ผลต่างระหว่างรุ่นของ "วลาดีมีร์ เลนิน"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
เพิ่มเนื้อหา
ป้ายระบุ: ลิงก์แก้ความกำกวม
บรรทัด 36: บรรทัด 36:
เลนินถือเป็นบุคคลสำคัญและมีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยถือเป็นหัวข้อหลังมรณกรรมของ[[ลัทธิบูชาบุคคล]]ที่แพร่หลายในสหภาพโซเวียตจนกระทั่ง[[การล่มสลายของสหภาพโซเวียต|สหภาพโซเวียตล่มสลาย]]ใน ค.ศ. 1991 เขากลายเป็นผู้นำในอุดมคติที่อยู่เบื้องหลังลัทธิมากซ์–เลนิน และมีอิทธิพลเหนือ[[ขบวนการคอมมิวนิสต์]]สากล เลนินเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีการโต้เถียงและแตกแยกอย่างมาก ผู้สนับสนุนของเขามองว่าเลนินเป็นผู้สนับสนุนลัทธิสังคมนิยมและชนชั้นแรงงาน ในขณะเดียวกันเลนินก็ถูกวิจารณ์โดยกล่าวหาว่าเขาก่อตั้ง[[ระบอบเผด็จการ]][[ระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ|รวบอำนาจเบ็ดเสร็จ]]ที่คอยดู[[การปราบปรามทางการเมืองในสหภาพโซเวียต|การสังหารหมู่และการปราบปรามทางการเมือง]]
เลนินถือเป็นบุคคลสำคัญและมีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยถือเป็นหัวข้อหลังมรณกรรมของ[[ลัทธิบูชาบุคคล]]ที่แพร่หลายในสหภาพโซเวียตจนกระทั่ง[[การล่มสลายของสหภาพโซเวียต|สหภาพโซเวียตล่มสลาย]]ใน ค.ศ. 1991 เขากลายเป็นผู้นำในอุดมคติที่อยู่เบื้องหลังลัทธิมากซ์–เลนิน และมีอิทธิพลเหนือ[[ขบวนการคอมมิวนิสต์]]สากล เลนินเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีการโต้เถียงและแตกแยกอย่างมาก ผู้สนับสนุนของเขามองว่าเลนินเป็นผู้สนับสนุนลัทธิสังคมนิยมและชนชั้นแรงงาน ในขณะเดียวกันเลนินก็ถูกวิจารณ์โดยกล่าวหาว่าเขาก่อตั้ง[[ระบอบเผด็จการ]][[ระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ|รวบอำนาจเบ็ดเสร็จ]]ที่คอยดู[[การปราบปรามทางการเมืองในสหภาพโซเวียต|การสังหารหมู่และการปราบปรามทางการเมือง]]


== ชีวิตวัยเด็ก ==
== วัยเด็ก: ค.ศ. 1870–1887 ==
เลนินเกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1870 ในเมือง[[อูลยานอฟสค์|ซิมบีร์สค์]] (ปัจจุบันคือ อูลยานอฟสค์) และเข้าพิธีศีลจุ่มเมื่อยังเป็นเด็กในอีกหกวันต่อมา{{sfn|Sebestyen|2017|p=33}} เขาเป็นที่รู้จักในนามโวโลเดียซึ่งเป็นชื่อเรียกย่อของวลาดีมีร์{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=6|2a1=Rice|2y=1990|2p=12|3a1=Service|3y=2000|3p=13}} เขาเป็นลูกคนที่สามจากทั้งหมดแปดคน มีพี่น้องสองคนคือ อันนา (เกิด ค.ศ. 1864) และอะเลคซันดร์ (เกิด ค.ศ. 1866) ตามมาด้วยลูกอีกสามคนคือ โอลกา (เกิด ค.ศ. 1871) ดมีตรี (เกิด ค.ศ. 1874) และมารีเยีย (เกิด ค.ศ. 1878) พี่น้องสองคนต่อมาเสียชีวิตในวัยเด็ก{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=6|2a1=Rice|2y=1990|2pp=12, 14|3a1=Service|3y=2000|3p=25|4a1=White|4y=2001|4pp=19–20|5a1=Read|5y=2005|5p=4|6a1=Lih|6y=2011|6pp=21, 22}} พ่อของเขา อีลียา นีโคลาเยวิช อุลยานอฟ เป็นผู้ศรัทธาคริสตจักรออร์โธดอกซ์รัสเซียและให้ลูก ๆ ของเขาเข้าพิธีศีลจุ่ม แม้ว่าแม่ของเขา มารีเยีย อะเลคซันดรอฟนา อุลยาโนวา (นามสกุลเดิม บลังค์) ซึ่งนับถือนิกาย[[ลูเทอแรน]]โดยการเลี้ยงดู ส่วนใหญ่ไม่แยแสกับศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นมุมมองที่มีอิทธิพลต่อลูก ๆ ของเธอ{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=3, 8|2a1=Rice|2y=1990|2pp=14–15|3a1=Service|3y=2000|3p=29}}
[[ไฟล์:Lenin-circa-1887.jpg|140px|right|thumb|วลาดีมีร์ อุลยานอฟ (เลนิน) ราว พ.ศ. 2430]]
เลนินเกิดในเมือง[[อุลยานอฟสค์|ซิมบิร์สค์]]ของรัสเซีย เป็นบุตรชายของ อีลิยา นีโคเลวิช อุลยานอฟ (2374 - 2429) ข้าราชการรัสเซียผู้ที่ทำงานเพื่อประชาธิปไตยและโอกาสการศึกษาที่ทั่วถึงในรัสเซีย และมารดาของเลนินคือ มาเรีย อเล็กซานดรอฟนา บลังก์ ผู้ที่มีหัว[[เสรีนิยม]] เลนินมีเชื้อสายคาลมิก (รัฐริมทะเลสาบแคสเปียน) ผ่านทางบิดา และมีเชื้อสายชาว[[เยอรมนี]]ที่อาศัยอยู่ริม[[แม่น้ำวอลกา]]ผ่านทางยาย (ยายของเลนินนับถือศาสนาคริสต์นิกายลูเธอรัน) และเชื้อสายยิวผ่านทางตา (ตาของเลนินภายหลังเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์) ส่วนตัวเลนินเองได้รับพิธีล้างบาปในนิกายรัสเซียนออร์ธอดอกซ์


[[File:Dom ulyanovyh.jpg|thumb|left|บ้านสมัยเด็กของเลนินในซิมบีร์สค์]]
วลาดีมีร์ทำให้ตัวเองแตกต่างกับคนอื่นด้วยการศึกษาภาษาละตินและกรีก ชีวิตวัยเด็กของเขามีเหตุการณ์น่าเศร้า 2 อย่าง คือ ในปี พ.ศ. 2429 พ่อของเขาเสียชีวิตด้วยโรคเลือดออกในสมอง และในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2430 พี่ชายของเขา [[อะเลคซันดร์ อุลยานอฟ]] ถูกแขวนคอในข้อหามีส่วนร่วมในการวางแผนลอบปลงพระชนม์[[ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3|ซาร์อะเลคซันดร์ที่ 3]] เหตุการณ์หลังนี้ทำให้วลาดีมีร์เริ่มมีความคิดอย่าง ''ถึงราก (Radical)'' (ผู้เขียนประวัติของเลนินได้เขียนว่าเหตุการณ์นี้เป็นศูนย์รวมของความกล้าหาญในการปฏิวัติของเลนิน) ต่อมาในปีนั้น วลาดีมีร์ก็ถูกจับกุมและไล่ออกจาก[[มหาวิทยาลัยคาซาน]]ด้วยข้อหาที่ว่าวลาดีมีร์เข้าร่วมในการประท้วงของนักศึกษา เขาได้ศึกษาต่อด้วยตัวเองและได้รับใบอนุญาตให้ประกอบอาชีพทางกฎหมายได้ในปี พ.ศ. 2434
อีลียา อุลยานอฟ มาจากครอบครัวของอดีต[[ทาสติดที่ดิน]] เชื้อชาติของพ่อของอีลียานั้นไม่ทราบอย่างแน่ชัด{{efn|There have been suggestions that he was of [[Russians|Russian]], [[Chuvash people|Chuvash]], [[Mordvins|Mordvin]], or [[Kalmyks|Kalmyk]] ancestry.{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=1–2|2a1=Rice|2y=1990|2pp=12–13|3a1=Volkogonov|3y=1994|3p=7|4a1=Service|4y=2000|4pp=21–23|5a1=White|5y=2001|5pp=13–15|6a1=Read|6y=2005|6p=6}}}} ในขณะที่แม่ของเขา อันนา อะเลคเซเยฟนา สมีร์โนวา เป็นลูกครึ่ง[[ชาวคัลมืยเคีย|คัลมืยเคีย]]และลูกครึ่งรัสเซีย<ref>{{cite web|title=Владимир Ильич Ленин (1870–1924)|url=http://www.uniros.ru/articles/lenin.php|publisher=Uniros.ru|access-date=3 August 2015|language=ru|url-status=dead|archive-url=https://archive.today/20120918123515/http://www.uniros.ru/articles/lenin.php|archive-date=18 September 2012}}</ref> แม้จะมีภูมิหลังเป็นชนชั้นล่าง แต่เขาก็สามารถก้าวขึ้นมาเป็นชนชั้นกลางได้ โดยศึกษาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ที่[[มหาวิทยาลัยสหพันธ์คาซัน|ราชวิทยาลัยคาซัน]] ก่อนที่จะไปสอนที่[[สถาบันสำหรับชนชั้นสูง]]ที่[[เปนซา]]{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=1–2|2a1=Rice|2y=1990|2pp=12–13|3a1=Service|3y=2000|3pp=21–23|4a1=White|4y=2001|4pp=13–15|5a1=Read|5y=2005|5p=6}} ในกลาง ค.ศ. 1863 อีลียาแต่งงานกับมารีเยีย{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=5|2a1=Rice|2y=1990|2p=13|3a1=Service|3y=2000|3p=23}} ลูกสาวที่มีการศึกษาดีของมารดาชาวสวีเดนนิกายลูเทอแรนผู้มั่งคั่งและบิดาชาวยิวชาวรัสเซียที่เปลี่ยนมานับถือคริสต์ศาสนาและทำงานเป็นแพทย์{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=2–3|2a1=Rice|2y=1990|2p=12|3a1=Service|3y=2000|3pp=16–19, 23|4a1=White|4y=2001|4pp=15–18|5a1=Read|5y=2005|5p=5|6a1=Lih|6y=2011|6p=20}} [[โยฮานัน เปตรอฟสกี-ชเติร์น]] นักประวัติศาสตร์กล่าวว่า เป็นไปได้ว่าเลนินไม่ทราบถึงเชื้อสายลูกครึ่งยิวของมารดาของเขา ซึ่งอันนาค้นพบหลังจากการตายของเขาเพียงผู้เดียว{{sfn|Petrovsky-Shtern|2010|pp=66–67}}


ไม่นานหลังจากงานแต่งงานของพวกเขา อีลียาได้งานใน[[นิจนีนอฟโกรอด]] และก้าวขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนประถมศึกษาในเขตซิมบิร์สค์ในอีกหกปีต่อมา ห้าปีหลังจากนั้น เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนของรัฐประจำจังหวัด โดยดูแลการก่อตั้งโรงเรียนกว่า 450 แห่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับปรุงให้ทันสมัยของรัฐบาล ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1882 การอุทิศตนเพื่อการศึกษาทำให้เขาได้รับ[[เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญวลาดีมีร์]] ซึ่งมอบสถานะ[[ชนชั้นสูงรัสเซีย|ขุนนางโดยกำเนิด]]ให้กับเขา{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=6|2a1=Rice|2y=1990|2pp=13–14, 18|3a1=Service|3y=2000|3pp=25, 27|4a1=White|4y=2001|4pp=18–19|5a1=Read|5y=2005|5pp=4, 8|6a1=Lih|6y=2011|6p=21|7a1=Yakovlev|7y=1988|7p=112}}
== การปฏิวัติ ==
แทนที่วลาดีมีร์จะประกอบอาชีพทางกฎหมาย วลาดีมีร์กลับมีส่วนรวมในความพยายาม[[โฆษณาชวนเชื่อ]]เพื่อ[[การปฏิวัติ]] และการศึกษา[[ลัทธิมาร์กซ]]มากขึ้นเรื่อย ๆ วลาดีมีร์ทำกิจกรรมต่าง ๆ ของเขาใน[[เซนต์ปีเตอส์เบิร์ก]]เป็นส่วนมาก ต่อมา ในวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2438 วลาดีมีร์ก็ถูกจับกุมและคุมขังเป็นเวลา 1 ปี หลังจากนั้นก็ถูกเนรเทศไปที่หมู่บ้านชูเชนสโกเยใน[[ไซบีเรีย]]ดังกล่าวมาแล้ว


[[File:Vladimir Lenin 3 years old.jpg|thumb|right|upright|เลนิน (''ซ้าย'') ในวัยสามขวบกับ[[โอลกา อิลยินนิชนา อุลยาโนวา|โอลกา]]น้องสาวของเขา]]
ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2441 วลาดีมีร์แต่งงานกับ [[นาเดชด้า ครุปสกายา]] ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหว[[สังคมนิยม]] ต่อมาในเดือนเมษายน พ.ศ. 2442 เขาได้พิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า ''พัฒนาการของระบบทุนนิยมในรัสเซีย'' ต่อมาในปี พ.ศ. 2442 การเนรเทศของเขาก็ได้สิ้นสุดลง วลาดีมีร์ได้เดินทางทั้งภายในรัสเซียและไปยังส่วนต่าง ๆ ของยุโรป และได้พิมพ์หนังสือพิมพ์อิสกรา เช่นเดียวกับสิ่งพิมพ์และหนังสืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ
พ่อแม่ของเลนินทั้งสองเป็นพวก[[ราชาธิปไตย]]และ[[เสรีอนุรักษนิยม]] โดยมุ่งมั่นที่จะ[[การปฏิรูปการเลิกทาส ค.ศ. 1861|ปฏิรูปการเลิกทาสใน ค.ศ. 1861]] โดย[[จักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 2 แห่งรัสเซีย|จักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 2]] นักปฏิรูป ซึ่งพวกเขาหลีกเลี่ยงความรุนแรงทางการเมือง และไม่มีหลักฐานว่าตำรวจเคยจับพวกเขาอยู่ภายใต้การสอดแนมสำหรับความคิดที่ถูกบ่อนทำลาย{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=8|2a1=Service|2y=2000|2p=27|3a1=White|3y=2001|3p=19}} ทุกฤดูร้อนพวกเขาจะไปเที่ยวพักผ่อนที่คฤหาสน์ชนบทในโคคูชคีโน{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1p=18|2a1=Service|2y=2000|2p=26|3a1=White|3y=2001|3p=20|4a1=Read|4y=2005|4p=7|5a1=Petrovsky-Shtern|5y=2010|5p=64}} ในบรรดาพี่น้องของเขา เลนินสนิทกับโอลกา พี่สาวของเขามากที่สุด ซึ่งเขามักจะเป็นหัวหน้า เขามีนิสัยชอบแข่งขันสูงและอาจเป็นอันตรายได้ แต่มักจะยอมรับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเขา{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=7|2a1=Rice|2y=1990|2p=16|3a1=Service|3y=2000|3pp=32–36}} เขาเป็นนักกีฬาที่กระตือรือร้น เขาใช้เวลาว่างส่วนใหญ่นอกบ้านหรือเล่นหมากรุก และเก่งในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาซิมบิร์สค์ที่มีวินัยและอนุรักษ์นิยม{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=7|2a1=Rice|2y=1990|2p=17|3a1=Service|3y=2000|3pp=36–46|4a1=White|4y=2001|4p=20|5a1=Read|5y=2005|5p=9}}


ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1886 เมื่อเลนินอายุ 15 ปี พ่อของเขาเสียชีวิตด้วยอาการ[[เลือดออกในสมองใหญ่]]{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=6, 9|2a1=Rice|2y=1990|2p=19|3a1=Service|3y=2000|3pp=48–49|4a1=Read|4y=2005|4p=10}} พฤติกรรมของเขาเริ่มไม่อยู่กับร่องกับรอยและเผชิญหน้าหลังจากนั้น และเขาละทิ้งความเชื่อในพระเจ้า{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=9|2a1=Service|2y=2000|2pp=50–51, 64|3a1=Read|3y=2005|3p=16|4a1=Petrovsky-Shtern|4y=2010|4p=69}} ในเวลานั้น อะเลคซันดร์ พี่ชายของเลนิน ซึ่งเขารู้จักในชื่อซาชา กำลังศึกษาอยู่ที่[[มหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก]] เขาเกี่ยวข้องกับการปลุกปั่นทางการเมืองเพื่อต่อต้าน[[สมบูรณาญาสิทธิราชย์|ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์]]ของ[[จักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย|จักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3]] [[พวกปฏิกิริยา|ผู้ปฏิกิริยา]] อะเลคซันดร์ศึกษางานเขียนของฝ่ายซ้ายที่ถูกสั่งห้ามและจัดการประท้วงต่อต้านรัฐบาล เขาเข้าร่วมกลุ่มปฏิวัติที่ตั้งใจจะลอบสังหารซาร์และได้รับเลือกให้สร้างระเบิด ก่อนที่การโจมตีจะเกิดขึ้น ผู้สมคบคิดถูกจับกุมและพยายาม และอะเลคซันดร์ถูกประหารชีวิตโดยการแขวนคอในเดือนพฤษภาคม{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=10–17|2a1=Rice|2y=1990|2pp=20, 22–24|3a1=Service|3y=2000|3pp=52–58|4a1=White|4y=2001|4pp=21–28|5a1=Read|5y=2005|5p=10|6a1=Lih|6y=2011|6pp=23–25}} แม้จะเจ็บปวดทางจิตใจจากการเสียชีวิตของพ่อและพี่ชายของเขา เลนินยังคงศึกษาต่อ โดยสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนที่มีคะแนนสูงสุดในชั้นเรียนด้วยเหรียญทองสำหรับผลงานที่โดดเด่น และตัดสินใจเรียนกฎหมายที่ราชวิทยาลัยคาซัน{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=18|2a1=Rice|2y=1990|2p=25|3a1=Service|3y=2000|3p=61|4a1=White|4y=2001|4p=29|5a1=Read|5y=2005|5p=16|6a1=Theen|6y=2004|6p=33}}
[[ไฟล์:Lenin.gif|thumb|left|เลนินขณะปราศรัย]]
{{clear left}}


== มหาวิทยาลัยกับแนวคิดหัวรุนแรงทางการเมือง: ค.ศ. 1887–1893 ==
เขาได้ร่วมกิจกรรมของพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยของรัสเซีย และในปี พ.ศ. 2446 เขาได้เป็นผู้นำฝ่าย[[บอลเชวิค]]ภายในพรรค ภายหลังจากที่แตกแยกกับกลุ่มเมนเชวิกที่ได้แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากงานของเลนินชื่อว่า จะทำอะไรในอนาคต (What is to be done?) ในปี พ.ศ. 2449 เลนินได้รับเลือกเข้าไปในคณะกรรมการบริหารพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยของรัสเซีย ในปี พ.ศ. 2450 เขาได้ย้ายไปอยู่ที่ฟินแลนด์ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เขาได้ท่องเที่ยวไปในยุโรปต่อและร่วมในการประชุมและกิจกรรมของพวกสังคมนิยมในหลายๆแห่ง รวมถึงการประชุมซิมเมอร์วัลด์ในปี พ.ศ. 2458 ด้วย เมื่อ อิเนสซ่า อาร์วัลด์ ออกมาจากรัสเซียแล้วตั้งถิ่นฐานในปารีส เธอก็ได้พบกับเลนิน และสมาชิกบอลเชวิกคนอื่น ๆ ที่ถูกเนรเทศมา ในที่สุดเธอก็ได้กลายเป็นสหายของเลนิน
[[File:Lenin-circa-1887.jpg|left|thumb|upright|วลาดีมีร์ อุลยานอฟ (เลนิน) ราว ค.ศ. 1887]]


เมื่อเข้าเรียนที่ราชวิทยาลัยคาซันในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1887 เลนินก็ย้ายเข้าไปอยู่ในแฟลตใกล้เคียง{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=18|2a1=Rice|2y=1990|2p=26|3a1=Service|3y=2000|3pp=61–63}} ที่นั่น เขาได้เข้าร่วม[[เซมเลียเชียตวา]] ซึ่งเป็นสังคมมหาวิทยาลัยรูปแบบหนึ่งที่เป็นตัวแทนของผู้ชายในภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1pp=26–27|2a1=Service|2y=2000|2pp=64–68, 70|3a1=White|3y=2001|3p=29}} กลุ่มนี้เลือกเขาให้เป็นตัวแทนของสภาเซมเลียเชียตวาของราชวิทยาลัย และเขาเข้าร่วมในการประท้วงเมื่อเดือนธันวาคมเพื่อต่อต้านข้อจำกัดของรัฐบาลที่สั่งห้ามสมาคมนักศึกษา ตำรวจจับกุมเลนินและกล่าวหาว่าเขาเป็นหัวหน้าในการประท้วง เขาถูกไล่ออกจากราชวิทยาลัย และกระทรวงกิจการภายในก็เนรเทศเขาไปยังที่ดินโคคูชคีโนของครอบครัว{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=18|2a1=Rice|2y=1990|2p=27|3a1=Service|3y=2000|3pp=68–69|4a1=White|4y=2001|4p=29|5a1=Read|5y=2005|5p=15|6a1=Lih|6y=2011|6p=32}} ที่นั่นเขาอ่านหนังสือและหลงใหลในนวนิยายแนวนิยมปฏิวัติเรื่อง ''What Is to Be Done?'' ของ [[นีโคไล เชียร์นีเชียฟสกี]]{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=18|2a1=Rice|2y=1990|2p=28|3a1=White|3y=2001|3p=30|4a1=Read|4y=2005|4p=12|5a1=Lih|5y=2011|5pp=32–33}}
ในวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2460 เขาได้ออกจากสวิตเซอร์แลนด์กลับไปยังเมือง[[เซนต์ปีเตอส์เบิร์ก]] (เปโตรกราด) ในรัสเซียหลังจากที่[[ซาร์นิโคลัสที่ 2]] ถูกโค่นล้ม และมีบทบาทสำคัญในขบวนการบอลเชวิก เขาได้พิมพ์เมษาวิจารณ์ (April Theses) ต่อมาหลังจากความล้มเหลวในการประท้วงของคนงาน เลนินได้หนีไปยัง[[ฟินแลนด์]]เพื่อความปลอดภัย เขากลับมาในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน และได้ปลุกระดมทหารให้ลุกขึ้นปฏิวัติโดยมีคำขวัญว่า “อำนาจทั้งหมดเพื่อโซเวียตทั้งหลาย” (คำว่า โซเวียต แปลว่า สภา) เพื่อต่อต้านรัฐบาลชั่วคราวที่นำโดย [[อะเลคซันดร์ เคเรนสกี]] ความคิดของเลนินเกี่ยวกับรัฐบาลนั้นเขียนอยู่ในบทความเรื่อง “รัฐและการปฏิวัติ” ซึ่งเรียกร้องให้มีระบบการปกครองใหม่ที่มีรากฐานมากจากสภาของคนงานหรือโซเวียต
[[ไฟล์:Lenin V I 1921 by Parkhomenko.jpg|thumb|ภาพของเลนินในปี 1921]]


แม่ของเลนินกังวลกับแนวคิดหัวรุนแรงของลูกชายเธอ และมีส่วนสำคัญในการโน้มน้าวกระทรวงมหาดไทยให้อนุญาตให้เขากลับไปที่เมืองคาซัน แต่ไม่ใช่ที่ราชวิทยาลัย{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=18|2a1=Rice|2y=1990|2p=310|3a1=Service|3y=2000|3p=71}} เมื่อเขากลับมา เขาได้เข้าร่วมวงปฏิวัติของ[[นีโคไล เฟโดเซียเยฟ]] ซึ่งเขาได้ค้นพบหนังสือ ''[[ทุน (หนังสือ)|ทุน]]'' ของ[[คาร์ล มาคส์]] สิ่งนี้จุดประกายความสนใจของเขาใน[[ลัทธิมากซ์]] ซึ่งเป็นทฤษฎีทางสังคมและการเมืองที่โต้แย้งว่าสังคมพัฒนาไปเป็นขั้น ๆ การพัฒนานี้เป็นผลมาจาก[[การต่อสู้ระหว่างชนชั้น]] และสังคม[[ทุนนิยม]]จะหลีกทางให้กับสังคม[[สังคมนิยม]]และสังคม[[คอมมิวนิสต์]]ในที่สุด{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=19|2a1=Rice|2y=1990|2pp=32–33|3a1=Service|3y=2000|3p=72|4a1=White|4y=2001|4pp=30–31|5a1=Read|5y=2005|5p=18|6a1=Lih|6y=2011|6p=33}} ด้วยความระมัดระวังต่อมุมมองทางการเมืองของเขา แม่ของเลนินจึงซื้อที่ดินในชนบทในหมู่บ้านอะลาคาเยฟคา [[แคว้นซามารา]] ด้วยความหวังว่าลูกชายของเธอจะหันความสนใจไปที่การเกษตร เขามีความสนใจเพียงเล็กน้อยในการจัดการฟาร์ม และในไม่ช้าแม่ของเขาก็ขายที่ดินโดยเก็บบ้านไว้เป็นบ้านพักฤดูร้อน{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1p=33|2a1=Service|2y=2000|2pp=74–76|3a1=White|3y=2001|3p=31|4a1=Read|4y=2005|4p=17}}
== ประมุขของรัฐโซเวียต ==
ในวันที่ [[8 พฤศจิกายน]] [[พ.ศ. 2460]] เลนินได้รับเลือกให้เป็นประธานสภาที่ปรึกษาประชาชน (ซึ่งเทียบเท่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสมัยต่อมา) โดยสภาคองเกรสโซเวียตในรัสเซีย ในขณะนั้น เลนินต้องเผชิญกับการโจมตีของ[[เยอรมนี]] เลนินต้องการให้รัสเซียลงนามในสัญญาสันติภาพทันที ผู้นำบอลเชวิกคนอื่น ๆ ต้องการให้ทำสงครามกับเยอรมนีต่อไปเพื่อเป็นการกระตุ้นการปฏิวัติในเยอรมนี ส่วน[[เลออน ทรอตสกี]] ที่เป็นประธานในการเจรจานั้นรักษาสถานะเป็นกลางระหว่างสองฝ่าย คือ เรียกร้องสันติภาพ แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่มีฝ่ายใดได้หรือเสียดินแดนเพิ่ม หลังจากที่การเจรจาล้มเหลว เยอรมนีก็ได้โจมตีและยึดครองดินแดนฝั่งตะวันตกของรัสเซียไปมาก ซึ่งส่งผลให้ข้อเสนอของเลนินได้รับการสนับสนุนการเสียงส่วนมากของผู้นำพรรคบอลเชวิก และในที่สุดรัสเซียก็ต้องยอมลงนามใน[[สนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์]] ซึ่งรัสเซียเสียเปรียบอย่างมาก ในเดือนมีนาคม [[พ.ศ. 2461]]


ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1889 ครอบครัวอุลยานอฟย้ายไปที่เมือง[[ซามารา]] ซึ่งเลนินเข้าร่วมวงสนทนาสังคมนิยมของ[[อะเลคเซย์ สคลีอาเรนโค]]{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1p=34|2a1=Service|2y=2000|2p=78|3a1=White|3y=2001|3p=31}} ที่นั่น เลนินยอมรับลัทธิมากซ์อย่างเต็มที่และจัดทำจุลสารการเมืองของมาคส์และ[[ฟรีดริช เอ็งเงิลส์]]ใน ค.ศ. 1848 เรื่อง ''[[แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์]]'' เป็นภาษารัสเซีย{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1p=34|2a1=Service|2y=2000|2p=77|3a1=Read|3y=2005|3p=18}} เขาเริ่มอ่านผลงานของ[[เกออร์กี เพลคานอฟ]] นักลัทธิมากซ์ชาวรัสเซีย โดยเห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของเพลคานอฟที่ว่ารัสเซียกำลังย้ายจากระบบ[[ศักดินา]]ไปสู่ระบบทุนนิยม ดังนั้นลัทธิสังคมนิยมจึงถูกนำไปใช้โดย[[ชนกรรมาชีพ|ชนชั้นกรรมาชีพ]]หรือชนชั้นแรงงานในเมือง แทนที่จะเป็น[[ชาวนา]]{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1pp=34, 36–37|2a1=Service|2y=2000|2pp=55–55, 80, 88–89|3a1=White|3y=2001|3p=31|4a1=Read|4y=2005|4pp=37–38|5a1=Lih|5y=2011|5pp=34–35}} มุมมองของลัทธิมากซ์นี้ขัดแย้งกับมุมมองของขบวนการเกษตร-สังคมนิยม[[นารอดนิค]] ซึ่งถือว่าชาวนาสามารถสร้างลัทธิสังคมนิยมในรัสเซียได้โดยการสร้างชุมชนชาวนาโดยการหลีกเลี่ยงระบบทุนนิยม ทัศนะของนารอดนิคนี้พัฒนาขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1860 โดยพรรคเสรีภาพประชาชน และต่อมาก็มีอิทธิพลเหนือขบวนการปฏิวัติรัสเซีย{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=23–25, 26|2a1=Service|2y=2000|2p=55|3a1=Read|3y=2005|3pp=11, 24}} เลนินปฏิเสธหลักการของการโต้แย้งเรื่องเกษตรกรรม-สังคมนิยม แต่ได้รับอิทธิพลจากนักสังคมนิยมเกษตรกรรมเช่น[[ปิออตร์ ตคาเชฟ]] และ [[เซียร์เกย์ เนชาเยฟ]] และได้ผูกมิตรกับนารอดนิคหลายคน{{sfn|Service|2000|pp=79, 98}}
เมื่อเลนินยอมรับว่าระบบโซเวียตเป็นระบบเดียวเท่านั้นที่ถูกต้องตามกฎหมาย เลนินจึงได้ปิดสภาร่าง[[รัฐธรรมนูญ]]รัสเซียลงเพราะว่า[[พรรคบอลเชวิก]]ไม่ได้เสียงข้างมากในสภานั้น แต่พรรคที่ได้เสียงข้างมากคือพรรคปฏิวัติสังคมนิยมที่ต่อมาภายหลังแตกออกเป็นฝ่ายซ้ายที่นิยมระบบโซเวียต และฝ่ายขวาที่ต่อต้านระบบโซเวียต ส่วนพรรคบอลเชวิกนั้นมีเสียงข้างมากในสภาคองเกรสโซเวียต และได้จัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับฝ่ายซ้ายของพรรคปฏิวัติสังคมนิยม อย่างไรก็ตาม การร่วมมือครั้งนี้ก็ได้ล้มเหลวลงหลังจากพรรคปฏิวัติสังคมนิยมต่อต้านสนธิสัญญาเบรสต์-ลิตอฟสก์ และได้ไปเข้าร่วมกับพรรคอื่นเพื่อล้มรัฐบาลโซเวียต สถานการณ์ได้เลวร้ายลง เมื่อพรรคอื่นๆ ที่ไม่ใช่พรรคบอลเชวิก (รวมถึงกลุ่มสังคมนิยมหลายกลุ่ม) ได้พยายามล้มรัฐบาลโซเวียต เลนินได้ตอบโต้ด้วยการพยายามยุบพรรคเหล่านั้น แต่ไม่สำเร็จ


ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1890 มารีเยียซึ่งยังคงอิทธิพลทางสังคมในฐานะภรรยาม่ายของขุนนางคนหนึ่ง ได้ชักชวนเจ้าหน้าที่อนุญาตให้เลนินเข้าสอบภายนอกที่มหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก ซึ่งเขาได้รับปริญญาเกียรตินิยมเทียบเท่ากับปริญญาอันดับหนึ่ง งานเฉลิมฉลองการสำเร็จการศึกษาต้องพังทลายลงเมื่อโอลกาน้องสาวของเขาเสียชีวิตด้วยโรคไทฟอยด์{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1pp=34–36|2a1=Service|2y=2000|2pp=82–86|3a1=White|3y=2001|3p=31|4a1=Read|4y=2005|4pp=18, 19|5a1=Lih|5y=2011|5p=40}} เลนินยังคงอยู่ในซามาราเป็นเวลาหลายปี โดยทำงานเป็นผู้ช่วยกฎหมายให้กับศาลประจำภูมิภาคก่อน จากนั้นจึงทำงานเป็นทนายความท้องถิ่น{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=21|2a1=Rice|2y=1990|2p=36|3a1=Service|3y=2000|3p=86|4a1=White|4y=2001|4p=31|5a1=Read|5y=2005|5p=18|6a1=Lih|6y=2011|6p=40}} เขาอุทิศเวลามากมายให้กับการเมืองที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยยังคงแข็งขันอยู่ในกลุ่มของสคลีอาเรนโคและกำหนดแนวคิดเกี่ยวกับวิธีที่ลัทธิมากซ์นำไปใช้กับรัสเซีย เลนินได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสังคมรัสเซียโดยได้รับแรงบันดาลใจจากงานของเพลคานอฟ เพื่อสนับสนุนการตีความการพัฒนาสังคมของลัทธิมาร์กซิสต์และโต้แย้งคำกล่าวอ้างของนารอดนิค{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=21|2a1=Rice|2y=1990|2pp=36, 37}} เขาเขียนบทความเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ชาวนา แต่ถูกปฏิเสธโดย ''Russkaya mysl'' ซึ่งเป็นวารสารเสรีนิยม{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=21|2a1=Rice|2y=1990|2p=38|3a1=Service|3y=2000|3pp=93–94}}
ในวันที่ [[30 สิงหาคม]] [[พ.ศ. 2461]] [[ฟันย่า คัปลัน]] สมาชิกพรรคปฏิวัติสังคมนิยม ได้เข้าใกล้เลนินหลังจากที่เลนินได้กล่าวปราศรัยในการประชุมพบปะ และกำลังเดินกลับรถ เธอได้ร้องเรียกเลนิน เมื่อเลนินหันกลับมาเพื่อจะตอบ เธอก็ได้นำปืนยิงเลนินไป 3 นัด 2 นัดทะลุเข้าที่ปอดและไหล่ของเลนิน เลนินถูกพากลับไปยังเครมลิน เพราะว่าเขาปฏิเสธที่จะไปโรงพยาบาลเนื่องจากเชื่อว่าน่าจะมีคนดักรอทำร้ายอยู่ที่โรงพยาบาลแน่ แพทย์ได้ถูกเรียกมาดูอาการของเลนิน แต่ได้ลงความเห็นว่าเป็นการเสี่ยงอันตรายเกินไปที่จะถอนลูกกระสุนออกมา ต่อมาไม่นานเลนินก็เริ่มฟื้นตัว แต่สุขภาพของเขาก็เริ่มย่ำแย่ลง และเชื่อกันว่าจากเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นสาเหตุของการอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมองของเลนินในเวลาต่อมา


== กิจกรรมในการปฏิวัติ ==
ในเดือนมีนาคม [[พ.ศ. 2462]] เลนินและผู้นำพรรคบอลเชวิกคนอื่น ๆ ได้พบกับกลุ่มปฏิวัติสังคมนิยมจากทั่วโลก และได้ร่วมกันก่อตั้ง [[องค์การคอมมิวนิสต์สากล|คอมมิวนิสต์นานาชาติ]] (โคมินเทิร์น) ในครั้งนี้ สมาชิกของคอมินเทิร์น รวมถึงพรรคบอลเชวิกเอง ได้แยกตัวออกจากขบวนการสังคมนิยม ต่อไปพวกเขาจะเป็นที่รู้จักกันว่า "คอมมิวนิสต์" ในรัสเซียเอง พรรคบอลเชวิกก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ''พรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย'' ซึ่งต่อมาภายหลังจะกลายเป็น '''พรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต''' (CPSU)
=== การเคลื่อนไหวในช่วงแรกและการจำคุก: ค.ศ. 1893–1900 ===
[[File:Mug shot of Lenin, 1895.jpg|thumb|ภาพหน้าตรงของวลาดีมีร์ เลนิน ค.ศ. 1895]]
ในปลาย ค.ศ. 1893 เลนินย้ายไปที่กรุง[[เซนต์ปีเตอส์เบิร์ก]]{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1p=354|2a1=Rice|2y=1990|2pp=38–39|3a1=Service|3y=2000|3pp=90–92|4a1=White|4y=2001|4p=33|5a1=Lih|5y=2011|5pp=40, 52}} ที่นั่นเขาทำงานเป็น[[เนติบัณฑิต]]และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอาวุโสในกลุ่มปฏิวัติลัทธิมากซ์ที่เรียกตัวเองว่าพรรคสังคมประชาธิปไตย ตามชื่อ[[พรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมนี]]ของนักลัทธิมากซ์{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1p=354|2a1=Rice|2y=1990|2pp=39–40|3a1=Lih|3y=2011|3p=53}} โดยสนับสนุนลัทธิมากซ์ในขบวนการสังคมนิยม เขาสนับสนุนการก่อตั้งกลุ่มปฏิวัติในศูนย์กลางอุตสาหกรรมของรัสเซีย{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1pp=40, 43|2a1=Service|2y=2000|2p=96}} ปลาย ค.ศ. 1897 เขาเป็นผู้นำกลุ่มคนงานลัทธิมากซ์ และปกปิดเส้นทางของเขาอย่างพิถีพิถันเพื่อหลบเลี่ยงสายลับตำรวจ{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1p=355|2a1=Rice|2y=1990|2pp=41–42|3a1=Service|3y=2000|3p=105|4a1=Read|4y=2005|4pp=22–23}} เขาเริ่มมีความสัมพันธ์ที่โรแมนติกกับ[[นาเดจดา ครุปสกายา|นาเดจดา "นาเดีย" ครุปสกายา]] ครูโรงเรียนลัทธิมากซ์{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=22|2a1=Rice|2y=1990|2p=41|3a1=Read|3y=2005|3pp=20–21}} นอกจากนี้เขายังได้ประพันธ์บทความทางการเมืองที่วิพากษ์วิจารณ์นักสังคมนิยมเกษตรกรรมนารอดนิคว่า "เพื่อนของประชาชน" คืออะไร และพวกเขาต่อสู้กับสังคมประชาธิปไตยอย่างไร มีการพิมพ์อย่างผิดกฎหมายประมาณ 200 เล่มใน ค.ศ. 1894{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=27|2a1=Rice|2y=1990|2pp=42–43|3a1=White|3y=2001|3pp=34, 36|4a1=Read|4y=2005|4p=25|5a1=Lih|5y=2011|5pp=45–46}}


ด้วยความหวังที่จะประสานความสัมพันธ์ระหว่างพรรคสังคมประชาธิปไตยของเขาและ[[กลุ่มปลดปล่อยแรงงาน]] ซึ่งเป็นกลุ่มลัทธิมากซ์รัสเซียใน[[สวิตเซอร์แลนด์]] เลนินจึงไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อพบกับสมาชิกกลุ่มเพลคานอฟและ[[ปาเวล แอกเซลรอด]] เขาเดินทางไปกรุง[[ปารีส]]เพื่อพบกับ[[พอล ลาฟาร์ก]] ลูกเขยของมาคส์ และเพื่อค้นคว้าเกี่ยวกับ[[คอมมูนปารีส]] ค.ศ. 1871 ซึ่งเขาถือว่าเป็นต้นแบบในยุคแรก ๆ ของรัฐบาลของชนชั้นกรรมาชีพ เขาพักอยู่ในสปาเพื่อสุขภาพของสวิตเซอร์แลนด์ก่อนจะเดินทางไป[[เบอร์ลิน]] โดยได้รับทุนสนับสนุนจากแม่ ซึ่งเขาศึกษาอยู่ที่[[หอสมุดรัฐเบอร์ลิน]]เป็นเวลาหกสัปดาห์ และได้พบกับ[[วิลเฮล์ม ลีบเนคท์]] นักลัทธิมากซ์{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=30|2a1=Rice|2y=1990|2p=46|3a1=Service|3y=2000|3p=103|4a1=White|4y=2001|4p=37|5a1=Read|5y=2005|5p=26}} เมื่อกลับมารัสเซียพร้อมกับสิ่งพิมพ์ปฏิวัติที่ผิดกฎหมายมากมาย เขาเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อแจกจ่ายวรรณกรรมให้กับคนงานที่ประท้วง{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1pp=47–48|2a1=Read|2y=2005|2p=26}} ขณะมีส่วนร่วมในการจัดทำเอกสารข่าว ''[[ราโบชีเดโล]]'' (''สาเหตุแรงงาน'') เขาเป็นหนึ่งในนักเคลื่อนไหว 40 คนที่ถูกจับกุมในเซนต์ปีเตอส์เบิร์กและถูกตั้งข้อหาปลุกปั่น{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=31|2a1=Pipes|2y=1990|2p=355|3a1=Rice|3y=1990|3p=48|4a1=White|4y=2001|4p=38|5a1=Read|5y=2005|5p=26}}
ในขณะเดียวกัน สงครามกลางเมืองก็ได้แผ่ขยายลุกลามออกไปทั่วรัสเซีย การเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายชนิดและผู้สนับสนุนการเคลื่อนไหวเหล่านั้นได้จับอาวุธขึ้นสู้เพื่อโค่นล้มรัฐบาลโซเวียต แม้ว่าจะมีหลายฝ่ายที่เข้าร่วมสงครามกลางเมือง แต่มีฝ่ายหลัก ๆ เพียงสองฝ่ายคือ ผ่าย[[กองทัพแดง]] (คอมมิวนิสต์) และฝ่าย[[กองทัพขาว]] (นิยมกษัตริย์) มหาอำนาจต่างชาติได้แก่ [[ฝรั่งเศส]] [[อังกฤษ]] [[สหรัฐอเมริกา]] และ[[ญี่ปุ่น]]ก็ได้แทรกแซงสงครามนี้ (โดยเป็นฝ่ายสนับสนุนกองทัพขาว) แต่ในที่สุด ฝ่ายกองทัพแดงก็มีชัยในสงคราม โดยเอาชนะกองทัพขาวและพันธมิตรได้ในปี [[พ.ศ. 2463]] (แม้ว่ากองกำลังต่อต้านขนาดย่อม ๆ ยังคงเหลืออยู่ต่อมาอีกหลายปี)


