ร็อกเซลานา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ฮิวร์เรม ซุลตาน
Tizian 123.jpg
ฮาเซคีซุลตานแห่งออตโตมัน
ครองราชย์พ.ศ. 2076/2077 – 15 เมษายน พ.ศ. 2101
ถัดไปนูร์บานู ซุลตาน
พระสวามีสุลัยมานผู้เกรียงไกร
พระบุตรเจ้าชายเชห์ซาเด เมห์เมด
เจ้าหญิงมีห์รีมาห์ ซุลตาน
เจ้าชายเชห์ซาเด อับดุลลาห์
สุลต่านเซลิมที่ 2
เจ้าชายเชห์ซาเด บาเยซิด
เจ้าชายเชห์ซาเด จีฮันกี
ราชวงศ์ออตโตมัน
พระบิดาฮัฟรือโล ลิซอฟสกี[1][2]
ประสูติราว พ.ศ. 2045-2047
โรฮาตึน อาณาจักรโปแลนด์
สิ้นพระชนม์15 เมษายน พ.ศ. 2101 (ราว 53–56 ปี)
พระราชวังโทพคาปึ คอนสแตนติโนเปิล จักรวรรดิออตโตมัน
ฝังพระศพมัสยิดซิวเลย์มานีเย คอนสแตนติโนเปิล[3][4]
ศาสนาอิสลาม (เดิมอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์)

ฮิวร์เรม ซุลตาน (ตุรกีออตโตมัน: خُرَّم سلطان; เสียงอ่านภาษาตุรกี: [hyɾˈɾem suɫˈtaːn]) หรือเป็นที่รู้จักในพระนามว่า ร็อกเซลานา (อักษรโรมัน: Roxelana; ราว พ.ศ. 2045 – 15 เมษายน พ.ศ. 2101) เป็นพระชายาเอกในสุลต่านสุลัยมานแห่งจักรวรรดิออตโตมัน

พระองค์เป็นที่รู้จักในฐานะพระชายาเอกในองค์สุลต่าน (ตุรกีออตโตมัน: خاصکي سلطان‎ Haseki Sultan) ที่ทรงพระราชอำนาจทางการเมืองผ่านพระราชสวามี และทรงบทบาทสำคัญยิ่งต่อกิจการของรัฐ[5]

พระนาม[แก้]

พระองค์เป็นที่รู้จักในหมู่ชาวออตโตมันว่า ฮาเซคี ฮืร์เรม ซุลตาน (Haseki Hürrem Sultan) หรือ ฮืร์เรม ฮาเซคี ซุลตาน (Hürrem Haseki Sultan) อันมีความหมายว่า "พระชายาเอกฮิวร์เรม" โดยคำว่า "ฮิวร์เรม" มาจากคำเปอร์เซียยุคกลางว่า "คูร์ราม" (เปอร์เซีย: خرم; "ผู้ให้ความสุข") บ้างก็ว่ามาจากคำอาหรับว่า "กะรีมะฮ์" (อาหรับ: كريمة; "ผู้มีใจเอื้ออารี")

ส่วนร็อกเซลานา (อักษรโรมัน: Roxelana) บางแห่งอาจสะกดเป็น ร็อกโซเลนา (อักษรโรมัน: Roxolena), ร็อกโซลานา (อักษรโรมัน: Roxolana), ร็อกเซลาเน (อักษรโรมัน: Roxelane), โรซซา (อักษรโรมัน: Rossa) หรือรูชีจา (อักษรโรมัน: Ružica) ล้วนเป็นพระสมัญญานามที่กินความหมายไปถึงเชื้อสายรูทีเนีย หรือ รูซึน (อักษรโรมัน: Rusyn) ของพระองค์ ซึ่งคำดังกล่าวเป็นชื่อหนึ่งของชาวยูเครนช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 ที่เรียกตามชื่อชาวร็อกโซลานี (อักษรโรมัน: Roxolani) ชาติพันธุ์โบราณที่เคยตั้งถิ่นฐานบริเวณนั้นมาก่อน ดังนั้นพระสมัญญานามดังกล่าวจึงมีความหมายว่า "หญิงชาวรูทีเนีย"[6]

พระประวัติ[แก้]

พระชนม์ชีพช่วงต้น[แก้]

