ชะรีอะฮ์
| ส่วนหนึ่งของ |
| ศาสนาอิสลาม |
|---|
|
|
ชะรีอะฮ์ (อาหรับ: شريعة; อังกฤษ: Sharia/Shari'ah) แปลว่า "ทาง" หรือ "ทางไปสู่แหล่งน้ำ" ใช้หมายถึงประมวลข้อปฏิบัติต่าง ๆ ของกฎหมายศาสนาของศาสนาอิสลาม ที่ครอบคลุมวิถีการดำเนินชีวิตของบุคคลและสาธารณชนที่มีพื้นฐานมาจากหลักนิติศาสตร์ (jurisprudence) ของศาสนาอิสลามสำหรับชาวมุสลิมใช้
กฎหมายชะรีอะฮ์ครอบคลุมด้านต่าง ๆ ของชีวิตประจำวันที่รวมทั้งการปกครอง เศรษฐกิจ การบริหารธุรกิจ การธนาคาร ระบบการทำสัญญา ความสัมพันธ์ในครอบครัว หลักของความสัมพันธ์ทางเพศ หลักการอนามัย และการแก้ไขปัญหาทางสังคม
กฎหมายชะรีอะฮ์ในปัจจุบันเป็นกฎหมายศาสนาที่ใช้กันอย่างกว้างขวางที่สุดและเป็นกฎหมายที่ปรากฏบ่อยที่สุดของระบบกฎหมายของโลกพอ ๆ กับคอมมอนลอว์ และซีวิลลอว์[1] ในระหว่างยุคทองของอิสลาม กฎหมายอิสลามอาจถือว่ามีอิทธิพลต่อการวิวัฒนาการของคอมมอนลอว์[2] ซึ่งก็ทำให้มีอิทธิพลต่อการวิวัฒนาการของคอมมอนลอว์ระดับสถาบันต่างๆ[3]
คำนิยาม
[แก้]ตามหลักนิรุศาสตร์ คำว่าชะรีอะฮ์หมายถึงเส้นทางที่นำไปสู่แหล่งน้ำ (berbekas menuju air)[4] แล้วความหมายก็พัฒนาไปเป็นจากแหล่งน้ำเป็นสิ่งผู้คนยึดถือในการดำรงชีวิต ชะรีอะฮ์คือสิ่งที่อัลเละห์ทรงร่างและกำหนดไว้ในศาสนาให้เป็นเกณฑ์ในการดำรงชีวิตของบ่าวของพระองค์ไม่ว่าจะเป็น เรื่องความเชื่อ การปฏิบัติ หรือกฎหมายทางศิลธรรม
ญินายะฮ์ (jinayah)
[แก้]ญินายะฮ์ (Jinayah) ในภาษาอินโดนีเซียหมายถึงการศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายอิสลามที่พูดถึงเรื่องอาชญากรรม หากพูดกันโดยทั่วไปกฎหมายญีนายะฮ์หมายถึงกฎหมายอาญาอิสลามขอบเขตการศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายอาญาอิสลามครอบคลุมถึงอาชญากรรมประเภทกิซาส(Qisas), ฮุดูด(Hudud) และตักซีร(Takzir)
กิซาส (Qisas)
[แก้]มีพื้นฐานเกี่ยวกับการลงโทษฆาตกร โดยฆาตกรจะถูกส่งตัวไปให้ครอบครัวของเหยื่อเพื่อประหารชีวิตในแบบเดียวกันกับที่เหยื่อถูกกระทำ[5]
โองการหลักในการนำไปปฏิบัติในศาสนาอิสลาม คือ อัล-บะเกาะเราะฮ์ โองการที่ 178:
يَـٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُوا۟ كُتِبَ عَلَيْكُمُ ٱلْقِصَاصُ فِى ٱلْقَتْلَى ۖ ٱلْحُرُّ بِٱلْحُرِّ وَٱلْعَبْدُ بِٱلْعَبْدِ وَٱلْأُنثَىٰ بِٱلْأُنثَىٰ ۚ فَمَنْ عُفِىَ لَهُۥ مِنْ أَخِيهِ شَىْءٌۭ فَٱتِّبَاعٌۢ " بِٱلْمَعْرُوفِ وَأَدَآءٌ إِلَيْهِ بِإِحْسَـٰنٍۢ ۗ ذَٰلِكَ تَخْفِيفٌۭ مِّن رَّبِّكُمْ وَرَحْمَةٌۭ ۗ فَمَنِ ٱعْتَدَىٰ بَعْدَ ذَٰلِكَ فَلَهُۥ عَذَابٌ أَلِيمٌۭ "
"ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! การประหารฆาตกร ให้ตายตามในกรณีที่มีผู้ถูกฆ่าตายนั้นได้ถูกกำหนดแก่พวกเจ้าแล้ว คือชายอิสระต่อชายอิสระ และ ทาสต่อทาส และหญิงต่อหญิง แล้วผู้ใดที่สิ่งหนี่งจากพี่น้องของเขาถูกอภัยให้แก่เขาแล้ว ก็ให้ปฏิบัติไปตามนั้นโดยชอบ และให้ชำระแก่เขาโดยดี นั้นคือการผ่อนปรนจากพระเจ้าของพวกเจ้า และคือการเอ็นดูเมตตาด้วย แล้วผู้ใดละเมิดหลังจากนั้น เขาก็จะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ"[6]
ดังนั้น กิซาส คือการกำหนดบทลงโทษแบบเดียวกับที่ผู้กระทำความผิดลงโทษเหยื่อ เช่น หากผู้กระทำความผิดฆ่าเหยื่อ เหยื่อจะต้องถูกฆ่า[7] เว้นเสียแต่ว่าครอบครัวของเหยื่อจะให้อภัยแก่ผู้ก่อเหตุ ผู้ก่อเหตุจะต้องรับโทษเพียงค่าปรับที่เรียกว่า ดิอาต หรือค่าปรับแทนการลงโทษเท่านั้น