[[File:Union-de-Lucha.jpg|thumb|left|เลนิน (''คนที่นั่งตรงกลาง'') กับสมาชิกคนอื่น ๆ ของ[[สันนิบาตการต่อสู้เพื่อการปลดปล่อยชนชั้นแรงงาน]] ค.ศ. 1897]]
ในไม่กี่เดือนสุดท้ายของปี [[พ.ศ. 2462]] ความสำเร็จของกองทัพแดงเหนือกองทัพขาวได้ทำให้เลนินมั่นใจว่าถึงเวลาแล้วที่จะขยายวงการปฏิวัติไปสู่โลกตะวันตก โดยการใช้กำลังหากจำเป็น เมื่อ[[สาธารณรัฐโปแลนด์ที่ 2]] ที่เพิ่งเป็นอิสระได้ใหม่ ๆ เริ่มต้นที่จะป้องกันพรมแดนทางตะวันออกที่ติดกับรัสเซีย ที่แต่เดิมเป็นของรัสเซียมาตั้งแต่การแบ่งโปแลนด์ในศตวรรษที่ 18 ก็เกิดการปะทะกับฝ่ายรัสเซียเพื่อยึดครองดินแดนส่วนนี้ ทำให้เกิด[[สงครามโปแลนด์–โซเวียต]]ขึ้นในปี [[พ.ศ. 2462]] ระหว่างนั้นก็มีการปฏิวัติในเยอรมนีและ[[สันนิบาตสปาร์ตาซิสต์]]กำลังเจริญเติบโต เลนินก็มองว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะ “แทงยุโรปด้วยดาบปลายปืนของกองทัพแดง” โดยเลนินเห็นโปแลนด์เป็นสะพานที่จำเป็นต้องข้ามเพื่อเชื่อมต่อการปฏิวัติในโซเวียตกับผู้สนับสนุนคอมมิวนิสต์ในการปฏิวัติในเยอรมนี และเพื่อเป็นการช่วยเหลือขบวนการคอมมิวนิสต์ต่าง ๆ ในยุโรปตะวันตก อย่างไรก็ตาม ความพ่ายแพ้ของโซเวียตรัสเซียในสงครามกับโปแลนด์ ได้ทำให้แผนนี้ถูกล้มเลิกไป
เลนินปฏิเสธการเป็นตัวแทนทางกฎหมายหรือการประกันตัว เลนินปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดต่อเขา แต่ยังคงถูกจำคุกเป็นเวลาหนึ่งปีก่อนที่จะถูกพิพากษา{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=31|2a1=Rice|2y=1990|2pp=48–51|3a1=Service|3y=2000|3pp=107–108|4a1=Read|4y=2005|4p=31|5a1=Lih|5y=2011|5p=61}} เขาใช้เวลานี้ในการคิดทฤษฎีและการเขียน ในงานนี้ เขาตั้งข้อสังเกตว่าการผงาดขึ้นของระบบ[[ทุนนิยมอุตสาหกรรม]]ในรัสเซียส่งผลให้ชาวนาจำนวนมากต้องย้ายไปยังเมืองต่าง ๆ ซึ่งพวกเขาได้ก่อตั้งชนชั้นกรรมาชีพขึ้น จากมุมมองของนักลัทธิมากซ์ เลนินแย้งว่าชนชั้นกรรมาชีพรัสเซียจะพัฒนา[[ความสำนึกเรื่องชั้นชน]] ซึ่งจะนำพวกเขาไปสู่การโค่นล้มระบอบซาร์ [[อภิชนาธิปไตย]] และ[[ชนชั้นกระฎุมพี|กระฎุมพี]]อย่างรุนแรง และจะสถาปนารัฐชนชั้นกรรมาชีพที่จะเคลื่อนไปสู่สังคมนิยม{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=31|2a1=Rice|2y=1990|2pp=48–51|3a1=Service|3y=2000|3pp=107–108}}


ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1897 เลนินถูกตัดสินให้ถูกเนรเทศอยู่ในไซบีเรียตะวันออกเป็นเวลา 3 ปีโดยไม่มีการพิจารณาคดี เขาได้รับเวลาสองสามวันในเซนต์ปีเตอส์เบิร์กเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ ของเขาให้เป็นระเบียบ และใช้เวลานี้พบปะกับพรรคสังคมประชาธิปไตย ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อเป็น[[สันนิบาตการต่อสู้เพื่อการปลดปล่อยของชนชั้นแรงงาน]]{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=31|2a1=Rice|2y=1990|2pp=52–55|3a1=Service|3y=2000|3pp=109–110|4a1=White|4y=2001|4pp=38, 45, 47|5a1=Read|5y=2005|5p=31}} การเดินทางของเขาไปยังไซบีเรียตะวันออกใช้เวลา 11 สัปดาห์ โดยส่วนใหญ่เขาเดินทางมาพร้อมกับแม่และน้องสาวของเขา เนื่องจากถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อรัฐบาลเพียงเล็กน้อย เขาจึงถูกเนรเทศไปยัง[[ชูเชียนสโคเย]] [[เขตมีนูสีนสกี]] ซึ่งเขาถูกตำรวจจับตามอง อย่างไรก็ตามเขายังสามารถติดต่อกับนักปฏิวัติคนอื่น ๆ ได้ ซึ่งหลายคนมาเยี่ยมเขา และได้รับอนุญาตให้เดินทางไปว่ายน้ำใน[[แม่น้ำเยนีเซย์]]และล่า[[เป็ด]]และ[[นกปากซ่อม]]{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=31|2a1=Rice|2y=1990|2pp=48–51|3a1=Service|3y=2000|3pp=107–108}}
สงครามอันยาวนานในรัสเซียได้ทำลายรัสเซียให้เหลือแต่ซากเป็นวงกว้าง ในเดือนมีนาคม [[พ.ศ. 2464]] เลนินได้แทนที่นโยบายคอมมิวนิสต์ด้วยสงคราม (ที่ถูกใช้ในช่วงสงครามกลางเมือง) ด้วยนโยบายเศรษฐกิจใหม่ เพื่อที่จะพยายามฟื้นฟูอุตสาหกรรมและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกษตร แต่ในเดือนเดียวกัน ก็มีการปราบปรามการลุกฮือขึ้นของกะลาสีที่เมืองครอนสตัดท์ (เรียกว่า การกบฏที่ครอนสตัดท์)


ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1898 นาเดียถูกเนรเทศและได้พบเขา โดยถูกจับกุมในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1896 ฐานจัดการนัดหยุดงาน ในตอนแรกเธอถูกส่งไปที่เมือง[[อูฟา]] แต่ได้ชักชวนเจ้าหน้าที่ให้ย้ายเธอไปที่ชูเชียนสโคเย ซึ่งเธอกับเลนินแต่งงานกันในวันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 1898{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=33|2a1=Pipes|2y=1990|2p=356|3a1=Service|3y=2000|3pp=114, 140|4a1=White|4y=2001|4p=40|5a1=Read|5y=2005|5p=30|6a1=Lih|6y=2011|6p=63}} ใช้ชีวิตครอบครัวกับ[[เยลีซาเวตา วาซีลเยฟนา]] แม่ของนาเดียในชูเชียนสโคเย ทั้งคู่แปลวรรณกรรมสังคมนิยมอังกฤษเป็นภาษารัสเซีย{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=33–34|2a1=Rice|2y=1990|2pp=53, 55–56|3a1=Service|3y=2000|3p=117|4a1=Read|4y=2005|4p=33}} ที่นั่น เลนินเขียนหนังสือประท้วงโดยสังคมประชาธิปไตยรัสเซียเพื่อวิพากษ์วิจารณ์นัก[[ลัทธิแก้]]ลัทธิมากซ์ชาวเยอรมัน เช่น [[เอดูอาร์ด เบิร์นสไตน์]] ผู้ซึ่งสนับสนุนเส้นทางการเลือกตั้งที่สันติไปสู่สังคมนิยม{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1pp=61–63|2a1=Service|2y=2000|2p=124|3a1=Rappaport|3y=2010|3p=31}} นอกจากนี้ เขายังเขียนเรื่อง ''[[การพัฒนาทุนนิยมในรัสเซีย]]'' (ค.ศ. 1899) จนเสร็จซึ่งเป็นหนังสือที่ยาวที่สุดของเขาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มเกษตรกรรม-สังคมนิยม และสนับสนุนการวิเคราะห์แบบลัทธิมากซ์เกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจของรัสเซีย หนังสือจัดพิมพ์โดยใช้นามแฝงวลาดีมีร์ อีนิน แต่ได้คำวิจารณ์ที่แย่เป็นส่วนใหญ่เมื่อตีพิมพ์{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1pp=57–58|2a1=Service|2y=2000|2pp=121–124, 137|3a1=White|3y=2001|3pp=40–45|4a1=Read|4y=2005|4pp=34, 39|5a1=Lih|5y=2011|5pp=62–63}}
== เสียชีวิต ==


=== มิวนิค ลอนดอน และเจนีวา: ค.ศ. 1900–1905 ===
สุขภาพของเลนินนั้นได้เสียหายอย่างรุนแรง เนื่องจากความเครียดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการปฏิวัติและสงคราม ความพยายามที่จะสังหารเลนินเมื่อก่อนหน้า ก็ยังช่วยซ้ำเติมปัญหาสุขภาพของเลนิน ลูกกระสุนในคราวนั้นก็ยังฝังอยู่ที่คอของเลนินบริเวณที่ใกล้เส้นประสาทมาก เกินกว่าเทคโนโลยีในสมัยนั้นจะช่วยผ่าตัดออกได้โดยไม่กระทบเส้นประสาท ในเดือนพฤษภาคม [[พ.ศ. 2465]] เลนินมีอาการอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมองเป็นครั้งแรก เขากลายเป็นอัมพาตที่บางส่วนในซีกขวาของร่างกาย ทำให้เลนินมีบทบาทน้อยลงในรัฐบาล หลังจากการอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมองครั้งที่สองในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน เลนินก็ได้วางมือจากกิจกรรมทางการเมืองทุกชนิด ในเดือนมีนาคม [[พ.ศ. 2466]] เลนินมีอาการอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมองครั้งที่สาม ทำให้เขาต้องนอนอยู่กับเตียงและไม่สามารถพูดได้
[[File:Lenin, 1900 (Photo by Y.Mebius) (cropped).jpg|thumb|upright|เลนินใน ค.ศ. 1900]]
หลังจากที่เขาถูกเนรเทศ เลนินอยู่ที่เมือง[[ปัสคอฟ]]ในต้น ค.ศ. 1900{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=34–35|2a1=Rice|2y=1990|2p=64|3a1=Service|3y=2000|3pp=124–125|4a1=White|4y=2001|4p=54|5a1=Read|5y=2005|5p=43|6a1=Rappaport|6y=2010|6pp=27–28}} ที่นั่น เขาเริ่มระดมทุนให้กับหนังสือพิมพ์ ''[[อีสครา]]'' ซึ่งเป็นองค์กรใหม่ของพรรคลัทธิมากซ์รัสเซีย ซึ่งปัจจุบันเรียกตัวเองว่า[[พรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย]] (แอร์แอสแดแอลแป){{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=35|2a1=Pipes|2y=1990|2p=357|3a1=Rice|3y=1990|3pp=66–65|4a1=White|4y=2001|4pp=55–56|5a1=Read|5y=2005|5p=43|6a1=Rappaport|6y=2010|6p=28}} ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1900 เลนินเดินทางออกจากรัสเซียไปยังยุโรปตะวันตก ในสวิตเซอร์แลนด์ เขาได้พบกับลัทธิมาร์กซิสต์ชาวรัสเซียคนอื่นๆ และในการประชุมที่[[คอร์เซียร์]] (Corsier) พวกเขาตกลงที่จะเปิดตัวรายงานฉบับนี้จากมิวนิก ที่ซึ่งเลนินย้ายมาตั้งถิ่นฐานในเดือนกันยายน{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=35|2a1=Pipes|2y=1990|2p=357|3a1=Rice|3y=1990|3pp=64–69|4a1=Service|4y=2000|4pp=130–135|5a1=Rappaport|5y=2010|5pp=32–33}} ด้วยการสนับสนุนจากนักลัทธิมากซ์ชาวยุโรปที่มีชื่อเสียง ''อีสครา'' จึงถูกลักลอบเข้าไปในรัสเซีย{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1pp=69–70|2a1=Read|2y=2005|2p=51|3a1=Rappaport|3y=2010|3pp=41–42, 53–55}} กลายเป็นสิ่งพิมพ์ใต้ดินที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของประเทศในรอบ 50 ปี{{sfn|Rice|1990|pp=69–70}} เขาได้ใช้นามแฝงเลนินเป็นครั้งแรกในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1901 โดยอาจมีพื้นฐานมาจาก[[แม่น้ำเลนา]]ในไซบีเรีย{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=4–5|2a1=Service|2y=2000|2p=137|3a1=Read|3y=2005|3p=44|4a1=Rappaport|4y=2010|4p=66}} เขามักจะใช้นามแฝง ''เอ็น. เลนิน'' ที่สมบูรณ์กว่า และในขณะที่ ''เอ็น'' ไม่ได้ยืนหยัดเพื่อสิ่งใด ๆ ความเข้าใจผิดที่ได้รับความนิยมก็เกิดขึ้นในเวลาต่อมาว่าเป็นตัวแทนของ ''นีโคไล''{{sfnm|1a1=Rappaport|1y=2010|1p=66|2a1=Lih|2y=2011|2pp=8–9}} ภายใต้นามแฝงนี้ ใน ค.ศ. 1902 เขาได้ตีพิมพ์จุลสาร ''[[️จะทำอะไรดี?]]'' สิ่งพิมพ์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดของเขาจนถึงปัจจุบันซึ่งสรุปความคิดของเขาเกี่ยวกับความจำเป็นที่[[แนวหน้านิยม|พรรคแนวหน้านิยม]]จะนำพาชนชั้นกรรมาชีพเข้าสู่การปฏิวัติ{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=39|2a1=Pipes|2y=1990|2p=359|3a1=Rice|3y=1990|3pp=73–75|4a1=Service|4y=2000|4pp=137–142|5a1=White|5y=2001|5pp=56–62|6a1=Read|6y=2005|6pp=52–54|7a1=Rappaport|7y=2010|7p=62|8a1=Lih|8y=2011|8pp=69, 78–80}}


นาเดียเข้าร่วมกับเลนินในมิวนิกและเป็นเลขานุการของเขา{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=37|2a1=Rice|2y=1990|2p=70|3a1=Service|3y=2000|3p=136|4a1=Read|4y=2005|4p=44|5a1=Rappaport|5y=2010|5pp=36–37}} พวกเขายังคงสร้างความปั่นป่วนทางการเมืองต่อไป ดังที่เลนินเขียนถึง ''อีสครา'' และร่างนโยบายพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยโดยโจมตีผู้เห็นต่างทางอุดมการณ์และนักวิจารณ์ภายนอก{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=37|2a1=Rice|2y=1990|2pp=78–79|3a1=Service|3y=2000|3pp=143–144|4a1=Rappaport|4y=2010|4pp=81, 84}} โดยเฉพาะ[[พรรคปฏิวัติสังคมนิยม]] (แอสแอร์) ซึ่งเป็นกลุ่มเกษตรกรรม-สังคมนิยมนารอดนิคที่ก่อตั้งใน ค.ศ. 1901{{sfn|Read|2005|p=60}} แม้จะยังคงเป็นนักลัทธิมากซ์ แต่เขายอมรับมุมมองของนารอดนิคเกี่ยวกับอำนาจการปฏิวัติของชาวนารัสเซีย ดังนั้นเขาจึงเขียนจุลสาร ''สู่หมู่บ้านที่ยากจน'' ใน ค.ศ. 1903 เพื่อหลบเลี่ยงตำรวจบาวาเรีย เลนินจึงย้ายไปกรุง[[ลอนดอน]]พร้อมกับ ''อีสครา'' ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1902 ซึ่งเขาเป็นเพื่อนกับ[[เลออน ทรอตสกี]] นักลัทธิมากซ์ชาวรัสเซียเชื้อสายยูเครน{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=40, 50–51|2a1=Rice|2y=1990|2p=76|3a1=Service|3y=2000|3pp=148–150|4a1=Read|4y=2005|4p=48|5a1=Rappaport|5y=2010|5pp=82–84}} เลนินล้มป่วยด้วยอาการ[[ไฟลามทุ่ง]]และไม่สามารถรับบทบาทผู้นำเช่นนี้ในคณะบรรณาธิการ ''อีสครา'' ได้ ในระหว่างที่เขาไม่อยู่ คณะกรรมการได้ย้ายฐานปฏิบัติการไปที่[[เจนีวา]]{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1pp=77–78|2a1=Service|2y=2000|2p=150|3a1=Rappaport|3y=2010|3pp=85–87}}
เลนินเสียชีวิตในวันที่ [[21 มกราคม]] [[พ.ศ. 2467]] ข่าวลือที่ว่าเลนินเสียชีวิตด้วย[[โรคซิฟิลิส]]นั้นแพร่กระจายไปไม่นานหลังจากที่เขาตาย แต่สาเหตุการเสียชีวิตของเลนินอย่างเป็นทางการคือ เลนินเสียชีวิตจากการอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมองครั้งที่ 4 แต่ว่านายแพทย์ประจำตัวของเลนิน 8 คนจาก 27 คนเท่านั้น ที่ลงนามในผลสรุปการชันสูตรศพ ดังนั้น ทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับการเสียชีวิตของเลนินก็ยังมีการนำเสนออยู่เรื่อย ๆ ตัวอย่างเช่น การวินิจฉัยหลังการเสียชีวิตโดยจิตแพทย์ 2 คนและนักประสาทวิทยา 1 คน ที่มีรายงานลงตีพิมพ์ในวารสารประสาทวิทยาของยุโรป อ้างว่าเลนินเสียชีวิตจากโรคซิฟิลิส


[[การประชุมสมัชชาพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซียครั้งที่ 2|การประชุมสมัชชาพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยครั้งที่ 2]] จัดขึ้นที่กรุงลอนดอนในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1903{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1p=360|2a1=Rice|2y=1990|2pp=79–80|3a1=Service|3y=2000|3pp=151–152|4a1=White|4y=2001|4p=62|5a1=Read|5y=2005|5p=60|6a1=Rappaport|6y=2010|6p=92|7a1=Lih|7y=2011|7p=81}} ในการประชุม เกิดความแตกแยกระหว่างผู้สนับสนุนเลนินและ[[ยูลิอุส มาร์ตอฟ]] มาร์ตอฟแย้งว่าสมาชิกพรรคควรจะสามารถแสดงออกอย่างเป็นอิสระจากผู้นำพรรคได้ เลนินไม่เห็นด้วย โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเป็นผู้นำที่เข้มแข็งพร้อมการควบคุมพรรคโดยสมบูรณ์{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1pp=81–82|2a1=Service|2y=2000|2pp=154–155|3a1=White|3y=2001|3p=63|4a1=Read|4y=2005|4pp=60–61|7a1=Rappaport|7y=2010|7p=93}} ผู้สนับสนุนเลนินส่วนใหญ่เป็นคนส่วนใหญ่ และเขาเรียกพวกเขาว่า "กลุ่มส่วนใหญ่" (''bol'sheviki'' ในภาษารัสเซีย; [[บอลเชวิค]]) ในการตอบโต้ มาร์ตอฟเรียกผู้ติดตามของเขาว่า "กลุ่มส่วนน้อย" (''men'sheviki'' ในภาษารัสเซีย; [[เมนเชวิค]]){{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=39|2a1=Rice|2y=1990|2p=82|3a1=Service|3y=2000|3pp=155–156|4a1=Read|4y=2005|4p=61|5a1=White|5y=2001|5p=64|6a1=Rappaport|6y=2010|6p=95}} การโต้เถียงระหว่างบอลเชวิคและเมนเชวิคยังคงดำเนินต่อไปหลังการประชุม บอลเชวิคกล่าวหาว่าคู่แข่งของตนเป็นนักฉวยโอกาสและนักปฏิรูปซึ่งขาดระเบียบวินัย ในขณะที่เมนเชวิคกล่าวหาเลนินว่าเป็นพวกใช้อำนาจเด็ดขาดและอัตตาธิปไตย{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1p=83|2a1=Rappaport|2y=2010|2p=107}} ด้วยความโกรธแค้นต่อเมนเชวิค เลนินจึงลาออกจากคณะบรรณาธิการ ''อีสครา'' และได้ตีพิมพ์บทความต่อต้านเมนเชวิค ''หนึ่งก้าวไปข้างหน้าสองก้าวถอยหลัง'' ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1904{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1pp=83–84|2a1=Service|2y=2000|2p=157|3a1=White|3y=2001|3p=65|4a1=Rappaport|4y=2010|4pp=97–98}} ความเครียดทำให้เลนินป่วย และเพื่อพักฟื้นเขาจึงเดินทางไปพักผ่อนที่สวิตเซอร์แลนด์{{sfnm|1a1=Service|1y=2000|1pp=158–159, 163–164|2a1=Rappaport|2y=2010|2pp=97, 99, 108–109}} ฝ่ายบอลเชวิคมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ภายในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1905 คณะกรรมการกลางพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยทั้งหมดคือบอลเชวิค{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1p=85|2a1=Service|2y=2000|2p=163}} และในเดือนธันวาคม พวกเขาก่อตั้งหนังสือพิมพ์ ''วเปียริออด''{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=41|2a1=Rice|2y=1990|2p=85|3a1=Service|3y=2000|3p=165|4a1=White|4y=2001|4p=70|5a1=Read|5y=2005|5p=64|6a1=Rappaport|6y=2010|6p=114}}
ในปี [[พ.ศ. 2466]] เลนินได้รับการรักษาจากแพทย์ด้วยตัวยาซัลวาซาน ที่เป็นตัวยาเดียวในสมัยนั้นที่ใช้รักษาโรคซิฟิลิส และตัวยาโพแตสเซียมไอโอดีน ที่เป็นวิธีปฏิบัติในการรักษาโรคนี้ในขณะนั้นเช่นกัน


=== การปฏิวัติ ค.ศ. 1905 และผลที่ตามมา: ค.ศ. 1905–1914 ===
แม้ว่าเลนินอาจเป็นโรคซิฟิลิสเช่นเดียวกับคนรัสเซียจำนวนมากในขณะนั้น แต่เลนินก็ไม่มีอาการของโรคซิฟิลิสขั้นสุดท้ายที่แสดงให้เห็นบริเวณร่างกาย นักประวัติศาสตร์จำนวนมากจึงเห็นพ้องต้องกันว่า เลนินเสียชีวิตด้วยอาการอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมอง ซึ่งเกิดจากลูกกระสุนที่ฝังอยู่ในลำคอจากการลอบสังหาร
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1905 การสังหารหมู่ผู้ประท้วงใน[[วันอาทิตย์นองเลือด]]ในกรุงเซนต์ปีเตอส์เบิร์กได้จุดชนวนให้เกิดความไม่สงบในจักรวรรดิรัสเซียที่เรียกว่า[[การปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ.​ 1905|การปฏิวัติ ค.ศ. 1905]]{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=44|2a1=Rice|2y=1990|2pp=86–88|3a1=Service|3y=2000|3p=167|4a1=Read|4y=2005|4p=75|5a1=Rappaport|5y=2010|5pp=117–120|6a1=Lih|6y=2011|6p=87}} เลนินเรียกร้องให้บอลเชวิคมีบทบาทมากขึ้นในเหตุการณ์ดังกล่าว{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=44–45|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=362–363|3a1=Rice|3y=1990|3pp=88–89}} และสนับสนุนให้เกิดการจลาจลอย่างรุนแรง ในการทำเช่นนั้น เขาได้นำคำขวัญของพรรคปฏิวัติสังคมนิยมที่เกี่ยวข้องกับ "การจลาจลด้วยอาวุธ" "การก่อการร้ายครั้งใหญ่" และ "การเวนคืนที่ดินของผู้ดี" ส่งผลให้เมนเชวิคกล่าวหาว่าเขาเบี่ยงเบนไปจากลัทธิมากซ์ดั้งเดิม{{sfn|Service|2000|pp=170–171}} ในทางกลับกันเขายืนยันว่าพวกบอลเชวิคแยกตัวกับพวกเมนเชวิคโดยสิ้นเชิง บอลเชวิคจำนวนมากปฏิเสธ และทั้งสองกลุ่มได้เข้าร่วม[[การประชุมสมัชชาพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซียครั้งที่ 3|การประชุมสมัชชาครั้งที่ 3]] ซึ่งจัดขึ้นในกรุงลอนดอนในเดือนเมษายน ค.ศ. 1905{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1pp=363–364|2a1=Rice|2y=1990|2pp=89–90|3a1=Service|3y=2000|3pp=168–170|4a1=Read|4y=2005|4p=78|5a1=Rappaport|5y=2010|5p=124}} เลนินนำเสนอแนวคิดหลายประการของเขาในจุลสาร ''[[สองยุทธวิธีของสังคมประชาธิปไตยในการปฏิวัติประชาธิปไตย]]'' ซึ่งตีพิมพ์ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1905 ที่นี่ เขาทำนายว่าชนชั้นกระฎุมพีเสรีนิยมของรัสเซียจะอิ่มเอมใจด้วยการเปลี่ยนผ่านไปสู่[[ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ]] และด้วยเหตุนี้จึงทรยศต่อการปฏิวัติ แต่เขาแย้งว่าชนชั้นกรรมาชีพจะต้องสร้างพันธมิตรกับชาวนาเพื่อโค่นล้มระบอบซาร์และสถาปนา "เผด็จการประชาธิปไตยแบบปฏิวัติชั่วคราวของชนชั้นกรรมาชีพและชาวนา"{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=60|2a1=Pipes|2y=1990|2p=367|3a1=Rice|3y=1990|3pp=90–91|4a1=Service|4y=2000|4p=179|5a1=Read|5y=2005|5p=79|6a1=Rappaport|6y=2010|6p=131}}


เพื่อตอบสนองต่อการปฏิวัติใน ค.ศ. 1905 ซึ่งล้มเหลวในการโค่นล้มรัฐบาล [[จักรพรรดินิโคไลที่ 2 แห่งรัสเซีย|จักรพรรดินีโคไลที่ 2]] ทรงยอมรับการปฏิรูปเสรีนิยมหลายครั้งใน[[แถลงการณ์ตุลาคม]]ของพระองค์ ในสถานการณ์เช่นนี้ เลนินรู้สึกปลอดภัยที่จะกลับไปยังเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=51|2a1=Rice|2y=1990|2p=94|3a1=Service|3y=2000|3pp=175–176|4a1=Read|4y=2005|4p=81|5a1=Read|5y=2005|5pp=77, 81|6a1=Rappaport|6y=2010|6pp=132, 134–135}} ด้วยการเข้าร่วมคณะบรรณาธิการของ ''โนวายาจีซ์น'' ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์กฎหมายหัวรุนแรงที่ดำเนินการโดย[[มารีเยีย อันเดรย์เยวา]] เขาใช้หนังสือพิมพ์ดังกล่าวเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาที่พรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยเผชิญอยู่{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1pp=94–95|2a1=White|2y=2001|2pp=73–74|3a1=Read|3y=2005|3pp=81–82|4a1=Rappaport|4y=2010|4p=138}} เขาสนับสนุนให้พรรคแสวงหาสมาชิกในวงกว้างขึ้น และสนับสนุนให้มีการเผชิญหน้าที่รุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าทั้งสองฝ่ายมีความจำเป็นต่อการปฏิวัติที่ประสบความสำเร็จ{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1pp=96–97|2a1=Service|2y=2000|2pp=176–178}} โดยตระหนักว่าค่าธรรมเนียมสมาชิกและการบริจาคจากผู้เห็นใจผู้มั่งคั่งเพียงไม่กี่คนไม่เพียงพอสำหรับกิจกรรมของบอลเชวิค เลนินจึงสนับสนุนแนวคิดที่จะปล้นที่ทำการไปรษณีย์ สถานีรถไฟ รถไฟ และธนาคาร ภายใต้การนำของ[[เลโอนิด คราซิน]] บอลเชวิคเริ่มก่ออาชญากรรมดังกล่าว เหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1907 เมื่อบอลเชวิคซึ่งดำเนินการภายใต้การนำของ[[โจเซฟ สตาลิน]] [[การปล้นธนาคารในติฟลิส ค.ศ. 1907|ก่อเหตุปล้นธนาคารของรัฐ]]ในเมือง[[ทบิลีซี|ติฟลิส]]ด้วยอาวุธ{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=70–71|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=369–370|3a1=Rice|3y=1990|3p=104}}
เมืองเซนต์ปีเตอส์เบิร์กนั้นได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเมือง "เลนินกราด" เพื่อเป็นเกียรติแก่เลนิน เมืองนี้ยังคงชื่อเลนินกราดไว้จนกระทั่งการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี [[พ.ศ. 2534]] จึงเปลี่ยนชื่อกลับเป็นเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก


แม้ว่าเขาจะสนับสนุนแนวคิดเรื่องการปรองดองระหว่างบอลเชวิคและเมนเชวิคในช่วงสั้น ๆ แต่การสนับสนุนความรุนแรงและการปล้นของเลนินก็ถูกประณามโดยเมนเชวิคใน[[การประชุมสมัชชาพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซียครั้งที่ 4|การประชุมสมัชชาครั้งที่ 4]] ซึ่งจัดขึ้นที่กรุง[[สต็อกโฮล์ม]]ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1906{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=53|2a1=Pipes|2y=1990|2p=364|3a1=Rice|3y=1990|3pp=99–100|4a1=Service|4y=2000|4pp=179–180|5a1=White|5y=2001|5p=76}} เลนินมีส่วนร่วมในการจัดตั้งศูนย์บอลเชวิคในเมือง[[ก๊วกกาลา]] [[ราชรัฐฟินแลนด์]] ซึ่งเป็นรัฐปกครองตนเองในจักรวรรดิรัสเซียในขณะนั้น<ref>{{Cite web |last=Zetterberg |first=P. L. Kessler & Terhi Jääskeläinen & Seppo |title=Emergeance of Finland |url=https://www.historyfiles.co.uk/FeaturesEurope/ScandinaviaFinland.htm |access-date=12 August 2023 |website=The History Files}}</ref> ก่อนที่บอลเชวิคจะกลับมามีอำนาจเหนือพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยใน[[การประชุมสมัชชาพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซียครั้งที่ 5|การประชุมสมัชชาครั้งที่ 5]] ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงลอนดอนในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1907{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1pp=103–105|2a1=Service|2y=2000|2pp=180–182|3a1=White|3y=2001|3pp=77–79}} ขณะที่รัฐบาลซาร์ปราบปรามฝ่ายค้าน ทั้งโดยยุบ[[สภาดูมารัฐ (จักรวรรดิรัสเซีย)|สภาดูมาสมัยที่สอง]]ซึ่งสภานิติบัญญัติของรัสเซีย และโดยการสั่งให้[[โอฮรานา]]ซึ่งเป็นหน่วยตำรวจลับจับกุมนักปฏิวัติ เลนินจึงหนีจากฟินแลนด์ไปยังสวิตเซอร์แลนด์{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1pp=105–106|2a1=Service|2y=2000|2pp=184–186|3a1=Rappaport|3y=2010|3p=144}} ที่นั่น เขาพยายามแลกเปลี่ยนธนบัตรที่ถูกขโมยในติฟลิสซึ่งมีหมายเลขซีเรียลที่ระบุอยู่บนธนบัตรเหล่านั้น{{sfn|Brackman|2000|pp=59, 62}}
หลังจากที่เลนินมีอาการอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมองครั้งแรก เลนินได้เขียนงานหลายฉบับที่กำหนดแนวทางของรัฐบาล ที่มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดางานเหล่านี้ คือ พันธสัญญาของเลนิน ส่วนหนึ่งของงานชิ้นนี้ได้วิจารณ์สมาชิกระดับสูงของ[[พรรคคอมมิวนิสต์]] เช่น [[เลออน ทรอตสกี|เลออน ทรอตสกี]] และ[[โจเซฟ สตาลิน]] สำหรับสตาลิน ผู้ที่ได้เป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ตั้งแต่เดือนเมษายน [[พ.ศ. 2465]] เลนินกล่าวว่า เขามี “อำนาจล้นเหลือที่รวมอยู่ในมือของเขา” และแนะนำให้ “สหายจงคิดหาวิธีทำให้สตาลินพ้นจากตำแหน่งนั้น” ภรรยาของเลนินได้ค้นพบงานชิ้นนี้ในห้องทำงานของเลนิน และอ่านให้คณะกรรมการกลางของพรรคฟัง ส่วนหนึ่งของคณะกรรมการฟัง เชื่อ แต่ไม่ได้ซึมซับคำพูดเหล่านี้เอาไว้ ทำให้การวิจารณ์ภายในพรรคครั้งนี้ ไม่ได้เปิดเผยออกมากว้างขวางนัก


[[อะเลคซันดร์ บอกดานอฟ]]และบอลเชวิคที่มีชื่อเสียงคนอื่น ๆ ตัดสินใจย้ายศูนย์บอลเชวิคไปยังกรุง[[ปารีส]] แม้ว่าเลนินจะไม่เห็นด้วย แต่เขาย้ายไปที่เมืองนี้ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1908 เลนินไม่ชอบปารีส{{sfn|Service|2000|pp=186–187}} โดยตำหนิปารีสว่าเป็น "หลุมเหม็น" และในขณะนั้น เลนินได้ฟ้องผู้ขับขี่รถยนต์คนหนึ่งที่ทำให้เขาล้มจักรยาน{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=67–68|2a1=Rice|2y=1990|2p=111|3a1=Service|3y=2000|3pp=188–189}} เลนินวิพากษ์วิจารณ์มุมมองของบอกดานอฟอย่างมากว่าชนชั้นกรรมาชีพของรัสเซียจำเป็นต้องพัฒนาวัฒนธรรมสังคมนิยมเพื่อที่จะกลายเป็นเครื่องมือในการปฏิวัติที่ประสบความสำเร็จ ในทางกลับกัน เลนินกลับสนับสนุนผู้นำกลุ่มปัญญาชนสังคมนิยมซึ่งจะเป็นผู้นำชนชั้นแรงงานในการปฏิวัติ นอกจากนี้ บอกดานอฟซึ่งได้รับอิทธิพลจาก[[แอ็นสท์ มัค]] เชื่อว่าแนวความคิดทั้งหมดของโลกมีความสัมพันธ์กัน ในขณะที่เลนินยึดติดกับทัศนะของลัทธิมากซ์ดั้งเดิมที่ว่ามีความเป็นจริงตามวัตถุประสงค์โดยไม่ขึ้นอยู่กับการสังเกตของมนุษย์{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=64|2a1=Rice|2y=1990|2p=109|3a1=Service|3y=2000|3pp=189–190|4a1=Read|4y=2005|4pp=89–90}} บอกดานอฟและเลนินไปเที่ยวด้วยกันที่บ้านพักของ[[มักซิม กอร์กี]]ในเมือง[[กาปรี]]ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1908{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=63–64|2a1=Rice|2y=1990|2p=110|3a1=Service|3y=2000|3pp=190–191|4a1=White|4y=2001|4pp=83, 84}} เมื่อกลับมายังกรุงปารีส เลนินสนับสนุนให้เกิดการแบ่งแยกภายในบอลเชวิคระหว่างผู้ติดตามของเขาและบอกดานอฟ โดยกล่าวหาว่าฝ่ายหลังเบี่ยงเบนไปจากลัทธิมากซ์{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1pp=110–111|2a1=Service|2y=2000|2pp=191–192|3a1=Read|3y=2005|3p=91}}
ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1920 (ประมาณ [[พ.ศ. 2464]]- [[พ.ศ. 2469]]) การเคลื่อนไหวเกี่ยวกับลัทธิพลังจักรวาลในรัสเซียค่อนข้างเป็นที่นิยม ทำให้มีความพยายามที่จะแช่แข็งร่างของเลนินไว้ เพื่อจะทำให้เขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาในอนาคต อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นได้รับการซื้อเข้ามาในรัสเซีย แต่ด้วยเหตุผลหลายประการทำให้แผนนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยร่างของเลนินได้ถูกนำไปดอง และตั้งไว้ในอนุสาวรีย์เลนินในกรุง[[มอสโก]]


[[File:Lenin, 1914 (Photo of B.D.Vigilev).jpg|thumb|เลนินใน ค.ศ. 1914]]
เลนินได้แสดงความปรารถนาก่อนเสียชีวิตไม่นานว่า ไม่ให้สร้างอนุสาวรีย์อะไรเพื่อระลึกถึงเขา แต่มีนักการเมืองบางคนต้องการยกสถานะตัวเอง โดยนำตนเองไปเกี่ยวข้องกับเลนินหลังจากที่เลนินเสียชีวิต และตัวตนของเลนินนั้นก็ถูกยกขึ้นไปเกือบเทียบเท่าบุคคลในตำนาน และมีอนุสาวรีย์มากมายที่สร้างขึ้นเพื่อเทิดทูนเขา

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1908 เลนินอาศัยอยู่ช่วงสั้น ๆ ในกรุงลอนดอน ซึ่งเขาใช้ห้องอ่านหนังสือของ[[พิพิธภัณฑ์บริติช]]เขียน ''[[ลัทธิวัตถุนิยมและการวิพากษ์วิจารณ์แบบเอ็มปิริโอ]]'' ซึ่งเป็นการโจมตีสิ่งที่เขาอธิบายว่าเป็น "ความเท็จของปฏิกิริยากระฎุมพี" ของสัมพัทธภาพของบอกดานอฟ{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=64–67|2a1=Rice|2y=1990|2p=110|3a1=Service|3y=2000|3pp=192–193|4a1=White|4y=2001|4pp=84, 87–88|5a1=Read|5y=2005|5p=90}} ลัทธิแบ่งแยกฝ่ายของเลนินเริ่มทำให้บอลเชวิคแปลกแยกมากขึ้น รวมถึงอดีตผู้สนับสนุนใกล้ชิดของเขา ทั้ง[[อะเลคเซย์ รืยคอฟ]] และ[[เลฟ คาเมเนฟ]]{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=69|2a1=Rice|2y=1990|2p=111|3a1=Service|3y=2000|3p=195}} โอฮรานาใช้ประโยชน์จากทัศนคติฝ่ายนิยมของเขาโดยส่งสายลับ[[โรมัน มาลีนอฟสกี]] เพื่อทำหน้าที่เป็นแกนนำที่สนับสนุนเลนินในพรรค บอลเชวิคหลายคนแสดงความสงสัยเกี่ยวกับมาลีนอฟสกีต่อเลนิน แม้ว่าจะไม่ชัดเจนว่าฝ่ายหลังทราบถึงความซ้ำซ้อนของสายลับหรือไม่ เป็นไปได้ว่าเขาใช้มาลีนอฟสกีเพื่อให้ข้อมูลที่เป็นเท็จแก่โอฮรานา{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=81–82|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=372–375|3a1=Rice|3y=1990|3pp=120–121|4a1=Service|4y=2000|4p=206|5a1=White|5y=2001|5p=102|6a1=Read|6y=2005|6pp=96–97}}

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1910 เลนินเข้าร่วมการประชุมนานาชาติครั้งที่ 8 ของ[[สากลที่สอง]] ซึ่งเป็นการประชุมระดับนานาชาติของนักสังคมนิยมในกรุง[[โคเปนเฮเกน]]ในฐานะตัวแทนของพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยตามด้วยวันหยุดในสต็อกโฮล์มกับแม่ของเขา{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=70|2a1=Rice|2y=1990|2pp=114–116}} จากนั้นเขาก็ย้ายไปฝรั่งเศสพร้อมกับภรรยาและน้องสาว โดยตั้งรกรากที่เมือง[[บอมบง]]ก่อน จากนั้นจึงไปที่กรุงปารีส{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=68–69|2a1=Rice|2y=1990|2p=112|3a1=Service|3y=2000|3pp=195–196}} ที่นี่เขากลายเป็นเพื่อนสนิทกับ[[อิเนสซา อาร์ม็องด์]] บอลเชวิคชาวฝรั่งเศส นักเขียนชีวประวัติบางคนเสนอว่าพวกเขามีความสัมพันธ์นอกสมรสตั้งแต่ ค.ศ. 1910 ถึง ค.ศ. 1912{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=75–80|2a1=Rice|2y=1990|2p=112|3a1=Pipes|3y=1990|3p=384|4a1=Service|4y=2000|4pp=197–199|5a1=Read|5y=2005|5p=103}} ขณะเดียวกัน ในการประชุมที่ปารีสในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1911 คณะกรรมการกลางพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยตัดสินใจย้ายจุดเน้นในการปฏิบัติงานกลับไปยังรัสเซีย โดยสั่งให้ปิดศูนย์บอลเชวิคและหนังสือพิมพ์ ''โปรเลตารี''{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1p=115|2a1=Service|2y=2000|2p=196|3a1=White|3y=2001|3pp=93–94}} ด้วยความปรารถนาที่จะสร้างอิทธิพลของเขาขึ้นมาใหม่ในพรรค เลนินจึงได้จัดการประชุมพรรคขึ้นในกรุง[[ปราก]]ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1912 และแม้ว่าผู้เข้าร่วม 16 คนจากทั้งหมด 18 คนจะเป็นบอลเชวิค แต่เขาก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงแนวโน้มการแบ่งแยกฝ่ายและล้มเหลวในการเพิ่มสถานะของเขาภายในพรรค{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=71–72|2a1=Rice|2y=1990|2pp=116–117|3a1=Service|3y=2000|3pp=204–206|4a1=White|4y=2001|4pp=96–97|5a1=Read|5y=2005|5p=95}}