จากการศึกษาในปัจจุบัน ข้อมูลของร็อกเซลานาขณะทรงพระเยาว์มีน้อยนัก ไม่ว่าจะเป็นพื้นเพของพระองค์ว่ามีเชื้อสายอะไร หรือการกล่าวถึงในอาณาจักรโปแลนด์อันเป็นมาตุภูมิ มีการสันนิษฐานว่าร็อกเซลานามีพระนามเดิมว่า อะเลคซันดรา (อักษรโรมัน: Aleksandra) หรือ อะนัสตาซียา ลีซอฟสกา (อักษรโรมัน: Anastasia Lisowska)[7] จากหลักฐานของมีฮาลอน ลึทวึน (Mikhalon Lytvyn) ทูตของแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียประจำรัฐข่านไครเมีย ช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยในเอกสาร "เกี่ยวกับประเพณีของตาตาร์, ลิทัวเนีย และมอสโก" (ละติน: De moribus tartarorum, lituanorum et moscorum) ซึ่งในส่วนการค้าเขาระบุว่า "[...] พระชายาผู้เป็นที่รักของจักรพรรดิตุรกีพระองค์ปัจจุบัน พระชนนีของผู้สืบสันดานในพระองค์ [พระราชโอรส] นางผู้อยู่ในการปกครองของพระองค์หลังนิราศไปจากแดนดินของเรา"[8]

ส่วนหลักฐานช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 เช่นจากหลักฐานของซามูเอล ทวาร์โดฟสกี (Samuel Twardowski) กวีโปแลนด์ผู้ค้นคว้าศึกษาเกี่ยวกับตุรกี ได้ระบุว่าร็อกเซลานามีพระชนกเป็นนักบวชอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์ชาวยูเครน[9][10][11][12] พระองค์ประสูติที่เมืองโรฮาตึน (Rohatyn) 68 กิโลเมตรทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองลวอฟ (Lwów) ซึ่งเป็นเมืองหลักของรูทีเนีย (Ruthenia Voivodeship) ที่ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรโปแลนด์ (ปัจจุบันอยู่ทางตะวันตกของประเทศยูเครน)[12] ล่วงมาในช่วงปี พ.ศ. 2063 ร็อกเซลานาถูกชาวตาตาร์ไครเมียจับไปเป็นทาสหลังการบุกปล้นครั้งหนึ่งจากหลาย ๆ ครั้งในบริเวณดังกล่าว เบื้องต้นเชื่อว่าพระองค์คงถูกนำไปไว้ที่เมืองคัฟฟาในไครเมีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าทาส ก่อนส่งต่อไปยังเมืองคอนสแตนติโนเปิล แล้วทรงถูกคัดเลือกให้ไปประจำในฮาเร็มของสุลต่านสุลัยมาน[10][12]

พระชายาเอกในองค์สุลต่าน[แก้]

สิ้นพระชนม์[แก้]

ร็อกเซลานา สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2101 พระศพถูกฝังในสุสานหลวงในมัสยิดซิวเลย์มานีเย ที่มีลักษณะเป็นรูปโดมภายในตกแต่งด้วยกระเบื้องจากอิซนิค มีภาพวาดสวนบนสรวงสวรรค์เพื่อสดุดีพระจริยวัตรของพระองค์[13] โดยสุสานหลวงของพระองค์ตั้งอยู่ในกับสุสานหลวงของพระสวามีที่แยกต่างหาก

พระราชกรณียกิจ[แก้]

นอกเหนือจากบทบาททางการเมืองที่โดดเด่นแล้ว ร็อกเซลานาทรงมีส่วนร่วมในการก่อสร้างอาคารสาธารณะจำนวนหลายแห่งตั้งแต่มักกะฮ์จนถึงเยรูซาเลม ที่เป็นเสมือนมูลนิธิการกุศลทำนองเดียวกับซูไบดะฮ์ ภริยาของเคาะลีฟะฮ์ฮารูนาลรอชิดเคยทำไว้ เบื้องต้นพระองค์ทรงอุปถัมภ์โรงเรียนสอนพระคัมภีร์อัลกุรอานจำนวนสองแห่ง มีการให้สร้างบ่อน้ำพุ และโรงพยาบาลสำหรับสตรีที่ตั้งอยู่ใกล้ตลาดนางทาสในคอนสแตนติโนเปิลเพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ มีการก่อสร้างโรงอาบน้ำฮาเซคีฮิวร์เรมซุลตานฮามามึ (Haseki Hürrem Sultan Hamamı) เพื่อรองรับอิสลามิกชนที่มาปฏิบัติศาสนกิจที่มัสยิดอายาโซเฟีย[14] และโปรดให้ก่อสร้างโรงทานฮาเซคีซุลตานอีมาเรต (Haseki Sultan Imaret) เพื่อบริจาคซุปแก่ราษฎรผู้ยากไร้[15] ที่ในหนึ่งวันสามารถเลี้ยงคนได้ 500 คนต่อสองมื้อ[16]

