รัฐเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
รัฐเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์

الْخِلَافَةُ الْعَبَّاسِيَّة
al-Khilāfah al-ʿAbbāsiyyah
  • 750–1258
  • 1261–1517
ธงชาติอับบาซียะฮ์
รัฐเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์ ป. ค.ศ. 850
รัฐเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์ ป. ค.ศ. 850
สถานะจักรวรรดิ
เมืองหลวง
ภาษาทั่วไปอาหรับคลาสสิก (ฝ่ายบริหารส่วนกลาง); ภาษาท้องถิ่นอื่น ๆ
ศาสนา
อิสลามนิกายซุนนี
การปกครองรัฐเคาะลีฟะฮ์ (สืบตระกูล)
เคาะลีฟะฮ์ 
• 750–754
อัสซัฟฟาฮ์ (องค์แรก)
• 1242–1258
อัลมุสตะอ์ศิม (เคาะลีฟะฮ์องค์สุดท้ายในแบกแดด)
• 1261–1262
อัลมุสตันศิรที่ 2 (เคาะลีฟะฮ์องค์แรกในไคโร)
• 1508–1517
อัลมุตะวักกิลที่ 3 (เคาะลีฟะฮ์องค์สุดท้ายในไคโร)
ประวัติศาสตร์ 
750
861
• การสวรรคตของอัรรอฎี และจุดเริ่มต้นของสมัยอับบาซียะฮ์ตอนปลาย (940–1258)
940
• มองโกลล้อมแบกแดด
1258
• สิ้นสุด
1517
สกุลเงิน
ก่อนหน้า
ถัดไป
รัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์
ราชวงศ์ดาบูยิด
รัฐสุลต่านมัมลูก (ไคโร)
จักรวรรดิมองโกล
จักรวรรดิออตโตมัน
เอมิเรตกอร์โดบา
ราชวงศ์อิดรีสิด
ราชวงศ์ซียอร์
ราชวงศ์ซอจีด
ราชวงศ์ซัฟฟาริด
รัฐเคาะลีฟะฮ์ฟาฏิมียะฮ์
ราชวงศ์บูยิด
รัฐเคาะลีฟะฮ์ออตโตมัน

รัฐเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์ (อาหรับ: الْخِلَافَةُ الْعَبَّاسِيَّة) เป็นรัฐเคาะลีฟะฮ์ราชวงศ์ที่สามที่ดำรงตำแหน่งหลังจากนบีมุฮัมมัด ก่อตั้งโดยผู้เป็นลูกหลานของอับบาส อิบน์ อับดุลมุฏฏอลิบ (ค.ศ. 566–653) ลุงของมุฮัมมัด ซึ่งเป็นที่มาของชื่อราชวงศ์[6] หลังจากโค่นล้มรัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ในการปฏิวัติราชวงศ์อับบาซียะฮ์เมื่อ ค.ศ. 750 (ฮ.ศ. 132) รัฐเคาะลีฟะฮ์ได้ตั้งศูนย์กลางรัฐบาลแห่งแรกที่กูฟะฮ์ (ปัจจุบันอยู่ในประเทศอิรัก) จากนั้นใน ค.ศ. 762 เคาะลีฟะฮ์อัลมันศูรได้สถาปนาเมืองแบกแดดใกล้กับบาบิโลน เมืองหลวงของจักรวรรดิบาบิโลนโบราณ แบกแดดจึงกลางเป็นศูนย์กลางในด้านวิทยาศาสตร์, วัฒนธรรม และสิ่งประดิษฐ์ในยุตที่รู้จักกันในชื่อ ยุคทองของอิสลาม นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของสถาบันการศึกษาที่สำคัญหลายแห่ง ได้แก่ บัยตุลฮิกมะฮ์ เช่นเดียวกันกับสภาพแวดล้อมที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและหลายศาสนา จนทำให้ที่นี่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกในฐานะ "ศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้"

สมัยอับบาซียะฮ์เเป็นจุดที่มีการพึ่งพาข้าราชการเปอร์เซีย (อย่างตระกูลแบร์แมคียอน) ในการบริหารดินแดนและการรวมประชากรมุสลิมที่มิใช่ชาวอาหรับใน อุมมะฮ์ (ประชาชาติมุสลิม) ชนชั้นปกครองให้การยอมรับขนบธรรมเนียมเปอร์เซียอย่างกว้างขวาง และพวกเขาก็เริ่มให้การอุปถัมภ์ศิลปินและนักวิชาการ[7] แม้จะมีความร่วมมือในเบื้องต้น อับบาซียะฮ์ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 ทำให้ตนเองแปลกแยกจากทั้งมะวาลีที่มิใช่อาหรับ[8]และข้าราชการเปอร์เซีย[9] พวกเขาถูกบังคับให้สละอำนาจเหนืออัลอันดะลุส (ปัจจุบันคือสเปนและโปรตุเกส) ให้แก่อุมัยยะฮ์ใน ค.ศ. 756, โมร็อกโกแก่อิดรีสิดใน ค.ศ. 788, อิฟรีกียะฮ์และซิซิลีให้แก่อัฆละบิดใน ค.ศ. 800, โฆรอซอนและทรานโซเซียนาให้แก่ซอมอนิด และเปอร์เซียให้แก่ซัฟฟาริดในคริสต์ทศวรรษ 870 และอียิปต์แก่รัฐเคาะลีฟะฮ์ฟาฏิมียะฮ์ใน ค.ศ. 969