การย้ายไปที่เมือง[[กรากุฟ]] [[ราชอาณาจักรกาลิเซียและโลโดเมเรีย]] ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ[[จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี]]ซึ่งมีวัฒนธรรมโปแลนด์ เขาใช้ห้องสมุดของ[[มหาวิทยาลัยยาเกียลโลเนียน]] (Jagiellonian University) เพื่อทำการวิจัย{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=72|2a1=Rice|2y=1990|2pp=118–119|3a1=Service|3y=2000|3pp=209–211|4a1=White|4y=2001|4p=100|5a1=Read|5y=2005|5p=104}} เขายังคงติดต่ออย่างใกล้ชิดกับพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยซึ่งปฏิบัติการในจักรวรรดิรัสเซีย โดยโน้มน้าวให้สมาชิกบอลเชวิคของสภาดูมาแยกตัวออกจากพันธมิตรรัฐสภากับเมนเชวิค{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=93–94|2a1=Pipes|2y=1990|2p=376|3a1=Rice|3y=1990|3p=121|4a1=Service|4y=2000|4pp=214–215|5a1=White|5y=2001|5pp=98–99}} ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1913 สตาลินซึ่งเลนินเรียกว่า "จอร์เจียผู้วิเศษ" ได้ไปเยี่ยมเขา และหารือเกี่ยวกับอนาคตของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่ใช่ชาวรัสเซียในจักรวรรดิ{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1p=122|2a1=White|2y=2001|2p=100}} เนื่องจากสุขภาพที่ไม่สบายของทั้งเลนินและภรรยาของเขา พวกเขาจึงย้ายไปที่เมืองชนบท Biały Dunajec{{sfnm|1a1=Service|1y=2000|1p=216|2a1=White|2y=2001|2p=103|3a1=Read|3y=2005|3p=105}} ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังกรุง[[แบร์น]]เพื่อให้นาเดียเข้ารับการผ่าตัด[[คอพอก]]ของเธอ{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=73–74|2a1=Rice|2y=1990|2pp=122–123|3a1=Service|3y=2000|3pp=217–218|4a1=Read|4y=2005|4p=105}}

=== สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง: ค.ศ. 1914–1917 ===
[[File:Lenin in Zürich on March 1916.jpg|thumb|upright|เลนินใน ค.ศ. 1916]]

เลนินอยู่ในแคว้น[[กาลิเซีย (ยุโรปตะวันออก)|กาลิเซีย]]เมื่อ[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]]ปะทุขึ้น{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1p=127|2a1=Service|2y=2000|2pp=222–223}} สงครามครั้งนี้ทำให้จักรวรรดิรัสเซียต้องต่อสู้กับจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และเนื่องจากสัญชาติรัสเซียของเขา เลนินจึงถูกจับกุมและถูกคุมขังช่วงสั้น ๆ จนกว่าจะมีการอธิบายข้อมูลรับรองการต่อต้านซาร์ของเขา{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=94|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=377–378|3a1=Rice|3y=1990|3pp=127–128|4a1=Service|4y=2000|4pp=223–225|5a1=White|5y=2001|5p=104|6a1=Read|6y=2005|6p=105}} เลนินและภรรยากลับมาที่กรุงแบร์น ก่อนที่จะย้ายไป[[ซือริช]]ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1916{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=107|2a1=Service|2y=2000|2p=236}} เลนินรู้สึกโกรธที่พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยเยอรมนีสนับสนุนความพยายามทำสงครามของเยอรมนี ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืนมติชตุทการ์ทของสากลที่สองที่ว่าพรรคสังคมนิยมจะต่อต้านความขัดแย้งและมองว่าสากลที่สองสิ้นสภาพไปแล้ว{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=85|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=378–379|3a1=Rice|3y=1990|3p=127|4a1=Service|4y=2000|4p=225|5a1=White|5y=2001|5pp=103–104}} เขาเข้าร่วม[[การประชุมซิมเมอร์วาลด์]]ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1915 และ[[การประชุมคินธาล]]ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1916{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=94|2a1=Rice|2y=1990|2pp=130–131|3a1=Pipes|3y=1990|3pp=382–383|4a1=Service|4y=2000|4p=245|5a1=White|5y=2001|5pp=113–114, 122–113|6a1=Read|6y=2005|6pp=132–134}} โดยกระตุ้นให้นักสังคมนิยมทั่วทั้งทวีปเปลี่ยน "สงครามจักรวรรดินิยม" ให้เป็น "สงครามกลางเมือง" ทั่วทั้งทวีป โดยที่ชนชั้นกรรมาชีพเป็นศัตรูกับชนชั้นกระฎุมพีและอภิชนาธิปไตย{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=85|2a1=Rice|2y=1990|2p=129|3a1=Service|3y=2000|3pp=227–228|4a1=Read|4y=2005|4p=111}} ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1916 แม่ของเลนินเสียชีวิต แต่เขาไม่สามารถไปร่วมงานศพแม่ได้{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1p=380|2a1=Service|2y=2000|2pp=230–231|3a1=Read|3y=2005|3p=130}} การตายของแม่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อเขา และเขาก็รู้สึกหดหู่ใจเพราะเกรงว่าเขาจะตายก่อนที่จะเห็นการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพเช่นกัน{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1p=135|2a1=Service|2y=2000|2p=235}}

ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1917 เลนินตีพิมพ์หนังสือ ''[[ลัทธิจักรวรรดินิยม, ขั้นสูงสุดของลัทธิทุนนิยม]]'' ซึ่งแย้งว่าลัทธิ[[จักรวรรดินิยม]]เป็นผลมาจากระบบทุนนิยมผูกขาด เนื่องจากนายทุนพยายามที่จะเพิ่มผลกำไรโดยการขยายไปสู่ดินแดนใหม่ซึ่งมีค่าจ้างต่ำกว่าและวัตถุดิบที่ถูกกว่า เขาเชื่อว่าการแข่งขันและความขัดแย้งจะเพิ่มขึ้น และสงครามระหว่างมหาอำนาจจักรวรรดินิยมจะดำเนินต่อไปจนกว่ามหาอำนาจเหล่านั้นจะถูกโค่นล้มโดย[[การปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพ]]และสังคมนิยมที่สถาปนาขึ้น{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=95–100, 107|2a1=Rice|2y=1990|2pp=132–134|3a1=Service|3y=2000|3pp=245–246|4a1=White|4y=2001|4pp=118–121|5a1=Read|5y=2005|5pp=116–126}} เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอ่านผลงานของ[[เกออร์ค วิลเฮ็ล์ม ฟรีดริช เฮเกิล]] [[ลุดวิก ฟอวเออร์บัค]] และ[[อาริสโตเติล]] ซึ่งล้วนเป็นอิทธิพลสำคัญต่อมาคส์{{sfn|Service|2000|pp=241–242}} สิ่งนี้เปลี่ยนการตีความลัทธิมากซ์ของเลนิน ในขณะที่เขาเคยเชื่อว่านโยบายสามารถพัฒนาได้บนหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เขาสรุปว่าการทดสอบเดียวว่านโยบายนั้นถูกต้องหรือไม่คือการปฏิบัติ{{sfn|Service|2000|p=243}} เขายังคงรับรู้ว่าตัวเองเป็นนักลัทธิมากซ์ดั้งเดิม แต่เขาเริ่มแตกต่างจากการคาดการณ์ของมาคส์เกี่ยวกับการพัฒนาสังคม ในขณะที่มาคส์เชื่อว่า "การปฏิวัติกระฎุมพี-ประชาธิปไตย" ของชนชั้นกลางจะต้องเกิดขึ้นก่อน "การปฏิวัติสังคมนิยม" ของชนชั้นกรรมาชีพ เลนินเชื่อว่าในรัสเซีย ชนชั้นกรรมาชีพสามารถโค่นล้มระบอบการปกครองของซาร์ได้โดยไม่ต้องมีการปฏิวัติขั้นกลาง{{sfn|Service|2000|pp=238–239}}

=== การปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์และวันกรกฎาคม: ค.ศ. 1917 ===
[[File:Lenin Sealed Train Map-fr.svg|thumb|เส้นทางการเดินทางของเลนินจากซือริชไปยังเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก ขณะนั้นชื่อเปโตรกราด ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1917 รวมถึงการนั่งรถไฟที่เรียกว่า "รถไฟปิดผนึก" ผ่านดินแดนเยอรมนี]]
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 [[การปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์]]ได้ปะทุขึ้นในเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก โดยเปลี่ยนชื่อเป็นเปโตรกราดในช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในขณะที่คนงานในภาคอุตสาหกรรมนัดหยุดงานเนื่องจากการขาดแคลนอาหารและสภาพโรงงานที่ทรุดโทรมลง ความไม่สงบลุกลามไปยังส่วนอื่น ๆ ของรัสเซีย และจักรพรรดินีโคไลที่ 2 ทรงสละราชสมบัติด้วยเกรงว่าพระองค์จะถูกโค่นล้มอย่างรุนแรง สภาดูมารัฐเข้าควบคุมประเทศ ก่อตั้ง[[รัฐบาลชั่วคราวรัสเซีย]] และเปลี่ยนจักรวรรดิให้เป็น[[สาธารณรัฐรัสเซีย]]ใหม่{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1pp=136–138|2a1=Service|2y=2000|2p=253}} เมื่อเลนินทราบเรื่องนี้จากฐานของเขาในสวิตเซอร์แลนด์ เขาก็เฉลิมฉลองร่วมกับผู้ไม่เห็นด้วยคนอื่น ๆ{{sfn|Service|2000|pp=254–255}} เขาตัดสินใจกลับไปรัสเซียเพื่อดูแลบอลเชวิค แต่พบว่าเส้นทางส่วนใหญ่ในประเทศถูกปิดกั้นเนื่องจากความขัดแย้งที่ดำเนินอยู่ เขาได้จัดทำแผนร่วมกับผู้ไม่เห็นด้วยคนอื่น ๆ เพื่อเจรจาเส้นทางให้พวกเขาผ่านเยอรมนี ซึ่งรัสเซียอยู่ในภาวะสงครามในขณะนั้น ด้วยความตระหนักว่าผู้ไม่เห็นด้วยเหล่านี้อาจทำให้เกิดปัญหากับศัตรูรัสเซีย รัฐบาลเยอรมันจึงตกลงที่จะอนุญาตให้พลเมืองรัสเซีย 32 คนเดินทางโดยรถไฟผ่านดินแดนของตน ในจำนวนนี้ได้แก่เลนินและภรรยาของเขา{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=109–110|2a1=Rice|2y=1990|2p=139|3a1=Pipes|3y=1990|3pp=386, 389–391|4a1=Service|4y=2000|4pp=255–256|5a1=White|5y=2001|5pp=127–128}} ด้วยเหตุผลทางการเมือง เลนินและเยอรมันจึงตกลงกันเรื่องที่เลนินเดินทางโดยตู้รถไฟที่ปิดผนึกผ่านดินแดนเยอรมนี แต่ในความเป็นจริงแล้ว รถไฟไม่ได้ถูกปิดผนึกอย่างแท้จริง และผู้โดยสารก็ได้รับอนุญาตให้ลงจากรถได้ เช่น ค้างคืนใน[[แฟรงก์เฟิร์ต]]<ref>{{Cite magazine |last=Ted Widmer |date=20 April 2017 |title=Lenin and the Russian Spark |url=https://www.newyorker.com/culture/culture-desk/lenin-and-the-russian-spark |access-date=26 November 2019 |magazine=The New Yorker}}</ref> กลุ่มคณะเดินทางโดยรถไฟจากซือริชไปยัง[[ซาสนิทซ์]] จากนั้นเดินทางด้วยเรือข้ามฟากไปยัง[[เทรลเลบอริส]] [[ประเทศสวีเดน]] จากนั้นไปยังจุดผ่านแดนฮาปารันดา–ทอร์นิโอ จากนั้นไปยัง[[เฮลซิงกิ]] ก่อนที่จะขึ้นรถไฟขบวนสุดท้ายไปยังเปโตรกราดโดยการปลอมตัว{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=110–113|2a1=Rice|2y=1990|2pp=140–144|3a1=Pipes|3y=1990|3pp=391–392|4a1=Service|4y=2000|4pp=257–260}}

เมื่อมาถึง[[สถานีรถไฟฟินแลนด์]]ในกรุงเปโตรกราดในเดือนเมษายน เลนินกล่าวสุนทรพจน์ต่อผู้สนับสนุนบอลเชวิคประณามรัฐบาลชั่วคราว และเรียกร้องให้มีการปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพในยุโรปทั่วทั้งทวีปอีกครั้ง หลายวันต่อมา เขาพูดในการประชุมบอลเชวิคโดยตำหนิผู้ที่ต้องการปรองดองกับเมนเชวิค และเปิดเผย "[[บทเสนอเดือนเมษายน]]" ซึ่งเป็นโครงร่างแผนการของเขาสำหรับบอลเชวิค ซึ่งเขาเขียนไว้ระหว่างเดินทางจากสวิตเซอร์แลนด์ เขาประณามทั้งเมนเชวิคและนักปฏิวัติสังคมซึ่งปกครอง[[สภาโซเวียตเปโตรกราด]]ที่มีอิทธิพลที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลชั่วคราวอย่างเปิดเผย โดยประณามพวกเขาว่าเป็นผู้ทรยศต่อลัทธิสังคมนิยม เมื่อพิจารณาว่ารัฐบาลเป็นจักรวรรดินิยมพอ ๆ กับระบอบซาร์ เขาสนับสนุนสันติภาพโดยทันทีกับเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี การปกครองโดย[[โซเวียต (สภา)|โซเวียต]] โอนอุตสาหกรรมและธนาคารให้เป็นของชาติ และการเวนคืนที่ดินโดยรัฐ ทั้งหมดนี้ล้วนมีจุดมุ่งหมายในการจัดตั้งรัฐบาลชนชั้นกรรมาชีพและผลักดันไปสู่สังคมสังคมนิยม ในทางตรงกันข้ามเมนเชวิคเชื่อว่ารัสเซียไม่ได้รับการพัฒนาเพียงพอที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมนิยม และกล่าวหาว่าเลนินพยายามทำให้สาธารณรัฐใหม่เข้าสู่สงครามกลางเมือง{{sfnm|1a1=Service|1y=2000|1pp=266–268, 279|2a1=White|2y=2001|2pp=134–136|3a1=Read|3y=2005|3pp=147, 148}} ตลอดหลายเดือนต่อจากนี้ เลนินรณรงค์เรื่องนโยบายของเขา เข้าร่วมการประชุมของคณะกรรมการกลางบอลเชวิค เขียนผลงานให้กับหนังสือพิมพ์บอลเชวิคอย่าง ''[[ปราฟดา]]'' และกล่าวสุนทรพจน์ต่อสาธารณะในเปโตรกราดโดยมุ่งเป้าไปที่การเปลี่ยนแรงงาน ทหาร กะลาสีเรือ และชาวนาให้เป็นไปตามเป้าหมายของเขา{{sfnm|1a1=Service|1y=2000|1pp=267, 271–272|2a1=Read|2y=2005|2pp=152, 154}}

[[File:The locomotive M-293, which in August 1917 Lenin went to Finland.JPG|thumb|left|upright|หัวรถจักรเดิมที่ใช้ดึงรถไฟซึ่งเลนินมาถึงสถานีฟินแลนด์ของเปโตรกราดในเดือนเมษายน ค.ศ. 2460 ไม่ได้รับการเก็บรักษาไว้ ดังนั้น หัวรถจักรหมายเลข 293 ซึ่งเลนินหลบหนีไปฟินแลนด์แล้วกลับมารัสเซียในปีต่อมา ถูกทำเป็นนิทรรศการถาวร ติดตั้งที่ชานชาลาของสถานี{{sfn|Merridale|2017|p=ix}}]]
เลนินรับรู้ถึงความคับข้องใจที่เพิ่มมากขึ้นในหมู่ผู้สนับสนุนบอลเชวิค แนะนำให้จัดการชุมนุมทางการเมืองด้วยอาวุธในเปโตรกราดเพื่อทดสอบการตอบสนองของรัฐบาล{{sfnm|1a1=Service|1y=2000|1p=282|2a1=Read|2y=2005|2p=157}} ท่ามกลางสุขภาพที่ย่ำแย่ เขาออกจากเมืองไปพักฟื้นที่หมู่บ้านเนโวลาในฟินแลนด์{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1p=421|2a1=Rice|2y=1990|2p=147|3a1=Service|3y=2000|3pp=276, 283|4a1=White|4y=2001|4p=140|5a1=Read|5y=2005|5p=157}} การชุมนุมติดอาวุธของพวกบอลเชวิคที่ต่อมาถูกเรียกว่า[[วันกรกฎาคม]] เกิดขึ้นในขณะที่เลนินไม่อยู่{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1p=421|2a1=Rice|2y=1990|2p=147|3a1=Service|3y=2000|3pp=276, 283|4a1=White|4y=2001|4p=140|5a1=Read|5y=2005|5p=157}} แต่เมื่อทราบว่าผู้ประท้วงปะทะอย่างรุนแรงกับกองกำลังของรัฐบาล เขาก็กลับไปที่เปโตรกราดและเรียกร้องให้อยู่ในความสงบ.{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1pp=422–425|2a1=Rice|2y=1990|2pp=147–148|3a1=Service|3y=2000|3pp=283–284|4a1=Read|4y=2005|4pp=158–61|5a1=White|5y=2001|5pp=140–141|6a1=Read|6y=2005|6pp=157–159}} เพื่อตอบสนองต่อความรุนแรง รัฐบาลได้ออกคำสั่งให้จับกุมเลนินและบอลเชวิคคนสำคัญอื่น ๆ บุกเข้าไปในสำนักงานของพวกเขา และกล่าวหาต่อสาธารณะว่าเขาเป็น[[ผู้ใช้ให้กระทำความผิด|สายลับเพื่อก่อกวนทางการเมือง]]ของเยอรมัน{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1pp=431–434|2a1=Rice|2y=1990|2p=148|3a1=Service|3y=2000|3pp=284–285|4a1=White|4y=2001|4p=141|5a1=Read|5y=2005|5p=161}} เลนินซ่อนตัวอยู่ในเซฟเฮาส์ในเปโตรกราดเพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุม{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=125|2a1=Rice|2y=1990|2pp=148–149|3a1=Service|3y=2000|3p=285}} ด้วยความกลัวว่าจะถูกสังหาร เลนินและ[[กรีโกรี ซีโนเวียฟ]] เพื่อนและบอลเชวิคอาวุโสจึงหนีจากเปโตรกราดโดยปลอมตัวมาย้ายไปอยู่ที่[[รัจลีฟ]]{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1pp=436, 467|2a1=Service|2y=2000|2p=287|3a1=White|3y=2001|3p=141|4a1=Read|4y=2005|4p=165}} ที่นั่น เลนินเริ่มเขียนหนังสือที่ชื่อ ''[[รัฐและการปฏิวัติ]]'' ซึ่งเป็นการอธิบายว่าเขาเชื่อว่ารัฐสังคมนิยมจะพัฒนาไปอย่างไรหลังการปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพ และหลังจากนั้นรัฐจะค่อย ๆ สูญสลายไป เหลือเพียง[[สังคมคอมมิวนิสต์|สังคมคอมมิวนิสต์ที่บริสุทธิ์]]ได้อย่างไร{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1pp=468–469|2a1=Rice|2y=1990|2p=149|3a1=Service|3y=2000|3p=289|4a1=White|4y=2001|4pp=142–143|5a1=Read|5y=2005|5pp=166–172}} เขาเริ่มโต้เถียงเรื่องการลุกฮือติดอาวุธที่นำโดยบอลเชวิคเพื่อโค่นล้มรัฐบาล แต่ความคิดนี้ถูกปฏิเสธในการประชุมลับของคณะกรรมการกลางพรรค{{sfn|Service|2000|p=288}} จากนั้นเลนินเดินทางด้วยรถไฟและเดินเท้าไปยังฟินแลนด์ โดยมาถึงเฮลซิงกิในวันที่ 10 สิงหาคม ซึ่งเขาซ่อนตัวอยู่ในเซฟเฮาส์ที่เป็นของกลุ่มผู้เห็นใจบอลเชวิค{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1p=468|2a1=Rice|2y=1990|2p=150|3a1=Service|3y=2000|3pp=289–292|4a1=Read|4y=2005|4p=165}}

=== การปฏิวัติเดือนตุลาคม: ค.ศ. 1917 ===
{{Main article|การปฏิวัติเดือนตุลาคม}}
[[File:Brodskiy's Lenin.jpg|thumb|ภาพวาดเลนินหน้าสถาบันสโมลนืยโดย [[อีซัค บรอดสกี]]]]

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1917 ขณะที่เลนินอยู่ในฟินแลนด์ นายพล[[ลัฟร์ คอร์นีลอฟ]] ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพรัสเซียได้ส่งกองทหารไปยังเปโตรกราดในสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็น[[กรณีคอร์นีลอฟ|ความพยายามก่อรัฐประหาร]]เพื่อต่อต้านรัฐบาลชั่วคราว [[อะเลคซันดร์ เคเรนสกี]] ประธานรัฐมนตรีหันไปขอความช่วยเหลือจากสภาโซเวียตเปโตรกราดรวมถึงสมาชิกบอลเชวิคเพื่อขอความช่วยเหลือ โดยปล่อยให้นักปฏิวัติจัดคนงานเป็นหน่วย[[องครักษ์แดง]]เพื่อปกป้องเมือง การรัฐประหารยุติลงก่อนที่จะถึงเปโตรกราด แต่เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้บอลเชวิคสามารถกลับคืนสู่เวทีการเมืองที่เปิดกว้างได้{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1pp=439–465|2a1=Rice|2y=1990|2pp=150–151|3a1=Service|3y=2000|3p=299|4a1=White|4y=2001|4pp=143–144|5a1=Read|5y=2005|5p=173}} ด้วยความกลัวการต่อต้านการปฏิวัติจากกองกำลังฝ่ายขวาที่เป็นศัตรูกับสังคมนิยม เมนเชวิคและกลุ่มนักปฏิวัติสังคมนิยมที่ครอบงำสภาโซเวียตเปโตรกราดจึงมีบทบาทสำคัญในการกดดันรัฐบาลให้ปรับความสัมพันธ์กับบอลเชวิคให้เป็นปกติ{{sfn|Pipes|1990|p=465}} ทั้งเมนเชวิคและพรรคปฏิวัติสังคมนิยมสูญเสียการสนับสนุนจากประชาชนไปมาก เนื่องจากพวกเขาร่วมมือกับรัฐบาลชั่วคราวและการทำสงครามอย่างต่อเนื่องที่ไม่เป็นที่นิยม บอลเชวิคใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ และในไม่ช้า ทรอตสกีนักลัทธิมากซ์ผู้สนับสนุนบอลเชวิคก็ได้รับเลือกเป็นผู้นำของสภาโซเวียตเปโตรกราด{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1pp=465–467|2a1=White|2y=2001|2p=144|3a1=Lee|3y=2003|3p=17|4a1=Read|4y=2005|4p=174}} ในเดือนกันยายน บอลเชวิคได้รับเสียงข้างมากในส่วนของคนงานของทั้งสภาโซเวียตมอสโกและเปโตรกราด{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1p=471|2a1=Rice|2y=1990|2pp=151–152|3a1=Read|3y=2005|3p=180}}

เมื่อตระหนักว่าสถานการณ์ปลอดภัยสำหรับเขา เลนินจึงกลับไปที่เปโตรกราด{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1pp=473, 482|2a1=Rice|2y=1990|2p=152|3a1=Service|3y=2000|3pp=302–303|4a1=Read|4y=2005|4p=179}} ที่นั่นเขาได้เข้าร่วมการประชุมของคณะกรรมการกลางบอลเชวิคเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ซึ่งเขาโต้แย้งอีกครั้งว่าพรรคควรนำการลุกฮือด้วยอาวุธเพื่อโค่นล้มรัฐบาลชั่วคราว ซึ่งในครั้งนี้การโต้แย้งชนะด้วยคะแนน 10 ต่อ 2 เสียง{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1pp=482–484|2a1=Rice|2y=1990|2pp=153–154|3a1=Service|3y=2000|3pp=303–304|4a1=White|4y=2001|4pp=146–147}} ซีโนเวียฟและคาเมนเนฟวิจารณ์แผนนี้โดยแย้งว่าคนงานชาวรัสเซียจะไม่สนับสนุนการทำรัฐประหารอย่างรุนแรงเพื่อต่อต้านระบอบการปกครอง และไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนสำหรับการยืนยันของเลนินว่ายุโรปทั้งหมดจวนจะปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพ{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1pp=471–472|2a1=Service|2y=2000|2p=304|3a1=White|3y=2001|3p=147}} พรรคเริ่มแผนการจัดระเบียบการโจมตี โดยจัดการประชุมครั้งสุดท้ายที่[[สถาบันสโมลนืย]]ในวันที่ 24 ตุลาคม{{sfn|Service|2000|pp=306–307}} ที่นี่เป็นฐานของ[[คณะกรรมการปฏิวัติทหาร]] (แวแอร์กา) ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธที่ภักดีต่อบอลเชวิคซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยสภาโซเวียตเปโตรกราดในช่วงที่คอร์นีลอฟถูกกล่าวหาว่าทำรัฐประหาร{{sfnm|1a1=Rigby|1y=1979|1pp=14–15|2a1=Leggett|2y=1981|2pp=1–3|3a1=Pipes|3y=1990|3p=466|4a1=Rice|4y=1990|4p=155}}

ในเดือนตุลาคม แวแอร์กาได้รับคำสั่งให้ควบคุมศูนย์กลางการคมนาคม การสื่อสาร การพิมพ์ และสาธารณูปโภคที่สำคัญของเปโตรกราด และดำเนินการโดยไม่มีการนองเลือด{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1pp=485–486, 491|2a1=Rice|2y=1990|2pp=157, 159|3a1=Service|3y=2000|3p=308}} บอลเชวิคปิดล้อมรัฐบาลใน[[พระราชวังฤดูหนาว]] และเอาชนะรัฐบาลได้และจับกุมบรรดารัฐมนตรีหลังจากที่[[เรือลาดตระเวนรัสเซียอะวโรระ|เรือลาดตระเวน ''อะวโรระ'']] ซึ่งควบคุมโดยลูกเรือบอลเชวิค ยิงกระสุนเปล่าเพื่อส่งสัญญาณการเริ่มต้นของการปฏิวัติ{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1pp=492–493, 496|2a1=Service|2y=2000|2p=311|3a1=Read|3y=2005|3p=182}} ในระหว่างการจลาจล เลนินกล่าวปราศรัยต่อสภาโซเวียตเปโตรกราดโดยประกาศว่ารัฐบาลชั่วคราวถูกโค่นล้มแล้ว{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1p=491|2a1=Service|2y=2000|2p=309}} บอลเชวิคประกาศจัดตั้งรัฐบาลใหม่คือ[[คณะกรรมการราษฎร (สหภาพโซเวียต)|คณะกรรมการราษฎร]] หรือโซฟนาร์คอม ในตอนแรกเลนินปฏิเสธตำแหน่ง[[หัวหน้ารัฐบาลสหภาพโซเวียต|หัวหน้ารัฐบาล]] โดยเสนอให้ทรอตสกีรับงานนี้ แต่บอลเชวิคคนอื่น ๆ ยืนกรานและท้ายที่สุดเลนินก็ยอมรับตำแหน่ง{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1p=499|2a1=Service|2y=2000|2pp=314–315}} จากนั้นเลนินและบอลเชวิคคนอื่น ๆ ได้เข้าร่วมการประชุม[[รัฐสภาโซเวียตแห่งรัสเซียทั้งปวง|รัฐสภาโซเวียต]]ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 26 และ 27 ตุลาคม และประกาศการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เมนเชวิคที่เข้าร่วมการประชุมประณามการยึดอำนาจโดยมิชอบและความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามกลางเมือง{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1pp=496–497|2a1=Rice|2y=1990|2pp=159–161|3a1=Service|3y=2000|3pp=314–315|4a1=Read|4y=2005|4p=183}} ในช่วงแรก ๆ ของระบอบการปกครองใหม่ เลนินหลีกเลี่ยงการพูดในแง่ลัทธิมากซ์และสังคมนิยม เพื่อไม่ให้ประชากรรัสเซียแปลกแยก และกลับพูดถึงการให้ประเทศถูกควบคุมโดยคนงานแทน{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1p=504|2a1=Service|2y=2000|2p=315}} เลนินและบอลเชวิคอีกหลายคนคาดว่าการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพจะแผ่ขยายไปทั่วยุโรปภายในไม่กี่วันหรือหลายเดือน{{sfn|Service|2000|p=316}}

== รัฐบาลของเลนิน ==
=== การจัดตั้งรัฐบาลโซเวียต: ค.ศ. 1917–1918 ===
รัฐบาลชั่วคราวได้วางแผนให้มีการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 จากการคัดค้านของเลนิน คณะกรรมการราษฎรตกลงที่จะลงคะแนนเสียงตามกำหนด{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=314|2a1=Service|2y=2000|2p=317}} ในการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ บอลเชวิคได้รับคะแนนเสียงประมาณหนึ่งในสี่ โดยพ่ายแพ้ต่อกลุ่มปฏิวัติสังคมนิยมที่เน้นเรื่องเกษตรกรรม{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=315|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=540–541|3a1=Rice|3y=1990|3p=164|4a1=Volkogonov|4y=1994|4p=173|5a1=Service|5y=2000|5p=331|6a1=Read|6y=2005|6p=192}} เลนินแย้งว่าการเลือกตั้งไม่ได้สะท้อนเจตจำนงของประชาชนอย่างยุติธรรม ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่มีเวลาเรียนรู้โครงการการเมืองของบอลเชวิคและรายชื่อผู้สมัครได้รับการร่างขึ้นก่อนที่กลุ่ม[[พรรคปฏิวัติสังคมนิยมฝ่ายซ้าย|ปฏิวัติสังคมนิยมฝ่ายซ้าย]]จะแยกตัวออกจากกลุ่มปฏิวัติสังคมนิยม{{sfnm|1a1=Volkogonov|1y=1994|1p=176|2a1=Service|2y=2000|2pp=331–332|3a1=White|3y=2001|3p=156|4a1=Read|4y=2005|4p=192}} อย่างไรก็ตาม [[สภาร่างรัฐธรรมนูญรัสเซีย]]ที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่ได้จัดขึ้นที่เปโตรกราดในเดือนมกราคม ค.ศ. 1918{{sfn|Rice|1990|p=164}} คณะกรรมการราษฎรแย้งว่าเป็นการต่อต้านการปฏิวัติเพราะพยายามจะถอดอำนาจออกจากโซเวียต แต่ฝ่ายปฏิวัติสังคมนิยมและเมนเชวิคปฏิเสธเรื่องนี้{{sfn|Pipes|1990|pp=546–547}} ฝ่ายบอลเชวิคเสนอญัตติที่จะถอดถอนอำนาจทางกฎหมายส่วนใหญ่ของสภา เมื่อสมัชชาปฏิเสธญัตติ คณะกรรมการราษฎรประกาศว่านี่เป็นหลักฐานที่แสดงถึงลักษณะของการต่อต้านการปฏิวัติและบังคับให้ยุบสภา{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1pp=552–553|2a1=Rice|2y=1990|2p=165|3a1=Volkogonov|3y=1994|3pp=176–177|4a1=Service|4y=2000|4pp=332, 336–337|5a1=Read|5y=2005|5p=192}}

เลนินปฏิเสธคำเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำอีก รวมถึงจากบอลเชวิคบางคนให้จัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคสังคมนิยมอื่น ๆ{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=158|2a1=Shub|2y=1966|2pp=301–302|3a1=Rigby|3y=1979|3p=26|4a1=Leggett|4y=1981|4p=5|5a1=Pipes|5y=1990|5pp=508, 519|6a1=Service|6y=2000|6pp=318–319|7a1=Read|7y=2005|7pp=189–190}} แม้ว่าจะปฏิเสธการเป็นพันธมิตรกับเมนเชวิคหรือพรรคปฏิวัติสังคมนิยมแต่คณะกรรมการราษฎรก็ยอมอ่อนข้อบางส่วน คณะกรรมการราษฎรอนุญาตให้พรรคปฏิวัติสังคมนิยมฝ่ายซ้ายดำรงตำแหน่ง 5 ตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1917 พันธมิตรนี้กินเวลาเพียงสี่เดือนจนถึงเดือนมีนาคม ค.ศ. 1918 เมื่อพรรคปฏิวัติสังคมนิยมฝ่ายซ้ายถอนตัวออกจากรัฐบาลเนื่องจากไม่เห็นด้วยกับแนวทางของบอลเชวิคในการยุติสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง{{sfnm|1a1=Rigby|1y=1979|1pp=166–167|2a1=Leggett|2y=1981|2pp=20–21|3a1=Pipes|3y=1990|3pp=533–534, 537|4a1=Volkogonov|4y=1994|4p=171|5a1=Service|5y=2000|5pp=322–323|6a1=White|6y=2001|6p=159|7a1=Read|7y=2005|7p=191}} ใน[[การประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย (บอลเชวิค) ครั้งที่ 7 |การประชุมสมัชชาครั้งที่ 7]] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1918 บอลเชวิคเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการจากพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซียเป็นพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย เนื่องจากเลนินต้องการแยกกลุ่มของเขาออกจากพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยเยอรมันที่ปฏิรูปมากขึ้นเรื่อย ๆ และเพื่อเน้นย้ำเป้าหมายสูงสุดของตนซึ่งนั่นก็คือสังคมคอมมิวนิสต์{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=219, 256, 379|2a1=Shub|2y=1966|2p=374|3a1=Service|3y=2000|3p=355|4a1=White|4y=2001|4p=159|5a1=Read|5y=2005|5p=219}}

[[File:Kremlin birds eye view-1.jpg|thumb|left|[[เครมลินแห่งมอสโก]]ซึ่งเลนินย้ายเข้าไปอยู่ใน ค.ศ. 1918 (''ภาพถ่ายใน ค.ศ. 1987'')]]

แม้ว่าอำนาจสูงสุดจะตกอยู่ภายใต้รัฐบาลของประเทศอย่างเป็นทางการในรูปแบบของคณะกรรมการราษฎรและ[[คณะกรรมการบริหารกลางทั้งปวงรัสเซีย|คณะกรรมการบริหาร]] (VTSIK) ที่ได้รับเลือกโดย[[รัฐสภาโซเวียตแห่งรัสเซียทั้งปวง]] (ARCS) พรรคคอมมิวนิสต์อยู่ภายใต้การควบคุมโดยพฤตินัยในรัสเซีย ดังที่สมาชิกยอมรับในขณะนั้น{{sfnm|1a1=Rigby|1y=1979|1pp=160–164|2a1=Volkogonov|2y=1994|2pp=374–375|3a1=Service|3y=2000|3p=377}} ภายใน ค.ศ. 1918 คณะกรรมการราษฎรเริ่มดำเนินการเพียงฝ่ายเดียวโดยอ้างว่าจำเป็นต้องมีความสะดวก{{sfnm|1a1=Sandle|1y=1999|1p=74|2a1=Rigby|2y=1979|2pp=168–169}} โดยที่คณะกรรมการบริหารและรัฐสภาโซเวียตกลายเป็นชายขอบมากขึ้น ดังนั้นโซเวียตจึงไม่มีบทบาทในการปกครองรัสเซียอีกต่อไป{{sfn|Fischer|1964|p=432}} ระหว่าง ค.ศ. 1918 และ ค.ศ. 1919 รัฐบาลขับเมนเชวิคและพรรคปฏิวัติสังคมนิยมออกจากโซเวียต{{sfnm|1a1=Leggett|1y=1981|1p=316|2a1=Lee|2y=2003|2pp=98–99}} รัสเซียได้กลายเป็น[[รัฐพรรคการเมืองเดียว]]{{sfnm|1a1=Rigby|1y=1979|1pp=160–161|2a1=Leggett|2y=1981|2p=21|3a1=Lee|3y=2003|3p=99}}

ภายในพรรคได้จัดตั้งกรมการเมือง ([[โปลิตบูโร]]) และกรมองค์การ ([[ออร์กบูโร]]) เพื่อติดตาม[[คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต|คณะกรรมการกลาง]]ที่มีอยู่ การตัดสินใจของหน่วยงานพรรคเหล่านี้จะต้องได้รับการรับรองจากคณะกรรมการราษฎรและ[[สภาแรงงานและกลาโหม]]{{sfnm|1a1=Service|1y=2000|1p=388|2a1=Lee|2y=2003|2p=98}} เลนินเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในโครงสร้างการปกครองนี้ เช่นเดียวกับการเป็นประธานคณะกรรมการราษฎรและนั่งอยู่ในสภาแรงงานและกลาโหม และเป็นคณะกรรมการกลางและโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์{{sfn|Service|2000|p=388}} บุคคลเพียงคนเดียวที่เข้าใกล้อิทธิพลนี้ได้คือ[[ยาคอฟ สเวียร์ดลอฟ]] มือขวาของเลนิน ซึ่งเสียชีวิตในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1919 ระหว่างการระบาดของ[[ไข้หวัดใหญ่สเปน]]{{sfnm|1a1=Rigby|1y=1979|1pp=168, 170|2a1=Service|2y=2000|2p=388}} ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918 เลนินและภรรยาของเขาได้เข้าพักในแฟลตสองห้องภายในสถาบันสโมลนืย ในเดือนถัดมาพวกเขาก็ไปพักร้อนช่วงสั้น ๆ ในเมือง[[ฮาลิลา]] ประเทศฟินแลนด์{{sfnm|1a1=Service|1y=2000|1pp=325–326, 333|2a1=Read|2y=2005|2pp=211–212}} ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2461 เขารอดชีวิตจากความพยายามลอบสังหารในเปโตรกราด [[ฟริตซ์ แพลตเทน]] ซึ่งอยู่กับเลนินในเวลานั้น ได้ปกป้องเขาและได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืน{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=361|2a1=Pipes|2y=1990|2p=548|3a1=Volkogonov|3y=1994|3p=229|4a1=Service|4y=2000|4pp=335–336|5a1=Read|5y=2005|5p=198}}

ด้วยความกังวลว่ากองทัพเยอรมันเป็นภัยคุกคามต่อเปโตรกราด ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1918 คณะกรรมการราษฎรจึงย้ายเมืองหลวงไปยัง[[มอสโก]]{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=156|2a1=Shub|2y=1966|2p=350|3a1=Pipes|3y=1990|3p=594|4a1=Volkogonov|4y=1994|4p=185|5a1=Service|5y=2000|5p=344|6a1=Read|6y=2005|6p=212}} โดยเริ่มแรกเป็นมาตรการชั่วคราว ที่นั่น เลนิน ทรอตสกี และผู้นำบอลเชวิคคนอื่น ๆ ย้ายไปที่[[เครมลินแห่งมอสโก|เครมลิน]] ซึ่งเลนินอาศัยอยู่กับภรรยาและน้องสาวของเขา มาเรีย ในอพาร์ตเมนต์ชั้นหนึ่งติดกับห้องที่ใช้จัดการประชุมคณะกรรมการราษฎร{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=320–321|2a1=Shub|2y=1966|2p=377|3a1=Pipes|3y=1990|3pp=94–595|4a1=Volkogonov|4y=1994|4pp=187–188|5a1=Service|5y=2000|5pp=346–347|6a1=Read|6y=2005|6p=212}} เลนินไม่ชอบมอสโก{{sfn|Service|2000|p=345}} แต่ไม่ค่อยได้ออกจากใจกลางเมืองเลยตลอดชีวิตของเขา{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=466|2a1=Service|2y=2000|2p=348}} เขารอดชีวิตจาก[[ความพยายามลอบสังหารวลาดีมีร์ เลนิน|ความพยายามลอบสังหาร]]ครั้งที่สองในมอสโกเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1918 เขาถูกยิงหลังจากการกล่าวปราศรัยในที่สาธารณะและได้รับบาดเจ็บสาหัส{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=280|2a1=Shub|2y=1966|2pp=361–362|3a1=Pipes|3y=1990|3pp=806–807|4a1=Volkogonov|4y=1994|4pp=219–221|5a1=Service|5y=2000|5pp=367–368|6a1=White|6y=2001|6p=155}} [[ฟันนี คาปลัน]] นักปฏิวัติสังคมนิยมซึ่งเป็นมือปืนถูกจับกุมและประหารชีวิต{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=282–283|2a1=Shub|2y=1966|2pp=362–363|3a1=Pipes|3y=1990|3pp=807, 809|4a1=Volkogonov|4y=1994|4pp=222–228|5a1=White|5y=2001|5p=155}} การโจมตีดังกล่าวได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในสื่อรัสเซีย ทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจอย่างมากต่อเลนินและเพิ่มความนิยมของเขา{{sfn|Volkogonov|1994|pp=222, 231}} เพื่อเป็นการพักผ่อน เขาย้ายไปยัง[[กอร์กีเลนินสกีเย|ที่ดินทีกอร์กี]]อันหรูหรานอกมอสโกในเดือนกันยายน ค.ศ. 1918 ซึ่งรัฐบาลเพิ่งโอนมาเป็นของรัฐสำหรับเขา{{sfn|Service|2000|p=369}}