ฮุดูด (Hudud)
[แก้]ฮุดูด คือ การกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงต่อบุคคลตามที่กำหนดไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานและฮะดีษ เช่น การผิดประเวณี การเมาสุรา การออกจากศาสนาอิสลาม หรือการละทิ้งศาสนา
ตักซีร (Takzir)
[แก้]ตักซีรเป็นกฎหมายอื่นนอกเหนือจากกฎหมายทั้ง 2 ที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ผู้ร้ายก่ออาชญากรรมและป้องกันการกระทำที่ผิดศีลธรรม
ที่มาของกฎหมายอิสลาม
[แก้]
อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม เป็นพระวจนะของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ที่ทรงประทานแก่ศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) เพื่อถ่ายทอดแก่มวลมนุษยชาติจนถึงกาลสิ้นสุด นอกจากจะเป็นแหล่งที่มาของคำสอนศาสนาอิสลามแล้ว อัลกุรอานยังถูกเรียกว่าแหล่งที่มาแรกหรือหลักการแรกของชะรีอะฮ์อีกด้วย
ฮะดีษ
[แก้]ฮะดีษคือบันทึกคำพูด การกระทำ และการยอมรับของนบีมุฮัมมัดที่ถ่ายทอดผ่านสายรายงาน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ฮะดีษคือสายรายงานที่ระบุถึงสิ่งที่ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) เคยพูดและทำ

ความแตกต่างระหว่าง อัลกุรอานกับฮะดีษก็คือ อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ประกอบไปด้วยความจริง กฎหมาย และถ้อยคำของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ซึ่งถูกเขียนลงในหนังสือเล่มเดียวกันสำหรับมวลมนุษยชาติ ในขณะเดียวกัน ฮะดีษเป็นการรวบรวมที่รวบรวมแหล่งที่มาของกฎหมายอิสลามโดยเฉพาะ โดยที่อัลกุรอานมีกฎเกณฑ์ในการปฏิบัติ ศีลธรรม และคำพูดที่มาจากท่านศาสดาโมฮัมหมัด (ซ.ล.) แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้างระหว่างนักวิชาการนิติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านฮะดิษในการทำความเข้าใจความหมายของแหล่งกฎหมายทั้งสองแห่งนี้ แต่ทั้งหมดนี้เป็นความพยายามในการแสวงหาความจริงเพื่อประโยชน์ของประชาชน แต่เฉพาะนักวิชาการมาซฮับ (ผู้เชี่ยวชาญด้านฟิกฮ์) ที่มีความรู้ในระดับสูงและได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเท่านั้นที่จะเข้าใจได้ และทั้งหมดนี้เป็นไปตามพระประสงค์ของอัลลอฮ์[8]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ (Badr 1978)
- ↑ (Makdisi 1999)
- ↑ (Badr 1978, pp. 196–8)
- ↑ Nafis, M. Cholil (2011). Teori hukum ekonomi syariah (ภาษาอินโดนีเซีย). Penerbit Universitas Indonesia. ISBN 978-979-456-456-1.
- ↑ "Conflict and Conflict Resolution in the pre-Islamic Arab Society | SADIK KIRAZLI | download". zh.booksc.eu. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-01-29. สืบค้นเมื่อ 2025-07-28.
- ↑ "ซูเราะห์ Al-Baqarah - 178-185". Quran.com. สืบค้นเมื่อ 2025-07-28.
- ↑ Triyanto; Mujiyono; Pratiwinindya, Ratih Ayu (2022). "Embracing Diversity Through the Values of Multicultural Education in "Masjid Menara Kudus" (Menara Kudus Mosque)". Advances in Social Science, Education and Humanities Research. Paris, France: Atlantis Press. doi:10.2991/assehr.k.211125.032.
- ↑ Mendem, Gus. "Syariat Islam" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-07-28.