อำนาจทางการเมืองของเคาะลีฟะฮ์ถูกจำกัดด้วยจุดรุ่งเรืองของราชวงศ์บูยิดของอิหร่านและเซลจุคเติร์กที่ยึดครองแบกแดดใน ค.ศ. 945 และ 1055 ตามลำดับ ถึงแม้ว่าความเป็นผู้นำของอับบาซียะฮ์เหนือจักรวรรดิอิสลามอันกว้างใหญ่ค่อย ๆ สูญเสียบทบาทลงจนเหลือเพียงพิธีการทางศาสนาในรัฐเคาะลีฟะฮ์ ราชวงศ์นี้ยังคงปกครองเหนือดินแดนเมโสโปเตเมียในรัชสมัยเคาะลีฟะฮ์อัลมุกตะฟี และขยายถึงอิหร่านในรัชสมัยเคาะลีฟะฮ์อันนาศิร[10] ยุคแห่งการฟื้นฟูและผลสำเร็จทางวัฒนธรรมของอับบาซียะฮ์สิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1258 ด้วยการปล้นสดมแบกแดดโดยมองโกลภายใต้การนำของฮูลากู ข่าน และการประหารชีวิตอัลมุสตะอ์ศิม สายผู้ปกครองของอับบาซียะฮ์และวัฒนธรรมมุสลิมโดยทั่วไปจึงย้ายศูนย์กลางไปที่ไคโร เมืองหลวงของมัมลูกใน ค.ศ. 1261 แม้ว่าจะไม่มีอำนาจทางการเมือง (ยกเว้นในสมัยเคาะลีฟะฮ์อัลมุสตะอีนแห่งไคโร) ราชวงศ์นี้ยังคงอ้างสิทธ์ในอำนาจทางศาสนา จนกระทั่งไม่กี่ปีหลังออตโตมันพิชิตอียิปต์ใน ค.ศ. 1517[11] ทำให้อัลมุตะวักกิลที่ 3 เป็นเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์องค์สุดท้าย[12]

หมายเหตุ[แก้]

  1. The Abbasid Revolution against the Umayyad Caliphate adopted black for its rāyaʾ for which their partisans were called the musawwids.[1] Their rivals chose other colours in reaction; among these, forces loyal to Marwan II adopted red.[2] The choice of black as the colour of the Abbasid Revolution was already motivated by the "black standards out of Khorasan" tradition associated with the Mahdi. The contrast of white vs. black as the Umayyad vs. Abbasid dynastic colour over time developed in white as the colour of Shia Islam and black as the colour of Sunni Islam: "The proselytes of the ʿAbbasid revolution took full advantage of the eschatological expectations raised by black banners in their campaign to undermine the Umayyad dynasty from within. Even after the ʿAbbasids had triumphed over the Umayyads in 750, they continued to deploy black as their dynastic colour; not only the banners but the headdresses and garments of the ʿAbbasid caliphs were black ... The ubiquitous black created a striking contrast with the banners and dynastic color of the Umayyads, which had been white ... The Ismaili Shiʿite counter-caliphate founded by the Fatimids took white as its dynastic color, creating a visual contrast to the ʿAbbasid enemy ... white became the Shiʿite color, in deliberate opposition to the black of the ʿAbbasid 'establishment'."[3] After the revolution, Islamic apocalyptic circles admitted that the Abbasid banners would be black but asserted that the Mahdi's standard would be black and larger.[4] Anti-Abbasid circles cursed "the black banners from the East", "first and last".[5]

อ้างอิง[แก้]

  1. Tabari (1995). Jane McAuliffe (บ.ก.). Abbāsid Authority Affirmed. Vol. 28. SUNY. p. 124.
  2. Crone 2012, p. 122
  3. Hathaway, Jane (2012). A Tale of Two Factions: Myth, Memory, and Identity in Ottoman Egypt and Yemen. Albany, NY: State University of New York Press. p. 97f. ISBN 9780791486108.
  4. Cook, David (2002). Studies in Muslim Apocalyptic. Darwin Press. p. 153. ISBN 9780878501427.
  5. Crone 2012, p. 243
  6. Hoiberg 2010, p. 10.
  7. Canfield, Robert L. (2002). Turko-Persia in Historical Perspective. Cambridge University Press. p. 5. ISBN 9780521522915.
  8. "Abū Moslem Ḵorāsānī". Encyclopaedia Iranica. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2015. สืบค้นเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2015.
  9. Finer, S. E. (1 January 1999). The History of Government from the Earliest Times: Volume II: The Intermediate Ages p.720. OUP Oxford. ISBN 9780198207900.
  10. Richards, D. S. (2020-04-22). The Chronicle of Ibn al-Athir for the Crusading Period from al-Kamil fi'l-Ta'rikh. Part 3: The Years 589–629/1193–1231: The Ayyubids after Saladin and the Mongol Menace (ภาษาอังกฤษ). Routledge. ISBN 978-1-351-89281-0.
  11. Holt 1984.
  12. "الكتاب : التاريخ الإسلامي - الموضوع : المتوكل على الله "الثالث" محمد بن يعقوب المستمسك بالله". 2008-06-11. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 June 2008. สืบค้นเมื่อ 2022-06-02.

ข้อมูล[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

แม่แบบ:Collier's Poster