=== การปฏิรูปสังคม กฎหมาย และเศรษฐกิจ: ค.ศ. 1917–1918 ===
เมื่อเข้าคุมอำนาจ ระบอบการปกครองของเลนินได้ออกกฤษฎีกาหลายฉบับ ประการแรกคือ[[กฤษฎีกาที่ดิน]]ซึ่งประกาศว่าที่ดินที่ถือครองของชนชั้นสูงและคริสตจักรออร์โธดอกซ์ควรเป็นรัฐและแจกจ่ายให้กับชาวนาโดยรัฐบาลท้องถิ่น สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับความปรารถนาของเลนินใน[[การรวมที่นา|การรวมกลุ่มเกษตรกรรม]] แต่ทำให้รัฐบาลยอมรับการยึดที่ดินของชาวนาในวงกว้างที่เกิดขึ้นแล้ว{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=252–253|2a1=Pipes|2y=1990|2p=499|3a1=Volkogonov|3y=1994|3p=341|4a1=Service|4y=2000|4pp=316–317|5a1=White|5y=2001|5p=149|6a1=Read|6y=2005|6pp=194–195}} ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 รัฐบาลได้ออกกฤษฎีกาว่าด้วยสื่อมวลชนซึ่งปิดสื่อฝ่ายค้านจำนวนมากที่ถือว่าเป็นการต่อต้านการปฏิวัติโดยอ้างว่ามาตรการดังกล่าวเป็นเพียงมาตรการชั่วคราวกฤษฎีกาดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง รวมถึงบอลเชวิคหลายคน ในเรื่องที่ประนีประนอม[[เสรีภาพสื่อ]]{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=310|2a1=Leggett|2y=1981|2pp=5–6, 8, 306|3a1=Pipes|3y=1990|3pp=521–522|4a1=Service|4y=2000|4pp=317–318|5a1=White|5y=2001|5p=153|6a1=Read|6y=2005|6pp=235–236}}

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 เลนินได้ออก[[ปฏิญญาสิทธิประชาชนรัสเซีย]] ซึ่งระบุว่ากลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่ใช่ชาวรัสเซียที่อาศัยอยู่ในสาธารณรัฐมีสิทธิ์แยกตัวออกจากอำนาจของรัสเซียและสถาปนารัฐชาติอิสระของตนเอง{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=249|2a1=Pipes|2y=1990|2p=514|3a1=Service|3y=2000|3p=321}} หลายประเทศได้ประกาศอิสรภาพ ([[คำประกาศอิสรภาพฟินแลนด์|ฟินแลนด์]]และ[[รัฐบัญญัติประกาศอิสรภาพลิทัวเนีย|ลิทัวเนียในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1917]] ลัตเวียและยูเครนในเดือนมกราคม ค.ศ. 1917 [[คำประกาศอิสรภาพเอสโตเนีย|เอสโตเนียในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918]] [[สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยทรานส์คอเคเซีย|ทรานส์คอเคเชียในเดือนเมษายน ค.ศ. 1918]] และ[[สาธารณรัฐโปแลนด์ที่ 2|โปแลนด์ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918]]){{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=249|2a1=Pipes|2y=1990|2p=514|3a1=Read|3y=2005|3p=219}} ในไม่ช้า บอลเชวิคก็ส่งเสริมพรรคคอมมิวนิสต์ในรัฐชาติอิสระเหล่านี้อย่างแข็งขัน{{sfn|White|2001|pp=159–160}} ขณะเดียวกันในการประชุมรัฐสภาโซเวียตทั้งปวงรัสเซียครั้งที่ 5 ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1918 [[รัฐธรรมนูญแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย พ.ศ. 2461|รัฐธรรมนูญได้รับการอนุมัติ]]ซึ่งปฏิรูปสาธารณรัฐรัสเซียเป็น[[สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย]]{{sfn|Fischer|1964|p=249}} ด้วยความพยายามที่จะปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย รัฐบาลจึงเปลี่ยนรัสเซียจาก[[ปฏิทินจูเลียน]]เป็น[[ปฏิทินกริกอเรียน]]ที่ใช้ในยุโรปอย่างเป็นทางการ{{sfnm|1a1=Sandle|1y=1999|1p=84|2a1=Read|2y=2005|2p=211}}

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 คณะกรรมการราษฎรได้ออกกฤษฎีกายกเลิกระบบกฎหมายของรัสเซีย โดยเรียกร้องให้ใช้ "จิตสำนึกแห่งการปฏิวัติ" มาแทนที่กฎหมายที่ถูกยกเลิก{{sfnm|1a1=Leggett|1y=1981|1pp=172–173|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=796–797|3a1=Read|3y=2005|3p=242}} ศาลถูกแทนที่ด้วยระบบสองระดับ ได้แก่ ศาลปฏิวัติเพื่อจัดการกับอาชญากรรมที่ต่อต้านการปฏิวัติ{{sfnm|1a1=Leggett|1y=1981|1p=172|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=798–799|3a1=Ryan|3y=2012|3p=121}} และศาลประชาชนเพื่อจัดการกับความผิดทางแพ่งและทางอาญาอื่น ๆ พวกเขาได้รับคำสั่งให้เพิกเฉยต่อกฎหมายที่มีอยู่แล้ว และยึดถือคำตัดสินของตนตามกฤษฎีกาของคณะกรรมการราษฎรและ "สำนึกแห่งความยุติธรรมแบบสังคมนิยม"{{sfnm|1a1=Hazard|1y=1965|1p=270|2a1=Leggett|2y=1981|2p=172|3a1=Pipes|3y=1990|3pp=796–797}} เดือนพฤศจิกายนยังได้เห็นการยกเครื่องกองทัพ คณะกรรมการราษฎรใช้มาตรการที่เท่าเทียม ยกเลิกยศ ตำแหน่ง และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ก่อนหน้านี้ และเรียกร้องให้ทหารจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อเลือกผู้บัญชาการของตน{{sfn|Volkogonov|1994|p=170}}

[[File:Dyadya lenin.jpg|thumb|upright|left|โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อของบอลเชวิคจาก ค.ศ. 1920 มีการ์ตูนการเมืองที่วาดภาพเลนินกวาดล้างกษัตริย์ นักบวช และนายทุน คำบรรยายเขียนว่า ''สหายเลนินเก็บกวาดโลกแห่งความโสมม'']]

ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1917 เลนินออกกฤษฎีกาจำกัดการทำงานสำหรับทุกคนในรัสเซียไว้ที่ 8 ชั่วโมงต่อวัน{{sfn|Service|2000|p=321}} นอกจากนี้เขายังออกกฤษฎีกาว่าด้วยการศึกษาแบบประชานิยม ซึ่งกำหนดว่ารัฐบาลจะรับประกันการศึกษาทางโลกฟรีสำหรับเด็กทุกคนในรัสเซีย{{sfn|Service|2000|p=321}} และกฤษฎีกาจัดตั้งระบบสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของรัฐ{{sfn|Fischer|1964|pp=260–261}} เพื่อต่อสู้กับ[[การรู้หนังสือ|การไม่รู้หนังสือ]]ของประชาชน จึงได้ริเริ่ม[[ลีคเบียซ์|การรณรงค์การรู้หนังสือ]] ประมาณ 5 ล้านคนลงทะเบียนเรียนหลักสูตรเร่งรัดของการรู้หนังสือขั้นพื้นฐานระหว่าง ค.ศ. 1920 ถึง ค.ศ. 1926{{sfn|Sandle|1999|p=174}} เพื่อยอมรับความเท่าเทียมกันทางเพศ จึงมีการใช้กฎหมายที่ช่วยให้ผู้หญิงมีอิสระ โดยให้อิสระทางเศรษฐกิจจากสามี และยกเลิกข้อจำกัดในการหย่าร้าง{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=554–555|2a1=Sandle|2y=1999|2p=83}} [[เจโนตเดล]]ซึ่งเป็นองค์กรสตรีบอลเชวิคก่อตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมเป้าหมายเหล่านี้ ภายใต้การปกครองของเลนิน รัสเซียกลายเป็นประเทศแรกที่ออกกฎหมายให้ทำแท้งตามความต้องการในช่วงไตรมาสแรก{{sfn|Sandle|1999|pp=122–123}} เลนินและพรรคคอมมิวนิสต์ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างเข้มแข็งต้องการทำลายระบบศาสนา{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=552|2a1=Leggett|2y=1981|2p=308|3a1=Sandle|3y=1999|3p=126|4a1=Read|4y=2005|4pp=238–239|5a1=Ryan|5y=2012|5pp=176, 182}} ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1918 รัฐบาลได้ออกคำสั่งให้แยกคริสตจักรและรัฐให้ออกจากกัน และห้ามการเรียนการสอนศาสนาในโรงเรียน{{sfnm|1a1=Volkogonov|1y=1994|1p=373|2a1=Leggett|2y=1981|2p=308|3a1=Ryan|3y=2012|3p=177}}

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 เลนินได้ออกกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมแรงงาน ซึ่งเรียกร้องให้แรงงานของแต่ละองค์กรจัดตั้งคณะกรรมการที่ได้รับเลือกขึ้นเพื่อติดตามการจัดการของวิสาหกิจของตน{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1p=709|2a1=Service|2y=2000|2p=321}} ในเดือนนั้นพวกเขายังได้ออกคำสั่งขอทองคำของประเทศ{{sfn|Volkogonov|1994|p=171}} และโอนธนาคารให้เป็นของรัฐ ซึ่งเลนินมองว่าเป็นก้าวสำคัญสู่สังคมนิยม{{sfnm|1a1=Rigby|1y=1979|1pp=45–46|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=682, 683|3a1=Service|3y=2000|3p=321|4a1=White|4y=2001|4p=153}} ในเดือนธันวาคม คณะกรรมการราษฎรได้จัดตั้ง[[สภาเศรษฐกิจแห่งชาติสูงสุด]] (VSNKh) ซึ่งมีอำนาจเหนืออุตสาหกรรม การธนาคาร การเกษตร และการค้า{{sfnm|1a1=Rigby|1y=1979|1p=50|2a1=Pipes|2y=1990|2p=689|3a1=Sandle|3y=1999|3p=64|4a1=Service|4y=2000|4p=321|5a1=Read|5y=2005|5p=231}} คณะกรรมการโรงงานเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของสหภาพแรงงาน ซึ่งอยู่ภายใต้สังกัดสภาเศรษฐกิจแห่งชาติสูงสุด แผนเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ของรัฐจัดลำดับความสำคัญเหนือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในท้องถิ่นของคนงาน{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=437–438|2a1=Pipes|2y=1990|2p=709|3a1=Sandle|3y=1999|3pp=64, 68}} ในช่วงต้น ต.ศ. 1918 คณะกรรมการราษฎรได้ยกเลิกหนี้ต่างประเทศทั้งหมดและปฏิเสธที่จะจ่ายดอกเบี้ยที่เป็นหนี้อยู่{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=263–264|2a1=Pipes|2y=1990|2p=672}} ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1918 การค้าระหว่างประเทศเป็นของรัฐ ทำให้เกิดการผูกขาดการนำเข้าและส่งออกโดยรัฐ{{sfn|Fischer|1964|p=264}} ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1918 ได้มีการกฤษฎีกาโอนสาธารณูปโภค การรถไฟ วิศวกรรม สิ่งทอ โลหะวิทยา และเหมืองแร่ ให้เป็นของรัฐ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้มักเป็นของรัฐในนามเท่านั้น{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1pp=681, 692–693|2a1=Sandle|2y=1999|2pp=96–97}} การโอนมาเป็นของรัฐอย่างเต็มรูปแบบไม่ได้เกิดขึ้นจนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1920 เมื่อวิสาหกิจอุตสาหกรรมขนาดเล็กอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1pp=692–693|2a1=Sandle|2y=1999|2p=97}}

กลุ่มหนึ่งของบอลเชวิคที่รู้จักกันในชื่อ "[[กลุ่มคอมมิวนิสต์ซ้าย|คอมมิวนิสต์ซ้าย]]" วิพากษ์วิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจของคณะกรรมการราษฎรว่าอยู่ในระดับปานกลางเกินไป พวกเขาต้องการโอนอุตสาหกรรม เกษตรกรรม การค้า การเงิน การขนส่ง และการสื่อสารมาเป็นของรัฐ{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=236|2a1=Service|2y=2000|2pp=351–352}} เลนินเชื่อว่าขั้นตอนนี้ทำไม่ได้ในทางปฏิบัติ และรัฐบาลควรโอนวิสาหกิจทุนนิยมขนาดใหญ่ของรัสเซีย เช่น ธนาคาร ทางรถไฟ ที่ดินขนาดใหญ่ โรงงานและเหมืองแร่ขนาดใหญ่ให้เป็นของรัฐเท่านั้น{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=236|2a1=Service|2y=2000|2pp=351–352}} ซึ่งอนุญาตให้ธุรกิจขนาดเล็กดำเนินกิจการแบบส่วนตัวได้จนกว่าพวกเขาจะขยายใหญ่พอที่จะสามารถโอนมาเป็นของรัฐได้ เลนินยังไม่เห็นด้วยกับกลุ่มคอมมิวนิสต์ซ้ายเกี่ยวกับองค์กรทางเศรษฐกิจ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1918 เขาแย้งว่าจำเป็นต้องมีการควบคุมเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ของอุตสาหกรรม ในขณะที่กลุ่มคอมมิวนิสต์ซ้ายต้องการให้โรงงานแต่ละแห่งถูกควบคุมโดยแรงงาน ซึ่งเป็นแนวทางที่เลนินมองว่าเป็นอันตรายต่อสังคมนิยม{{sfn|Fischer|1964|pp=259, 444–445}}

การนำมุมมองเสรีนิยมฝ่ายซ้ายมาใช้ ทั้งกลุ่มคอมมิวนิสต์ซ้ายและกลุ่มอื่น ๆ ในพรรคคอมมิวนิสต์ต่างวิพากษ์วิจารณ์ความเสื่อมถอยของสถาบันประชาธิปไตยในรัสเซีย{{sfn|Sandle|1999|p=120}} ในระดับสากล นักสังคมนิยมหลายคนประณามระบอบการปกครองของเลนิน และปฏิเสธว่าเขากำลังสถาปนาลัทธิสังคมนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาเน้นย้ำถึงการขาดการมีส่วนร่วมทางการเมืองในวงกว้าง การปรึกษาหารือของประชาชน และประชาธิปไตยอุตสาหกรรม{{sfn|Service|2000|pp=354–355}} ในช่วงปลาย พ.ศ. 2461 คาร์ล เคาต์สกี นักลัทธิมากซ์ชาวเช็ก-ออสเตรีย ได้เขียนจุลสารต่อต้านลัทธิเลนินโดยประณามธรรมชาติของการต่อต้านประชาธิปไตยของรัสเซียโซเวียต ซึ่งเลนินได้ตีพิมพ์คำตอบอย่างอึกทึกเรื่อง ''The Proletarian Revolution and the Renegade Kautsky''{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=307–308|2a1=Volkogonov|2y=1994|2pp=178–179|3a1=White|3y=2001|3p=156|4a1=Read|4y=2005|4pp=252–253|5a1=Ryan|5y=2012|5pp=123–124}} [[โรซา ลุคเซิมบวร์ค]] นักลัทธิมากซ์ชาวเยอรมัน สะท้อนมุมมองของเคาต์สกี{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1pp=329–330|2a1=Service|2y=2000|2p=385|3a1=White|3y=2001|3p=156|4a1=Read|4y=2005|4pp=253–254|5a1=Ryan|5y=2012|5p=125}} ในขณะที่[[ปิออตร์ โคโปตกิน]] ผู้นิยมอนาธิปไตยชาวรัสเซีย กล่าวถึงการยึดอำนาจของบอลเชวิคว่าเป็น "การฝังการปฏิวัติรัสเซีย"{{sfn|Shub|1966|p=383}}

=== สนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์: ค.ศ. 1917–1918 ===
เมื่อขึ้นสู่อำนาจ เลนินเชื่อว่านโยบายสำคัญของรัฐบาลของเขาจะต้องถอนตัวออกจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งโดยการสงบศึกกับ[[ฝ่ายมหาอำนาจกลาง]]ของเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=331|2a1=Pipes|2y=1990|2p=567}} เขาเชื่อว่าสงครามที่ดำเนินอยู่จะสร้างความไม่พอใจในหมู่ทหารรัสเซียที่เบื่อหน่ายสงคราม ซึ่งเขาสัญญาว่าจะมีสันติภาพ และกองทหารเหล่านี้และกองทัพเยอรมันที่รุกคืบเข้ามาคุกคามทั้งรัฐบาลของเขาเองและต้นเหตุของลัทธิสังคมนิยมระหว่างประเทศ{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=151|2a1=Pipes|2y=1990|2p=567|3a1=Service|3y=2000|3p=338}} ในทางตรงกันข้าม สมาชิกบอลเชวิคอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง[[นีโคไล บูฮาริน]]และฝ่ายคอมมิวนิสต์ซ้าย เชื่อว่าสันติภาพกับมหาอำนาจกลางจะเป็นการทรยศต่อลัทธิสังคมนิยมระหว่างประเทศ และรัสเซียควรเข้าร่วม "สงครามป้องกันการปฏิวัติ" แทน ซึ่งจะกระตุ้นให้ชนชั้นกรรมาชีพเยอรมันลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลของตนเอง{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=190–191|2a1=Shub|2y=1966|2p=337|3a1=Pipes|3y=1990|3p=567|4a1=Rice|4y=1990|4p=166}}

ใน[[กฤษฎีกาสันติภาพ]]เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 เลนินเสนอการสงบศึกเป็นเวลาสามเดือน ซึ่งได้รับการอนุมัติจากสมัยประชุมครั้งที่ 2 ของสภาผู้แทนโซเวียตแห่งแรงงานและทหารรัสเซียทั้งปวง และนำเสนอต่อรัฐบาลเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=151–152|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=571–572}} ฝ่ายเยอรมันแสดงท่าทีในทางบวก โดยมองว่านี่เป็นโอกาสที่จะมุ่งความสนใจไปยัง[[แนวรบด้านตะวันตก (สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง)|แนวรบด้านตะวันตก]]และขจัดความพ่ายแพ้ที่กำลังจะเกิดขึ้น{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=154|2a1=Pipes|2y=1990|2p=572|3a1=Rice|3y=1990|3p=166}} ในเดือนพฤศจิกายน การเจรจาสงบศึกเริ่มต้นที่เบรสท์-ลีตอฟสก์ ซึ่งเป็นที่ตั้งฐานหลักของกองบัญชาการสูงสุดของเยอรมนีใน[[แนวรบด้านตะวันออก (สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง)|แนวรบด้านตะวันออก]] โดยมีคณะผู้แทนรัสเซียนำโดยทรอตสกีและ[[อดอล์ฟ จอฟเฟ]]{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=161|2a1=Shub|2y=1966|2p=331|3a1=Pipes|3y=1990|3p=576}} ขณะเดียวกันมีการตกลงหยุดยิงจนถึงเดือนมกราคม{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=162–163|2a1=Pipes|2y=1990|2p=576}} ในระหว่างการเจรจา เยอรมนียืนกรานที่จะรักษาการพิชิตในช่วงสงคราม ซึ่งรวมถึงโปแลนด์ ลิทัวเนีย และคูร์ลันด์ ในขณะที่รัสเซียโต้แย้งว่านี่เป็นการละเมิดสิทธิในการตัดสินใจด้วยตนเองของประเทศเหล่านี้{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=171–172, 200–202|2a1=Pipes|2y=1990|2p=578}} บอลเชวิคบางคนแสดงความหวังที่จะดึงการเจรจาออกไปจนกว่าการปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพจะปะทุขึ้นทั่วยุโรป{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1p=166|2a1=Service|2y=2000|2p=338}} ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1918 ทรอตสกีเดินทางกลับจากเบรสต์-ลีตอฟสค์ไปยังเซนต์ปีเตอส์เบิร์กโดยยื่นคำขาดจากฝ่ายมหาอำนาจกลาง รัสเซียยอมรับข้อเรียกร้องเรื่องอาณาเขตของเยอรมนี ไม่เช่นนั้นสงครามจะดำเนินต่อไป{{sfn|Service|2000|p=338}}

[[File:Bundesarchiv Bild 183-R92623, Brest-Litowsk, Waffenstillstandsabkommen.jpg|thumb|left|การลงนามข้อตกลงสงบศึกระหว่างรัสเซียและเยอรมนีในวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1917]]

ในเดือนมกราคมและอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ เลนินเรียกร้องให้บอลเชวิคยอมรับข้อเสนอของเยอรมนี เขาแย้งว่าการสูญเสียดินแดนสามารถยอมรับได้หากทำให้รัฐบาลที่นำโดยบอลเชวิคอยู่รอดได้ สมาชิกบอลเชวิคส่วนใหญ่ปฏิเสธจุดยืนของเขา โดยหวังว่าจะยืดเวลาการสงบศึกออกไปและเรียกเยอรมนีว่าเป็นมิตรแต่โผงผาง{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=195|2a1=Shub|2y=1966|2pp=334, 337|3a1=Service|3y=2000|3pp=338–339, 340|4a1=Read|4y=2005|4p=199}} ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ กองทัพเยอรมันได้เปิด[[ปฏิบัติการเฟาสท์ชลาก]] รุกล้ำเข้าไปในดินแดนที่รัสเซียควบคุมและพิชิต[[ดวินสค์]]ได้ภายในหนึ่งวัน{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=206, 209|2a1=Shub|2y=1966|2p=337|3a1=Pipes|3y=1990|3pp=586–587|4a1=Service|4y=2000|4pp=340–341}} เมื่อถึงจุดนี้ ในที่สุดเลนินก็โน้มน้าวให้คณะกรรมการกลางบอลเชวิคเสียงข้างมากยอมรับข้อเรียกร้องของมหาอำนาจกลาง{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1p=587|2a1=Rice|2y=1990|2pp=166–167|3a1=Service|3y=2000|3p=341|4a1=Read|4y=2005|4p=199}} ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ฝ่ายมหาอำนาจกลางได้ยื่นคำขาดใหม่โดยรัสเซียต้องยอมรับการควบคุมของเยอรมนีไม่เพียงแต่ในโปแลนด์และรัฐบอลติกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงยูเครนด้วย ไม่เช่นนั้นจะต้องเผชิญการรุกรานเต็มรูปแบบ{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=338|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=592–593|3a1=Service|3y=2000|3p=341}}

วันที่ 3 มีนาคม มีการลงนามใน[[สนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์]]{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=211–212|2a1=Shub|2y=1966|2p=339|3a1=Pipes|3y=1990|3p=595|4a1=Rice|4y=1990|4p=167|5a1=Service|5y=2000|5p=342|6a1=White|6y=2001|6pp=158–159}} ส่งผลให้รัสเซียสูญเสียดินแดนมหาศาล โดยคิดเป็นประชากรของอดีตจักรวรรดิร้อยละ 26 พื้นที่เก็บเกี่ยวทางการเกษตรร้อยละ 37 อุตสาหกรรมร้อยละ 28 รางรถไฟร้อยละ 26 และสามในสี่ของถ่านหินและเหล็กที่ฝากถูกถ่ายโอนไปยังการควบคุมของเยอรมนี{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1p=595|2a1=Service|2y=2000|2p=342}} ด้วยเหตุนี้ สนธิสัญญาดังกล่าวจึงไม่ได้รับความนิยมอย่างลึกซึ้งในทุกช่วงการเมืองของรัสเซีย{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=213–214|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=596–597}} และสมาชิกบอลเชวิคและพรรคปฏิวัติสังคมนิยมฝ่ายซ้ายหลายคนลาออกจากคณะกรรมการราษฎรเพื่อเป็นการประท้วง{{sfn|Service|2000|p=344}} หลังจากการลงนามในสนธิสัญญา คณะกรรมการราษฎรมุ่งเน้นไปที่การพยายามปลุกปั่นการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพในเยอรมนี โดยออกสิ่งพิมพ์ต่อต้านสงครามและต่อต้านรัฐบาลมากมายในประเทศ รัฐบาลเยอรมันตอบโต้ด้วยการขับนักการทูตรัสเซีย{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=313–314|2a1=Shub|2y=1966|2pp=387–388|3a1=Pipes|3y=1990|3pp=667–668|4a1=Volkogonov|4y=1994|4pp=193–194|5a1=Service|5y=2000|5p=384}} สนธิสัญญายังคงล้มเหลวในการหยุดยั้งความพ่ายแพ้ของฝ่ายมหาอำนาจกลาง ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918 [[จักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี]]สละราชบัลลังก์ และฝ่ายบริหารชุดใหม่ของประเทศได้ลงนามใน[[การสงบศึก 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918|ข้อตกลงสงบศึก]]กับฝ่าย[[ฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง|สัมพันธมิตร]] เป็นผลให้คณะกรรมการราษฎรประกาศให้สนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์เป็นโมฆะ{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=303–304|2a1=Pipes|2y=1990|2p=668|3a1=Volkogonov|3y=1994|3p=194|4a1=Service|4y=2000|4p=384}}

=== การรณรงค์ต่อต้านคูลัค, เชการ์ และ ความน่าสะพรึงสีแดง: ค.ศ. 1918–1922 ===
[[File:Lenin Krupskaya and Ulyanova in car at Red Army parade full photo 19180501.jpg|thumb|left|เลนินกับภรรยาและน้องสาวของเขานั้งในรถในขบวนสวนสนาม[[วันแรงงาน]]ของกองทัพแดงที่[[สนามโคดีนกา]] กรุงมอสโก ค.ศ. 1918]]

เมื่อถึงต้น ค.ศ. 1918 หลายเมืองทางตะวันตกของรัสเซียเผชิญกับความอดอยากอันเป็นผลจากการขาดแคลนอาหารเรื้อรัง{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=236|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=558, 723|3a1=Rice|3y=1990|3p=170|4a1=Volkogonov|4y=1994|4p=190}} เลนินกล่าวโทษเรื่องนี้ต่อพวก[[คูลัค]]หรือชาวนาที่ร่ำรวยกว่า ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากักตุนเมล็ดพืชที่พวกเขาผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าทางการเงิน ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1918 เขาได้ออกคำสั่งขอเพื่อจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธเพื่อริบเมล็ดพืชจากคูลัคเพื่อจำหน่ายในเมือง และในเดือนมิถุนายนได้เรียกร้องให้มีการจัดตั้ง[[คณะกรรมการชาวนายากจน]]เพื่อช่วยในการขอเบิก{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=236–237|2a1=Shub|2y=1966|2p=353|3a1=Pipes|3y=1990|3pp=560, 722, 732–736|4a1=Rice|4y=1990|4p=170|5a1=Volkogonov|5y=1994|5pp=181, 342–343|6a1=Service|6y=2000|6pp=349, 358–359|7a1=White|7y=2001|7p=164|8a1=Read|8y=2005|8p=218}} นโยบายนี้ส่งผลให้เกิดความไม่เป็นระเบียบและความรุนแรงทางสังคมอย่างกว้างขวาง เนื่องจากกองกำลังติดอาวุธมักปะทะกับกลุ่มชาวนา ซึ่งก่อให้เกิดสงครามกลางเมือง{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=254|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=728, 734–736|3a1=Volkogonov|3y=1994|3p=197|4a1=Ryan|4y=2012|4p=105}} ตัวอย่างที่โดดเด่นของมุมมองของเลนินคือ[[คำสั่งแขวนคอของวลาดีมีร์ เลนิน|โทรเลขเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1918]] ถึงบอลเชวิคใน[[เปนซา]] ซึ่งเรียกร้องให้พวกเขาปราบปรามการจลาจลของชาวนาด้วยการแขวนคอ "คูลัค คนรวย [และ] คนดูดเลือด อย่างน้อย 100 คนต่อหน้าสาธารณะ"{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=277–278|2a1=Pipes|2y=1990|2p=737|3a1=Service|3y=2000|3p=365|4a1=White|4y=2001|4pp=155–156|5a1=Ryan|5y=2012|5p=106}}

คำสั่งดังกล่าวทำให้ชาวนาหมดกำลังใจในการผลิตธัญพืชเกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถบริโภคได้ด้วยตนเอง{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=450|2a1=Pipes|2y=1990|2p=726}} และทำให้การผลิตตกต่ำลง ตลาดมืดที่กำลังเฟื่องฟูช่วยเสริมเศรษฐกิจที่ทางการคว่ำบาตร{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1pp=700–702|2a1=Lee|2y=2003|2p=100}} และเลนินเรียกร้องให้นำเอานักเก็งกำไร ผู้ขายสินค้าในตลาดมืด และนักปล้นสะดมไปยิงทิ้ง{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=195|2a1=Pipes|2y=1990|2p=794|3a1=Volkogonov|3y=1994|3p=181|4a1=Read|4y=2005|4p=249}} ทั้งพรรคปฏิวัติสังคมนิยมและพรรคปฏิวัติสังคมนิยมฝ่ายซ้ายต่างประณามการจัดสรรเมล็ดพืชด้วยอาวุธในการประชุมรัฐสภาโซเวียตทั้งปวงรัสเซียครั้งที่ 5 ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1918{{sfn|Fischer|1964|p=237}} โดยตระหนักว่าคณะกรรมการชาวนายากจนกำลังข่มเหงชาวนาที่ไม่ใช่คูลัคด้วย และด้วยเหตุนี้จึงมีส่วนทำให้เกิดความรู้สึกต่อต้านรัฐบาลในหมู่ชาวนา ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1918 เลนินจึงได้ยกเลิกสิ่งเหล่านี้{{sfnm|1a1=Service|1y=2000|1p=385|2a1=White|2y=2001|2p=164|3a1=Read|3y=2005|3p=218}}

เลนินเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการก่อการร้ายและความรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำอีกในการโค่นล้มระเบียบเก่าและรับประกันความสำเร็จของการปฏิวัติ{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=344|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=790–791|3a1=Volkogonov|3y=1994|3pp=181, 196|4a1=Read|4y=2005|4pp=247–248}} เมื่อพูดกับคณะกรรมการบริหารกลางของรัฐสภาโซเวียตทั้งปวงรัสเซียในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 เขาประกาศว่า “รัฐเป็นสถาบันที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ความรุนแรง ก่อนหน้านี้ความรุนแรงนี้ใช้ถุงเงินจำนวนหนึ่งเพื่อประชาชนทั้งหมด บัดนี้เราต้องการ [...] จัดระเบียบความรุนแรงเพื่อประโยชน์ของประชาชน”{{sfn|Shub|1966|p=312}} เขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อข้อเสนอแนะให้ยกเลิก[[โทษประหารชีวิต]]{{sfn|Fischer|1964|pp=435–436}} ด้วยความกลัวว่ากองกำลังต่อต้านบอลเชวิคจะโค่นล้มรัฐบาลของเขา ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1917 เลนินจึงสั่งให้จัดตั้ง[[เชการ์|คณะกรรมการพิเศษเพื่อต่อสู้กับการต่อต้านการปฏิวัติและการก่อวินาศกรรม]]หรือที่เรียกว่าเชการ์ซึ่งเป็นกองกำลังตำรวจการเมืองที่นำโดย[[เฟลิกซ์ ดเซียร์จินสกี]]{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1pp=345–347|2a1=Rigby|2y=1979|2pp=20–21|3a1=Pipes|3y=1990|3p=800|4a1=Volkogonov|4y=1994|4p=233|5a1=Service|5y=2000|5pp=321–322|6a1=White|6y=2001|6p=153|7a1=Read|7y=2005|7pp=186, 208–209}}

ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1918 คณะกรรมการราษฎรได้ออกกฤษฎีกาเพื่อเปิดฉาก[[ความน่าสะพรึงสีแดง]] ซึ่งเป็นระบบปราบปรามที่จัดทำโดยตำรวจลับเชการ์{{sfnm|1a1=Leggett|1y=1981|1p=174|2a1=Volkogonov|2y=1994|2pp=233–234|3a1=Sandle|3y=1999|3p=112|4a1=Ryan|4y=2012|4p=111}} แม้ว่าบางครั้งจะอธิบายว่าเป็นความพยายามที่จะกำจัดชนชั้นกระฎุมพีทั้งหมด{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=366|2a1=Sandle|2y=1999|2p=112}} แต่เลนินก็ไม่ต้องการกำจัดสมาชิกทั้งหมดของชนชั้นนี้ เพียงแต่พวกที่ต้องการรื้อฟื้นการปกครองของตนกลับคืนมา{{sfn|Ryan|2012|p=116}} เหยื่อของความน่าสะพรึงสีแดงส่วนใหญ่เป็นพลเมืองมีฐานะดีหรืออดีตเจ้าหน้าที่รัฐบาลซาร์{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1p=821|2a1=Ryan|2y=2012|2pp=114–115}} คนอื่น ๆ ไม่ใช่ชนชั้นกลางที่ต่อต้านบอลเชวิคและรับรู้ถึงสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ทางสังคม เช่น โสเภณี{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=366|2a1=Sandle|2y=1999|2p=113|3a1=Read|3y=2005|3p=210|4a1=Ryan|4y=2012|4pp=114–115}} เชการ์อ้างสิทธิในทั้งการตัดสินโทษและประหารชีวิตใครก็ตามที่ถือว่าเป็นศัตรูของรัฐบาล โดยไม่ต้องอาศัยศาลปฏิวัติ{{sfnm|1a1=Leggett|1y=1981|1pp=173–174|2a1=Pipes|2y=1990|2p=801}} ด้วยเหตุนี้ เชการ์จึงได้ทำการสังหารบ่อยครั้งเป็นจำนวนมากทั่วทั้งรัสเซียโซเวียต{{sfnm|1a1=Leggett|1y=1981|1pp=199–200|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=819–820|3a1=Ryan|3y=2012|3p=107}} ตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่เชการ์ในเปโตรกราดประหารชีวิตผู้คน 512 รายภายในเวลาไม่กี่วัน{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=364|2a1=Ryan|2y=2012|2p=114}} ไม่มีบันทึกที่เหลือรอดมาเพื่อให้ตัวเลขที่แม่นยำของจำนวนผู้เสียชีวิตในความน่าสะพรึงสีแดง{{sfn|Pipes|1990|p=837}} การประมาณการในเวลาต่อมาของนักประวัติศาสตร์อยู่ระหว่าง 10,000 ถึง 15,000 คน และ 50,000 ถึง 140,000 คน{{sfn|Pipes|1990|p=834}}

เลนินไม่เคยเห็นความรุนแรงนี้หรือมีส่วนร่วมในเหตุการณ์นี้โดยตรง{{sfnm|1a1=Volkogonov|1y=1994|1p=202|2a1=Read|2y=2005|2p=247}} และทำตัวเหินห่างจากความรุนแรงต่อสาธารณะ{{sfn|Pipes|1990|p=796}} บทความและสุนทรพจน์ที่ได้รับการตีพิมพ์ของเขาไม่ค่อยเรียกร้องให้มีการประหารชีวิต แต่เขาทำเช่นนั้นเป็นประจำในโทรเลขเข้ารหัสและบันทึกที่เป็นความลับ{{sfn|Volkogonov|1994|p=202}} บอลเชวิคจำนวนมากแสดงความไม่เห็นด้วยกับการประหารชีวิตหมู่ของเชการ์ และกลัวว่าองค์กรจะไม่รับผิดชอบอย่างชัดเจน{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1p=825|2a1=Ryan|2y=2012|2pp=117, 120}} พรรคคอมมิวนิสต์พยายามยับยั้งกิจกรรมของเชการ์ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1919 โดยตัดอำนาจศาลและการประหารชีวิตในพื้นที่ที่ไม่อยู่ภายใต้[[กฎอัยการศึก]]อย่างเป็นทางการ แต่เชการ์ยังคงดำเนินต่อไปเช่นเดิมในแนวกว้างของประเทศ{{sfnm|1a1=Leggett|1y=1981|1pp=174–175, 183|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=828–829|3a1=Ryan|3y=2012|3p=121}} ภายใน ค.ศ. 1920 เชการ์ได้กลายเป็นสถาบันที่ทรงอำนาจที่สุดในรัสเซียโซเวียต โดยมีอิทธิพลเหนือกลไกรัฐอื่น ๆ ทั้งหมด{{sfn|Pipes|1990|pp=829–830, 832}}

กฤษฎีกาในเดือนเมษายน ค.ศ. 1919 ส่งผลให้มีการจัดตั้งค่ายกักกันซึ่งได้รับความไว้วางใจจากเชการ์{{sfnm|1a1=Leggett|1y=1981|1pp=176–177|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=832, 834}} ซึ่งต่อมาบริหารงานโดยหน่วยงานรัฐบาลใหม่ที่เรียกว่า[[กูลัก]]{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1p=835|2a1=Volkogonov|2y=1994|2p=235}} มีการจัดตั้งค่าย 84 แห่งทั่วรัสเซียโซเวียตและคุมนักโทษได้ประมาณ 50,000 คนภายในสิ้น ค.ศ. 1920 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 315 ค่ายและนักโทษประมาณ 70,000 คนภายในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1923{{sfnm|1a1=Leggett|1y=1981|1p=178|2a1=Pipes|2y=1990|2p=836}} ผู้ที่ถูกกักขังในค่ายถูกใช้เป็นแรงงานทาส{{sfnm|1a1=Leggett|1y=1981|1p=176|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=832–833}} ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1922 ปัญญาชนที่ถูกกล่าวหาว่าต่อต้านรัฐบาลบอลเชวิคถูกเนรเทศไปยังภูมิภาคที่ไม่เอื้ออำนวยหรือถูกเนรเทศออกจากรัสเซียโดยสิ้นเชิง เลนินได้พิจารณารายชื่อผู้ที่ต้องจัดการในลักษณะนี้เป็นการส่วนตัว{{sfnm|1a1=Volkogonov|1y=1994|1pp=358–360|2a1=Ryan|2y=2012|2pp=172–173, 175–176}} ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1922 เลนินได้ออกคำสั่งให้ประหารชีวิตนักบวชที่ต่อต้านบอลเชวิค ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตระหว่าง 14,000 ถึง 20,000 ราย{{sfnm|1a1=Volkogonov|1y=1994|1pp=376–377|2a1=Read|2y=2005|2p=239|3a1=Ryan|3y=2012|3p=179}} [[คริสตจักรรัสเซียออร์ทอดอกซ์]]ได้รับผลกระทบหนักที่สุด นโยบายต่อต้านศาสนาของรัฐบาลยังส่งผลเสียต่อ[[โรมันคาทอลิก|คริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก]]และ[[โปรเตสแตนต์]] สุเหร่า[[ยิว]] และมัสยิด[[อิสลาม]]{{sfn|Volkogonov|1994|p=381}}

=== สงครามกลางเมืองและสงครามโปแลนด์–โซเวียต: ค.ศ. 1918–1920 ===
เลนินคาดหวังว่าชนชั้นสูงและชนชั้นกระฎุมพีรัสเซียจะต่อต้านรัฐบาลของเขา แต่เขาเชื่อว่าความเหนือกว่าเชิงตัวเลขของชนชั้นล่าง ควบคู่ไปกับความสามารถของบอลเชวิคในการจัดระเบียบพวกเขาอย่างมีประสิทธิภาพ จะรับประกันชัยชนะอย่างรวดเร็วในทุกความขัดแย้ง{{sfn|Service|2000|p=357}} ด้วยเหตุนี้เขาล้มเหลวในการคาดการณ์ถึงความรุนแรงของการต่อต้านอย่างรุนแรงต่อการปกครองของบอลเชวิคในรัสเซีย{{sfn|Service|2000|p=357}} สงครามกลางเมืองอันนองเลือดที่ยาวนานเกิดขึ้นระหว่าง[[กองทัพแดง|ฝ่ายแดง]]คอมมิวนิสต์และ[[ขบวนการขาว|ฝ่ายขาว]]ต่อต้านบอลเชวิคเริ่มต้นใน ค.ศ. 1917 และสิ้นสุดด้วยชัยชนะของพวกแดงใน ค.ศ. 1923 นอกจากนี้ยังครอบคลุมความขัดแย้งทางชาติพันธุ์บริเวณชายแดนรัสเซีย และการลุกฮือของชาวนาที่ต่อต้านบอลเชวิคและการลุกฮือของฝ่ายซ้ายทั่วทั้งจักรวรรดิเก่า{{sfn|Service|2000|pp=391–392}} ดังนั้นนักประวัติศาสตร์หลายคนจึงมองว่าสงครามกลางเมืองเป็นตัวแทนของความขัดแย้งสองประการที่แตกต่างกัน ครั้งแรกระหว่างนักปฏิวัติกับฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติ และอีกความขัดแย้งระหว่างกลุ่มปฏิวัติที่แตกต่างกัน{{sfn|Lee|2003|pp=84, 88}}

กองทัพขาวก่อตั้งขึ้นโดยอดีตนายทหารซาร์{{sfn|Read|2005|p=205}} และรวมถึงกองทัพอาสาของ[[อันตอน เดนีกิน]]ในรัสเซียตอนใต้{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=355|2a1=Leggett|2y=1981|2p=204|3a1=Rice|3y=1990|3pp=173, 175|4a1=Volkogonov|4y=1994|4p=198|5a1=Service|5y=2000|5pp=357, 382|6a1=Read|6y=2005|6p=187}} กองทัพของ[[อะเลคซันดร์ คอลชัค]]ในไซบีเรีย{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=334, 343, 357|2a1=Leggett|2y=1981|2p=204|3a1=Service|3y=2000|3pp=382, 392|4a1=Read|4y=2005|4pp=205–206}} และกองทัพของ[[นีโคไล ยูเดนิช]]ในรัฐบอลติกที่เพิ่งเป็นอิสระใหม่{{sfnm|1a1=Leggett|1y=1981|1p=204|2a1=Read|2y=2005|2p=206}} ฝ่ายขาวได้รับการหนุนหลังเมื่อสมาชิก[[เชโกสโลวักลีเจียน]]จำนวน 35,000 นาย ซึ่งเป็น[[เชลยศึก]]จากการสู้รบกับฝ่ายมหาอำนาจกลางหันมาต่อต้านคณะกรรมการราษฎรและเป็นพันธมิตรกับ[[คณะกรรมการสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ]] (Komuch) ซึ่งเป็นรัฐบาลต่อต้านบอลเชวิคที่จัดตั้งขึ้นใน[[ซามารา]]{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=288–289|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=624–630|3a1=Service|3y=2000|3p=360|4a1=White|4y=2001|4pp=161–162|5a1=Read|5y=2005|5p=205}} นอกจากนี้ ฝ่ายขาวยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลตะวันตกที่มองว่าสนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์เป็นการทรยศต่อความพยายามทำสงครามของฝ่ายสัมพันธมิตร และกลัวการเรียกร้องของพวกบอลเชวิคให้เกิดการปฏิวัติโลก{{sfn|Fischer|1964|pp=262–263}} ใน ค.ศ. 1918 ทหารจาก[[สหราชอาณาจักร]] [[ฝรั่งเศส]] [[สหรัฐ]] [[แคนาดา]] [[ราชอาณาจักรอิตาลี|อิตาลี]] และ[[ราชอาณาจักรเซอร์เบีย|เซอร์เบีย]]กว่า 10,000 นายยกพลขึ้นบกที่เมือง[[มูร์มันสค์]] โดยยึดเมือง[[คันดาลัคชา]] ในขณะที่ปีต่อมากองทัพอังกฤษ สหรัฐ และญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่[[วลาดีวอสตอค]]{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=291|2a1=Shub|2y=1966|2p=354}} ในไม่ช้า กองทหารตะวันตกก็ถอนตัวออกจากสงครามกลางเมือง โดยสนับสนุนเฉพาะฝายขาวด้วยเจ้าหน้าที่ ช่างเทคนิค และยุทโธปกรณ์เท่านั้น แต่ญี่ปุ่นยังคงอยู่เพราะพวกเขามองว่าความขัดแย้งเป็นโอกาสในการขยายอาณาเขต{{sfn|Fischer|1964|pp=331, 333}}