พระอนุสรณ์[แก้]

ร็อกเซลานาในตราไปรษณียากรยูเครน พ.ศ. 2540

ร็อกเซลานา เป็นที่รู้จักทั้งในตุรกีและโลกตะวันตก ที่ส่วนมากเป็นจะปรากฏในรูปแบบของงานศิลป์จำนวนมาก ในปี พ.ศ. 2104 สามปีหลังการสิ้นพระชนม์ กาบรีแยล บูแน็ง (Gabriel Bounin) นักเขียนชาวฝรั่งเศส ได้แต่งบทประพันธ์โศกเรื่อง ลาโซลตาน (La Soltane) ที่ร็อกเซลานามีบทบาทสำคัญในการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายมุสตาฟา[17] ถือเป็นละครเวทีเรื่องแรกของฝรั่งเศสที่เกี่ยวกับออตโตมัน[18] นอกจากจะเป็นแรงบันดาลใจสำหรับจิตรกรแล้ว พระองค์ยังเป็นแรงบันดาลใจแก่โจเซฟ ไฮเดิน (Joseph Haydn) ในการแต่งซิมโฟนีหมายเลข 63 เพื่อใช้สำหรับละครเวทีที่มีร็อกเซลานาเป็นตัวละครของเรื่อง[19]

ในสเปน ร็อกเซลานามักปรากฏในงานเขียนของเกเบโด (Quevedo) และโดยเฉพาะผลงานของโลเป เด เบกา (Lope de Vega) นักเขียนบทละคร ที่เขียนเรื่อง สันนิบาตอันศักดิ์สิทธิ์ (The Holy League) ที่มีทิเชียนเป็นตัวละครไปปรากฏตัวในสภาสูงของเวนิส เบื้องต้นได้กล่าวว่าเขาเพียงแค่ไปเยือนองค์สุลต่าน และแสดงพระรูปร็อกเซลานาที่เขาวาด[20]

ในยูเครน ชาวมุสลิมในเมืองมารีอูปัล ได้เปิดมัสยิดที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติร็อกเซลานา เมื่อปี พ.ศ. 2550[21]

ในตุรกี ได้มีละครอิงประวัติศาสตร์ช่วงรัชกาลสุลต่านสุลัยมานที่ร็อกเซลานามีบทบาทสำคัญ ได้แก่ ฮิวร์เรม ซุลตาน (Hürrem Sultan; ปี พ.ศ. 2546) และซีรีส์เรื่อง ศตวรรษแห่งความเกรียงไกร หรือ มูห์เตแชม ยิวซ์ยีล (Muhteşem Yüzyıl; ปี พ.ศ. 2554–2558)[22]

อ้างอิง[แก้]

  1. Dr Galina I Yermolenko (2013). Roxolana in European Literature, History and Culturea. Ashgate Publishing, Ltd. p. 275. ISBN 978-1-409-47611-5.
  2. Ukrainian Orthodox priest, Havrylo Lisowsky, father of Roxelana
  3. The Encyclopædia Britannica, Vol.7, Edited by Hugh Chisholm, (1911), 3; Constantinople, the capital of the Turkish Empire...
  4. Britannica, Istanbul เก็บถาวร 2007-12-18 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน:When the Republic of Turkey was founded in 1923, the capital was moved to Ankara, and Constantinople was officially renamed Istanbul in 1930.
  5. "Ayşe Özakbaş, Hürrem Sultan, Tarih Dergisi, Sayı 36, 2000". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-01-13. สืบค้นเมื่อ 2015-12-05.
  6. Ahmed, Syed Z (2001). The Zenith of an Empire : The Glory of the Suleiman the Magnificent and the Law Giver. A.E.R. Publications. p. 43. ISBN 978-0-9715873-0-4.
  7. Leslie P. Peirce, The imperial harem: women and sovereignty in the Ottoman Empire, Oxford University Press US, 1993, ISBN 0-19-508677-5, pp. 58-59.
  8. Yermolenko, G. Roxolana: "The Greatest Empress of the East". — p. 234
  9. Kinross, Patrick (1979). The Ottoman centuries : The Rise and Fall of the Turkish Empire. New York: Morrow. ISBN 978-0-688-08093-8.
  10. 10.0 10.1 The Speech of Ibrahim at the Coronation of Maximilian II, Thomas Conley, Rhetorica: A Journal of the History of Rhetoric, Vol. 20, No. 3 (Summer 2002), 266.
  11. Kemal H. Karpat, Studies on Ottoman Social and Political History: Selected Articles and Essays, (Brill, 2002), 756.
  12. 12.0 12.1 12.2 Elizabeth Abbott, Mistresses: A History of the Other Woman, (Overlook Press, 2010), [1].
  13. Öztuna, Yılmaz (1978). Şehzade Mustafa. İstanbul: Ötüken Yayınevi. ISBN 9754371415.
  14. "Historical Architectural Texture". Ayasofya Hürrem Sultan Hamamı. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-11-20. สืบค้นเมื่อ 19 November 2015.
  15. Peri, Oded. Waqf and Ottoman Welfare Policy, The Poor Kitchen of Hasseki Sultan in Eighteenth-Century Jerusalem, p. 169
  16. Singer, A. (2005). Serving Up Charity: The Ottoman Public Kitchen. Journal of Interdisciplainary History, 35:3, p. 486
  17. The Literature of the French Renaissance by Arthur Augustus Tilley, p.87 [2]
  18. The Penny cyclopædia of the Society for the Diffusion of Useful Knowledge p.418 [3]
  19. H.C. Robbins Landon (1994). Haydn: Haydn at Eszterháza, 1766-1790. Haydn: Chronicle and Works. Vol. 2. Thames and Hudson. ISBN 978-0-500-01168-3.[ต้องการเลขหน้า]
  20. Frederick A. de Armas "The Allure of the Oriental Other: Titian's Rossa Sultana and Lope de Vega's La santa Liga," Brave New Words. Studies in Spanish Golden Age Literature, eds. Edward H. Friedman and Catherine Larson. New Orleans: UP of the South, 1996: 191-208.
  21. "Religious Information Service of Ukraine". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-12-22. สืบค้นเมื่อ 2015-12-29.
  22. Fowler, Suzanne (2011-03-20). "Magnificent Century divides Turkish TV viewers over the life of Süleyman". The Observer. สืบค้นเมื่อ 2011-03-20.

