รัฐนิวเม็กซิโก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
รัฐนิวเม็กซิโก

State of New Mexico (อังกฤษ)
Estado de Nuevo México (สเปน)
Yootó Hahoodzo (นาวาโฮ)
สมญา: 
ดินแดนมนต์เสน่ห์
คำขวัญ: 
เพลง: "โอแฟร์นิวเม็กซิโก"
(อังกฤษ: O Fair New Mexico)
และ "อาซีเอสนูเอโบเมฆิโก"
(สเปน: Así Es Nuevo México)
แผนที่สหรัฐเน้นรัฐนิวเม็กซิโก
แผนที่สหรัฐเน้นรัฐนิวเม็กซิโก
ประเทศสหรัฐ
สถานะก่อนเป็นรัฐนูเอโบเมฆิโก (1598–1848)
ดินแดนนิวเม็กซิโก (1850–1912)
เข้าร่วมสหรัฐ1 มิถุนายน 1912; 111 ปีก่อน (1912-06-01) (ลำดับที่ 47)
เมืองหลวงแซนตาเฟ
เมืองใหญ่สุดแอลบูเคอร์คี
มหานครใหญ่สุดแอลบูเคอร์คี
การปกครอง
 • ผู้ว่าการมิเชลล์ ลูฮาน กริชัม ()
 • รองผู้ว่าการฮาววี มอราลิส (ด)
สภานิติบัญญัติสภานิติบัญญัตินิวเม็กซิโก
 • สภาสูงวุฒิสภา
 • สภาล่างสภาผู้แทนราษฎร
ฝ่ายตุลาการศาลสูงสุดนิวเม็กซิโก
สมาชิกวุฒิสภา
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
พื้นที่
 • ทั้งหมด121,591[1] ตร.ไมล์ (314,915 ตร.กม.)
 • พื้นดิน121,298[1] ตร.ไมล์ (314,161 ตร.กม.)
 • พื้นน้ำ292[1] ตร.ไมล์ (757 ตร.กม.)  0.24%
อันดับพื้นที่อันดับที่ 5
ขนาด
 • ความยาว371 ไมล์ (596 กิโลเมตร)
 • ความกว้าง344 ไมล์ (552 กิโลเมตร)
ความสูง5,701 ฟุต (1,741 เมตร)
ความสูงจุดสูงสุด (ยอดเขาวีลเลอร์[2][3])13,161 ฟุต (4,011.4 เมตร)
ความสูงจุดต่ำสุด (อ่างเก็บน้ำเรดบลัฟฟ์ในเขตรัฐเท็กซัส[3])2,845 ฟุต (868 เมตร)
ประชากร
 (2020)
 • ทั้งหมด2,117,522 คน
 • อันดับอันดับที่ 36
 • ความหนาแน่น17.2 คน/ตร.ไมล์ (6.62 คน/ตร.กม.)
 • อันดับความหนาแน่นอันดับที่ 45
 • ค่ามัธยฐานรายได้ครัวเรือน51,945 ดอลลาร์
 • อันดับรายได้อันดับที่ 45
ภาษา
 • ภาษาทางการไม่มี
 • ภาษาพูดอังกฤษ, สเปน (นิวเม็กซิโก), นาวาโฮ, เคอรีส, ซูนี[4]
เขตเวลา
ทั้งรัฐUTC−07:00 (เวลาภูเขา)
 • ฤดูร้อน (เวลาออมแสง)UTC−06:00 (เวลาออมแสงภูเขา)
อักษรย่อไปรษณีย์NM
รหัส ISO 3166US-NM
อักษรย่อเดิมN.M., N.Mex.
ละติจูด31°20′ เหนือ ถึง 37° เหนือ
ลองจิจูด103° ตะวันตก ถึง 109°3′ ตะวันตก
เว็บไซต์www.newmexico.gov

นิวเม็กซิโก (อังกฤษ: New Mexico, ออกเสียง: /ˌn(j)uː ˈmeksɪkoʊ/; สเปน: Nuevo México, ออกเสียง: [ˈnweβo ˈmexiko] ( ฟังเสียง); นาวาโฮ: Yootó Hahoodzo, ออกเสียง: [jòːtʰó hɑ̀hòːtsò]) เป็นรัฐหนึ่งทางตอนตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐ ติดกับประเทศเม็กซิโก เมืองหลวงของรัฐคือแซนตาเฟ โดยมีเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือแอลบูเคอร์คี ถึงแม้ว่าในสหรัฐ ภาษาอังกฤษนิยมใช้กันมากที่สุด แต่รัฐนิวเม็กซิโกเป็นรัฐที่มีการใช้ภาษาสเปนมากที่สุดรัฐหนึ่งในสหรัฐ โดยประชากรในรัฐประกอบด้วยชาวอเมริกัน ชาวสเปน และชาวเม็กซิโก ใน ค.ศ. 2007 นิวเม็กซิโกมีประชากร 1,969,915 คน[5]