เลนินมอบหมายให้ทรอตสกีจัดตั้ง[[กองทัพแดง|กองทัพแดงของกรรมกรและของชาวนา]] และด้วยการสนับสนุนของเขา ทรอตสกีจึงจัดตั้ง[[สภาทหารปฏิวัติ]]ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1918{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1pp=610, 612|2a1=Volkogonov|2y=1994|2p=198}} และดำรงตำแหน่งประธานจนถึง ค.ศ. 1925 เมื่อทราบถึงประสบการณ์ทางทหารอันมีค่าของพวกเขา เลนินจึงเห็นพ้องกันว่าเจ้าหน้าที่จากกองทัพซาร์เก่าสามารถปฏิบัติหน้าที่ในกองทัพแดงได้{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=337|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=609, 612, 629|3a1=Volkogonov|3y=1994|3p=198|4a1=Service|4y=2000|4p=383|5a1=Read|5y=2005|5p=217}} แม้ว่าทรอตสกีจะจัดตั้งสภาทหารขึ้นเพื่อติดตามกิจกรรมของพวกเขาก็ตาม ฝ่ายแดงควบคุมเมืองใหญ่ที่สุดสองแห่งของรัสเซีย ได้แก่ มอสโกและเปโตรกราด เช่นเดียวกับเมืองใหญ่ส่วนใหญ่ของรัสเซีย{{sfn|Fischer|1964|pp=248, 262}} ในขณะที่เมืองของฝ่ายขาวส่วนใหญ่ตั้งอยู่บริเวณรอบนอกของอดีตจักรวรรดิ ดังนั้นฝ่ายขาวจึงถูกขัดขวางโดยการแยกส่วนและการกระจัดกระจายทางภูมิศาสตร์{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1p=651|2a1=Volkogonov|2y=1994|2p=200|3a1=White|3y=2001|3p=162|4a1=Lee|4y=2003|4p=81}} และเนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์รัสเซียที่มีอำนาจเหนือกว่าทำให้ชนกลุ่มน้อยระดับชาติของภูมิภาคแปลกแยก{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=251|2a1=White|2y=2001|2p=163|3a1=Read|3y=2005|3p=220}} กองทัพต่อต้านบอลเชวิคได้เปิดฉาก[[ความน่าสะพรึงสีขาว (รัสเซีย)|ความน่าสะพรึงสีขาว]] ซึ่งเป็นการรณรงค์ที่ใช้ความรุนแรงต่อการรับรู้ว่าผู้สนับสนุนบอลเชวิค ซึ่งโดยทั่วไปจะเกิดขึ้นเองมากกว่าความน่าสะพรึงสีแดงที่รัฐอนุมัติ{{sfnm|1a1=Leggett|1y=1981|1p=201|2a1=Pipes|2y=1990|2p=792|3a1=Volkogonov|3y=1994|3pp=202–203|4a1=Read|4y=2005|4p=250}} กองทัพทั้งกองทัพขาวและกองทัพแดงต่างรับผิดชอบต่อการโจมตีชุมชนชาวยิว กระตุ้นให้เลนินออกมาประณามลัทธิต่อต้านชาวยิว โดยกล่าวโทษอคติต่อชาวยิวจากการโฆษณาชวนเชื่อแบบทุนนิยม{{sfnm|1a1=Leggett|1y=1981|1p=201|2a1=Volkogonov|2y=1994|2pp=203–204}}

[[File:VictimOfInternational.jpg|thumb|left|โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อต่อต้านบอลเชวิคของฝ่ายขาว ซึ่งมีภาพของเลนินในชุดคลุมสีแดงเพื่อช่วยเหลือบอลเชวิคคนอื่น ๆ ในการเสียสละรัสเซียให้กับรูปปั้นของมาคส์ ประมาณ ค.ศ.1918–1919]]

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2461 สเวียร์ดลอฟแจ้งคณะกรรมการราษฎรว่าสภาโซเวียตภูมิภาคยูรัลได้กำกับ[[การประหารชีวิตราชวงศ์โรมานอฟ|การสังหารอดีตซาร์และครอบครัวใกล้ชิดของซาร์]]ใน[[เยคาเตรินบุร์ก]] เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาได้รับการช่วยเหลือโดยการรุกคืบของกองทัพขาว{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1pp=357–358|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=781–782|3a1=Volkogonov|3y=1994|3pp=206–207|4a1=Service|4y=2000|4pp=364–365}} แม้ว่าจะขาดข้อพิสูจน์ แต่นักเขียนชีวประวัติและนักประวัติศาสตร์เช่น ริชาร์ด ไปป์ส และดมีตรี โวลโคโกนอฟ ได้แสดงความเห็นว่าการสังหารนี้อาจได้รับอนุมัติจากเลนิน{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1pp=763, 770–771|2a1=Volkogonov|2y=1994|2p=211}} ในทางกลับกัน นักประวัติศาสตร์ เจมส์ ไรอัน เตือนว่า "ไม่มีเหตุผล" ที่จะเชื่อสิ่งนี้{{sfn|Ryan|2012|p=109}} ไม่ว่าเลนินจะอนุมัติหรือไม่ก็ตาม เขายังถือว่าสิ่งนี้มีความจำเป็น โดยเน้นย้ำถึงแบบอย่างที่กำหนดโดยการประหาร[[พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส|พระเจ้าหลุยส์ที่ 16]] ใน[[การปฏิวัติฝรั่งเศส]]{{sfn|Volkogonov|1994|p=208}}

หลังจากสนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์ พรรคปฏิวัติสังคมนิยมฝ่ายซ้ายได้ละทิ้งแนวร่วมและมองว่าบอลเชวิคเป็นผู้ทรยศต่อการปฏิวัติมากขึ้นเรื่อย ๆ{{sfn|Pipes|1990|p=635}} ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1918 ยาคอฟ บลัมคิน นักปฏิวัติสังคมนิยมฝ่ายซ้ายได้ลอบสังหาร วิลเฮล์ม ฟอน เมียร์บาค เอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำรัสเซีย โดยหวังว่าเหตุการณ์ทางการทูตที่ตามมาจะนำไปสู่สงครามปฏิวัติกับเยอรมนีที่เปิดขึ้นใหม่{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=244|2a1=Shub|2y=1966|2p=355|3a1=Pipes|3y=1990|3pp=636–640|4a1=Service|4y=2000|4pp=360–361|5a1=White|5y=2001|5p=159|6a1=Read|6y=2005|6p=199}} จากนั้นพรรคปฏิวัติสังคมนิยมฝ่ายซ้ายได้ก่อรัฐประหารในกรุงมอสโก โดยระดมยิงใส่เครมลินและยึดที่ทำการไปรษณีย์กลางของเมือง ก่อนที่จะถูกกองทัพของทรอตสกีหยุดยั้ง{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=242|2a1=Pipes|2y=1990|2pp=642–644|3a1=Read|3y=2005|3p=250}} ผู้นำพรรคและสมาชิกหลายคนถูกจับกุมและคุมขัง แต่ได้รับการปฏิบัติอย่างผ่อนปรนมากกว่าฝ่ายตรงข้ามอื่น ๆ ของบอลเชวิค{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=244|2a1=Pipes|2y=1990|2p=644|3a1=Volkogonov|3y=1994|3p=172}}

[[File:Polish-soviet propaganda poster 1920.jpg|thumb|right|โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อต่อต้านโปแลนด์ของบอลเชวิคใน ค.ศ. 1920]]

ภายใน ค.ศ. 1919 กองทัพขาวกำลังล่าถอย และพ่ายแพ้ในทั้งสามแนวรบเมื่อต้น ค.ศ. 1920{{sfnm|1a1=Leggett|1y=1981|1p=184|2a1=Service|2y=2000|2p=402|3a1=Read|3y=2005|3p=206}} แม้ว่าคณะกรรมการราษฎรจะได้รับชัยชนะ แต่ขอบเขตอาณาเขตของรัฐรัสเซียก็ลดลง เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่ใช่รัสเซียจำนวนมากได้ใช้ความไม่เป็นระเบียบเพื่อผลักดันเอกราชของชาติ{{sfn|Hall|2015|p=83}} ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1921 ระหว่างการทำสงครามที่เกี่ยวข้องกับโปแลนด์ มีการลงนามใน[[สนธิสัญญาสันติภาพรีกา]] โดยแบ่งดินแดนพิพาทใน[[สาธารณรัฐประชาชนเบลารุส|เบลารุส]]และ[[สาธารณรัฐประชาชนยูเครน|ยูเครน]]ระหว่างสาธารณรัฐโปแลนด์และรัสเซียโซเวียต รัสเซียโซเวียตพยายามที่จะยึดครองประเทศเอกราชใหม่ทั้งหมดของจักรวรรดิเก่าอีกครั้ง แม้ว่าความสำเร็จจะมีจำกัดก็ตาม เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ลัตเวีย และลิทัวเนียล้วนต่อต้านการรุกรานของโซเวียต ขณะที่[[สงครามยูเครน–โซเวียต|ยูเครน]] เบลารุส (อันเป็นผลมาจาก[[สงครามโปแลนด์–โซเวียต]]) [[สาธารณรัฐอาร์มีเนียที่ 1|อาร์มีเนีย]] [[สาธารณรัฐประชาธิปไตยอาเซอร์ไบจาน|อาเซอร์ไบจาน]] และ[[สาธารณรัฐประชาธิปไตยจอร์เจีย|จอร์เจีย]]ถูกยึดครองโดยกองทัพแดง{{sfn|Lee|2003|pp=84, 88}}{{sfn|Goldstein|2013|p=50}} ภายใน ค.ศ. 1921 รัสเซียโซเวียตสามารถเอาชนะขบวนการระดับชาติของยูเครนและยึดครอง[[เทือกเขาคอเคซัส]] แม้ว่าการลุกฮือต่อต้านบอลเชวิคใน[[เอเชียกลาง]]จะดำเนินไปจนถึงคริสต์ปลายทศวรรษ 1920{{sfn|Hall|2015|p=84}}

หลังจากที่กองทหารรักษาการณ์[[โอเบอร์อ็อส]]ของเยอรมนีถูกถอนออกจากแนวรบด้านตะวันออกหลังการสงบศึก ทั้งกองทัพรัสเซียโซเวียตและกองทัพโปแลนด์ก็เคลื่อนเข้ามาเพื่อเติมเต็มสุญญากาศ{{sfn|Davies|2003|pp=26–27}} [[สาธารณรัฐโปแลนด์ที่ 2|รัฐโปแลนด์]]ที่เพิ่งเป็นอิสระใหม่และรัฐบาลโซเวียตต่างก็แสวงหาการขยายอาณาเขตในภูมิภาค{{sfn|Davies|2003|pp=27–30}} กองทัพโปแลนด์และรัสเซียปะทะกันครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1919{{sfn|Davies|2003|pp=22, 27}} โดยความขัดแย้งพัฒนาจนกลายเป็นสงครามโปแลนด์–โซเวียต ซึ่งต่างจากความขัดแย้งครั้งก่อน ๆ ของโซเวียต ความขัดแย้งนี้มีผลกระทบมากกว่าต่อการส่งออกการปฏิวัติและอนาคตของยุโรป{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=389|2a1=Rice|2y=1990|2p=182|3a1=Volkogonov|3y=1994|3p=281|4a1=Service|4y=2000|4p=407|5a1=White|5y=2001|5p=161|6a1=Davies|6y=2003|6pp=29–30}} กองทัพโปแลนด์บุกเข้าไปในยูเครน{{sfn|Davies|2003|p=22}} และ[[การรุกที่เคียฟ (ค.ศ. 1920)|ได้ยึดเคียฟ]]จากโซเวียตภายในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1920{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=389|2a1=Rice|2y=1990|2p=182|3a1=Volkogonov|3y=1994|3p=281|4a1=Service|4y=2000|4p=407|5a1=White|5y=2001|5p=161}} หลังจากกองทัพโปแลนด์ถูกบีบบังคับให้ถอยกลับ เลนินกระตุ้นให้กองทัพแดงบุกโปแลนด์เอง โดยเชื่อว่าชนชั้นกรรมาชีพโปแลนด์จะลุกขึ้นเพื่อสนับสนุนกองทัพรัสเซียและจุดประกายให้เกิดการปฏิวัติยุโรป ทรอตสกีและบอลเชวิคคนอื่น ๆ ไม่เชื่อ แต่ก็เห็นด้วยกับการรุกราน ชนชั้นกรรมาชีพโปแลนด์ไม่ลุกขึ้น และกองทัพแดงพ่ายแพ้ใน[[ยุทธการที่วอร์ซอ (ค.ศ. 1920)|ยุทธการที่วอร์ซอ]]{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=391–395|2a1=Shub|2y=1966|2p=396|3a1=Rice|3y=1990|3pp=182–183|4a1=Service|4y=2000|4pp=408–409, 412|5a1=White|5y=2001|5p=161}} กองทัพโปแลนด์ผลักดันกองทัพแดงกลับเข้าไปในรัสเซีย บังคับให้คณะกรรมการราษฎรร้องขอสันติภาพ สงครามสิ้นสุดลงด้วยการลงนามสนธิสัญญาสันติภาพริกาซึ่งรัสเซียยกดินแดนให้กับโปแลนด์{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1p=183|2a1=Volkogonov|2y=1994|2p=388|3a1=Service|3y=2000|3p=412}}

=== องค์การคอมมิวนิสต์สากลและการปฏิวัติโลก: ค.ศ. 1919–1920 ===
{{Main article|การปฏิวัติ ค.ศ. 1917–1923}}
[[File:Ленин В. И. 1919 год.jpg|thumb|เลนินกล่าวปราศัย ณ [[จัตุรัสแดง]] กรุงมอสโก ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1919]]

หลังจากการสงบศึกบนแนวรบด้านตะวันตก เลนินเชื่อว่าการปฏิวัติยุโรปจวนจะใกล้เข้ามา{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=387|2a1=Rice|2y=1990|2p=173}} ด้วยความพยายามที่จะส่งเสริมสิ่งนี้ คณะกรรมการราษฎรจึงสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลโซเวียตของ[[เบ-ลอ กุน]]ใน[[สาธารณรัฐโซเวียตฮังการี|ฮังการี]]ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2462 ตามมาด้วย[[สาธารณรัฐโซเวียตบาวาเรีย|รัฐบาลโซเวียตในบาวาเรีย]] และการลุกฮือของนักสังคมนิยมที่ปฏิวัติต่าง ๆ ในส่วนอื่น ๆ ของเยอรมนี [[การก่อการกำเริบสปาตาคิสท์|รวมทั้งของสันนิบาตสปาตาคิสท์]]{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=333|2a1=Shub|2y=1966|2p=388|3a1=Rice|3y=1990|3p=173|4a1=Volkogonov|4y=1994|4p=395}} ในช่วงสงครามกลางเมืองรัสเซีย กองทัพแดงถูกส่งไปยังสาธารณรัฐแห่งชาติที่เพิ่งเป็นอิสระบริเวณชายแดนรัสเซีย เพื่อช่วยเหลือนักลัทธิมากซ์ในการสถาปนาระบบการปกครองของโซเวียต{{sfn|Service|2000|pp=385–386}} ในยุโรป สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดรัฐที่นำโดยคอมมิวนิสต์ใหม่ในเอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย เบลารุส และยูเครน ซึ่งทั้งหมดนี้ในนามเป็นอิสระจากรัสเซีย แต่ในความเป็นจริงถูกควบคุมจากมอสโก{{sfn|Service|2000|pp=385–386}} ขณะที่ห่างออกไปทางตะวันออกนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลคอมมิวนิสต์ใน[[สาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย|มองโกเลียนอก]]{{sfn|Fischer|1964|pp=531, 536}} บอลเชวิคอาวุโสหลายคนต้องการให้สิ่งเหล่านี้ซึมซับเข้าไปในรัฐรัสเซีย เลนินยืนกรานว่าควรเคารพความอ่อนไหวของชาติ แต่ให้ความมั่นใจกับสหายของเขาว่าการบริหารพรรคคอมมิวนิสต์ชุดใหม่ของประเทศเหล่านี้อยู่ภายใต้อำนาจโดยพฤตินัยของคณะกรรมการราษฎร{{sfn|Service|2000|p=386}}

ในปลาย ค.ศ. 1918 [[พรรคแรงงาน (สหราชอาณาจักร)|พรรคแรงงานอังกฤษ]]ได้เรียกร้องให้มีการจัดตั้งการประชุมระหว่างประเทศของพรรคสังคมนิยม{{sfn|Shub|1966|pp=389–390}} ซึ่งก็คือพรรคแรงงานและสังคมนิยมสากล เลนินมองว่าสิ่งนี้เป็นการฟื้นฟูสากลที่สองซึ่งเขาดูหมิ่น และกำหนดการประชุมสังคมนิยมระหว่างประเทศที่เป็นคู่แข่งของเขาเองเพื่อชดเชยผลกระทบของมัน{{sfn|Shub|1966|p=390}} การประชุมจัดโดยได้รับความช่วยเหลือจากซีโนเวียฟ, นีโคไล บูฮาริน, ทรอตสกี, [[คริสเตียน ราคอฟสกี]] และ [[แองเจลิกา บาลาบานอฟ]]{{sfn|Shub|1966|p=390}} การประชุมใหญ่ครั้งแรกของ[[องค์การคอมมิวนิสต์สากล]] (โคมินเทิร์น) เปิดขึ้นในกรุงมอสโกในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1919{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=525|2a1=Shub|2y=1966|2p=390|3a1=Rice|3y=1990|3p=174|4a1=Volkogonov|4y=1994|4p=390|5a1=Service|5y=2000|5p=386|6a1=White|6y=2001|6p=160|7a1=Read|7y=2005|7p=225}} การประชุมยังขาดความครอบคลุมทั่วโลก จากจำนวนผู้แทนที่มาชุมนุมกัน 34 คน โดย 30 คนอาศัยอยู่ในประเทศของอดีตจักรวรรดิรัสเซีย และผู้แทนระหว่างประเทศส่วนใหญ่ไม่ได้รับการยอมรับจากพรรคสังคมนิยมในประเทศของตน{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=525|2a1=Shub|2y=1966|2pp=390–391|3a1=Rice|3y=1990|3p=174|4a1=Service|4y=2000|4p=386|5a1=White|5y=2001|5p=160}} ด้วยเหตุนี้ บอลเชวิคจึงมีอำนาจเหนือระเบียบการ{{sfnm|1a1=Service|1y=2000|1p=387|2a1=White|2y=2001|2p=160}} โดยต่อมาเลนินได้เขียนกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ขึ้นมากมาย ซึ่งหมายความว่ามีเพียงพรรคสังคมนิยมที่สนับสนุนความคิดเห็นของบอลเชวิคเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมองค์การคอมมิวนิสต์สากล{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=525|2a1=Shub|2y=1966|2p=398|3a1=Read|3y=2005|3pp=225–226}} ในระหว่างการประชุมครั้งแรก เลนินได้พูดคุยกับคณะผู้แทน โดยโจมตีเส้นทางรัฐสภาสู่ลัทธิสังคมนิยมที่ดำเนินการโดยนักแก้ลัทธิมากซ์เช่น คาอุตสกี และย้ำเสียงเรียกร้องของเขาอีกครั้งให้โค่นล้มรัฐบาลชนชั้นกระฎุมพีของยุโรปด้วยความรุนแรง{{sfn|Service|2000|p=387}} ขณะที่ซีโนเวียฟกลายเป็นประธานาธิบดีขององค์การคอมมิวนิสต์สากล เลนินยังคงมีอิทธิพลสำคัญเหนือเรื่องนี้{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=395|2a1=Volkogonov|2y=1994|2p=391}}

[[File:V. I. Lenin in one of the committees of the II Congress of the Comintern.jpg|left|thumb|เลนินในหนึ่งในคณะกรรมการของการประชุมครั้งที่สองของโคมินเทิร์น]]

การประชุมครั้งที่สองของโคมินเทิร์นจัดขึ้นที่[[สถาบันสโมลนืย]]ในเปโตรกราดในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1920 ซึ่งถือเป็นครั้งสุดท้ายที่เลนินไปเยือนเมืองอื่นที่ไม่ใช่มอสโก{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=397|2a1=Service|2y=2000|2p=409}} ที่นั่น เขาสนับสนุนให้ผู้แทนจากต่างประเทศเลียนแบบการยึดอำนาจของพวกบอลเชวิค และละทิ้งมุมมองที่มีมายาวนานของเขาที่ว่าระบบทุนนิยมเป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการพัฒนาสังคม แทนที่จะสนับสนุนประเทศเหล่านั้นที่อยู่ภายใต้การยึดครองของอาณานิคมให้เปลี่ยนสังคมก่อนทุนนิยมของพวกเขาโดยตรงไปสู่สังคมนิยม{{sfn|Service|2000|pp=409–410}} สำหรับการประชุมครั้งนี้ เขาได้ประพันธ์หนังสือ ''[[คอมมิวนิสต์ปีกซ้าย: ความคิดระส่ำระส่ายไร้เดียงสา]]'' ซึ่งเป็นหนังสือสั้นที่กล่าวถึงการวิพากษ์วิจารณ์องค์ประกอบต่าง ๆ ภายในพรรคคอมมิวนิสต์อังกฤษและเยอรมนีที่ปฏิเสธที่จะเข้าสู่ระบบรัฐสภาและสหภาพแรงงานของประเทศของตน แต่เขากลับกระตุ้นให้พวกเขาทำเช่นนั้นเพื่อความก้าวหน้าของการปฏิวัติ{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=415–420|2a1=White|2y=2001|2pp=161, 180–181}} การประชุมดังกล่าวต้องถูกระงับเป็นเวลาหลายวันเนื่องจากสงครามที่กำลังเกิดขึ้นในโปแลนด์{{sfn|Service|2000|p=410}} และถูกย้ายไปที่กรุงมอสโก ซึ่งยังคงจัดการประชุมต่อไปจนถึงเดือนสิงหาคม{{sfn|Shub|1966|p=397}} การปฏิวัติโลกที่คาดการณ์ไว้ของเลนินไม่เป็นรูปธรรม เมื่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์ฮังการีถูกโค่นล้ม และการลุกฮือของนักลัทธิมากซ์ในเยอรมนีก็ถูกปราบปราม{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=341|2a1=Shub|2y=1966|2p=396|3a1=Rice|3y=1990|3p=174}}

=== ทุพภิกขภัยและนโยบายเศรษฐกิจใหม่: ค.ศ. 1920–1922 ===
ภายในพรรคคอมมิวนิสต์ มีความขัดแย้งจากสองฝ่าย ได้แก่ [[กลุ่มลัทธิรวมอำนาจประชาธิปไตย]]และ[[แรงงานฝ่ายค้าน]] ซึ่งทั้งสองฝ่ายกล่าวหาว่ารัฐรัสเซียมีการรวมอำนาจแบบรวมศูนย์และเป็นระบบราชการมากเกินไป{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=437–438|2a1=Shub|2y=1966|2p=406|3a1=Rice|3y=1990|3p=183|4a1=Service|4y=2000|4p=419|5a1=White|5y=2001|5pp=167–168}} แรงงานฝ่ายค้านซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสหภาพแรงงานของรัฐอย่างเป็นทางการ ยังแสดงความกังวลว่ารัฐบาลสูญเสียความไว้วางใจจากชนชั้นแรงงานรัสเซีย{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=406|2a1=Service|2y=2000|2p=419|3a1=White|3y=2001|3p=167}} พวกเขาโกรธเคืองกับข้อเสนอแนะของทรอตสกีที่ให้กำจัดสหภาพแรงงาน เขามองว่าสหภาพแรงงานไม่จำเป็นใน "รัฐแรงงาน" แต่เลนินไม่เห็นด้วย โดยเชื่อว่าจะเป็นการดีที่สุดที่จะรักษาสหภาพแรงงานไว้ บอลเชวิคส่วนใหญ่ยอมรับความคิดเห็นของเลนินใน 'การอภิปรายเกี่ยวกับสหภาพแรงงาน'{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=436, 442|2a1=Rice|2y=1990|2pp=183–184|3a1=Sandle|3y=1999|3pp=104–105|4a1=Service|4y=2000|4pp=422–423|5a1=White|5y=2001|5p=168|6a1=Read|6y=2005|6p=269}} เพื่อจัดการกับความขัดแย้ง ในการประชุมสมัชาพรรคครั้งที่ 10 ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1921 เลนินได้ออกคำสั่งห้ามกิจกรรมแบบแบ่งฝ่ายภายในพรรค ภายใต้ความเจ็บปวดจากการถูกขับออก{{sfn|White|2001|p=170}}

[[File:Victims of the 1921 famine in Russia.jpg|thumb|left|เหยื่อจากทุพภิกขภัยในบูซูลุค [[แคว้นโอเรนบุร์ก]] ฤดูหนาว ค.ศ. 1921/1922]]

[[ทุพภิกขภัยในประเทศรัสเซีย ค.ศ. 1921–1922|ทุพภิกขภัยในรัสเซีย]]ใน ค.ศ. 1921 ถือเป็นภาวะทุพภิกขภัยที่รุนแรงที่สุดในประเทศซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากภัยแล้ง นับตั้งแต่ ค.ศ. 1891 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตประมาณห้าล้านคน{{sfn|Ryan|2012|p=164}} ทุพภิกขภัยรุนแรงขึ้นจากการขอเบิกของรัฐบาล เช่นเดียวกับการส่งออกธัญพืชรัสเซียในปริมาณมาก{{sfn|Volkogonov|1994|pp=343, 347}} เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภาวะทุพภิกขภัย รัฐบาลสหรัฐได้จัดตั้ง[[หน่วยงานบรรเทาทุกข์อเมริกา]] (American Relief Administration) เพื่อแจกจ่ายอาหาร{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=508|2a1=Shub|2y=1966|2p=414|3a1=Volkogonov|3y=1994|3p=345|4a1=White|4y=2001|4p=172}} เลนินสงสัยในความช่วยเหลือนี้และได้ติดตามความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด{{sfn|Volkogonov|1994|p=346}} ในช่วงภาวะทุพภิกขภัย [[สังฆราชตีฮอนแห่งมอสโก|สังฆราชตีฮอน]]เรียกร้องให้คริสตจักรออร์โธดอกซ์ขายสินค้าที่ไม่จำเป็นเพื่อช่วยเลี้ยงอาหารแก่ผู้อดอยาก ซึ่งเป็นการกระทำที่รัฐบาลรับรอง{{sfn|Volkogonov|1994|pp=374–375}} ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2465 คณะกรรมการราษฎรเดินหน้าต่อไปโดยเรียกร้องให้มีการบังคับขายทรัพย์สินมีค่าทั้งหมดของสถาบันทางศาสนา{{sfnm|1a1=Volkogonov|1y=1994|1pp=375–376|2a1=Read|2y=2005|2p=251|3a1=Ryan|3y=2012|3pp=176, 177}} สังฆราชตีฮอนคัดค้านการขายสิ่งของที่ใช้ใน[[ศีลมหาสนิท]]และมีสงฆ์จำนวนมากต่อต้านการจัดสรร ส่งผลให้เกิดความรุนแรง{{sfnm|1a1=Volkogonov|1y=1994|1p=376|2a1=Ryan|2y=2012|2p=178}}

ใน ค.ศ. 1920 และ ค.ศ. 1921 การต่อต้านการขอเบิกในท้องถิ่นส่งผลให้เกิดการลุกฮือของชาวนาต่อต้านบอลเชวิคที่ลุกลามไปทั่วรัสเซีย ซึ่งถูกปราบปราม{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=467|2a1=Shub|2y=1966|2p=406|3a1=Volkogonov|3y=1994|3p=343|4a1=Service|4y=2000|4p=425|5a1=White|5y=2001|5p=168|6a1=Read|6y=2005|6p=220|7a1=Ryan|7y=2012|7p=154}} การลุกฮือที่สำคัญที่สุดคือ[[กบฏตัมบอฟ]]ซึ่งถูกกองทัพแดงปราบลง{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=459|2a1=Leggett|2y=1981|2pp=330–333|3a1=Service|3y=2000|3pp=423–424|4a1=White|4y=2001|4p=168|5a1=Ryan|5y=2012|5pp=154–155}} ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2464 เหล่าแรงงานได้นัดหยุดงานในเปโตรกราด ส่งผลให้รัฐบาลประกาศใช้กฎอัยการศึกในเมือง และส่งกองทัพแดงเข้ามาเพื่อปราบปรามการประท้วง{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1pp=406–407|2a1=Leggett|2y=1981|2pp=324–325|3a1=Rice|3y=1990|3p=184|4a1=Read|4y=2005|4p=220|5a1=Ryan|5y=2012|5p=170}} ในเดือนมีนาคม [[กบฏโครนสตัดต์]]เริ่มต้นขึ้นเมื่อกะลาสีเรือใน[[โครนสตัดต์]]ก่อกบฏต่อต้านรัฐบาลบอลเชวิค โดยเรียกร้องให้นักสังคมนิยมทุกคนได้รับอนุญาตให้เผยแพร่อย่างเสรี สหภาพแรงงานอิสระได้รับเสรีภาพในการชุมนุม และชาวนาได้รับอนุญาตให้มีตลาดเสรีและไม่อยู่ภายใต้การเรียกร้อง เลนินประกาศว่าผู้ก่อการกบฏถูกกลุ่มปฏิวัติสังคมนิยมและจักรวรรดินิยมต่างชาติชักนำให้เข้าใจผิด โดยเรียกร้องให้มีการตอบโต้อย่างรุนแรง{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=469–470|2a1=Shub|2y=1966|2p=405|3a1=Leggett|3y=1981|3pp=325–326|4a1=Rice|4y=1990|4p=184|5a1=Service|5y=2000|5p=427|6a1=White|6y=2001|6p=169|7a1=Ryan|7y=2012|7p=170}} ภายใต้การนำของทรอตสกี กองทัพแดงปราบกบฏในวันที่ 17 มีนาคม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคนและผู้รอดชีวิตถูกกักขังในค่ายแรงงาน{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=470–471|2a1=Shub|2y=1966|2pp=408–409|3a1=Leggett|3y=1981|3pp=327–328|4a1=Rice|4y=1990|4pp=184–185|5a1=Service|5y=2000|5pp=427–428|6a1=Ryan|6y=2012|6pp=171–172}}

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1921 เลนินได้เสนอ[[นโยบายเศรษฐกิจใหม่]] (เนียป) แก่คณะกรรมาธิการ เขาโน้มน้าวบอลเชวิคอาวุโสส่วนใหญ่ถึงความจำเป็น และได้ผ่านนโยบายในเดือนเมษายน{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=411|2a1=Rice|2y=1990|2p=185|3a1=Service|3y=2000|3pp=421, 424–427, 429|5a1=Read|5y=2005|5p=264}} เลนินอธิบายนโยบายในหนังสือเล่มเล็ก ''ว่าด้วยเรื่องภาษีอาหาร'' ซึ่งเขาระบุว่า เนียปเป็นตัวแทนของการกลับไปสู่แผนเศรษฐกิจบอลเชวิคดั้งเดิม เขาอ้างว่าสิ่งเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากสงครามกลางเมือง ซึ่งคณะกรรมการราษฎรถูกบังคับให้หันไปใช้นโยบายเศรษฐกิจ[[สงครามคอมมิวนิสต์]] ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำให้อุตสาหกรรมเป็นของชาติ การกระจายผลผลิตแบบรวมศูนย์ การบีบบังคับหรือบังคับขอผลิตผลทางการเกษตร และความพยายามที่จะขจัดการหมุนเวียนของเงิน วิสาหกิจเอกชน และ[[การค้าเสรี]] ส่งผลให้เศรษฐกิจล่มสลายอย่างรุนแรง<ref name="gregory2004">{{cite book |author=Gregory, Paul R. |title=The Political Economy of Stalinism: Evidence from the Soviet Secret Archives |pages=218–20 |publisher=Cambridge University Press |year=2004 |url=https://books.google.com/books?id=hFHU5kaXhu8C |isbn=978-0-521-53367-6|access-date=20 June 2015|archive-url=https://web.archive.org/web/20150512042222/http://books.google.com/books?id=hFHU5kaXhu8C&dq|archive-date=12 May 2015|url-status=live}}</ref>{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=479–480|2a1=Sandle|2y=1999|2p=155|3a1=Service|3y=2000|3p=430|4a1=White|4y=2001|4pp=170, 171}} เนียปอนุญาตให้บริษัทเอกชนบางแห่งในรัสเซีย อนุญาตให้นำระบบค่าจ้างกลับมาใช้ใหม่ได้ และอนุญาตให้ชาวนาขายผลิตผลในตลาดเปิดโดยต้องเก็บภาษีจากรายได้ของพวกเขา{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=411|2a1=Sandle|2y=1999|2pp=153, 158|3a1=Service|3y=2000|3p=430|4a1=White|4y=2001|4p=169|5a1=Read|5y=2005|5pp=264–265}} นโยบายดังกล่าวยังอนุญาตให้มีการกลับคืนสู่อุตสาหกรรมขนาดเล็กของเอกชน อุตสาหกรรมพื้นฐาน การขนส่งและการค้าต่างประเทศยังอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=412|2a1=Service|2y=2000|2p=430|3a1=Read|3y=2005|3p=266|4a1=Ryan|4y=2012|4p=159}} เลนินเรียกสิ่งนี้ว่า "ทุนนิยมของรัฐ"{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=479|2a1=Shub|2y=1966|2p=412|3a1=Sandle|3y=1999|3p=155|4a1=Ryan|4y=2012|4p=159}} และบอลเชวิคจำนวนมากคิดว่าสิ่งนี้เป็นการทรยศต่อหลักการสังคมนิยม{{sfnm|1a1=Sandle|1y=1999|1p=151|2a1=Service|2y=2000|2p=422|3a1=White|3y=2001|3p=171}} นักเขียนชีวประวัติของเลนินมักระบุว่าการเสนอนโยบายเศรษฐกิจใหม่เป็นหนึ่งในความสำเร็จที่สำคัญที่สุดของเขา และบางคนเชื่อว่าหากไม่ดำเนินการ คณะกรรมการราษฎรจะถูกโค่นล้มอย่างรวดเร็วโดยการลุกฮือของประชาชน{{sfn|Service|2000|pp=421, 434}}

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1920 รัฐบาลได้นำเกณฑ์แรงงานสากล เพื่อให้พลเมืองทุกคนที่มีอายุระหว่าง 16 ถึง 50 ปีต้องทำงาน{{sfnm|1a1=Pipes|1y=1990|1pp=703–707|2a1=Sandle|2y=1999|2p=103|3a1=Ryan|3y=2012|3p=143}} เลนินยังเรียกร้องให้มีโครงการไฟฟ้าจำนวนมากของรัสเซีย ซึ่งเป็น[[โกเอียลรอ|แผนโกเอียลรอ]] ซึ่งเริ่มในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1920 คำประกาศของเลนินที่ว่า "คอมมิวนิสต์คืออำนาจโซเวียตบวกกับการใช้พลังงานไฟฟ้าของทั้งประเทศ" ได้ถูกอ้างถึงอย่างกว้างขวางในปีต่อ ๆ มา{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=423, 582|2a1=Sandle|2y=1999|2p=107|3a1=White|3y=2001|3p=165|4a1=Read|4y=2005|4p=230}} ด้วยความปรารถนาที่จะพัฒนาเศรษฐกิจรัสเซียผ่านการค้าต่างประเทศ คณะกรรมการราษฎรจึงส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุมเจนัว เลนินหวังว่าจะเข้าร่วมแต่ถูกขัดขวางจากสุขภาพที่ไม่ดีของเขา การประชุมดังกล่าวส่งผลให้มี[[สนธิสัญญาราปัลโล (ค.ศ. 1922)|ข้อตกลงระหว่างรัสเซียกับเยอรมนี]] ซึ่งตามมาจาก[[ข้อตกลงการค้าอังกฤษ-โซเวียต|ข้อตกลงทางการค้าก่อนหน้านี้กับสหราชอาณาจักร]]{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=574, 576–577|2a1=Service|2y=2000|2pp=432, 441}} เลนินหวังว่าการอนุญาตให้บริษัทต่างชาติลงทุนในรัสเซีย คณะกรรมการราษฎรจะทำให้การแข่งขันระหว่างประเทศทุนนิยมรุนแรงขึ้นและเร่งความหายนะให้เร็วขึ้น เขาพยายามเช่าแหล่งน้ำมันคัมชัตกาให้กับบริษัทอเมริกันแห่งหนึ่งเพื่อเพิ่มความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ และญี่ปุ่น ซึ่งต้องการให้คัมชัตคาเป็นส่วนหนึงของจักรวรรดิ{{sfn|Fischer|1964|pp=424–427}}

=== สุขภาพเสื่อมถอยและความขัดแย้งกับสตาลิน: ค.ศ. 1920–1923 ===
[[File:Ленин в Горках (1923).jpg|thumb|เลนินนั่งรถเข็นไม่นานหลังจากป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองเป็นครั้งที่สามในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1923]]
[[File:19220900-lenin stalin gorky-02.jpg|thumb|สตาลินและเลนินที่กอร์กี ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1922 ภาพถ่ายโดยมารีเยีย อุลยาโนวา น้องสาวของเลนิน]]
ท่ามกลางความอับอายและความหวาดกลัวของเลนิน ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1920 บอลเชวิคได้จัดงานเลี้ยงใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดปีที่ 50 ของเขา ซึ่งมีการเฉลิมฉลองอย่างกว้างขวางทั่วรัสเซีย และการตีพิมพ์บทกวีและชีวประวัติที่อุทิศให้กับเขา{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=414|2a1=Rice|2y=1990|2pp=177–178|3a1=Service|3y=2000|3p=405|4a1=Read|4y=2005|4pp=260–261}} ระหว่าง ค.ศ. 1920 ถึง ค.ศ. 1926 มีการตีพิมพ์ ''ผลงานรวบรวม'' ของเลนินจำนวน 20 เล่ม เนื้อหาบางส่วนถูกละเว้น{{sfn|Volkogonov|1994|p=283}} ระหว่าง ค.ศ. 2463 บุคคลสำคัญของชาติตะวันตกหลายคนได้ไปเยือนเลนินในรัสเซีย อาทิเช่นนักเขียน[[เอช. จี. เวลส์]] และนักปรัชญา [[เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์]]{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=404–409|2a1=Rice|2y=1990|2pp=178–179|3a1=Service|3y=2000|3p=440}} รวมถึงผู้นิยมอนาธิปไตยทั้ง[[เอ็มมา โกลด์แมน]] และ[[อเล็กซานเดอร์ เบิร์คแมน]]{{sfn|Fischer|1964|pp=409–411}} นอกจากนี้ อาร์ม็องด์ยังไปเยี่ยมเลนินที่เครมลินซึ่งมีสุขภาพย่ำแย่มากขึ้นเรื่อย ๆ{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=433–434|2a1=Shub|2y=1966|2pp=380–381|3a1=Rice|3y=1990|3p=181|4a1=Service|4y=2000|4pp=414–415|5a1=Read|5y=2005|5p=258}} เขาส่งเธอไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมือง[[คีสโลวอดสค์]] ทางตอนเหนือของคอเคซัสเพื่อพักฟื้น แต่เธอเสียชีวิตที่นั่นในเดือนกันยายน ค.ศ. 1920 ระหว่างที่มี[[อหิวาตกโรค]]ระบาด{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=434|2a1=Shub|2y=1966|2pp=381–382|3a1=Rice|3y=1990|3p=181|4a1=Service|4y=2000|4p=415|5a1=Read|5y=2005|5p=258}} ร่างของเธอถูกส่งไปยังมอสโก ที่ซึ่งเลนินซึ่งโศกเศร้าอย่างเห็นได้ชัดและดูแลการฝังศพของเธอใต้[[กำแพงเครมลินมอสโก|กำแพงเครมลิน]]{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1pp=181–182|2a1=Service|2y=2000|2pp=416–417|3a1=Read|3y=2005|3p=258}}

