล็ก ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกับฉมวกใส่กัน จนกระทั่งตัวที่อ่อนแอกว่ายอมแพ้ไป
  • หอยฝาชี เป็นสัตว์ที่มีเปลือกแข็งชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่ตามก้อนหินและแอ่งน้ำบริเวณชายฝั่ง ที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ เมื่อโดนกระแสน้ำขึ้นและลงซัดสาด หอยฝาชีจะใช้กล้ามเนื้อที่เท้าเกาะติดก้อนหินเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกกระแสน้ำพัดลอยไป
  • ดาวทะเล สามารถงอกแขนใหม่ได้เมื่อแขนของพวกมันขาดออกจากตัว ดาวทะเลอาจมีแขนหรือกิ่งรัศมีได้ถึง 40 ข้าง หากมีสัตว์ผู้ล่าจับแขนข้างหนึ่งของมันได้ ดาวทะเลจะสลัดแขนนั้นทิ้งและใช้แขนอื่น ๆ คลานหลบหนีไป
  • ปูเสฉวน ไม่มีเปลือกแข็งห่อหุ้มตัว ซึ่งส่วนใหญ่จะลอกคราบเมื่อมันโตจนคับเปลือก แต่ปูเสฉวนไม่มีเปลือกแข็งจึงต้องอาศัยเปลือกว่าง ๆ ของหอยเจดีย์หรือหอยฝาเดียวชนิดใดก็ได้ที่ตายแล้ว ขนาดพอเหมาะที่มันจะสอดตัวเข้าไปเพื่อปกป้องร่างกายที่อ่อนนิ่มของมันได้
  • เม่นทะเล มีสีเขียวกลมกลืนกับสีเขียวของสาหร่ายทะเล มันจะพรางตัวด้วยการตกแต่งตัวของมันเองด้วยเศษเปลือกหอย เม็ดกรวดหรือสาหร่ายทะเล ซึ่งทำให้สัตว์ผู้ล่าสังเกตเห็นได้ยากขึ้น