นิวเม็กซิโกเป็นรัฐที่มีเนื้อที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ในบรรดา 50 รัฐของประเทศ แต่มีประชากรเพียง 2.1 ล้านคน[6] และอยู่ในอันดับที่ 36 ของจำนวนประชากรและอันดับที่ 46 ในด้านความหนาแน่นของประชากร[7] และเป็นบริเวณที่มีสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศหลากหลายมากที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐ[8][9] บริเวณตอนเหนือและตะวันออกมีภูมิอากาศแบบแอลป์ที่เย็นกว่าในขณะที่ทางตะวันตกและทางใต้นั้นอบอุ่นและแห้งแล้งกว่า โดยมีแม่น้ำรีโอแกรนด์และหุบเขาที่อุดมสมบูรณ์ทอดตัวจากเหนือจรดใต้ ทำให้เกิดสภาพอากาศอบอุ่นบริเวณตอนกลางของรัฐ กว่าหนึ่งในสามของที่ดินในนิวเม็กซิโกมีรัฐบาลกลางเป็นเจ้าของ และรัฐยังมีพื้นที่รกร้างว่างเปล่าที่ได้รับการคุ้มครองและประกอบไปด้วยอนุสรณ์สถานแห่งชาติหลายแห่ง รวมถึงแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก 3 แห่ง[10]

รัฐนิวเม็กซิโกถูกจัดอยู่ในกลุ่มรัฐที่มีความยากจน[11][12][13][14][15] แม้ว่าปัจจุบันเศรษฐกิจของรัฐมีการเติบโตขึ้นตามลำดับ โดยประชากรในนิวเม็กซิโกมีรายได้หลักมาจากหลายภาคส่วน เช่น การขุดเจาะน้ำมัน การขุดแร่ การทำฟาร์มบนที่แห้ง การเลี้ยงโค เกษตรกรรม การค้าไม้อย่างถูกกฎหมาย การค้าปลีก การทำห้องปฏิบัติการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การพัฒนาเทคโนโลยี และศิลปะ รวมถึงสิ่งทอและทัศนศิลป์ โดยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศทั้งหมด (จีดีพี) ใน ค.ศ. 2020 อยู่ที่ 95.73 พันล้านดอลลาร์ และมีจีดีพีต่อหัวอยู่ที่ 46,300 ดอลลาร์[16][17] นโยบายภาษีของรัฐมีลักษณะการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในระดับต่ำถึงปานกลางตามมาตรฐานรัฐบาลกลาง โดยมีเครดิตภาษี การยกเว้น และการพิจารณาเป็นพิเศษสำหรับบุคลากรทางทหาร ต่อมา อุตสาหกรรมภาพยนตร์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในรัฐ[18] นิวเม็กซิโกเป็นยังที่ตั้งของฐานทัพสำคัญของกองทัพสหรัฐบริเวณไวต์แซนดส์มิสไซล์เรนจ์ และหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติหลายแห่งได้เข้ามาตั้งฐานการวิจัยและทดสอบอาวุธในรัฐเช่นที่ซานดีอาและลอสแอละโมส ในคริสต์ทศวรรษ 1940 โครงการวายของโครงการแมนฮัตตันซึ่งผลิตระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกได้ทดสอบนิวเคลียร์ครั้งแรกภายใต้รหัสนาม "ทรินิตี"