เลนินป่วยหนักในช่วงครึ่งหลังของ ค.ศ. 1921{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=426|2a1=Lewin|2y=1969|2p=33|3a1=Rice|3y=1990|3p=187|4a1=Volkogonov|4y=1994|4p=409|5a1=Service|5y=2000|5p=435}} โดยมีอาการ[[ภาวะหูไวเกิน|หูไวเกิน]] [[นอนไม่หลับ]] และปวดศีรษะเป็นประจำ{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=426|2a1=Rice|2y=1990|2p=187|3a1=Service|3y=2000|3p=435}} ตามคำยืนกรานของโปลิตบูโรในเดือนกรกฎาคม เขาออกจากมอสโกเพื่อลาพักผ่อนเป็นเวลาหนึ่งเดือนที่คฤหาสน์กอร์กีของเขา{{sfnm|1a1=Service|1y=2000|1p=436|2a1=Read|2y=2005|2p=281|3a1=Rice|3y=1990|3p=187}} ซึ่งเขาได้รับการดูแลจากภรรยาและน้องสาวของเขา เลนินเริ่มใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ที่จะฆ่าตัวตาย โดยขอให้ทั้งครุปสกายาและสตาลินซื้อ[[โพแทสเซียมไซยาไนด์]]ให้เขา{{sfnm|1a1=Volkogonov|1y=1994|1pp=420, 425–426|2a1=Service|2y=2000|2p=439|3a1=Read|3y=2005|3pp=280, 282}} แพทย์ 26 คนได้รับการว่าจ้างให้ช่วยเหลือเลนินในช่วงปีสุดท้ายของเขา หลายคนเป็นชาวต่างชาติและถูกจ้างมาด้วยค่าใช้จ่ายจำนวนมาก{{sfnm|1a1=Volkogonov|1y=1994|1p=443|2a1=Service|2y=2000|2p=437}} บางคนแย้งว่าอาการป่วยของเขาอาจเกิดจากการ[[ปฏิกิริยารีดอกซ์|ออกซิเดชัน]]ของโลหะจาก[[กระสุน]]ที่ติดอยู่ในร่างกายของเขาจากการพยายามลอบสังหารใน ค.ศ. 1918 ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1922 เขาได้รับการผ่าตัดเพื่อเอาออกได้สำเร็จ{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=598–599|2a1=Shub|2y=1966|2p=426|3a1=Service|3y=2000|3p=443|4a1=White|4y=2001|4p=172|5a1=Read|5y=2005|5p=258}} อาการยังคงดำเนินต่อไปหลังจากนี้ โดยแพทย์ของเลนินไม่แน่ใจสาเหตุ บางคนแนะนำว่าเขาเป็นโรคประสาทเปลี้ยเหตุบาดเจ็บหรือ[[โรคหลอดเลือดแดงแข็ง]] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1922 เขาเป็น[[โรคหลอดเลือดสมอง]]ครั้งแรก ทำให้สูญเสียความสามารถในการพูดชั่วคราว และเป็นอัมพาตที่ซีกขวา{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=600|2a1=Shub|2y=1966|2pp=426–427|3a1=Lewin|3y=1969|3p=33|4a1=Service|4y=2000|4p=443|5a1=White|5y=2001|5p=173|6a1=Read|6y=2005|6p=258}} เขาพักฟื้นที่กอร์กีและหายเป็นปกติภายในเดือนกรกฎาคม{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1pp=427–428|2a1=Service|2y=2000|2p=446}} ในเดือนตุลาคม เขากลับไปมอสโก ในเดือนธันวาคม เขาเป็นโรคหลอดเลือดสมองครั้งที่สองและกลับไปกอร์กี{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=634|2a1=Shub|2y=1966|2pp=431–432|3a1=Lewin|3y=1969|3pp=33–34|4a1=White|4y=2001|4p=173}}

แม้ว่าเลนินจะป่วย แต่เลนินก็ยังคงสนใจพัฒนาการทางการเมืองเป็นอย่างมาก เมื่อผู้นำของพรรคปฏิวัติสังคมนิยมถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาสมรู้ร่วมคิดต่อต้านรัฐบาลในการพิจารณาคดีที่จัดขึ้นระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1922 เลนินเรียกร้องให้ประหารชีวิต พวกเขาถูกจำคุกโดยไม่มีกำหนดแทน โดยถูกประหารชีวิตเฉพาะในช่วง[[การกวาดล้างใหญ่]]ของสตาลินเท่านั้น{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=600–602|2a1=Shub|2y=1966|2pp=428–430|3a1=Leggett|3y=1981|3p=318|4a1=Sandle|4y=1999|4p=164|5a1=Service|5y=2000|5pp=442–443|6a1=Read|6y=2005|6p=269|7a1=Ryan|7y=2012|7pp=174–175}} ด้วยการสนับสนุนของเลนิน รัฐบาลยังประสบความสำเร็จในการกำจัดลัทธิเมนเชวิคในรัสเซียด้วยการขับเมนเชวิคทั้งหมดออกจากสถาบันและรัฐวิสาหกิจในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1923 จากนั้นจึงจำคุกสมาชิกของพรรคในค่ายกักกัน{{sfnm|1a1=Volkogonov|1y=1994|1p=310|2a1=Leggett|2y=1981|2pp=320–322|3a1=Aves|3y=1996|3pp=175–178|4a1=Sandle|4y=1999|4p=164|5a1=Lee|5y=2003|5pp=103–104|6a1=Ryan|6y=2012|6p=172}} เลนินกังวลถึงความอยู่รอดของระบอบอมาตยาธิปไตยซาร์ในรัสเซียโซเวียต{{sfnm|1a1=Lewin|1y=1969|1pp=8–9|2a1=White|2y=2001|2p=176|3a1=Read|3y=2005|3pp=270–272}} โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปีสุดท้ายของเขา โดยประณามทัศนคติของระบอบอมาตยาธิปไตย{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=578|2a1=Rice|2y=1990|2p=189}} เขาแนะนำให้ยกเครื่องใหม่ทั้งหมดเพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว{{sfn|Rice|1990|pp=192–193}} ในจดหมายฉบับหนึ่งบ่นว่า "เรากำลังถูกดูดเข้าไปในหนองน้ำของระบอบอมาตยาธิปไตยที่น่ารังเกียจ"{{sfn|Fischer|1964|p=578}}

ระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ. 1922 ถึงมกราคม ค.ศ. 1923 เลนินได้ทำ "[[พินัยกรรมเลนิน]]" ซึ่งเขาได้หารือเกี่ยวกับคุณสมบัติส่วนตัวของสหายของเขา โดยเฉพาะทรอตสกีและสตาลิน{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=638–639|2a1=Shub|2y=1966|2p=433|3a1=Lewin|3y=1969|3pp=73–75|4a1=Volkogonov|4y=1994|4p=417|5a1=Service|5y=2000|5p=464|6a1=White|6y=2001|6pp=173–174}} เขาแนะนำให้ถอดสตาลินออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ เนื่องจากเห็นว่าเขาไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=647|2a1=Shub|2y=1966|2pp=434–435|3a1=Rice|3y=1990|3p=192|4a1=Volkogonov|4y=1994|4p=273|5a1=Service|5y=2000|5p=469|6a1=White|6y=2001|6pp=174–175|7a1=Read|7y=2005|7pp=278–279}} แต่เขากลับแนะนำทรอตสกีให้ทำงานนี้ โดยอธิบายว่าเขาเป็น "คนที่มีความสามารถมากที่สุดในคณะกรรมการกลางชุดปัจจุบัน" เขาเน้นย้ำถึงสติปัญญาที่เหนือกว่าของทรอตสกี แต่ในขณะเดียวกันก็วิพากษ์วิจารณ์ความมั่นใจในตนเองและความโน้มเอียงไปทางการบริหารที่มากเกินไป{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=640|2a1=Shub|2y=1966|2pp=434–435|3a1=Volkogonov|3y=1994|3pp=249, 418|4a1=Service|4y=2000|4p=465|5a1=White|5y=2001|5p=174}} ในระหว่างช่วงเวลานี้ เลนินได้วิพากษ์วิจารณ์ลักษณะระบบราชการของผู้ตรวจกรรมกรและชาวนา โดยเรียกร้องให้มีการสรรหาเจ้าหน้าที่ชนชั้นแรงงานใหม่เพื่อเป็นยาแก้พิษสำหรับปัญหานี้{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=666–667, 669|2a1=Lewin|2y=1969|2pp=120–121|3a1=Service|3y=2000|3p=468|4a1=Read|4y=2005|4p=273}} ในขณะที่ในอีกบทความหนึ่ง เขาเรียกร้องให้รัฐต่อสู้กับการไม่รู้หนังสือ ส่งเสริมการตรงต่อเวลาและความมีจิตสำนึกภายในประชาชน และส่งเสริมให้ชาวนาเข้าร่วมสหกรณ์{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=650–654|2a1=Service|2y=2000|2p=470}}

[[File:LeninDistrictMO Gorki estate 05-2017 img2.jpg|thumb|left|คฤหาสน์กอร์กีของเลนิน ซึ่งเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงปีสุดท้ายของเขา (''ภาพถ่ายใน ค.ศ. 2017'')]]

ในช่วงที่เลนินไม่อยู่ สตาลินได้เริ่มรวบรวมอำนาจของเขาทั้งโดยการแต่งตั้งผู้สนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งที่โดดเด่น{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1pp=426, 434|2a1=Lewin|2y=1969|2pp=34–35}} และโดยการปลูกฝังภาพลักษณ์ของตัวเองว่าเป็นผู้สืบทอดที่ใกล้ชิดและสมควรได้รับจากเลนินมากที่สุด{{sfn|Volkogonov|1994|pp=263–264}} ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1922 สตาลินรับผิดชอบในระบอบการปกครองของเลนิน โดยได้รับมอบหมายจากโปลิตบูโรให้ควบคุมว่าใครจะเข้าถึงเขาได้{{sfnm|1a1=Lewin|1y=1969|1p=70|2a1=Rice|2y=1990|2p=191|3a1=Volkogonov|3y=1994|3pp=273, 416}} เลนินวิพากษ์วิจารณ์สตาลินมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่เลนินยืนกรานว่ารัฐควรรักษาการผูกขาดการค้าระหว่างประเทศไว้ ในช่วงกลาง ค.ศ. 1922 สตาลินกำลังนำบอลเชวิคกลุ่มอื่น ๆ ในการต่อต้านเรื่องนี้แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=635|2a1=Lewin|2y=1969|2pp=35–40|3a1=Service|3y=2000|3pp=451–452|4a1=White|4y=2001|4p=173}} มีข้อโต้แย้งส่วนตัวระหว่างทั้งสองด้วยเช่นกัน สตาลินทำให้ครุปสกายาอารมณ์เสียด้วยการตะโกนใส่เธอระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์ ซึ่งทำให้เลนินโกรธมากซึ่งส่งจดหมายถึงสตาลินเพื่อแสดงความรำคาญ{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=637–638, 669|2a1=Shub|2y=1966|2pp=435–436|3a1=Lewin|3y=1969|3pp=71, 85, 101|4a1=Volkogonov|4y=1994|4pp=273–274, 422–423|5a1=Service|5y=2000|5pp=463, 472–473|6a1=White|6y=2001|6pp=173, 176|7a1=Read|7y=2005|7p=279}}

การแบ่งแยกทางการเมืองที่สำคัญที่สุดระหว่างทั้งสองเกิดขึ้นระหว่าง[[กรณีจอร์เจีย]] สตาลินเสนอแนะว่าทั้งจอร์เจีย[[การบุกครองจอร์เจียของกองทัพแดง|ที่ถูกยึดครองโดยโซเวียต]]และประเทศเพื่อนบ้าน เช่น [[การบุกครองอาเซอร์ไบจานของกองทัพแดง|อาเซอร์ไบจาน]]และ[[การบุกครองอาร์มีเนียของกองทัพแดง|อาร์มีเนีย]] ซึ่งล้วนถูกรุกรานและยึดครองโดยกองทัพแดง ควรรวมเข้ากับรัฐรัสเซีย แม้ว่าจะมีเสียงประท้วงจากรัฐบาลท้องถิ่นที่โซเวียตแต่งตั้งไว้ก็ตาม{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=607–608|2a1=Lewin|2y=1969|2pp=43–49|3a1=Rice|3y=1990|3pp=190–191|4a1=Volkogonov|4y=1994|4p=421|5a1=Service|5y=2000|5pp=452, 453–455|6a1=White|6y=2001|6pp=175–176}} เลนินมองว่านี่เป็นการแสดงออกถึงลัทธิชาตินิยมทางชาติพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ของรัสเซียโดยสตาลินและผู้สนับสนุนของเขา แทนที่จะเรียกร้องให้รัฐชาติเหล่านี้เข้าร่วมกับรัสเซียในฐานะส่วนกึ่งอิสระของสหภาพที่ใหญ่กว่า ซึ่งเขาเสนอให้เรียกว่าสหภาพสาธารณรัฐโซเวียตแห่งยุโรปและเอเชีย{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=608|2a1=Lewin|2y=1969|2p=50|3a1=Leggett|3y=1981|3p=354|4a1=Volkogonov|4y=1994|4p=421|5a1=Service|5y=2000|5p=455|6a1=White|6y=2001|6p=175}} หลังจากการต่อต้านข้อเสนอนี้อยู่บ้าง ในที่สุดสตาลินก็ยอมรับข้อเสนอดังกล่าว แต่ด้วยข้อตกลงของเลนิน เขาได้เปลี่ยนชื่อของรัฐที่เสนอใหม่เป็น[[สหภาพโซเวียต|สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต]] (สหภาพโซเวียต){{sfn|Service|2000|pp=455, 456}} เลนินส่งทรอตสกีไปพูดในนามของเขาที่การประชุมคณะกรรมการกลางในเดือนธันวาคม ซึ่งแผนการสำหรับสหภาพโซเวียตถูกคว่ำบาตร แผนเหล่านี้ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 30 ธันวาคมโดยรัฐสภาโซเวียต ส่งผลให้เกิดการก่อตั้งสหภาพโซเวียต{{sfnm|1a1=Lewin|1y=1969|1pp=40, 99–100|2a1=Volkogonov|2y=1994|2p=421|3a1=Service|3y=2000|3pp=460–461, 468}} แม้ว่าสุขภาพของเขาจะย่ำแย่ แต่เลนินก็ได้รับเลือกเป็นประธานรัฐบาลชุดใหม่ของสหภาพโซเวียต{{sfn|Rigby|1979|p=221}}

=== อสัญกรรมและรัฐพิธีศพ: ค.ศ. 1923–1924 ===
{{Main article|อสัญกรรมและรัฐพิธีศพของวลาดีมีร์ เลนิน}}
[[File:Lenin's funerals by I.Brodsky (1925) detail 01.jpg|thumb|งานศพของเลนิน วาดโดยอีซัค บรอดสกี ค.ศ. 1925]]
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1923 เลนินป่วยเป็น[[โรคหลอดเลือดสมอง]]เป็นครั้งที่สามและสูญเสียความสามารถในการพูด{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=671|2a1=Shub|2y=1966|2p=436|3a1=Lewin|3y=1969|3p=103|4a1=Leggett|4y=1981|4p=355|5a1=Rice|5y=1990|5p=193|6a1=White|6y=2001|6p=176|7a1=Read|7y=2005|7p=281}} ในเดือนนั้น เลนินเป็นอัมพาตบางส่วนทางด้านขวา และเริ่มแสดงอาการ[[ภาวะเสียการสื่อความ]]{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=671|2a1=Shub|2y=1966|2p=436|3a1=Volkogonov|3y=1994|3p=425|4a1=Service|4y=2000|4p=474|5a1=Lerner|5a2=Finkelstein|5a3=Witztum|5y=2004|5p=372}} ภายในเดือนพฤษภาคม ดูเหมือนว่าเขาจะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ โดยสามารถฟื้นความคล่องตัว ทักษะการพูด และการเขียนบางส่วนได้{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=672|2a1=Rigby|2y=1979|2p=192|3a1=Rice|3y=1990|3pp=193–194|4a1=Volkogonov|4y=1994|4pp=429–430}} ในเดือนตุลาคม เขาได้เดินทางเยือนเครมลินเป็นครั้งสุดท้าย{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=672|2a1=Shub|2y=1966|2p=437|3a1=Volkogonov|3y=1994|3p=431|4a1=Service|4y=2000|4p=476|5a1=Read|5y=2005|5p=281}} ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเขา ซีโนเวียฟ คาเมเนฟ และ บูฮาริน มาเยี่ยมเลนิน คนหลังไปเยี่ยมเขาที่คฤหาสน์กอร์กีของเขาในวันที่เขาเสียชีวิต{{sfnm|1a1=Rice|1y=1990|1p=194|2a1=Volkogonov|2y=1994|2p=299|3a1=Service|3y=2000|3pp=477–478}} เลนินตกอยู่ในอาการ[[โคม่า]]และเสียชีวิตในเวลาต่อมาในวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 1924 ขณะมีอายุ 53 ปี{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=673–674|2a1=Shub|2y=1966|2p=438|3a1=Rice|3y=1990|3p=194|4a1=Volkogonov|4y=1994|4p=435|5a1=Service|5y=2000|5pp=478–479|6a1=White|6y=2001|6p=176|7a1=Read|7y=2005|7p=269}} สาเหตุการตายอย่างเป็นทางการของเขาถูกบันทึกว่าเป็นโรคหลอดเลือดที่รักษาไม่หาย{{sfnm|1a1=Volkogonov|1y=1994|1p=435|2a1=Lerner|2a2=Finkelstein|2a3=Witztum|2y=2004|2p=372}}

[[File:Lenin dead.jpg|thumb|left|upright|แถลงการต่อการเสียชีวิตของเลนิน]]

รัฐบาลโซเวียตประกาศการเสียชีวิตของเลนินต่อสาธารณะในวันรุ่งขึ้น{{sfn|Rice|1990|p=7}} ในวันที่ 23 มกราคม ผู้ร่วมไว้อาลัยจากพรรคคอมมิวนิสต์ สหภาพแรงงาน และรัฐสภาโซเวียตไปที่บ้านกอร์กีของเขาเพื่อตรวจสอบศพ ซึ่งถูกเคลื่อนย้ายขึ้นไปบนโลงศพสีแดงโดยผู้นำบอลเชวิค{{sfn|Rice|1990|pp=7–8}} โลงศพถูกเคลื่อนย้ายโดยรถไฟไปมอสโกและถูกนำไปยัง[[ทำเนียบสหภาพ]]ที่ซึ่งศพนอนอยู่บนแท่นพิธีในสภาพปกติ{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=674|2a1=Shub|2y=1966|2p=439|3a1=Rice|3y=1990|3pp=7–8|4a1=Service|4y=2000|4p=479}} ในช่วงสามวันต่อมา มีผู้ร่วมไว้อาลัยประมาณหลายล้านคนมาเพื่อดูศพ หลายคนเข้าคิวรอนานหลายชั่วโมงในสภาพที่เย็นยะเยือก{{sfn|Rice|1990|p=9}} ในวันที่ 26 มกราคม ในการประชุมรัฐสภาโซเวียตมวลสหภาพครั้งที่ 11 จัดขึ้นเพื่อแสดงความเคารพ โดยมี[[มีฮาอิล คาลีนิน|คาลีนิน]] ซิโนเวียฟ และสตาลินกล่าวสุนทรพจน์{{sfn|Rice|1990|p=9}} ที่น่าสังเกตก็คือทรอตสกีไม่อยู่ เขาพักฟื้นในคอเคซัส และต่อมาเขาอ้างว่าสตาลินส่งโทรเลขถึงเขาโดยระบุวันที่จัดงานศพที่วางแผนไว้ไม่ถูกต้อง ทำให้เขาไม่สามารถมาทันเวลาได้{{sfn|''History'', April 2009}} พิธีศพของเลนินจัดขึ้นในวันรุ่งขึ้น เมื่อร่างของเขาถูกนำไปยัง[[จัตุรัสแดง]]พร้อมกับการบรรเลงดนตรีซึ่งฝูงชนที่รวมตัวกันฟังการปราศรัยต่อเนื่องก่อนที่ศพจะถูกนำไปฝังในห้องนิรภัยของสุสานที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษ{{sfnm|1a1=Shub|1y=1966|1p=439|2a1=Rice|2y=1990|2p=9|3a1=Service|3y=2000|3pp=479–480}} มีผู้เข้าร่วมนับหมื่นคนแม้ว่าอุณหภูมิจะเยือกแข็ง{{sfn|Volkogonov|1994|p=440}}

เพื่อต่อต้านการประท้วงของครุปสกายา ร่างของเลนินถูกดองเพื่อเก็บรักษาไว้เพื่อจัดแสดงต่อสาธารณะในระยะยาวในสุสานจัตุรัสแดง{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1p=674|2a1=Shub|2y=1966|2p=438|3a1=Volkogonov|3y=1994|3pp=437–438|4a1=Service|4y=2000|4p=481}} ในระหว่างขั้นตอนนี้ สมองของเลนินถูกเอาออกไป ใน ค.ศ. 1925 ได้มีการก่อตั้งสถาบันเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว โดยเผยให้เห็นว่าเลนินเป็นโรคเส้นโลหิตตีบขั้นรุนแรง{{sfnm|1a1=Fischer|1y=1964|1pp=625–626|2a1=Volkogonov|2y=1994|2p=446}} ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1929 โปลิตบูโรได้ตกลงที่จะเปลี่ยนสุสานชั่วคราวเป็นสุสานถาวรที่ทำจากหินแกรนิต ซึ่งสร้างเสร็จใน ค.ศ. 1933{{sfn|Volkogonov|1994|pp=444, 445}} โลงศพของเขาถูกแทนที่ใน ค.ศ. 1940 และอีกครั้งใน ค.ศ. 1970{{sfn|Volkogonov|1994|p=445}} เพื่อความปลอดภัยในช่วง[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] ตั้งแต่ ค.ศ. 1941 ถึง ค.ศ. 1945 ศพจึงถูกย้ายไปที่เมือง[[ตูย์เมน]]ชั่วคราว{{sfn|Volkogonov|1994|p=444}} ศพของเขายังคงแสดงต่อสาธารณะใน[[สุสานเลนิน]]ที่จัตุรัสแดงจนถึงปัจจุบัน{{sfn|Moscow.info}}


== หมายเหตุ ==
== หมายเหตุ ==
{{Notelist}}
{{รายการหมายเหตุ}}

== อ้างอิง ==
{{รายการอ้างอิง}}
=== บรรณานุกรม ===
{{Refbegin|30em|indent=yes}}
* {{cite book |title=Workers Against Lenin: Labour Protest and the Bolshevik Dictatorship |last=Aves |first=Jonathan |year=1996 |publisher=I.B. Tauris |location=London |isbn=978-1-86064-067-4}}
* {{cite book |last1=Brackman |first1=Roman |title=The Secret File of Joseph Stalin: A Hidden Life |publisher=Psychology Press |year=2000 |location=Portland, Oregon |isbn=978-0-7146-5050-0}}
* {{cite book |last1=Budgen |first1=Sebastian |last2=Kouvelakis |first2=Stathis |last3=Žižek |first3=Slavoj |author3-link=Slavoj Žižek |title=Lenin Reloaded: Toward a Politics of Truth |year=2007 |location=Durham, North Carolina |publisher=Duke University Press |isbn=978-0-8223-3941-0 |url-access=registration |url=https://archive.org/details/leninreloadedtow01unse }}
* {{cite journal |last=David |first=H. P. |title=Abortion and Family Planning in the Soviet Union: Public Policies and Private Behaviour |journal=Journal of Biosocial Science |volume=6 |year=1974 |issue=4 |pages=417–426 |doi=10.1017/S0021932000009846 |pmid=4473125|s2cid=11271400 }}
* {{cite book |last=Davies |first=Norman |year=2003 |orig-year = 1972 |title=White Eagle, Red Star: The Polish-Soviet War 1919–20 and 'the Miracle on the Vistula' |publisher=Pimlico |location=London |isbn=978-0-7126-0694-3}}
* {{cite book |title=The Life of Lenin |last=Fischer |first=Louis |author-link=Louis Fischer |year=1964 |publisher=Weidenfeld and Nicolson |location=London |url=https://archive.org/details/lifeofleninfischer }}
* {{cite book |last1=Figes |first1=Orlando |title=A People's Tragedy: The Russian Revolution – centenary edition with new introduction |date=26 January 2017 |publisher=Random House |isbn=978-1-4481-1264-7 |pages=796–797 |url=https://books.google.com/books?id=d7i-DQAAQBAJ |language=en}}
* {{cite journal |last=Hazard |first=John N. |year=1965 |author-link=John N. Hazard |title=Unity and Diversity in Socialist Law |url=http://scholarship.law.duke.edu/cgi/viewcontent.cgi?article=3056&context=lcp |journal=Law and Contemporary Problems |volume=30 |number=2 |pages=270–290 |access-date=8 August 2016 |jstor=1190515 |doi=10.2307/1190515 |archive-date=5 February 2017 |archive-url=https://web.archive.org/web/20170205151354/http://scholarship.law.duke.edu/cgi/viewcontent.cgi?article=3056&context=lcp |url-status=live }}
* {{cite book |title=Lenin and Revolutionary Russia |last=Lee |first=Stephen J. |year=2003 |location=London |publisher=Routledge |isbn=978-0-415-28718-0}}
* {{Cite book |last=Leggett |first=George |title=The Cheka: Lenin's Political Police |location=Oxford |publisher=Oxford University Press |year=1981 |isbn=978-0-19-822552-2 |url-access=registration |url=https://archive.org/details/chekaleninspolit0000legg }}
* {{cite journal |last1=Lerner |first1=Vladimir |last2=Finkelstein |first2=Y. |last3=Witztum |first3=E. |title=The Enigma of Lenin's (1870–1924) Malady |year=2004 |journal=European Journal of Neurology |volume=11 |number=6 |pages=371–376 |doi=10.1111/j.1468-1331.2004.00839.x |pmid=15171732 |s2cid=14966309}}
* {{cite book |title=The First World War Peace Settlements, 1919–1925 |last=Goldstein |first=Erik |year=2013 |location=London |publisher=Routledge |isbn=978-1-31-7883-678}}
* {{cite book |title=Consumed by War: European Conflict in the 20th Century |last=Hall |first=Richard C. |year=2015 |location=Lexington |publisher=University Press of Kentucky |isbn=978-0-81-3159-959}}
* {{cite book |last=Liebman |first=Marcel |translator=Brian Pearce |year=1975 |orig-year=1973 |title=Leninism Under Lenin |url=https://archive.org/details/leninismunderlen0000lieb_f2h6 |url-access=registration |location=London |publisher=Jonathan Cape |isbn=978-0-224-01072-6 }}
* {{cite book |last=Merridale |first=Catherine |year=2017 |title=Lenin on the Train |location=London |publisher=Penguin Books |isbn=978-0-241-01132-4}}
*{{Cite book |last=Montefiore |first=Simon Sebag |title=Young Stalin |year=2007 |author-link=Simon Sebag Montefiore |location=London |publisher=Weidenfeld & Nicolson |isbn=978-0-297-85068-7}}
* {{cite book |title=Lenin's Last Struggle |last=Lewin |first=Moshe | author-link = Moshe Lewin |year=1969 |publisher=Faber and Faber |location=London |translator-last=Sheridan Smith |translator-first=A. M. |translator-link=Alan Sheridan}}
* {{cite book |last1=Lewin |first1=Moshe |title=Lenin's Last Struggle |date=4 May 2005 |publisher=University of Michigan Press |isbn=978-0-472-03052-1 |page=67 |url=https://books.google.com/books?id=iheBbViwVksC&q=moshe+lewin+lenin%27s+last+struggle+trotsky+bloc |language=en}}
* {{cite book |title=Lenin |last=Lih |first=Lars T. |year=2011 |series=Critical Lives |publisher=Reaktion Books |location=London |isbn=978-1-86189-793-0}}
* {{cite journal |title=Lenin, the National Question and the Baltic States, 1917–19 |last=Page |first=Stanley W. |journal=The American Slavic and East European Review |volume=7 |number=1 |year=1948 |pages=15–31 |doi=10.2307/2492116 |jstor=2492116}}
* {{cite journal |title=Lenin and Self-Determination |last=Page |first=Stanley W. |journal=The Slavonic and East European Review |volume=28 |number=71 |year=1950 |pages=342–358 |jstor=4204138}}
* {{cite book |title=Lenin's Jewish Question |last=Petrovsky-Shtern |first=Yohanan | author-link = Yohanan Petrovsky-Shtern |year=2010 |location=New Haven, Connecticut |publisher=Yale University Press |isbn=978-0-300-15210-4 |jstor=j.ctt1npd80}}
* {{cite book |title=The Russian Revolution: 1899–1919 |last=Pipes |first=Richard |author-link=Richard Pipes |year=1990 |publisher=Collins Harvill |location=London |isbn=978-0-679-73660-8 |url-access=registration |url=https://archive.org/details/russianrevolutio00pipe_0 }}
* {{cite book |title=The Unknown Lenin: From the Secret Archive |last=Pipes |first=Richard |author-link = Richard Pipes |year=1996 |publisher=Yale University Press |location=New Haven, Connecticut |isbn=978-0-300-06919-8}}
* {{cite book |title=Conspirator: Lenin in Exile |last=Rappaport |first=Helen |author-link=Helen Rappaport |year=2010 |publisher=Basic Books |location=New York |isbn=978-0-465-01395-1}}
* {{cite book |title=Lenin: A Revolutionary Life |last=Read |first=Christopher |year=2005 |series=Routledge Historical Biographies |publisher=Routledge |location=London |isbn=978-0-415-20649-5}}
*{{cite encyclopedia |title=Vladimir Ilich Lenin |encyclopedia=Encyclopædia Britannica |first=Albert |last=Resis |url=http://www.britannica.com/EBchecked/topic/335881/Vladimir-Ilich-Lenin |access-date=4 February 2016 |archive-url=https://web.archive.org/web/20150619112253/http://www.britannica.com/biography/Vladimir-Ilich-Lenin |archive-date=19 June 2015 |ref={{harvid|''Encyclopedia Britannica''}} }}
* {{cite book |title=Lenin: Portrait of a Professional Revolutionary |last=Rice |first=Christopher |year=1990 |publisher=Cassell |location=London |isbn=978-0-304-31814-8}}
* {{cite book |title=Lenin's Government: Sovnarkom 1917–1922 |url=https://archive.org/details/leninsgovernment0000rigb |url-access=registration |last=Rigby |first=T. H. |year=1979 |publisher=Cambridge University Press |location=Cambridge, England |isbn=978-0-521-22281-5 }}
*{{Cite book |last=Ryan |first=James |title=Lenin's Terror: The Ideological Origins of Early Soviet State Violence |publisher=Routledge |location=London |year=2012 |isbn=978-1-138-81568-1}}
* {{cite book |title=A Short History of Soviet Socialism |last=Sandle |first=Mark |year=1999 |publisher=UCL Press |location=London |isbn=978-1-85728-355-6 |doi=10.4324/9780203500279}}
* {{cite book |title=Lenin the Dictator: An Intimate Portrait |last=Sebestyen |first=Victor|author-link=Victor Sebestyen |year=2017 |publisher=Weidenfeld & Nicolson |location=London |isbn=978-1-47460-044-6}}
* {{cite book |title=Lenin: A Biography |last=Service |first=Robert |author-link = Robert Service (historian) |year=2000 |publisher=Macmillan |location=London |isbn=978-0-333-72625-9 |title-link = Lenin: A Biography}}
* {{cite news |url=https://www.bbc.com/news/world-europe-32267075 |title=Goodbye, Lenin: Ukraine moves to ban communist symbols |website=BBC News |date=14 April 2015 |archive-url=https://web.archive.org/web/20160307200441/http://www.bbc.co.uk/news/world-europe-32267075 |archive-date=7 March 2016 |url-status=live |last1=Shevchenko |first1=Vitaly |ref={{harvid|BBC, 14 April 2015}} }}
* {{cite book |title=Lenin: A Biography |edition=revised |last=Shub |first=David |author-link=David Shub |publisher=Pelican |location=London |year=1966 |url=https://archive.org/details/leninbiographyshub }}
* {{cite book |title=Lenin: Genesis and Development of a Revolutionary |last=Theen |first=Rolf |year=2004 |publisher=Princeton University Press |location=Princeton, New Jersey |isbn=978-0-691-64358-8}}
* {{cite book |title=Lenin Lives! The Lenin Cult in Soviet Russia |last=Tumarkin |first=Nina |edition=enlarged |year=1997 |publisher=Harvard University Press |location=Cambridge, Massachusetts |isbn=978-0-674-52431-6}}
* {{cite book |title=Lenin: Life and Legacy |last=Volkogonov |first=Dmitri |author-link=Dmitri Volkogonov |year=1994 |translator-last=Shukman |translator-first=Harold |translator-link=Harold Shukman |publisher=HarperCollins |location=London |isbn=978-0-00-255123-6}}
* {{cite book |title=Lenin: The Practice and Theory of Revolution |last=White |first=James D. |year=2001 |series=European History in Perspective |publisher=Palgrave |location=Basingstoke, England |isbn=978-0-333-72157-5}}
* {{cite book|last=Yakovlev |first=Yegor |author-link=Yegor Yakovlev |year=1988 |title=The Beginning: The Story about the Ulyanov Family, Lenin's Childhood and Youth |publisher=Progress Publishers |location=Moscow |isbn=978-5010005009}}
* {{cite encyclopedia |url=http://dictionary.reference.com/browse/lenin |title=Lenin |dictionary=Random House Webster's Unabridged Dictionary |access-date=8 January 2021 |ref={{harvid|''Random House Webster's Unabridged Dictionary''}} |archive-date=8 March 2016 |archive-url=https://web.archive.org/web/20160308183209/http://dictionary.reference.com/browse/lenin |url-status=live }}
* {{cite web|url=http://www.moscow.info/red-square/lenin-mausoleum.aspx|title=Lenin Mausoleum on Red Square in Moscow|website=www.moscow.info|access-date=7 May 2017|archive-url=https://web.archive.org/web/20190110094940/http://www.moscow.info/red-square/lenin-mausoleum.aspx|archive-date=10 January 2019|url-status=dead|ref={{harvid|Moscow.info}}}}
* {{cite news |title=Lenin Statue Beheaded in Orenburg |url=https://www.themoscowtimes.com/2013/10/24/lenin-statue-beheaded-in-orenburg-a28915 |work=[[The Moscow Times]] |date=24 October 2013 |ref={{harvid|''The Moscow Times'', 24 October 2013}} |access-date=17 July 2020 |archive-date=17 July 2020 |archive-url=https://web.archive.org/web/20200717185352/https://www.themoscowtimes.com/2013/10/24/lenin-statue-beheaded-in-orenburg-a28915 |url-status=live }}
* {{cite news |title=Mongolia capital Ulan-Bator removes Lenin statue |date=14 October 2012 |url=https://www.bbc.co.uk/news/world-asia-19940437 |website=BBC News |access-date=17 July 2020 |ref={{harvid|BBC, 14 October 2012}} |archive-date=17 July 2020 |archive-url=https://web.archive.org/web/20200717125625/https://www.bbc.co.uk/news/world-asia-19940437 |url-status=live }}
* {{cite web |title=Ukraine crisis: Lenin statues toppled in protest |url=https://www.bbc.com/news/world-europe-26306737 |website=BBC News |date=22 February 2014 |archive-url=https://web.archive.org/web/20160105123905/http://www.bbc.co.uk/news/world-europe-26306737 |archive-date=5 January 2016 |url-status=live |ref={{harvid|BBC, 22 February 2014}} }}
* {{cite episode |title=Vladimir Lenin Biography |url=http://www.biography.com/people/vladimir-lenin-9379007 |access-date=20 May 2016 |series=Biography |network=A&E Television Networks |minutes=42:10 |ref={{harvid|''Biography''}} |archive-date=5 February 2017 |archive-url=https://web.archive.org/web/20170205151316/http://www.biography.com/people/vladimir-lenin-9379007 |url-status=live }}
{{refend}}
== หนังสือเพิ่มเติม ==
{{Refbegin|30em|indent=yes}}
*{{Cite book |last=Ali |first=Tariq | author-link = Tariq Ali |title=The Dilemmas of Lenin: Terrorism, War, Empire, Love, Revolution. |location=New York/London |publisher=Verso |year=2017 |isbn=978-1-78663-110-7}}
*{{Cite book |last=Cliff |first=Tony | author-link = Tony Cliff |title=Building the Party: Lenin, 1893–1914 |location=Chicago |publisher=Haymarket Books |year=1986 |isbn=978-1-931859-01-1}}
*{{Cite book |last=Felshtinsky |first=Yuri | author-link = Yuri Felshtinsky |title=Lenin and His Comrades: The Bolsheviks Take Over Russia 1917–1924 |location=New York |publisher=Enigma Books |year=2010 |isbn=978-1-929631-95-7}}
*{{Cite book |last=Gellately |first=Robert | author-link = Robert Gellately |title=Lenin, Stalin, and Hitler: The Age of Social Catastrophe |location=New York |publisher=Knopf |year=2007 |isbn=978-1-4000-3213-6}}
*{{Cite book |last=Gooding |first=John |title=Socialism in Russia: Lenin and His Legacy, 1890–1991 |location=Basingstoke, England |publisher=Palgrave Macmillan |year=2001 |doi=10.1057/9781403913876 |isbn=978-0-333-97235-9}}
*{{Cite book |last=Hill |first=Christopher |author-link=Christopher Hill (historian) |title=Lenin and the Russian Revolution |location=London |publisher=Pelican Books |year=1993 |url=https://archive.org/details/leninrussianrevolution }}
*{{cite book |title=Lenin 2017: Remembering, Repeating, and Working Through |last1=Lenin |first1=V.I. |last2=Žižek |first2=Slavoj |year=2017 |publisher=Verso |isbn=978-1-78663-188-6}}
*{{Cite book |last1=Lih |first1=Lars T. |title=Lenin Rediscovered: What is to be Done? in Context |year=2008 |orig-year=2006 |publisher=Haymarket Books |location=Chicago |isbn=978-1-931859-58-5}}
*{{cite book |title=Lenin: A Study on the Unity of his Thought |last=Lukács |first=Georg |author-link=György Lukács |translator-last=Jacobs |translator-first=Nicholas |year=1970 |orig-year=1924 |url=http://www.marxists.org/archive/lukacs/works/1924/lenin/ |access-date=7 August 2016 |archive-date=1 October 2016 |archive-url=https://web.archive.org/web/20161001155437/https://www.marxists.org/archive/lukacs/works/1924/lenin/ |url-status=live }}
*{{cite book |last=Nimtz |first=August H. |title=Lenin's Electoral Strategy from 1907 to the October Revolution of 1917: The Ballot, the Streets—or Both |location=New York |publisher=Palgrave Macmillan |year=2014 |isbn=978-1-137-39377-7}}
* {{cite book|chapter=The Messiah: Vladimir Lenin, the New Teacher|title=Apostles of Revolution|first=Max|last=Nomad|author-link=Max Nomad|year=1961|orig-year=1939|location=[[New York City|New York]]|publisher=[[Crowell-Collier Publishing Company|Collier Books]]|chapter-url=https://archive.org/details/apostlesofrevolu00noma/page/300/|lccn=61018566|oclc=984463383|pages=300–370}}
*{{Cite book |last1=Pannekoek |first1=Anton |author1-link=Antonie Pannekoek |title=Lenin as Philosopher |url=https://www.marxists.org/archive/pannekoe/1938/lenin/ |year=1938 |access-date=16 August 2016 |archive-date=26 October 2017 |archive-url=https://web.archive.org/web/20171026235546/https://www.marxists.org/archive/pannekoe/1938/lenin/ |url-status=live }}
*{{Cite journal |last=Ryan |first=James |title=Lenin's ''The State and Revolution'' and Soviet State Violence: A Textual Analysis |journal=Revolutionary Russia |year=2007 |volume=20 |issue=2 |pages=151–172 |doi=10.1080/09546540701633452 |s2cid=144309851}}
* {{cite book |last=Service |first=Robert |author-link=Robert Service (historian) |title=Lenin: A Political Life – Volume One: The Strengths of Contradiction |year=1985 |publisher=Indiana University Press |isbn=978-0-253-33324-7}}
* {{cite book |last=Service |first=Robert |author-link=Robert Service (historian) |title=Lenin: A Political Life – Volume Two: Worlds in Collision |year=1991 |publisher=Indiana University Press |isbn=978-0-253-33325-4}}
* {{cite book |last=Service |first=Robert |author-link=Robert Service (historian) |title=Lenin: A Political Life – Volume Three: The Iron Ring |year=1995 |publisher=Indiana University Press |isbn=978-0-253-35181-4}}
* Wade, Rex A. "The Revolution at One Hundred: Issues and Trends in the English Language Historiography of the Russian Revolution of 1917." ''Journal of Modern Russian History and Historiography'' 9.1 (2016): 9–38. {{doi|10.1163/22102388-00900003}}
{{refend}}


== แหล่งข้อมูลอื่น ==
== แหล่งข้อมูลอื่น ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:28, 9 พฤศจิกายน 2566

วลาดีมีร์ เลนิน
Владимир Ленин
เลนินเมื่อ ค.ศ. 1920
ประธานคณะกรรมการราษฎร
แห่งสหภาพโซเวียต
ดำรงตำแหน่ง
6 กรกฎาคม ค.ศ. 1923 – 21 มกราคม ค.ศ. 1924
(0 ปี 199 วัน)
ก่อนหน้าสถาปนาตำแหน่ง
ถัดไปอะเลคเซย์ รืยคอฟ
ประธานคณะกรรมการราษฎร
แห่งสหพันธ์สาธารณรัฐโซเวียตรัสเซีย
ดำรงตำแหน่ง
8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917 – 21 มกราคม ค.ศ. 1924
(6 ปี 74 วัน)
ก่อนหน้าสถาปนาตำแหน่ง
ถัดไปอะเลคเซย์ รืยคอฟ
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
Vladimir Ilyich Ulyanov

22 เมษายน ค.ศ. 1870
ซิมบิร์สค์ จักรวรรดิรัสเซีย
เสียชีวิต21 มกราคม ค.ศ. 1924(1924-01-21) (53 ปี)
มอสโก สหภาพโซเวียต
เชื้อชาติรัสเซีย
พรรคการเมือง
คู่สมรสNadezhda Krupskaya (สมรส 1898)
ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก
ลายมือชื่อ