อ่านเพิ่ม[แก้]

  • Peirce, Leslie (1993). Empress of the East: How a European Slave Girl Became Queen of the Ottoman Empire. New York Basic Books. ISBN 978-0-465-03251-8..
  • Peirce, Leslie P. The Imperial Harem: Women and Sovereignty in the Ottoman Empire (Oxford University Press, 1993)
  • There are many historical novels in English about Roxelana: P.J. Parker's Roxelana and Suleyman[1] (2012; Revised 2016); Barbara Chase Riboud's Valide (1986); Alum Bati's Harem Secrets (2008); Colin Falconer, Aileen Crawley (1981-83), and Louis Gardel (2003); Pawn in Frankincense, the fourth book of the Lymond Chronicles by Dorothy Dunnett; and pulp fiction author Robert E. Howard in The Shadow of the Vulture imagined Roxelana to be sister to its fiery-tempered female protagonist, Red Sonya.
  • David Chataignier, "Roxelane on the French Tragic Stage (1561-1681)" in Fortune and Fatality: Performing the Tragic in Early Modern France, ed. Desmond Hosford and Charles Wrightington (Newcastle upon Tyne: Cambridge Scholars Publishing, 2008), 95–117.
  • Parker, P. J. Roxelana and Suleyman (Raider Publishing International, 2011).
  • Thomas M. Prymak, "Roxolana: Wife of Suleiman the Magnificent," Nashe zhyttia/Our Life, LII, 10 (New York, 1995), 15-20. An illustrated popular-style article in English with a bibliography.
  • Galina Yermolenko, "Roxolana: The Greatest Empresse of the East," The Muslim World, 95, 2 (2005), 231-48. Makes good use of European, especially Italian, sources and is familiar with the literature in Ukrainian and Polish.
  • Galina Yermolenko (ed.), Roxolana in European Literature, History and Culture (Farmham, UK: Ashgate, 2010). 318 pp. Illustrated. Contains important articles by Oleksander Halenko and others, as well as several translations of works about Roxelana from various European literatures, and an extensive bibliography.
  • For Ukrainian language novels, see Osyp Nazaruk (1930) (English translation is available),[2] Mykola Lazorsky (1965), Serhii Plachynda (1968), and Pavlo Zahrebelnyi (1980).
  • There have been novels written in other languages: in French, a fictionalized biography by Willy Sperco (1972); in German, a novel by Johannes Tralow (1944, reprinted many times); a very detailed novel in Serbo-Croatian by Radovan Samardzic (1987); one in Turkish by Ulku Cahit (2001).

อ้างอิง[แก้]

  1. "Roxelana and Suleyman". www.facebook.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 January 2017.
  2. Nazaruk, Osyp. Roxelana – โดยทาง Amazon.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]