สำหรับที่มาของชื่อรัฐนิวเม็กซิโกนั้น ในอดีตดินแดนแห่งนี้เคยถูกสเปนปกครอง โดยคณะสำรวจและผู้ตั้งถิ่นฐานชาวสเปนได้เดินทางมาถึงบริเวณนี้ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และตั้งชื่ออาณาเขตว่า นูเอโบเมฆิโก ตามชื่อหุบเขาเม็กซิโก ก่อนที่เม็กซิโกจะได้รับเอกราชจากสเปนและใช้ชื่อประเทศดังปัจจุบัน ดังนั้นรัฐนี้จึงไม่ได้ตั้งชื่อตามประเทศเม็กซิโกอย่างที่หลายคนเข้าใจ[19][20] นิวเม็กซิโกถูกแยกออกจากกันด้วยภูมิประเทศที่ขรุขระและปกครองโดยชนพื้นเมือง ภายหลังการได้รับเอกราชของเม็กซิโกใน ค.ศ. 1821 บริเวณนี้ได้กลายเป็นเขตปกครองตนเองของเม็กซิโก แม้ว่าจะยังคงถูกคุกคามอยู่เรื่อย ๆ จากนโยบายการรวมชาติของรัฐบาลเม็กซิโก ในเวลาเดียวกัน ภูมิภาคนี้ได้พึ่งพากิจกรรมทางเศรษฐกิจจากสหรัฐ และในช่วงท้ายของสงครามเม็กซิโก–สหรัฐใน ค.ศ. 1848 สหรัฐได้ผนวกนิวเม็กซิโกเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนนิวเม็กซิโกที่มีขนาดใหญ่กว่า และถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการขยายตัวทางตะวันตกของสหรัฐและได้รับการยอมรับโดยสหภาพมาตราแห่งรัฐธรรมนูญของสหรัฐโดยถือเป็นรัฐที่ 47 อย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1912

ธงประจำรัฐนิวเม็กซิโกเป็นที่รู้จักมากที่สุดในสหรัฐ[21] สะท้อนถึงต้นกำเนิดของรัฐจากการผสมผสานของวัฒนธรรมโดยมีสีแดงเข้มและสีทองของไม้กางเขนเบอร์กันดีของสเปน พร้อมด้วยสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์โบราณของกลุ่มชนปูเอโบล การบรรจบกันของอิทธิพลของชนพื้นเมือง สเปน เม็กซิโก ฮิสแปนิก และอเมริกันยังปรากฏชัดในวัฒนธรรมด้านอื่น ๆ เช่น อาหาร ดนตรี และสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของนิวเม็กซิโก[22] นิวเม็กซิโกยังเป็นรัฐที่มีชาวลาตินอเมริกาอาศัยอยู่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก รวมทั้งมีการพูดภาษาสเปนอย่างแพร่หลาย

ที่มาของชื่อ[แก้]

ใน ค.ศ. 1598 นิวเม็กซิโกในขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรสเปน ในช่วงที่สเปนต้องการแผ่ขยายอำนาจของจักรพรรดิ กลุ่มผู้ก่อตั้งรกรากจากสเปนได้ตั้งชื่อแผ่นดินนี้ว่า นูเอโบเมฆิโก (Nuevo México) โดยตั้งตามพื้นที่หุบเขาในเม็กซิโก ที่ชาวแอซเทกโบราณเรียกว่า หุบเขาเม็กซิโก ดังนั้น นิวเม็กซิโกจึงไม่ได้ตั้งชื่อตามประเทศเม็กซิโก[23]

ประวัติ[แก้]

ในอดีต พลเมืองในนิวเม็กซิโกยุคแรกนั้นจึงมีเชื้อสายมาจากชาวสเปน[24] พวกเขาได้ร่วมกัน "บูรณาการทางวัฒนธรรม" (Cultural integration) แต่ก็ต้องเจอปัญหาการรุกรานจากทหารเม็กซิโกที่พยายามยึดครองนิวเม็กซิโกให้เป็นอาณานิคมของเม็กซิโก[25] จึงเกิดกลุ่มกองกำลัง "กบฏชิมาโย" ที่รุกขึ้นต่อต้าน สุดท้าย นิวเม็กซิโก ก็ได้รับการรวมเข้าเป็นรัฐที่ 47 ของสหรัฐใน ค.ศ. 1912 หลังจากแยกตัวออกจากประเทศเม็กซิโกได้สำเร็จ ใน ค.ศ. 1924 รัฐสภาสหรัฐก็รับร่างกฎหมายที่อนุญาตให้ชนพื้นเมืองอเมริกันสามารถขอสัญชาติเป็นชาวอเมริกัน และมีสิทธิ์มีเสียงในการลงคะแนนเลือกตั้งจนถึงปัจจุบัน

ภูมิประเทศและสภาพอากาศ[แก้]

สภาพภูมิประเทศบริเวณตอนกลางของรัฐนิวเม็กซิโก
อุทยานแห่งชาติชาโกในรัฐนิวเม็กซิโก

ภูมิประเทศของนิวเม็กซิโกส่วนใหญ่ประกอบด้วยที่ราบสูงและหุบเขาทอดยาวเหนือจรดใต้ โดยมีแม่น้ำรีโอแกรนด์ไหลผ่านจุดศูนย์กลางของรัฐ ระดับความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 4,700 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล

รัฐนิวเม็กซิโกมีชื่อเสียงมาช้านานในด้านสภาพอากาศที่อบอุ่นและเย็นสบาย[26] โดยรวมแล้วอากาศจะมีลักษณะกึ่งแห้งแล้งถึงแห้งแล้ง โดยมีพื้นที่ภูมิอากาศแบบภาคพื้นทวีป ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยทั่วทั้งรัฐอยู่ที่ 12.9 นิ้ว (330 มม.) ต่อปี โดยปริมาณเฉลี่ยต่อเดือนจะพุ่งสูงสุดในฤดูร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ตอนกลางและตอนเหนือที่ขรุขระกว่าทางใต้ โดยทั่วไป ทางตะวันออกของรัฐจะมีปริมาณน้ำฝนมากที่สุดในหนึ่งปี ในขณะที่รัฐทางตะวันตกจะมีความแห้งแล้งมากที่สุด

อุณหภูมิต่อปีอาจอยู่ในช่วง 65 °F (18 °C) ทางตะวันออกเฉียงใต้ และอาจต่ำกว่า 40 °F (4 °C) ทางตอนเหนือ ในช่วงฤดูร้อน อุณหภูมิในตอนกลางวันมักจะเกิน 100 °F (38 °C) ที่ระดับความสูงต่ำกว่า 5,000 ฟุต (1,500 ม.) อุณหภูมิสูงเฉลี่ยในเดือนกรกฎาคมอยู่ในช่วง 99 °F (37 °C) ในเดือนที่อากาศหนาวเย็นระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม หลายเมืองในนิวเม็กซิโกอาจมีอุณหภูมิต่ำสุดในตอนกลางคืน อุณหภูมิสูงสุดที่บันทึกไว้ในนิวเม็กซิโกคือ 122 °F (50 °C) ที่โรงงาน Waste Isolation Pilot Plant (WIPP) ใกล้หมู่บ้าน Loving เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 1994; อุณหภูมิต่ำสุดที่บันทึกไว้คือ -50 °F (-46 °C) ที่ Gavilan ย่าน เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1951[27]

ประชากร[แก้]

จากการสำรวจสำมะโนประชากรใน ค.ศ. 2020 นิวเม็กซิโกมีประชากร 2,117,522 คน โดยเพิ่มขึ้น 2.8% จากจำนวน 2,059,179 คนใน ค.ศ. 2010[28] โดยถือเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดในฝั่งตะวันตกของประเทศรองจากรัฐไวโอมิง และเป็นอัตราการเติบโตที่ช้าที่สุดในประเทศ เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง ค.ศ. 2000 ถึง 2010 ประชากรของนิวเม็กซิโกเพิ่มขึ้น 11.7% จากจำนวน 1,819,046 คน รายงานจากสภานิติบัญญัติแห่งนิวเม็กซิโกระบุว่าการเติบโตที่ช้านั้นเป็นผลมาจากอัตราการย้ายถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 18 ปีหรืออายุน้อยกว่า[29] และอัตราการเกิดลดลงถึง 19% อย่างไรก็ตาม การเติบโตของชุมชนฮิสแปนิกและชนพื้นเมืองอเมริกันยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี

มากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรที่อาศัยในปัจจุบันเกิดในรัฐนี้ (51.4%) ในขณะที่ประชากรบางส่วนอพยพมาจากรัฐอื่น (37.9%) และประชากรจำนวน 1.1% เกิดในปวยร์โตรีโกหรือในต่างประเทศกับพ่อแม่ชาวอเมริกันอย่างน้อยหนึ่งคน และอีก 9.4% เป็นชาวต่างชาติจากทวีปอื่น และเกือบหนึ่งในสี่ของประชากร (22.7%) มีอายุต่ำกว่า 18 ปี และค่าเฉลี่ยอายุของประชากรในรัฐที่ 38.4 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ 38.2 เล็กน้อย ชาวฮิสแปนิกและลาตินคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของผู้อยู่อาศัยทั้งหมด (49.3%) ทำให้นิวเม็กซิโกมีสัดส่วนเชื้อสายฮิสแปนิกสูงที่สุดในบรรดาห้าสิบรัฐ รวมถึงลูกหลานของชาวอาณานิคมสเปนที่ตั้งรกรากระหว่างศตวรรษที่ 16 และ 18 รวมทั้งผู้อพยพจากลาตินอเมริกา[30]