วลาดีมีร์ อิลลิช อุลยานอฟ[a] เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อเล่นของเขาว่า เลนิน[b] (22 เมษายน [ตามปฎิทินเก่า: 10 เมษายน] ค.ศ. 1870 – 21 มกราคม ค.ศ. 1924) เป็นนักปฏิวัติ นักการเมือง และนักทฤษฎีชาวรัสเซีย เลนินดำรงตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล ในฐานะเป็นผู้ก่อตั้งและประมุขคนแรกของโซเวียตรัสเซีย ตั้งแต่ ค.ศ. 1917 ถึง ค.ศ. 1924 และสหภาพโซเวียต ตั้งแต่ ค.ศ. 1922 ถึง ค.ศ. 1924 ภายใต้การบริหารของเลนิน ประเทศรัสเซียซึ่งในเวลาต่อมาคือสหภาพโซเวียต ได้กลายเป็นรัฐสังคมนิยมแบบพรรคเดียว ที่ถูกปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต เขาได้พัฒนาแนวคิดของลัทธิคอมมิวนิสต์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่รู้จักกันดีในชื่อของลัทธิเลนิน

เลนินเกิดในครอบครัวชนชั้นกลางระดับสูงในเมืองซิมบีร์สค์ เลนินยอมรับการเมืองสังคมนิยมปฏิวัติหลังจากที่พี่ชายของเลนินถูกประหารชีวิตใน ค.ศ. 1887 หลังถูกไล่ออกจากราชวิทยาลัยคาซาน เนื่องจากมีส่วนร่วมในการประท้วงต่อต้านรัฐบาลซาร์ของจักรวรรดิรัสเซีย เลนินย้ายไปกรุงเซนต์ปีเตอส์เบิร์กใน ค.ศ. 1893 และกลายเป็นนักเคลื่อนไหวลัทธิมากซ์ ใน ค.ศ. 1893 เขาถูกจับในข้อหายุยงปลุกปั่นและถูกเนรเทศไปยังชูเชียนสโคเยในไซบีเรียเป็นเวลาสามปี ซึ่งเขาได้แต่งงานกับนาเดจดา ครุปสกายา หลังจากการเนรเทศ เลนินย้ายไปยุโรปตะวันตก ซึ่งเขาได้กลายเป็นนักทฤษฎีลัทธิมากซ์ที่โดดเด่นในพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย ใน ค.ศ. 1903 เขามีบทบาทสำคัญในการแตกแยกทางอุดมการณ์ของพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตย ซึ่งเลนินกลายเป็นผู้นำฝ่ายบอลเชวิคเพื่อต่อต้านฝ่ายเมนเชวิคที่นำโดยยูลิอุส มาร์ตอฟ หลังการปฏิวัติที่ล้มเหลวของรัสเซียใน ค.ศ. 1905 เลนินได้รณรงค์เพื่อให้สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเปลี่ยนเป็นการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพทั่วทั้งยุโรป ซึ่งในฐานะนักลัทธิมากซ์ เขาเชื่อว่าจะทำให้เกิดการล้มล้างทุนนิยมและแทนที่ด้วยลัทธิสังคมนิยม หลังจากการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ ใน ค.ศ. 1917 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ซาร์สละราชสมบัติและจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว เขากลับไปรัสเซียเพื่อมีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติเดือนตุลาคมที่ฝ่ายบอลเชวิคโค่นล้มระบอบการปกครองใหม่

ในขั้นต้น รัฐบาลบอลเชวิคของเลนินได้แบ่งปันอำนาจกับพรรคปฏิวัติสังคมนิยมฝ่ายซ้าย สมาชิกสภาโซเวียตที่มาจากการเลือกตั้ง และสภาร่างรัฐธรรมนูญหลายพรรค แม้ว่าใน ค.ศ. 1918 จะมีอำนาจรวมศูนย์ในพรรคคอมมิวนิสต์ใหม่ การบริหารของเลนินได้แจกจ่ายที่ดินให้กับชาวนาและทำให้ธนาคารและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ถูกโอนมาเป็นของรัฐ รัสเซียยังถอนตัวจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งโดยลงนามในสนธิสัญญายอมยกดินแดนให้แก่ฝ่ายมหาอำนาจกลาง และส่งเสริมการปฏิวัติโลกผ่านองค์การคอมมิวนิสต์สากล ฝ่ายตรงข้ามถูกปราบปรามในความน่าสะพรึงสีแดง ซึ่งเป็นการรณรงค์ที่รุนแรงโดยหน่วยงานความมั่นคงของรัฐ ผู้คนหลายหมื่นคนถูกฆ่าหรือถูกกักขังในค่ายกักกัน ฝ่ายบริหารของเขาเอาชนะกองทัพต่อต้านคอมมิวนิสต์ฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายในสงครามกลางเมืองรัสเซียระหว่าง ค.ศ. 1917 ถึง ค.ศ. 1922 และคอยดูสงครามโปแลนด์-โซเวียตใน ค.ศ. 1919-1921 ในการตอบสนองต่อความหายนะในช่วงสงคราม ทุพภิกขภัย และการลุกฮือของประชาชน ใน ค.ศ. 1921 เลนินได้สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านนโยบายเศรษฐกิจใหม่ ประเทศที่ไม่ใช่รัสเซียหลายแห่งได้รับเอกราชจากจักรวรรดิรัสเซียหลัง ค.ศ. 1917 แต่สามประเทศได้รวมตัวอีกครั้งเป็นสหภาพโซเวียตใน ค.ศ. 1922 สุขภาพของเขาแย่ลง เลนินเสียชีวิตในกอร์กีใน ค.ศ. 1924 โดยที่โจเซฟ สตาลินเข้ามารับช่วงต่อจากเขาในฐานะบุคคลสำคัญในรัฐบาลโซเวียต

เลนินถือเป็นบุคคลสำคัญและมีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยถือเป็นหัวข้อหลังมรณกรรมของลัทธิบูชาบุคคลที่แพร่หลายในสหภาพโซเวียตจนกระทั่งสหภาพโซเวียตล่มสลายใน ค.ศ. 1991 เขากลายเป็นผู้นำในอุดมคติที่อยู่เบื้องหลังลัทธิมากซ์–เลนิน และมีอิทธิพลเหนือขบวนการคอมมิวนิสต์สากล เลนินเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีการโต้เถียงและแตกแยกอย่างมาก ผู้สนับสนุนของเขามองว่าเลนินเป็นผู้สนับสนุนลัทธิสังคมนิยมและชนชั้นแรงงาน ในขณะเดียวกันเลนินก็ถูกวิจารณ์โดยกล่าวหาว่าเขาก่อตั้งระบอบเผด็จการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จที่คอยดูการสังหารหมู่และการปราบปรามทางการเมือง

วัยเด็ก: ค.ศ. 1870–1887

เลนินเกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1870 ในเมืองซิมบีร์สค์ (ปัจจุบันคือ อูลยานอฟสค์) และเข้าพิธีศีลจุ่มเมื่อยังเป็นเด็กในอีกหกวันต่อมา[1] เขาเป็นที่รู้จักในนามโวโลเดียซึ่งเป็นชื่อเรียกย่อของวลาดีมีร์[2] เขาเป็นลูกคนที่สามจากทั้งหมดแปดคน มีพี่น้องสองคนคือ อันนา (เกิด ค.ศ. 1864) และอะเลคซันดร์ (เกิด ค.ศ. 1866) ตามมาด้วยลูกอีกสามคนคือ โอลกา (เกิด ค.ศ. 1871) ดมีตรี (เกิด ค.ศ. 1874) และมารีเยีย (เกิด ค.ศ. 1878) พี่น้องสองคนต่อมาเสียชีวิตในวัยเด็ก[3] พ่อของเขา อีลียา นีโคลาเยวิช อุลยานอฟ เป็นผู้ศรัทธาคริสตจักรออร์โธดอกซ์รัสเซียและให้ลูก ๆ ของเขาเข้าพิธีศีลจุ่ม แม้ว่าแม่ของเขา มารีเยีย อะเลคซันดรอฟนา อุลยาโนวา (นามสกุลเดิม บลังค์) ซึ่งนับถือนิกายลูเทอแรนโดยการเลี้ยงดู ส่วนใหญ่ไม่แยแสกับศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นมุมมองที่มีอิทธิพลต่อลูก ๆ ของเธอ[4]

บ้านสมัยเด็กของเลนินในซิมบีร์สค์

อีลียา อุลยานอฟ มาจากครอบครัวของอดีตทาสติดที่ดิน เชื้อชาติของพ่อของอีลียานั้นไม่ทราบอย่างแน่ชัด[c] ในขณะที่แม่ของเขา อันนา อะเลคเซเยฟนา สมีร์โนวา เป็นลูกครึ่งคัลมืยเคียและลูกครึ่งรัสเซีย[6] แม้จะมีภูมิหลังเป็นชนชั้นล่าง แต่เขาก็สามารถก้าวขึ้นมาเป็นชนชั้นกลางได้ โดยศึกษาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ที่ราชวิทยาลัยคาซัน ก่อนที่จะไปสอนที่สถาบันสำหรับชนชั้นสูงที่เปนซา[7] ในกลาง ค.ศ. 1863 อีลียาแต่งงานกับมารีเยีย[8] ลูกสาวที่มีการศึกษาดีของมารดาชาวสวีเดนนิกายลูเทอแรนผู้มั่งคั่งและบิดาชาวยิวชาวรัสเซียที่เปลี่ยนมานับถือคริสต์ศาสนาและทำงานเป็นแพทย์[9] โยฮานัน เปตรอฟสกี-ชเติร์น นักประวัติศาสตร์กล่าวว่า เป็นไปได้ว่าเลนินไม่ทราบถึงเชื้อสายลูกครึ่งยิวของมารดาของเขา ซึ่งอันนาค้นพบหลังจากการตายของเขาเพียงผู้เดียว[10]

ไม่นานหลังจากงานแต่งงานของพวกเขา อีลียาได้งานในนิจนีนอฟโกรอด และก้าวขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนประถมศึกษาในเขตซิมบิร์สค์ในอีกหกปีต่อมา ห้าปีหลังจากนั้น เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนของรัฐประจำจังหวัด โดยดูแลการก่อตั้งโรงเรียนกว่า 450 แห่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับปรุงให้ทันสมัยของรัฐบาล ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1882 การอุทิศตนเพื่อการศึกษาทำให้เขาได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญวลาดีมีร์ ซึ่งมอบสถานะขุนนางโดยกำเนิดให้กับเขา[11]

เลนิน (ซ้าย) ในวัยสามขวบกับโอลกาน้องสาวของเขา

พ่อแม่ของเลนินทั้งสองเป็นพวกราชาธิปไตยและเสรีอนุรักษนิยม โดยมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปการเลิกทาสใน ค.ศ. 1861 โดยจักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 2 นักปฏิรูป ซึ่งพวกเขาหลีกเลี่ยงความรุนแรงทางการเมือง และไม่มีหลักฐานว่าตำรวจเคยจับพวกเขาอยู่ภายใต้การสอดแนมสำหรับความคิดที่ถูกบ่อนทำลาย[12] ทุกฤดูร้อนพวกเขาจะไปเที่ยวพักผ่อนที่คฤหาสน์ชนบทในโคคูชคีโน[13] ในบรรดาพี่น้องของเขา เลนินสนิทกับโอลกา พี่สาวของเขามากที่สุด ซึ่งเขามักจะเป็นหัวหน้า เขามีนิสัยชอบแข่งขันสูงและอาจเป็นอันตรายได้ แต่มักจะยอมรับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเขา[14] เขาเป็นนักกีฬาที่กระตือรือร้น เขาใช้เวลาว่างส่วนใหญ่นอกบ้านหรือเล่นหมากรุก และเก่งในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาซิมบิร์สค์ที่มีวินัยและอนุรักษ์นิยม[15]

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1886 เมื่อเลนินอายุ 15 ปี พ่อของเขาเสียชีวิตด้วยอาการเลือดออกในสมองใหญ่[16] พฤติกรรมของเขาเริ่มไม่อยู่กับร่องกับรอยและเผชิญหน้าหลังจากนั้น และเขาละทิ้งความเชื่อในพระเจ้า[17] ในเวลานั้น อะเลคซันดร์ พี่ชายของเลนิน ซึ่งเขารู้จักในชื่อซาชา กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก เขาเกี่ยวข้องกับการปลุกปั่นทางการเมืองเพื่อต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของจักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 3 ผู้ปฏิกิริยา อะเลคซันดร์ศึกษางานเขียนของฝ่ายซ้ายที่ถูกสั่งห้ามและจัดการประท้วงต่อต้านรัฐบาล เขาเข้าร่วมกลุ่มปฏิวัติที่ตั้งใจจะลอบสังหารซาร์และได้รับเลือกให้สร้างระเบิด ก่อนที่การโจมตีจะเกิดขึ้น ผู้สมคบคิดถูกจับกุมและพยายาม และอะเลคซันดร์ถูกประหารชีวิตโดยการแขวนคอในเดือนพฤษภาคม[18] แม้จะเจ็บปวดทางจิตใจจากการเสียชีวิตของพ่อและพี่ชายของเขา เลนินยังคงศึกษาต่อ โดยสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนที่มีคะแนนสูงสุดในชั้นเรียนด้วยเหรียญทองสำหรับผลงานที่โดดเด่น และตัดสินใจเรียนกฎหมายที่ราชวิทยาลัยคาซัน[19]

มหาวิทยาลัยกับแนวคิดหัวรุนแรงทางการเมือง: ค.ศ. 1887–1893

วลาดีมีร์ อุลยานอฟ (เลนิน) ราว ค.ศ. 1887

เมื่อเข้าเรียนที่ราชวิทยาลัยคาซันในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1887 เลนินก็ย้ายเข้าไปอยู่ในแฟลตใกล้เคียง[20] ที่นั่น เขาได้เข้าร่วมเซมเลียเชียตวา ซึ่งเป็นสังคมมหาวิทยาลัยรูปแบบหนึ่งที่เป็นตัวแทนของผู้ชายในภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง[21] กลุ่มนี้เลือกเขาให้เป็นตัวแทนของสภาเซมเลียเชียตวาของราชวิทยาลัย และเขาเข้าร่วมในการประท้วงเมื่อเดือนธันวาคมเพื่อต่อต้านข้อจำกัดของรัฐบาลที่สั่งห้ามสมาคมนักศึกษา ตำรวจจับกุมเลนินและกล่าวหาว่าเขาเป็นหัวหน้าในการประท้วง เขาถูกไล่ออกจากราชวิทยาลัย และกระทรวงกิจการภายในก็เนรเทศเขาไปยังที่ดินโคคูชคีโนของครอบครัว[22] ที่นั่นเขาอ่านหนังสือและหลงใหลในนวนิยายแนวนิยมปฏิวัติเรื่อง What Is to Be Done? ของ นีโคไล เชียร์นีเชียฟสกี[23]

แม่ของเลนินกังวลกับแนวคิดหัวรุนแรงของลูกชายเธอ และมีส่วนสำคัญในการโน้มน้าวกระทรวงมหาดไทยให้อนุญาตให้เขากลับไปที่เมืองคาซัน แต่ไม่ใช่ที่ราชวิทยาลัย[24] เมื่อเขากลับมา เขาได้เข้าร่วมวงปฏิวัติของนีโคไล เฟโดเซียเยฟ ซึ่งเขาได้ค้นพบหนังสือ ทุน ของคาร์ล มาคส์ สิ่งนี้จุดประกายความสนใจของเขาในลัทธิมากซ์ ซึ่งเป็นทฤษฎีทางสังคมและการเมืองที่โต้แย้งว่าสังคมพัฒนาไปเป็นขั้น ๆ การพัฒนานี้เป็นผลมาจากการต่อสู้ระหว่างชนชั้น และสังคมทุนนิยมจะหลีกทางให้กับสังคมสังคมนิยมและสังคมคอมมิวนิสต์ในที่สุด[25] ด้วยความระมัดระวังต่อมุมมองทางการเมืองของเขา แม่ของเลนินจึงซื้อที่ดินในชนบทในหมู่บ้านอะลาคาเยฟคา แคว้นซามารา ด้วยความหวังว่าลูกชายของเธอจะหันความสนใจไปที่การเกษตร เขามีความสนใจเพียงเล็กน้อยในการจัดการฟาร์ม และในไม่ช้าแม่ของเขาก็ขายที่ดินโดยเก็บบ้านไว้เป็นบ้านพักฤดูร้อน[26]

ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1889 ครอบครัวอุลยานอฟย้ายไปที่เมืองซามารา ซึ่งเลนินเข้าร่วมวงสนทนาสังคมนิยมของอะเลคเซย์ สคลีอาเรนโค[27] ที่นั่น เลนินยอมรับลัทธิมากซ์อย่างเต็มที่และจัดทำจุลสารการเมืองของมาคส์และฟรีดริช เอ็งเงิลส์ใน ค.ศ. 1848 เรื่อง แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ เป็นภาษารัสเซีย[28] เขาเริ่มอ่านผลงานของเกออร์กี เพลคานอฟ นักลัทธิมากซ์ชาวรัสเซีย โดยเห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของเพลคานอฟที่ว่ารัสเซียกำลังย้ายจากระบบศักดินาไปสู่ระบบทุนนิยม ดังนั้นลัทธิสังคมนิยมจึงถูกนำไปใช้โดยชนชั้นกรรมาชีพหรือชนชั้นแรงงานในเมือง แทนที่จะเป็นชาวนา[29] มุมมองของลัทธิมากซ์นี้ขัดแย้งกับมุมมองของขบวนการเกษตร-สังคมนิยมนารอดนิค ซึ่งถือว่าชาวนาสามารถสร้างลัทธิสังคมนิยมในรัสเซียได้โดยการสร้างชุมชนชาวนาโดยการหลีกเลี่ยงระบบทุนนิยม ทัศนะของนารอดนิคนี้พัฒนาขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1860 โดยพรรคเสรีภาพประชาชน และต่อมาก็มีอิทธิพลเหนือขบวนการปฏิวัติรัสเซีย[30] เลนินปฏิเสธหลักการของการโต้แย้งเรื่องเกษตรกรรม-สังคมนิยม แต่ได้รับอิทธิพลจากนักสังคมนิยมเกษตรกรรมเช่นปิออตร์ ตคาเชฟ และ เซียร์เกย์ เนชาเยฟ และได้ผูกมิตรกับนารอดนิคหลายคน[31]

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1890 มารีเยียซึ่งยังคงอิทธิพลทางสังคมในฐานะภรรยาม่ายของขุนนางคนหนึ่ง ได้ชักชวนเจ้าหน้าที่อนุญาตให้เลนินเข้าสอบภายนอกที่มหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก ซึ่งเขาได้รับปริญญาเกียรตินิยมเทียบเท่ากับปริญญาอันดับหนึ่ง งานเฉลิมฉลองการสำเร็จการศึกษาต้องพังทลายลงเมื่อโอลกาน้องสาวของเขาเสียชีวิตด้วยโรคไทฟอยด์[32] เลนินยังคงอยู่ในซามาราเป็นเวลาหลายปี โดยทำงานเป็นผู้ช่วยกฎหมายให้กับศาลประจำภูมิภาคก่อน จากนั้นจึงทำงานเป็นทนายความท้องถิ่น[33] เขาอุทิศเวลามากมายให้กับการเมืองที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยยังคงแข็งขันอยู่ในกลุ่มของสคลีอาเรนโคและกำหนดแนวคิดเกี่ยวกับวิธีที่ลัทธิมากซ์นำไปใช้กับรัสเซีย เลนินได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสังคมรัสเซียโดยได้รับแรงบันดาลใจจากงานของเพลคานอฟ เพื่อสนับสนุนการตีความการพัฒนาสังคมของลัทธิมาร์กซิสต์และโต้แย้งคำกล่าวอ้างของนารอดนิค[34] เขาเขียนบทความเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ชาวนา แต่ถูกปฏิเสธโดย Russkaya mysl ซึ่งเป็นวารสารเสรีนิยม[35]

กิจกรรมในการปฏิวัติ

การเคลื่อนไหวในช่วงแรกและการจำคุก: ค.ศ. 1893–1900

ภาพหน้าตรงของวลาดีมีร์ เลนิน ค.ศ. 1895

ในปลาย ค.ศ. 1893 เลนินย้ายไปที่กรุงเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก[36] ที่นั่นเขาทำงานเป็นเนติบัณฑิตและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอาวุโสในกลุ่มปฏิวัติลัทธิมากซ์ที่เรียกตัวเองว่าพรรคสังคมประชาธิปไตย ตามชื่อพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมนีของนักลัทธิมากซ์[37] โดยสนับสนุนลัทธิมากซ์ในขบวนการสังคมนิยม เขาสนับสนุนการก่อตั้งกลุ่มปฏิวัติในศูนย์กลางอุตสาหกรรมของรัสเซีย[38] ปลาย ค.ศ. 1897 เขาเป็นผู้นำกลุ่มคนงานลัทธิมากซ์ และปกปิดเส้นทางของเขาอย่างพิถีพิถันเพื่อหลบเลี่ยงสายลับตำรวจ[39] เขาเริ่มมีความสัมพันธ์ที่โรแมนติกกับนาเดจดา "นาเดีย" ครุปสกายา ครูโรงเรียนลัทธิมากซ์[40] นอกจากนี้เขายังได้ประพันธ์บทความทางการเมืองที่วิพากษ์วิจารณ์นักสังคมนิยมเกษตรกรรมนารอดนิคว่า "เพื่อนของประชาชน" คืออะไร และพวกเขาต่อสู้กับสังคมประชาธิปไตยอย่างไร มีการพิมพ์อย่างผิดกฎหมายประมาณ 200 เล่มใน ค.ศ. 1894[41]

ด้วยความหวังที่จะประสานความสัมพันธ์ระหว่างพรรคสังคมประชาธิปไตยของเขาและกลุ่มปลดปล่อยแรงงาน ซึ่งเป็นกลุ่มลัทธิมากซ์รัสเซียในสวิตเซอร์แลนด์ เลนินจึงไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อพบกับสมาชิกกลุ่มเพลคานอฟและปาเวล แอกเซลรอด เขาเดินทางไปกรุงปารีสเพื่อพบกับพอล ลาฟาร์ก ลูกเขยของมาคส์ และเพื่อค้นคว้าเกี่ยวกับคอมมูนปารีส ค.ศ. 1871 ซึ่งเขาถือว่าเป็นต้นแบบในยุคแรก ๆ ของรัฐบาลของชนชั้นกรรมาชีพ เขาพักอยู่ในสปาเพื่อสุขภาพของสวิตเซอร์แลนด์ก่อนจะเดินทางไปเบอร์ลิน โดยได้รับทุนสนับสนุนจากแม่ ซึ่งเขาศึกษาอยู่ที่หอสมุดรัฐเบอร์ลินเป็นเวลาหกสัปดาห์ และได้พบกับวิลเฮล์ม ลีบเนคท์ นักลัทธิมากซ์[42] เมื่อกลับมารัสเซียพร้อมกับสิ่งพิมพ์ปฏิวัติที่ผิดกฎหมายมากมาย เขาเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อแจกจ่ายวรรณกรรมให้กับคนงานที่ประท้วง[43] ขณะมีส่วนร่วมในการจัดทำเอกสารข่าว ราโบชีเดโล (สาเหตุแรงงาน) เขาเป็นหนึ่งในนักเคลื่อนไหว 40 คนที่ถูกจับกุมในเซนต์ปีเตอส์เบิร์กและถูกตั้งข้อหาปลุกปั่น[44]

เลนิน (คนที่นั่งตรงกลาง) กับสมาชิกคนอื่น ๆ ของสันนิบาตการต่อสู้เพื่อการปลดปล่อยชนชั้นแรงงาน ค.ศ. 1897

เลนินปฏิเสธการเป็นตัวแทนทางกฎหมายหรือการประกันตัว เลนินปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดต่อเขา แต่ยังคงถูกจำคุกเป็นเวลาหนึ่งปีก่อนที่จะถูกพิพากษา[45] เขาใช้เวลานี้ในการคิดทฤษฎีและการเขียน ในงานนี้ เขาตั้งข้อสังเกตว่าการผงาดขึ้นของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมในรัสเซียส่งผลให้ชาวนาจำนวนมากต้องย้ายไปยังเมืองต่าง ๆ ซึ่งพวกเขาได้ก่อตั้งชนชั้นกรรมาชีพขึ้น จากมุมมองของนักลัทธิมากซ์ เลนินแย้งว่าชนชั้นกรรมาชีพรัสเซียจะพัฒนาความสำนึกเรื่องชั้นชน ซึ่งจะนำพวกเขาไปสู่การโค่นล้มระบอบซาร์ อภิชนาธิปไตย และกระฎุมพีอย่างรุนแรง และจะสถาปนารัฐชนชั้นกรรมาชีพที่จะเคลื่อนไปสู่สังคมนิยม[46]

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1897 เลนินถูกตัดสินให้ถูกเนรเทศอยู่ในไซบีเรียตะวันออกเป็นเวลา 3 ปีโดยไม่มีการพิจารณาคดี เขาได้รับเวลาสองสามวันในเซนต์ปีเตอส์เบิร์กเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ ของเขาให้เป็นระเบียบ และใช้เวลานี้พบปะกับพรรคสังคมประชาธิปไตย ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อเป็นสันนิบาตการต่อสู้เพื่อการปลดปล่อยของชนชั้นแรงงาน[47] การเดินทางของเขาไปยังไซบีเรียตะวันออกใช้เวลา 11 สัปดาห์ โดยส่วนใหญ่เขาเดินทางมาพร้อมกับแม่และน้องสาวของเขา เนื่องจากถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อรัฐบาลเพียงเล็กน้อย เขาจึงถูกเนรเทศไปยังชูเชียนสโคเย เขตมีนูสีนสกี ซึ่งเขาถูกตำรวจจับตามอง อย่างไรก็ตามเขายังสามารถติดต่อกับนักปฏิวัติคนอื่น ๆ ได้ ซึ่งหลายคนมาเยี่ยมเขา และได้รับอนุญาตให้เดินทางไปว่ายน้ำในแม่น้ำเยนีเซย์และล่าเป็ดและนกปากซ่อม[46]

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1898 นาเดียถูกเนรเทศและได้พบเขา โดยถูกจับกุมในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1896 ฐานจัดการนัดหยุดงาน ในตอนแรกเธอถูกส่งไปที่เมืองอูฟา แต่ได้ชักชวนเจ้าหน้าที่ให้ย้ายเธอไปที่ชูเชียนสโคเย ซึ่งเธอกับเลนินแต่งงานกันในวันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 1898[48] ใช้ชีวิตครอบครัวกับเยลีซาเวตา วาซีลเยฟนา แม่ของนาเดียในชูเชียนสโคเย ทั้งคู่แปลวรรณกรรมสังคมนิยมอังกฤษเป็นภาษารัสเซีย[49] ที่นั่น เลนินเขียนหนังสือประท้วงโดยสังคมประชาธิปไตยรัสเซียเพื่อวิพากษ์วิจารณ์นักลัทธิแก้ลัทธิมากซ์ชาวเยอรมัน เช่น เอดูอาร์ด เบิร์นสไตน์ ผู้ซึ่งสนับสนุนเส้นทางการเลือกตั้งที่สันติไปสู่สังคมนิยม[50] นอกจากนี้ เขายังเขียนเรื่อง การพัฒนาทุนนิยมในรัสเซีย (ค.ศ. 1899) จนเสร็จซึ่งเป็นหนังสือที่ยาวที่สุดของเขาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มเกษตรกรรม-สังคมนิยม และสนับสนุนการวิเคราะห์แบบลัทธิมากซ์เกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจของรัสเซีย หนังสือจัดพิมพ์โดยใช้นามแฝงวลาดีมีร์ อีนิน แต่ได้คำวิจารณ์ที่แย่เป็นส่วนใหญ่เมื่อตีพิมพ์[51]

มิวนิค ลอนดอน และเจนีวา: ค.ศ. 1900–1905

เลนินใน ค.ศ. 1900

หลังจากที่เขาถูกเนรเทศ เลนินอยู่ที่เมืองปัสคอฟในต้น ค.ศ. 1900[52] ที่นั่น เขาเริ่มระดมทุนให้กับหนังสือพิมพ์ อีสครา ซึ่งเป็นองค์กรใหม่ของพรรคลัทธิมากซ์รัสเซีย ซึ่งปัจจุบันเรียกตัวเองว่าพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย (แอร์แอสแดแอลแป)[53] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1900 เลนินเดินทางออกจากรัสเซียไปยังยุโรปตะวันตก ในสวิตเซอร์แลนด์ เขาได้พบกับลัทธิมาร์กซิสต์ชาวรัสเซียคนอื่นๆ และในการประชุมที่คอร์เซียร์ (Corsier) พวกเขาตกลงที่จะเปิดตัวรายงานฉบับนี้จากมิวนิก ที่ซึ่งเลนินย้ายมาตั้งถิ่นฐานในเดือนกันยายน[54] ด้วยการสนับสนุนจากนักลัทธิมากซ์ชาวยุโรปที่มีชื่อเสียง อีสครา จึงถูกลักลอบเข้าไปในรัสเซีย[55] กลายเป็นสิ่งพิมพ์ใต้ดินที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของประเทศในรอบ 50 ปี[56] เขาได้ใช้นามแฝงเลนินเป็นครั้งแรกในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1901 โดยอาจมีพื้นฐานมาจากแม่น้ำเลนาในไซบีเรีย[57] เขามักจะใช้นามแฝง เอ็น. เลนิน ที่สมบูรณ์กว่า และในขณะที่ เอ็น ไม่ได้ยืนหยัดเพื่อสิ่งใด ๆ ความเข้าใจผิดที่ได้รับความนิยมก็เกิดขึ้นในเวลาต่อมาว่าเป็นตัวแทนของ นีโคไล[58] ภายใต้นามแฝงนี้ ใน ค.ศ. 1902 เขาได้ตีพิมพ์จุลสาร ️จะทำอะไรดี? สิ่งพิมพ์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดของเขาจนถึงปัจจุบันซึ่งสรุปความคิดของเขาเกี่ยวกับความจำเป็นที่พรรคแนวหน้านิยมจะนำพาชนชั้นกรรมาชีพเข้าสู่การปฏิวัติ[59]

นาเดียเข้าร่วมกับเลนินในมิวนิกและเป็นเลขานุการของเขา[60] พวกเขายังคงสร้างความปั่นป่วนทางการเมืองต่อไป ดังที่เลนินเขียนถึง อีสครา และร่างนโยบายพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยโดยโจมตีผู้เห็นต่างทางอุดมการณ์และนักวิจารณ์ภายนอก[61] โดยเฉพาะพรรคปฏิวัติสังคมนิยม (แอสแอร์) ซึ่งเป็นกลุ่มเกษตรกรรม-สังคมนิยมนารอดนิคที่ก่อตั้งใน ค.ศ. 1901[62] แม้จะยังคงเป็นนักลัทธิมากซ์ แต่เขายอมรับมุมมองของนารอดนิคเกี่ยวกับอำนาจการปฏิวัติของชาวนารัสเซีย ดังนั้นเขาจึงเขียนจุลสาร สู่หมู่บ้านที่ยากจน ใน ค.ศ. 1903 เพื่อหลบเลี่ยงตำรวจบาวาเรีย เลนินจึงย้ายไปกรุงลอนดอนพร้อมกับ อีสครา ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1902 ซึ่งเขาเป็นเพื่อนกับเลออน ทรอตสกี นักลัทธิมากซ์ชาวรัสเซียเชื้อสายยูเครน[63] เลนินล้มป่วยด้วยอาการไฟลามทุ่งและไม่สามารถรับบทบาทผู้นำเช่นนี้ในคณะบรรณาธิการ อีสครา ได้ ในระหว่างที่เขาไม่อยู่ คณะกรรมการได้ย้ายฐานปฏิบัติการไปที่เจนีวา[64]

การประชุมสมัชชาพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยครั้งที่ 2 จัดขึ้นที่กรุงลอนดอนในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1903[65] ในการประชุม เกิดความแตกแยกระหว่างผู้สนับสนุนเลนินและยูลิอุส มาร์ตอฟ มาร์ตอฟแย้งว่าสมาชิกพรรคควรจะสามารถแสดงออกอย่างเป็นอิสระจากผู้นำพรรคได้ เลนินไม่เห็นด้วย โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเป็นผู้นำที่เข้มแข็งพร้อมการควบคุมพรรคโดยสมบูรณ์[66] ผู้สนับสนุนเลนินส่วนใหญ่เป็นคนส่วนใหญ่ และเขาเรียกพวกเขาว่า "กลุ่มส่วนใหญ่" (bol'sheviki ในภาษารัสเซีย; บอลเชวิค) ในการตอบโต้ มาร์ตอฟเรียกผู้ติดตามของเขาว่า "กลุ่มส่วนน้อย" (men'sheviki ในภาษารัสเซีย; เมนเชวิค)[67] การโต้เถียงระหว่างบอลเชวิคและเมนเชวิคยังคงดำเนินต่อไปหลังการประชุม บอลเชวิคกล่าวหาว่าคู่แข่งของตนเป็นนักฉวยโอกาสและนักปฏิรูปซึ่งขาดระเบียบวินัย ในขณะที่เมนเชวิคกล่าวหาเลนินว่าเป็นพวกใช้อำนาจเด็ดขาดและอัตตาธิปไตย[68] ด้วยความโกรธแค้นต่อเมนเชวิค เลนินจึงลาออกจากคณะบรรณาธิการ อีสครา และได้ตีพิมพ์บทความต่อต้านเมนเชวิค หนึ่งก้าวไปข้างหน้าสองก้าวถอยหลัง ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1904[69] ความเครียดทำให้เลนินป่วย และเพื่อพักฟื้นเขาจึงเดินทางไปพักผ่อนที่สวิตเซอร์แลนด์[70] ฝ่ายบอลเชวิคมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ภายในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1905 คณะกรรมการกลางพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยทั้งหมดคือบอลเชวิค[71] และในเดือนธันวาคม พวกเขาก่อตั้งหนังสือพิมพ์ วเปียริออด[72]

การปฏิวัติ ค.ศ. 1905 และผลที่ตามมา: ค.ศ. 1905–1914

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1905 การสังหารหมู่ผู้ประท้วงในวันอาทิตย์นองเลือดในกรุงเซนต์ปีเตอส์เบิร์กได้จุดชนวนให้เกิดความไม่สงบในจักรวรรดิรัสเซียที่เรียกว่าการปฏิวัติ ค.ศ. 1905[73] เลนินเรียกร้องให้บอลเชวิคมีบทบาทมากขึ้นในเหตุการณ์ดังกล่าว[74] และสนับสนุนให้เกิดการจลาจลอย่างรุนแรง ในการทำเช่นนั้น เขาได้นำคำขวัญของพรรคปฏิวัติสังคมนิยมที่เกี่ยวข้องกับ "การจลาจลด้วยอาวุธ" "การก่อการร้ายครั้งใหญ่" และ "การเวนคืนที่ดินของผู้ดี" ส่งผลให้เมนเชวิคกล่าวหาว่าเขาเบี่ยงเบนไปจากลัทธิมากซ์ดั้งเดิม[75] ในทางกลับกันเขายืนยันว่าพวกบอลเชวิคแยกตัวกับพวกเมนเชวิคโดยสิ้นเชิง บอลเชวิคจำนวนมากปฏิเสธ และทั้งสองกลุ่มได้เข้าร่วมการประชุมสมัชชาครั้งที่ 3 ซึ่งจัดขึ้นในกรุงลอนดอนในเดือนเมษายน ค.ศ. 1905[76] เลนินนำเสนอแนวคิดหลายประการของเขาในจุลสาร สองยุทธวิธีของสังคมประชาธิปไตยในการปฏิวัติประชาธิปไตย ซึ่งตีพิมพ์ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1905 ที่นี่ เขาทำนายว่าชนชั้นกระฎุมพีเสรีนิยมของรัสเซียจะอิ่มเอมใจด้วยการเปลี่ยนผ่านไปสู่ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และด้วยเหตุนี้จึงทรยศต่อการปฏิวัติ แต่เขาแย้งว่าชนชั้นกรรมาชีพจะต้องสร้างพันธมิตรกับชาวนาเพื่อโค่นล้มระบอบซาร์และสถาปนา "เผด็จการประชาธิปไตยแบบปฏิวัติชั่วคราวของชนชั้นกรรมาชีพและชาวนา"[77]

เพื่อตอบสนองต่อการปฏิวัติใน ค.ศ. 1905 ซึ่งล้มเหลวในการโค่นล้มรัฐบาล จักรพรรดินีโคไลที่ 2 ทรงยอมรับการปฏิรูปเสรีนิยมหลายครั้งในแถลงการณ์ตุลาคมของพระองค์ ในสถานการณ์เช่นนี้ เลนินรู้สึกปลอดภัยที่จะกลับไปยังเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก[78] ด้วยการเข้าร่วมคณะบรรณาธิการของ โนวายาจีซ์น ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์กฎหมายหัวรุนแรงที่ดำเนินการโดยมารีเยีย อันเดรย์เยวา เขาใช้หนังสือพิมพ์ดังกล่าวเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาที่พรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยเผชิญอยู่[79] เขาสนับสนุนให้พรรคแสวงหาสมาชิกในวงกว้างขึ้น และสนับสนุนให้มีการเผชิญหน้าที่รุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าทั้งสองฝ่ายมีความจำเป็นต่อการปฏิวัติที่ประสบความสำเร็จ[80] โดยตระหนักว่าค่าธรรมเนียมสมาชิกและการบริจาคจากผู้เห็นใจผู้มั่งคั่งเพียงไม่กี่คนไม่เพียงพอสำหรับกิจกรรมของบอลเชวิค เลนินจึงสนับสนุนแนวคิดที่จะปล้นที่ทำการไปรษณีย์ สถานีรถไฟ รถไฟ และธนาคาร ภายใต้การนำของเลโอนิด คราซิน บอลเชวิคเริ่มก่ออาชญากรรมดังกล่าว เหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1907 เมื่อบอลเชวิคซึ่งดำเนินการภายใต้การนำของโจเซฟ สตาลิน ก่อเหตุปล้นธนาคารของรัฐในเมืองติฟลิสด้วยอาวุธ[81]

แม้ว่าเขาจะสนับสนุนแนวคิดเรื่องการปรองดองระหว่างบอลเชวิคและเมนเชวิคในช่วงสั้น ๆ แต่การสนับสนุนความรุนแรงและการปล้นของเลนินก็ถูกประณามโดยเมนเชวิคในการประชุมสมัชชาครั้งที่ 4 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงสต็อกโฮล์มในเดือนเมษายน ค.ศ. 1906[82] เลนินมีส่วนร่วมในการจัดตั้งศูนย์บอลเชวิคในเมืองก๊วกกาลา ราชรัฐฟินแลนด์ ซึ่งเป็นรัฐปกครองตนเองในจักรวรรดิรัสเซียในขณะนั้น[83] ก่อนที่บอลเชวิคจะกลับมามีอำนาจเหนือพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยในการประชุมสมัชชาครั้งที่ 5 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงลอนดอนในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1907[84] ขณะที่รัฐบาลซาร์ปราบปรามฝ่ายค้าน ทั้งโดยยุบสภาดูมาสมัยที่สองซึ่งสภานิติบัญญัติของรัสเซีย และโดยการสั่งให้โอฮรานาซึ่งเป็นหน่วยตำรวจลับจับกุมนักปฏิวัติ เลนินจึงหนีจากฟินแลนด์ไปยังสวิตเซอร์แลนด์[85] ที่นั่น เขาพยายามแลกเปลี่ยนธนบัตรที่ถูกขโมยในติฟลิสซึ่งมีหมายเลขซีเรียลที่ระบุอยู่บนธนบัตรเหล่านั้น[86]

อะเลคซันดร์ บอกดานอฟและบอลเชวิคที่มีชื่อเสียงคนอื่น ๆ ตัดสินใจย้ายศูนย์บอลเชวิคไปยังกรุงปารีส แม้ว่าเลนินจะไม่เห็นด้วย แต่เขาย้ายไปที่เมืองนี้ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1908 เลนินไม่ชอบปารีส[87] โดยตำหนิปารีสว่าเป็น "หลุมเหม็น" และในขณะนั้น เลนินได้ฟ้องผู้ขับขี่รถยนต์คนหนึ่งที่ทำให้เขาล้มจักรยาน[88] เลนินวิพากษ์วิจารณ์มุมมองของบอกดานอฟอย่างมากว่าชนชั้นกรรมาชีพของรัสเซียจำเป็นต้องพัฒนาวัฒนธรรมสังคมนิยมเพื่อที่จะกลายเป็นเครื่องมือในการปฏิวัติที่ประสบความสำเร็จ ในทางกลับกัน เลนินกลับสนับสนุนผู้นำกลุ่มปัญญาชนสังคมนิยมซึ่งจะเป็นผู้นำชนชั้นแรงงานในการปฏิวัติ นอกจากนี้ บอกดานอฟซึ่งได้รับอิทธิพลจากแอ็นสท์ มัค เชื่อว่าแนวความคิดทั้งหมดของโลกมีความสัมพันธ์กัน ในขณะที่เลนินยึดติดกับทัศนะของลัทธิมากซ์ดั้งเดิมที่ว่ามีความเป็นจริงตามวัตถุประสงค์โดยไม่ขึ้นอยู่กับการสังเกตของมนุษย์[89] บอกดานอฟและเลนินไปเที่ยวด้วยกันที่บ้านพักของมักซิม กอร์กีในเมืองกาปรีในเดือนเมษายน ค.ศ. 1908[90] เมื่อกลับมายังกรุงปารีส เลนินสนับสนุนให้เกิดการแบ่งแยกภายในบอลเชวิคระหว่างผู้ติดตามของเขาและบอกดานอฟ โดยกล่าวหาว่าฝ่ายหลังเบี่ยงเบนไปจากลัทธิมากซ์[91]