จาก ค.ศ. 2000 ถึง 2010 จำนวนคนยากจนได้เพิ่มขึ้นเป็น 400,779 คนหรือประมาณหนึ่งในห้าของประชากรทั้งหมด และการสำรวจสำมะโนประชากร ค.ศ. 2020 ครั้งล่าสุดได้มีการบันทึกอัตราความยากจนที่ลดลงเล็กน้อยที่ 18.2%[31]

วัฒนธรรม[แก้]

ภาษา[แก้]

นิวเม็กซิโกอยู่ในอันดับที่สามรองจากรัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐเท็กซัสในแง่ของรัฐที่มีความหลากหลายทางภาษามากที่สุด[32] จากการสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐใน ค.ศ. 2010 พบว่า 28.45% ของประชากรอายุ 5 ปีขึ้นไปพูดภาษาสเปนเป็นหลัก[33] ในขณะที่ 3.50% พูดภาษานาวาโฮ ผู้พูดภาษาสเปนบางส่วนสืบเชื้อสายมาจากผู้ตั้งถิ่นฐานชาวสเปนก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 18[34] นอกจากภาษานาวาโฮซึ่งพูดในรัฐแอริโซนาแล้ว ในนิวเม็กซิโกยังมีคนกลุ่มเล็ก ๆ ใช้ภาษาอเมริกันพื้นเมืองอีกหลายภาษา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาษาเฉพาะถิ่นของรัฐและภาษาเม็กซิโกดั้งเดิม

ศาสนา[แก้]

เช่นเดียวกับรัฐอื่น ๆ ในสหรัฐ ประชากรในนิวเม็กซิโกส่วนมากเป็นคริสต์ศาสนิกชน[35] และกว่าหนึ่งในสามนับถือนิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ ตามข้อมูลของสมาคมคลังข้อมูลศาสนา (ARDA) นิกายที่ใหญ่ที่สุดคือโรมันคาทอลิก (สมาชิก 684,941 คน)[36] และประชากรประมาณ 1 ใน 5 ในรัฐนิวเม็กซิโกไม่นับถือศาสนาใด ๆ ซึ่งรวมถึงผู้ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า[37]

อาหาร[แก้]

พริกแห้ง วัตถุดิบประกอบอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดในรัฐนิวเม็กซิโก

อาหารในรัฐนิวเม็กซิโกได้รับอิทธิพลมาจากความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประเทศเม็กซิโกและสเปน[38] และมีความแตกต่างจากอาหารประจำชาติทั่วไปในสหรัฐ[39] เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการผสมผสานของวัตถุดิบต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พริก[40] และเครื่องเทศ ที่มีชื่อเสียงที่สุดได้แก่ พริกแห้ง ซึ่งมีรสชาติเผ็ดร้อนและมักปรากฏอยู่ในรายการอาหารชั้นนำต่าง ๆ ในร้านอาหารของรัฐนิวเม็กซิโก ตั้งแต่ร้านอาหารริมทางทั่วไปจนถึงภัตตาคารขนาดใหญ่[41]

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 1.2 "United States Summary: 2010 – Population and Housing Unit Counts" (PDF). U.S. Census Bureau. September 2012. p. 41. สืบค้นเมื่อ March 14, 2020.
  2. "Wheeler". NGS data sheet. U.S. National Geodetic Survey.
  3. 3.0 3.1 "Elevations and Distances in the United States". United States Geological Survey. 2001. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 15, 2011. สืบค้นเมื่อ October 24, 2011.
  4. "Most spoken languages in New Mexico in 2010". MLA Data Center. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 23, 2013. สืบค้นเมื่อ November 4, 2012.
  5. จำนวนประชากรในสหรัฐ แบ่งตามรัฐ
  6. "New Mexico Population 2021 (Demographics, Maps, Graphs)". worldpopulationreview.com.
  7. "New Mexico | Data USA". datausa.io (ภาษาอังกฤษ).
  8. "New Mexico Regions & Cities". www.newmexico.org (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  9. "New Mexico Climate & Geography | NMEDD". gonm.biz.[ลิงก์เสีย]
  10. "New Mexico Maps & Facts". WorldAtlas (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  11. "Poverty rate in New Mexico 2019". Statista (ภาษาอังกฤษ).
  12. "U.S. Census Bureau QuickFacts: New Mexico". www.census.gov (ภาษาอังกฤษ).
  13. Mexican, Bruce KrasnowThe New. "N.M. poverty rate down, but is still among worst in U.S." Santa Fe New Mexican (ภาษาอังกฤษ).
  14. Admin, Web. "New Mexico Ranked Worst in the Nation for Child Poverty". New Mexico Voices for Children (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  15. "New Mexico Report - 2020". Talk Poverty (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  16. "New Mexico: per capita real GDP 2000-2019". Statista (ภาษาอังกฤษ).
  17. "U.S. federal state of New Mexico - real GDP 2000-2020". Statista (ภาษาอังกฤษ).
  18. Editor, Adrian Gomez | Journal Arts and Entertainment. "New Mexico's film industry has bounded back to near pre-pandemic levels". www.abqjournal.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). {{cite web}}: |last= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  19. Tlapoyawa, Kurly (2017-10-14). "How Did New Mexico Get Its Name?". [ mexika.org ] (ภาษาอังกฤษ).
  20. "Is New Mexico a State? Some Americans Don't Know". NPR.org (ภาษาอังกฤษ).
  21. Edward B. Kaye (2001). ""Good Flag, Bad Flag, and the Great NAVA Flag Survey of 2001". Raven: A Journal of Vexillology. 8: 11–38.
  22. "New Mexico State Flag - About the New Mexico Flag, its adoption and history from NETSTATE.COM". www.netstate.com.
  23. Weber, David J. (1992). The Spanish Frontier in North America. New Haven and London: Yale University Press. p. 79.
  24. "รู้หรือไม่ รัฐนิวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐฯ ถือกำเนิดก่อนประเทศเม็กซิโกเสียอีก #beartai". #beartai (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2021-07-26.
  25. Sanchez, Joseph P. (1987). The Rio Abajo Frontier, 1540–1692: A History of Early Colonial New Mexico. Albuquerque: Museum of Albuquerque History Monograph Series. p. 51.
  26. "New Mexico | Flag, Facts, Maps, & Points of Interest". Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ).
  27. "NOAA | NCDC | SCEC | Climatological Extremes for NM". web.archive.org. 2010-05-28. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-05-28. สืบค้นเมื่อ 2021-08-17.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  28. https://www.census.gov/quickfacts/NM#:~:text=People%20%20%20%20Population%20%20%20,%20%202%2C059%2C179%20%2042%20more%20rows%20
  29. https://www.usnews.com/news/best-states/new-mexico/articles/2021-04-26/census-new-mexico-among-slowest-growing-western-states#:~:text=ALBUQUERQUE%2C%20N.M.%20%28AP%29%20%E2%80%94%20New%20Mexico%20%E2%80%99s%20population,2020%20was%20the%20second%20slowest%20in%20U.S.%20history.
  30. "New Mexico | Bureau of Business and Economic Research UNM". bber.unm.edu.
  31. Writer, Dan McKay | Journal Staff. "NM 2020 census count higher than expected". www.abqjournal.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  32. Sonnad, Nikhil. "Against the odds, English is on the rise in four US states". Quartz (ภาษาอังกฤษ).
  33. "Language Map Data Center". apps.mla.org.
  34. Espinosa, Aurelio Macedonio; Morley, S. Griswold (Sylvanus Griswold) (1911). The Spanish language in New Mexico and southern Colorado. University of California Libraries. Santa Fe, N.M., New Mexican printing company.
  35. NW, 1615 L. St; Suite 800Washington; Inquiries, DC 20036USA202-419-4300 | Main202-857-8562 | Fax202-419-4372 | Media. "Most and least religious U.S. states". Pew Research Center (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  36. "The Association of Religion Data Archives | Maps & Reports". web.archive.org. 2013-12-03. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-03. สืบค้นเมื่อ 2021-08-17.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  37. "Religion in New Mexico | Frommer's". www.frommers.com.
  38. Casey, Clyde (2013). New Mexico Cuisine: Recipes from the Land of Enchantment (ภาษาอังกฤษ). University of New Mexico Press. ISBN 978-0-8263-5417-4.
  39. Swentzell, Roxanne; Perea, Patricia M. (2016). The Pueblo Food Experience Cookbook: Whole Food of Our Ancestors (ภาษาอังกฤษ). Museum of New Mexico Press. ISBN 978-0-89013-619-5.
  40. Arellano, Gustavo (2013-04-16). Taco USA: How Mexican Food Conquered America (ภาษาอังกฤษ). Simon and Schuster. ISBN 978-1-4391-4862-4.
  41. "A Classic Biscochitos Recipe". www.newmexico.org (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2013-10-04.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]