เลนินใน ค.ศ. 1914

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1908 เลนินอาศัยอยู่ช่วงสั้น ๆ ในกรุงลอนดอน ซึ่งเขาใช้ห้องอ่านหนังสือของพิพิธภัณฑ์บริติชเขียน ลัทธิวัตถุนิยมและการวิพากษ์วิจารณ์แบบเอ็มปิริโอ ซึ่งเป็นการโจมตีสิ่งที่เขาอธิบายว่าเป็น "ความเท็จของปฏิกิริยากระฎุมพี" ของสัมพัทธภาพของบอกดานอฟ[92] ลัทธิแบ่งแยกฝ่ายของเลนินเริ่มทำให้บอลเชวิคแปลกแยกมากขึ้น รวมถึงอดีตผู้สนับสนุนใกล้ชิดของเขา ทั้งอะเลคเซย์ รืยคอฟ และเลฟ คาเมเนฟ[93] โอฮรานาใช้ประโยชน์จากทัศนคติฝ่ายนิยมของเขาโดยส่งสายลับโรมัน มาลีนอฟสกี เพื่อทำหน้าที่เป็นแกนนำที่สนับสนุนเลนินในพรรค บอลเชวิคหลายคนแสดงความสงสัยเกี่ยวกับมาลีนอฟสกีต่อเลนิน แม้ว่าจะไม่ชัดเจนว่าฝ่ายหลังทราบถึงความซ้ำซ้อนของสายลับหรือไม่ เป็นไปได้ว่าเขาใช้มาลีนอฟสกีเพื่อให้ข้อมูลที่เป็นเท็จแก่โอฮรานา[94]

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1910 เลนินเข้าร่วมการประชุมนานาชาติครั้งที่ 8 ของสากลที่สอง ซึ่งเป็นการประชุมระดับนานาชาติของนักสังคมนิยมในกรุงโคเปนเฮเกนในฐานะตัวแทนของพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยตามด้วยวันหยุดในสต็อกโฮล์มกับแม่ของเขา[95] จากนั้นเขาก็ย้ายไปฝรั่งเศสพร้อมกับภรรยาและน้องสาว โดยตั้งรกรากที่เมืองบอมบงก่อน จากนั้นจึงไปที่กรุงปารีส[96] ที่นี่เขากลายเป็นเพื่อนสนิทกับอิเนสซา อาร์ม็องด์ บอลเชวิคชาวฝรั่งเศส นักเขียนชีวประวัติบางคนเสนอว่าพวกเขามีความสัมพันธ์นอกสมรสตั้งแต่ ค.ศ. 1910 ถึง ค.ศ. 1912[97] ขณะเดียวกัน ในการประชุมที่ปารีสในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1911 คณะกรรมการกลางพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยตัดสินใจย้ายจุดเน้นในการปฏิบัติงานกลับไปยังรัสเซีย โดยสั่งให้ปิดศูนย์บอลเชวิคและหนังสือพิมพ์ โปรเลตารี[98] ด้วยความปรารถนาที่จะสร้างอิทธิพลของเขาขึ้นมาใหม่ในพรรค เลนินจึงได้จัดการประชุมพรรคขึ้นในกรุงปรากในเดือนมกราคม ค.ศ. 1912 และแม้ว่าผู้เข้าร่วม 16 คนจากทั้งหมด 18 คนจะเป็นบอลเชวิค แต่เขาก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงแนวโน้มการแบ่งแยกฝ่ายและล้มเหลวในการเพิ่มสถานะของเขาภายในพรรค[99]

การย้ายไปที่เมืองกรากุฟ ราชอาณาจักรกาลิเซียและโลโดเมเรีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีซึ่งมีวัฒนธรรมโปแลนด์ เขาใช้ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยยาเกียลโลเนียน (Jagiellonian University) เพื่อทำการวิจัย[100] เขายังคงติดต่ออย่างใกล้ชิดกับพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยซึ่งปฏิบัติการในจักรวรรดิรัสเซีย โดยโน้มน้าวให้สมาชิกบอลเชวิคของสภาดูมาแยกตัวออกจากพันธมิตรรัฐสภากับเมนเชวิค[101] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1913 สตาลินซึ่งเลนินเรียกว่า "จอร์เจียผู้วิเศษ" ได้ไปเยี่ยมเขา และหารือเกี่ยวกับอนาคตของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่ใช่ชาวรัสเซียในจักรวรรดิ[102] เนื่องจากสุขภาพที่ไม่สบายของทั้งเลนินและภรรยาของเขา พวกเขาจึงย้ายไปที่เมืองชนบท Biały Dunajec[103] ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังกรุงแบร์นเพื่อให้นาเดียเข้ารับการผ่าตัดคอพอกของเธอ[104]

สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง: ค.ศ. 1914–1917

เลนินใน ค.ศ. 1916

เลนินอยู่ในแคว้นกาลิเซียเมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุขึ้น[105] สงครามครั้งนี้ทำให้จักรวรรดิรัสเซียต้องต่อสู้กับจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และเนื่องจากสัญชาติรัสเซียของเขา เลนินจึงถูกจับกุมและถูกคุมขังช่วงสั้น ๆ จนกว่าจะมีการอธิบายข้อมูลรับรองการต่อต้านซาร์ของเขา[106] เลนินและภรรยากลับมาที่กรุงแบร์น ก่อนที่จะย้ายไปซือริชในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1916[107] เลนินรู้สึกโกรธที่พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยเยอรมนีสนับสนุนความพยายามทำสงครามของเยอรมนี ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืนมติชตุทการ์ทของสากลที่สองที่ว่าพรรคสังคมนิยมจะต่อต้านความขัดแย้งและมองว่าสากลที่สองสิ้นสภาพไปแล้ว[108] เขาเข้าร่วมการประชุมซิมเมอร์วาลด์ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1915 และการประชุมคินธาลในเดือนเมษายน ค.ศ. 1916[109] โดยกระตุ้นให้นักสังคมนิยมทั่วทั้งทวีปเปลี่ยน "สงครามจักรวรรดินิยม" ให้เป็น "สงครามกลางเมือง" ทั่วทั้งทวีป โดยที่ชนชั้นกรรมาชีพเป็นศัตรูกับชนชั้นกระฎุมพีและอภิชนาธิปไตย[110] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1916 แม่ของเลนินเสียชีวิต แต่เขาไม่สามารถไปร่วมงานศพแม่ได้[111] การตายของแม่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อเขา และเขาก็รู้สึกหดหู่ใจเพราะเกรงว่าเขาจะตายก่อนที่จะเห็นการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพเช่นกัน[112]

ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1917 เลนินตีพิมพ์หนังสือ ลัทธิจักรวรรดินิยม, ขั้นสูงสุดของลัทธิทุนนิยม ซึ่งแย้งว่าลัทธิจักรวรรดินิยมเป็นผลมาจากระบบทุนนิยมผูกขาด เนื่องจากนายทุนพยายามที่จะเพิ่มผลกำไรโดยการขยายไปสู่ดินแดนใหม่ซึ่งมีค่าจ้างต่ำกว่าและวัตถุดิบที่ถูกกว่า เขาเชื่อว่าการแข่งขันและความขัดแย้งจะเพิ่มขึ้น และสงครามระหว่างมหาอำนาจจักรวรรดินิยมจะดำเนินต่อไปจนกว่ามหาอำนาจเหล่านั้นจะถูกโค่นล้มโดยการปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพและสังคมนิยมที่สถาปนาขึ้น[113] เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอ่านผลงานของเกออร์ค วิลเฮ็ล์ม ฟรีดริช เฮเกิล ลุดวิก ฟอวเออร์บัค และอาริสโตเติล ซึ่งล้วนเป็นอิทธิพลสำคัญต่อมาคส์[114] สิ่งนี้เปลี่ยนการตีความลัทธิมากซ์ของเลนิน ในขณะที่เขาเคยเชื่อว่านโยบายสามารถพัฒนาได้บนหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เขาสรุปว่าการทดสอบเดียวว่านโยบายนั้นถูกต้องหรือไม่คือการปฏิบัติ[115] เขายังคงรับรู้ว่าตัวเองเป็นนักลัทธิมากซ์ดั้งเดิม แต่เขาเริ่มแตกต่างจากการคาดการณ์ของมาคส์เกี่ยวกับการพัฒนาสังคม ในขณะที่มาคส์เชื่อว่า "การปฏิวัติกระฎุมพี-ประชาธิปไตย" ของชนชั้นกลางจะต้องเกิดขึ้นก่อน "การปฏิวัติสังคมนิยม" ของชนชั้นกรรมาชีพ เลนินเชื่อว่าในรัสเซีย ชนชั้นกรรมาชีพสามารถโค่นล้มระบอบการปกครองของซาร์ได้โดยไม่ต้องมีการปฏิวัติขั้นกลาง[116]

การปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์และวันกรกฎาคม: ค.ศ. 1917

เส้นทางการเดินทางของเลนินจากซือริชไปยังเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก ขณะนั้นชื่อเปโตรกราด ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1917 รวมถึงการนั่งรถไฟที่เรียกว่า "รถไฟปิดผนึก" ผ่านดินแดนเยอรมนี

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 การปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ได้ปะทุขึ้นในเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก โดยเปลี่ยนชื่อเป็นเปโตรกราดในช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในขณะที่คนงานในภาคอุตสาหกรรมนัดหยุดงานเนื่องจากการขาดแคลนอาหารและสภาพโรงงานที่ทรุดโทรมลง ความไม่สงบลุกลามไปยังส่วนอื่น ๆ ของรัสเซีย และจักรพรรดินีโคไลที่ 2 ทรงสละราชสมบัติด้วยเกรงว่าพระองค์จะถูกโค่นล้มอย่างรุนแรง สภาดูมารัฐเข้าควบคุมประเทศ ก่อตั้งรัฐบาลชั่วคราวรัสเซีย และเปลี่ยนจักรวรรดิให้เป็นสาธารณรัฐรัสเซียใหม่[117] เมื่อเลนินทราบเรื่องนี้จากฐานของเขาในสวิตเซอร์แลนด์ เขาก็เฉลิมฉลองร่วมกับผู้ไม่เห็นด้วยคนอื่น ๆ[118] เขาตัดสินใจกลับไปรัสเซียเพื่อดูแลบอลเชวิค แต่พบว่าเส้นทางส่วนใหญ่ในประเทศถูกปิดกั้นเนื่องจากความขัดแย้งที่ดำเนินอยู่ เขาได้จัดทำแผนร่วมกับผู้ไม่เห็นด้วยคนอื่น ๆ เพื่อเจรจาเส้นทางให้พวกเขาผ่านเยอรมนี ซึ่งรัสเซียอยู่ในภาวะสงครามในขณะนั้น ด้วยความตระหนักว่าผู้ไม่เห็นด้วยเหล่านี้อาจทำให้เกิดปัญหากับศัตรูรัสเซีย รัฐบาลเยอรมันจึงตกลงที่จะอนุญาตให้พลเมืองรัสเซีย 32 คนเดินทางโดยรถไฟผ่านดินแดนของตน ในจำนวนนี้ได้แก่เลนินและภรรยาของเขา[119] ด้วยเหตุผลทางการเมือง เลนินและเยอรมันจึงตกลงกันเรื่องที่เลนินเดินทางโดยตู้รถไฟที่ปิดผนึกผ่านดินแดนเยอรมนี แต่ในความเป็นจริงแล้ว รถไฟไม่ได้ถูกปิดผนึกอย่างแท้จริง และผู้โดยสารก็ได้รับอนุญาตให้ลงจากรถได้ เช่น ค้างคืนในแฟรงก์เฟิร์ต[120] กลุ่มคณะเดินทางโดยรถไฟจากซือริชไปยังซาสนิทซ์ จากนั้นเดินทางด้วยเรือข้ามฟากไปยังเทรลเลบอริส ประเทศสวีเดน จากนั้นไปยังจุดผ่านแดนฮาปารันดา–ทอร์นิโอ จากนั้นไปยังเฮลซิงกิ ก่อนที่จะขึ้นรถไฟขบวนสุดท้ายไปยังเปโตรกราดโดยการปลอมตัว[121]

เมื่อมาถึงสถานีรถไฟฟินแลนด์ในกรุงเปโตรกราดในเดือนเมษายน เลนินกล่าวสุนทรพจน์ต่อผู้สนับสนุนบอลเชวิคประณามรัฐบาลชั่วคราว และเรียกร้องให้มีการปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพในยุโรปทั่วทั้งทวีปอีกครั้ง หลายวันต่อมา เขาพูดในการประชุมบอลเชวิคโดยตำหนิผู้ที่ต้องการปรองดองกับเมนเชวิค และเปิดเผย "บทเสนอเดือนเมษายน" ซึ่งเป็นโครงร่างแผนการของเขาสำหรับบอลเชวิค ซึ่งเขาเขียนไว้ระหว่างเดินทางจากสวิตเซอร์แลนด์ เขาประณามทั้งเมนเชวิคและนักปฏิวัติสังคมซึ่งปกครองสภาโซเวียตเปโตรกราดที่มีอิทธิพลที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลชั่วคราวอย่างเปิดเผย โดยประณามพวกเขาว่าเป็นผู้ทรยศต่อลัทธิสังคมนิยม เมื่อพิจารณาว่ารัฐบาลเป็นจักรวรรดินิยมพอ ๆ กับระบอบซาร์ เขาสนับสนุนสันติภาพโดยทันทีกับเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี การปกครองโดยโซเวียต โอนอุตสาหกรรมและธนาคารให้เป็นของชาติ และการเวนคืนที่ดินโดยรัฐ ทั้งหมดนี้ล้วนมีจุดมุ่งหมายในการจัดตั้งรัฐบาลชนชั้นกรรมาชีพและผลักดันไปสู่สังคมสังคมนิยม ในทางตรงกันข้ามเมนเชวิคเชื่อว่ารัสเซียไม่ได้รับการพัฒนาเพียงพอที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมนิยม และกล่าวหาว่าเลนินพยายามทำให้สาธารณรัฐใหม่เข้าสู่สงครามกลางเมือง[122] ตลอดหลายเดือนต่อจากนี้ เลนินรณรงค์เรื่องนโยบายของเขา เข้าร่วมการประชุมของคณะกรรมการกลางบอลเชวิค เขียนผลงานให้กับหนังสือพิมพ์บอลเชวิคอย่าง ปราฟดา และกล่าวสุนทรพจน์ต่อสาธารณะในเปโตรกราดโดยมุ่งเป้าไปที่การเปลี่ยนแรงงาน ทหาร กะลาสีเรือ และชาวนาให้เป็นไปตามเป้าหมายของเขา[123]

หัวรถจักรเดิมที่ใช้ดึงรถไฟซึ่งเลนินมาถึงสถานีฟินแลนด์ของเปโตรกราดในเดือนเมษายน ค.ศ. 2460 ไม่ได้รับการเก็บรักษาไว้ ดังนั้น หัวรถจักรหมายเลข 293 ซึ่งเลนินหลบหนีไปฟินแลนด์แล้วกลับมารัสเซียในปีต่อมา ถูกทำเป็นนิทรรศการถาวร ติดตั้งที่ชานชาลาของสถานี[124]

เลนินรับรู้ถึงความคับข้องใจที่เพิ่มมากขึ้นในหมู่ผู้สนับสนุนบอลเชวิค แนะนำให้จัดการชุมนุมทางการเมืองด้วยอาวุธในเปโตรกราดเพื่อทดสอบการตอบสนองของรัฐบาล[125] ท่ามกลางสุขภาพที่ย่ำแย่ เขาออกจากเมืองไปพักฟื้นที่หมู่บ้านเนโวลาในฟินแลนด์[126] การชุมนุมติดอาวุธของพวกบอลเชวิคที่ต่อมาถูกเรียกว่าวันกรกฎาคม เกิดขึ้นในขณะที่เลนินไม่อยู่[126] แต่เมื่อทราบว่าผู้ประท้วงปะทะอย่างรุนแรงกับกองกำลังของรัฐบาล เขาก็กลับไปที่เปโตรกราดและเรียกร้องให้อยู่ในความสงบ.[127] เพื่อตอบสนองต่อความรุนแรง รัฐบาลได้ออกคำสั่งให้จับกุมเลนินและบอลเชวิคคนสำคัญอื่น ๆ บุกเข้าไปในสำนักงานของพวกเขา และกล่าวหาต่อสาธารณะว่าเขาเป็นสายลับเพื่อก่อกวนทางการเมืองของเยอรมัน[128] เลนินซ่อนตัวอยู่ในเซฟเฮาส์ในเปโตรกราดเพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุม[129] ด้วยความกลัวว่าจะถูกสังหาร เลนินและกรีโกรี ซีโนเวียฟ เพื่อนและบอลเชวิคอาวุโสจึงหนีจากเปโตรกราดโดยปลอมตัวมาย้ายไปอยู่ที่รัจลีฟ[130] ที่นั่น เลนินเริ่มเขียนหนังสือที่ชื่อ รัฐและการปฏิวัติ ซึ่งเป็นการอธิบายว่าเขาเชื่อว่ารัฐสังคมนิยมจะพัฒนาไปอย่างไรหลังการปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพ และหลังจากนั้นรัฐจะค่อย ๆ สูญสลายไป เหลือเพียงสังคมคอมมิวนิสต์ที่บริสุทธิ์ได้อย่างไร[131] เขาเริ่มโต้เถียงเรื่องการลุกฮือติดอาวุธที่นำโดยบอลเชวิคเพื่อโค่นล้มรัฐบาล แต่ความคิดนี้ถูกปฏิเสธในการประชุมลับของคณะกรรมการกลางพรรค[132] จากนั้นเลนินเดินทางด้วยรถไฟและเดินเท้าไปยังฟินแลนด์ โดยมาถึงเฮลซิงกิในวันที่ 10 สิงหาคม ซึ่งเขาซ่อนตัวอยู่ในเซฟเฮาส์ที่เป็นของกลุ่มผู้เห็นใจบอลเชวิค[133]

การปฏิวัติเดือนตุลาคม: ค.ศ. 1917

ภาพวาดเลนินหน้าสถาบันสโมลนืยโดย อีซัค บรอดสกี

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1917 ขณะที่เลนินอยู่ในฟินแลนด์ นายพลลัฟร์ คอร์นีลอฟ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพรัสเซียได้ส่งกองทหารไปยังเปโตรกราดในสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นความพยายามก่อรัฐประหารเพื่อต่อต้านรัฐบาลชั่วคราว อะเลคซันดร์ เคเรนสกี ประธานรัฐมนตรีหันไปขอความช่วยเหลือจากสภาโซเวียตเปโตรกราดรวมถึงสมาชิกบอลเชวิคเพื่อขอความช่วยเหลือ โดยปล่อยให้นักปฏิวัติจัดคนงานเป็นหน่วยองครักษ์แดงเพื่อปกป้องเมือง การรัฐประหารยุติลงก่อนที่จะถึงเปโตรกราด แต่เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้บอลเชวิคสามารถกลับคืนสู่เวทีการเมืองที่เปิดกว้างได้[134] ด้วยความกลัวการต่อต้านการปฏิวัติจากกองกำลังฝ่ายขวาที่เป็นศัตรูกับสังคมนิยม เมนเชวิคและกลุ่มนักปฏิวัติสังคมนิยมที่ครอบงำสภาโซเวียตเปโตรกราดจึงมีบทบาทสำคัญในการกดดันรัฐบาลให้ปรับความสัมพันธ์กับบอลเชวิคให้เป็นปกติ[135] ทั้งเมนเชวิคและพรรคปฏิวัติสังคมนิยมสูญเสียการสนับสนุนจากประชาชนไปมาก เนื่องจากพวกเขาร่วมมือกับรัฐบาลชั่วคราวและการทำสงครามอย่างต่อเนื่องที่ไม่เป็นที่นิยม บอลเชวิคใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ และในไม่ช้า ทรอตสกีนักลัทธิมากซ์ผู้สนับสนุนบอลเชวิคก็ได้รับเลือกเป็นผู้นำของสภาโซเวียตเปโตรกราด[136] ในเดือนกันยายน บอลเชวิคได้รับเสียงข้างมากในส่วนของคนงานของทั้งสภาโซเวียตมอสโกและเปโตรกราด[137]

เมื่อตระหนักว่าสถานการณ์ปลอดภัยสำหรับเขา เลนินจึงกลับไปที่เปโตรกราด[138] ที่นั่นเขาได้เข้าร่วมการประชุมของคณะกรรมการกลางบอลเชวิคเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ซึ่งเขาโต้แย้งอีกครั้งว่าพรรคควรนำการลุกฮือด้วยอาวุธเพื่อโค่นล้มรัฐบาลชั่วคราว ซึ่งในครั้งนี้การโต้แย้งชนะด้วยคะแนน 10 ต่อ 2 เสียง[139] ซีโนเวียฟและคาเมนเนฟวิจารณ์แผนนี้โดยแย้งว่าคนงานชาวรัสเซียจะไม่สนับสนุนการทำรัฐประหารอย่างรุนแรงเพื่อต่อต้านระบอบการปกครอง และไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนสำหรับการยืนยันของเลนินว่ายุโรปทั้งหมดจวนจะปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพ[140] พรรคเริ่มแผนการจัดระเบียบการโจมตี โดยจัดการประชุมครั้งสุดท้ายที่สถาบันสโมลนืยในวันที่ 24 ตุลาคม[141] ที่นี่เป็นฐานของคณะกรรมการปฏิวัติทหาร (แวแอร์กา) ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธที่ภักดีต่อบอลเชวิคซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยสภาโซเวียตเปโตรกราดในช่วงที่คอร์นีลอฟถูกกล่าวหาว่าทำรัฐประหาร[142]

ในเดือนตุลาคม แวแอร์กาได้รับคำสั่งให้ควบคุมศูนย์กลางการคมนาคม การสื่อสาร การพิมพ์ และสาธารณูปโภคที่สำคัญของเปโตรกราด และดำเนินการโดยไม่มีการนองเลือด[143] บอลเชวิคปิดล้อมรัฐบาลในพระราชวังฤดูหนาว และเอาชนะรัฐบาลได้และจับกุมบรรดารัฐมนตรีหลังจากที่เรือลาดตระเวน อะวโรระ ซึ่งควบคุมโดยลูกเรือบอลเชวิค ยิงกระสุนเปล่าเพื่อส่งสัญญาณการเริ่มต้นของการปฏิวัติ[144] ในระหว่างการจลาจล เลนินกล่าวปราศรัยต่อสภาโซเวียตเปโตรกราดโดยประกาศว่ารัฐบาลชั่วคราวถูกโค่นล้มแล้ว[145] บอลเชวิคประกาศจัดตั้งรัฐบาลใหม่คือคณะกรรมการราษฎร หรือโซฟนาร์คอม ในตอนแรกเลนินปฏิเสธตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล โดยเสนอให้ทรอตสกีรับงานนี้ แต่บอลเชวิคคนอื่น ๆ ยืนกรานและท้ายที่สุดเลนินก็ยอมรับตำแหน่ง[146] จากนั้นเลนินและบอลเชวิคคนอื่น ๆ ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐสภาโซเวียตครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 26 และ 27 ตุลาคม และประกาศการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เมนเชวิคที่เข้าร่วมการประชุมประณามการยึดอำนาจโดยมิชอบและความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามกลางเมือง[147] ในช่วงแรก ๆ ของระบอบการปกครองใหม่ เลนินหลีกเลี่ยงการพูดในแง่ลัทธิมากซ์และสังคมนิยม เพื่อไม่ให้ประชากรรัสเซียแปลกแยก และกลับพูดถึงการให้ประเทศถูกควบคุมโดยคนงานแทน[148] เลนินและบอลเชวิคอีกหลายคนคาดว่าการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพจะแผ่ขยายไปทั่วยุโรปภายในไม่กี่วันหรือหลายเดือน[149]

รัฐบาลของเลนิน

การจัดตั้งรัฐบาลโซเวียต: ค.ศ. 1917–1918

รัฐบาลชั่วคราวได้วางแผนให้มีการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 จากการคัดค้านของเลนิน คณะกรรมการราษฎรตกลงที่จะลงคะแนนเสียงตามกำหนด[150] ในการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ บอลเชวิคได้รับคะแนนเสียงประมาณหนึ่งในสี่ โดยพ่ายแพ้ต่อกลุ่มปฏิวัติสังคมนิยมที่เน้นเรื่องเกษตรกรรม[151] เลนินแย้งว่าการเลือกตั้งไม่ได้สะท้อนเจตจำนงของประชาชนอย่างยุติธรรม ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่มีเวลาเรียนรู้โครงการการเมืองของบอลเชวิคและรายชื่อผู้สมัครได้รับการร่างขึ้นก่อนที่กลุ่มปฏิวัติสังคมนิยมฝ่ายซ้ายจะแยกตัวออกจากกลุ่มปฏิวัติสังคมนิยม[152] อย่างไรก็ตาม สภาร่างรัฐธรรมนูญรัสเซียที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่ได้จัดขึ้นที่เปโตรกราดในเดือนมกราคม ค.ศ. 1918[153] คณะกรรมการราษฎรแย้งว่าเป็นการต่อต้านการปฏิวัติเพราะพยายามจะถอดอำนาจออกจากโซเวียต แต่ฝ่ายปฏิวัติสังคมนิยมและเมนเชวิคปฏิเสธเรื่องนี้[154] ฝ่ายบอลเชวิคเสนอญัตติที่จะถอดถอนอำนาจทางกฎหมายส่วนใหญ่ของสภา เมื่อสมัชชาปฏิเสธญัตติ คณะกรรมการราษฎรประกาศว่านี่เป็นหลักฐานที่แสดงถึงลักษณะของการต่อต้านการปฏิวัติและบังคับให้ยุบสภา[155]

เลนินปฏิเสธคำเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำอีก รวมถึงจากบอลเชวิคบางคนให้จัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคสังคมนิยมอื่น ๆ[156] แม้ว่าจะปฏิเสธการเป็นพันธมิตรกับเมนเชวิคหรือพรรคปฏิวัติสังคมนิยมแต่คณะกรรมการราษฎรก็ยอมอ่อนข้อบางส่วน คณะกรรมการราษฎรอนุญาตให้พรรคปฏิวัติสังคมนิยมฝ่ายซ้ายดำรงตำแหน่ง 5 ตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1917 พันธมิตรนี้กินเวลาเพียงสี่เดือนจนถึงเดือนมีนาคม ค.ศ. 1918 เมื่อพรรคปฏิวัติสังคมนิยมฝ่ายซ้ายถอนตัวออกจากรัฐบาลเนื่องจากไม่เห็นด้วยกับแนวทางของบอลเชวิคในการยุติสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง[157] ในการประชุมสมัชชาครั้งที่ 7 ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1918 บอลเชวิคเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการจากพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซียเป็นพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย เนื่องจากเลนินต้องการแยกกลุ่มของเขาออกจากพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยเยอรมันที่ปฏิรูปมากขึ้นเรื่อย ๆ และเพื่อเน้นย้ำเป้าหมายสูงสุดของตนซึ่งนั่นก็คือสังคมคอมมิวนิสต์[158]

เครมลินแห่งมอสโกซึ่งเลนินย้ายเข้าไปอยู่ใน ค.ศ. 1918 (ภาพถ่ายใน ค.ศ. 1987)

แม้ว่าอำนาจสูงสุดจะตกอยู่ภายใต้รัฐบาลของประเทศอย่างเป็นทางการในรูปแบบของคณะกรรมการราษฎรและคณะกรรมการบริหาร (VTSIK) ที่ได้รับเลือกโดยรัฐสภาโซเวียตแห่งรัสเซียทั้งปวง (ARCS) พรรคคอมมิวนิสต์อยู่ภายใต้การควบคุมโดยพฤตินัยในรัสเซีย ดังที่สมาชิกยอมรับในขณะนั้น[159] ภายใน ค.ศ. 1918 คณะกรรมการราษฎรเริ่มดำเนินการเพียงฝ่ายเดียวโดยอ้างว่าจำเป็นต้องมีความสะดวก[160] โดยที่คณะกรรมการบริหารและรัฐสภาโซเวียตกลายเป็นชายขอบมากขึ้น ดังนั้นโซเวียตจึงไม่มีบทบาทในการปกครองรัสเซียอีกต่อไป[161] ระหว่าง ค.ศ. 1918 และ ค.ศ. 1919 รัฐบาลขับเมนเชวิคและพรรคปฏิวัติสังคมนิยมออกจากโซเวียต[162] รัสเซียได้กลายเป็นรัฐพรรคการเมืองเดียว[163]

ภายในพรรคได้จัดตั้งกรมการเมือง (โปลิตบูโร) และกรมองค์การ (ออร์กบูโร) เพื่อติดตามคณะกรรมการกลางที่มีอยู่ การตัดสินใจของหน่วยงานพรรคเหล่านี้จะต้องได้รับการรับรองจากคณะกรรมการราษฎรและสภาแรงงานและกลาโหม[164] เลนินเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในโครงสร้างการปกครองนี้ เช่นเดียวกับการเป็นประธานคณะกรรมการราษฎรและนั่งอยู่ในสภาแรงงานและกลาโหม และเป็นคณะกรรมการกลางและโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์[165] บุคคลเพียงคนเดียวที่เข้าใกล้อิทธิพลนี้ได้คือยาคอฟ สเวียร์ดลอฟ มือขวาของเลนิน ซึ่งเสียชีวิตในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1919 ระหว่างการระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปน[166] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918 เลนินและภรรยาของเขาได้เข้าพักในแฟลตสองห้องภายในสถาบันสโมลนืย ในเดือนถัดมาพวกเขาก็ไปพักร้อนช่วงสั้น ๆ ในเมืองฮาลิลา ประเทศฟินแลนด์[167] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2461 เขารอดชีวิตจากความพยายามลอบสังหารในเปโตรกราด ฟริตซ์ แพลตเทน ซึ่งอยู่กับเลนินในเวลานั้น ได้ปกป้องเขาและได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืน[168]

ด้วยความกังวลว่ากองทัพเยอรมันเป็นภัยคุกคามต่อเปโตรกราด ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1918 คณะกรรมการราษฎรจึงย้ายเมืองหลวงไปยังมอสโก[169] โดยเริ่มแรกเป็นมาตรการชั่วคราว ที่นั่น เลนิน ทรอตสกี และผู้นำบอลเชวิคคนอื่น ๆ ย้ายไปที่เครมลิน ซึ่งเลนินอาศัยอยู่กับภรรยาและน้องสาวของเขา มาเรีย ในอพาร์ตเมนต์ชั้นหนึ่งติดกับห้องที่ใช้จัดการประชุมคณะกรรมการราษฎร[170] เลนินไม่ชอบมอสโก[171] แต่ไม่ค่อยได้ออกจากใจกลางเมืองเลยตลอดชีวิตของเขา[172] เขารอดชีวิตจากความพยายามลอบสังหารครั้งที่สองในมอสโกเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1918 เขาถูกยิงหลังจากการกล่าวปราศรัยในที่สาธารณะและได้รับบาดเจ็บสาหัส[173] ฟันนี คาปลัน นักปฏิวัติสังคมนิยมซึ่งเป็นมือปืนถูกจับกุมและประหารชีวิต[174] การโจมตีดังกล่าวได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในสื่อรัสเซีย ทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจอย่างมากต่อเลนินและเพิ่มความนิยมของเขา[175] เพื่อเป็นการพักผ่อน เขาย้ายไปยังที่ดินทีกอร์กีอันหรูหรานอกมอสโกในเดือนกันยายน ค.ศ. 1918 ซึ่งรัฐบาลเพิ่งโอนมาเป็นของรัฐสำหรับเขา[176]

การปฏิรูปสังคม กฎหมาย และเศรษฐกิจ: ค.ศ. 1917–1918

เมื่อเข้าคุมอำนาจ ระบอบการปกครองของเลนินได้ออกกฤษฎีกาหลายฉบับ ประการแรกคือกฤษฎีกาที่ดินซึ่งประกาศว่าที่ดินที่ถือครองของชนชั้นสูงและคริสตจักรออร์โธดอกซ์ควรเป็นรัฐและแจกจ่ายให้กับชาวนาโดยรัฐบาลท้องถิ่น สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับความปรารถนาของเลนินในการรวมกลุ่มเกษตรกรรม แต่ทำให้รัฐบาลยอมรับการยึดที่ดินของชาวนาในวงกว้างที่เกิดขึ้นแล้ว[177] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 รัฐบาลได้ออกกฤษฎีกาว่าด้วยสื่อมวลชนซึ่งปิดสื่อฝ่ายค้านจำนวนมากที่ถือว่าเป็นการต่อต้านการปฏิวัติโดยอ้างว่ามาตรการดังกล่าวเป็นเพียงมาตรการชั่วคราวกฤษฎีกาดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง รวมถึงบอลเชวิคหลายคน ในเรื่องที่ประนีประนอมเสรีภาพสื่อ[178]

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 เลนินได้ออกปฏิญญาสิทธิประชาชนรัสเซีย ซึ่งระบุว่ากลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่ใช่ชาวรัสเซียที่อาศัยอยู่ในสาธารณรัฐมีสิทธิ์แยกตัวออกจากอำนาจของรัสเซียและสถาปนารัฐชาติอิสระของตนเอง[179] หลายประเทศได้ประกาศอิสรภาพ (ฟินแลนด์และลิทัวเนียในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1917 ลัตเวียและยูเครนในเดือนมกราคม ค.ศ. 1917 เอสโตเนียในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918 ทรานส์คอเคเชียในเดือนเมษายน ค.ศ. 1918 และโปแลนด์ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918)[180] ในไม่ช้า บอลเชวิคก็ส่งเสริมพรรคคอมมิวนิสต์ในรัฐชาติอิสระเหล่านี้อย่างแข็งขัน[181] ขณะเดียวกันในการประชุมรัฐสภาโซเวียตทั้งปวงรัสเซียครั้งที่ 5 ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1918 รัฐธรรมนูญได้รับการอนุมัติซึ่งปฏิรูปสาธารณรัฐรัสเซียเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย[182] ด้วยความพยายามที่จะปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย รัฐบาลจึงเปลี่ยนรัสเซียจากปฏิทินจูเลียนเป็นปฏิทินกริกอเรียนที่ใช้ในยุโรปอย่างเป็นทางการ[183]

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 คณะกรรมการราษฎรได้ออกกฤษฎีกายกเลิกระบบกฎหมายของรัสเซีย โดยเรียกร้องให้ใช้ "จิตสำนึกแห่งการปฏิวัติ" มาแทนที่กฎหมายที่ถูกยกเลิก[184] ศาลถูกแทนที่ด้วยระบบสองระดับ ได้แก่ ศาลปฏิวัติเพื่อจัดการกับอาชญากรรมที่ต่อต้านการปฏิวัติ[185] และศาลประชาชนเพื่อจัดการกับความผิดทางแพ่งและทางอาญาอื่น ๆ พวกเขาได้รับคำสั่งให้เพิกเฉยต่อกฎหมายที่มีอยู่แล้ว และยึดถือคำตัดสินของตนตามกฤษฎีกาของคณะกรรมการราษฎรและ "สำนึกแห่งความยุติธรรมแบบสังคมนิยม"[186] เดือนพฤศจิกายนยังได้เห็นการยกเครื่องกองทัพ คณะกรรมการราษฎรใช้มาตรการที่เท่าเทียม ยกเลิกยศ ตำแหน่ง และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ก่อนหน้านี้ และเรียกร้องให้ทหารจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อเลือกผู้บัญชาการของตน[187]

โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อของบอลเชวิคจาก ค.ศ. 1920 มีการ์ตูนการเมืองที่วาดภาพเลนินกวาดล้างกษัตริย์ นักบวช และนายทุน คำบรรยายเขียนว่า สหายเลนินเก็บกวาดโลกแห่งความโสมม

ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1917 เลนินออกกฤษฎีกาจำกัดการทำงานสำหรับทุกคนในรัสเซียไว้ที่ 8 ชั่วโมงต่อวัน[188] นอกจากนี้เขายังออกกฤษฎีกาว่าด้วยการศึกษาแบบประชานิยม ซึ่งกำหนดว่ารัฐบาลจะรับประกันการศึกษาทางโลกฟรีสำหรับเด็กทุกคนในรัสเซีย[188] และกฤษฎีกาจัดตั้งระบบสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของรัฐ[189] เพื่อต่อสู้กับการไม่รู้หนังสือของประชาชน จึงได้ริเริ่มการรณรงค์การรู้หนังสือ ประมาณ 5 ล้านคนลงทะเบียนเรียนหลักสูตรเร่งรัดของการรู้หนังสือขั้นพื้นฐานระหว่าง ค.ศ. 1920 ถึง ค.ศ. 1926[190] เพื่อยอมรับความเท่าเทียมกันทางเพศ จึงมีการใช้กฎหมายที่ช่วยให้ผู้หญิงมีอิสระ โดยให้อิสระทางเศรษฐกิจจากสามี และยกเลิกข้อจำกัดในการหย่าร้าง[191] เจโนตเดลซึ่งเป็นองค์กรสตรีบอลเชวิคก่อตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมเป้าหมายเหล่านี้ ภายใต้การปกครองของเลนิน รัสเซียกลายเป็นประเทศแรกที่ออกกฎหมายให้ทำแท้งตามความต้องการในช่วงไตรมาสแรก[192] เลนินและพรรคคอมมิวนิสต์ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างเข้มแข็งต้องการทำลายระบบศาสนา[193] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1918 รัฐบาลได้ออกคำสั่งให้แยกคริสตจักรและรัฐให้ออกจากกัน และห้ามการเรียนการสอนศาสนาในโรงเรียน[194]

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 เลนินได้ออกกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมแรงงาน ซึ่งเรียกร้องให้แรงงานของแต่ละองค์กรจัดตั้งคณะกรรมการที่ได้รับเลือกขึ้นเพื่อติดตามการจัดการของวิสาหกิจของตน[195] ในเดือนนั้นพวกเขายังได้ออกคำสั่งขอทองคำของประเทศ[196] และโอนธนาคารให้เป็นของรัฐ ซึ่งเลนินมองว่าเป็นก้าวสำคัญสู่สังคมนิยม[197] ในเดือนธันวาคม คณะกรรมการราษฎรได้จัดตั้งสภาเศรษฐกิจแห่งชาติสูงสุด (VSNKh) ซึ่งมีอำนาจเหนืออุตสาหกรรม การธนาคาร การเกษตร และการค้า[198] คณะกรรมการโรงงานเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของสหภาพแรงงาน ซึ่งอยู่ภายใต้สังกัดสภาเศรษฐกิจแห่งชาติสูงสุด แผนเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ของรัฐจัดลำดับความสำคัญเหนือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในท้องถิ่นของคนงาน[199] ในช่วงต้น ต.ศ. 1918 คณะกรรมการราษฎรได้ยกเลิกหนี้ต่างประเทศทั้งหมดและปฏิเสธที่จะจ่ายดอกเบี้ยที่เป็นหนี้อยู่[200] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1918 การค้าระหว่างประเทศเป็นของรัฐ ทำให้เกิดการผูกขาดการนำเข้าและส่งออกโดยรัฐ[201] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1918 ได้มีการกฤษฎีกาโอนสาธารณูปโภค การรถไฟ วิศวกรรม สิ่งทอ โลหะวิทยา และเหมืองแร่ ให้เป็นของรัฐ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้มักเป็นของรัฐในนามเท่านั้น[202] การโอนมาเป็นของรัฐอย่างเต็มรูปแบบไม่ได้เกิดขึ้นจนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1920 เมื่อวิสาหกิจอุตสาหกรรมขนาดเล็กอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ[203]

กลุ่มหนึ่งของบอลเชวิคที่รู้จักกันในชื่อ "คอมมิวนิสต์ซ้าย" วิพากษ์วิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจของคณะกรรมการราษฎรว่าอยู่ในระดับปานกลางเกินไป พวกเขาต้องการโอนอุตสาหกรรม เกษตรกรรม การค้า การเงิน การขนส่ง และการสื่อสารมาเป็นของรัฐ[204] เลนินเชื่อว่าขั้นตอนนี้ทำไม่ได้ในทางปฏิบัติ และรัฐบาลควรโอนวิสาหกิจทุนนิยมขนาดใหญ่ของรัสเซีย เช่น ธนาคาร ทางรถไฟ ที่ดินขนาดใหญ่ โรงงานและเหมืองแร่ขนาดใหญ่ให้เป็นของรัฐเท่านั้น[204] ซึ่งอนุญาตให้ธุรกิจขนาดเล็กดำเนินกิจการแบบส่วนตัวได้จนกว่าพวกเขาจะขยายใหญ่พอที่จะสามารถโอนมาเป็นของรัฐได้ เลนินยังไม่เห็นด้วยกับกลุ่มคอมมิวนิสต์ซ้ายเกี่ยวกับองค์กรทางเศรษฐกิจ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1918 เขาแย้งว่าจำเป็นต้องมีการควบคุมเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ของอุตสาหกรรม ในขณะที่กลุ่มคอมมิวนิสต์ซ้ายต้องการให้โรงงานแต่ละแห่งถูกควบคุมโดยแรงงาน ซึ่งเป็นแนวทางที่เลนินมองว่าเป็นอันตรายต่อสังคมนิยม[205]

การนำมุมมองเสรีนิยมฝ่ายซ้ายมาใช้ ทั้งกลุ่มคอมมิวนิสต์ซ้ายและกลุ่มอื่น ๆ ในพรรคคอมมิวนิสต์ต่างวิพากษ์วิจารณ์ความเสื่อมถอยของสถาบันประชาธิปไตยในรัสเซีย[206] ในระดับสากล นักสังคมนิยมหลายคนประณามระบอบการปกครองของเลนิน และปฏิเสธว่าเขากำลังสถาปนาลัทธิสังคมนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาเน้นย้ำถึงการขาดการมีส่วนร่วมทางการเมืองในวงกว้าง การปรึกษาหารือของประชาชน และประชาธิปไตยอุตสาหกรรม[207] ในช่วงปลาย พ.ศ. 2461 คาร์ล เคาต์สกี นักลัทธิมากซ์ชาวเช็ก-ออสเตรีย ได้เขียนจุลสารต่อต้านลัทธิเลนินโดยประณามธรรมชาติของการต่อต้านประชาธิปไตยของรัสเซียโซเวียต ซึ่งเลนินได้ตีพิมพ์คำตอบอย่างอึกทึกเรื่อง The Proletarian Revolution and the Renegade Kautsky[208] โรซา ลุคเซิมบวร์ค นักลัทธิมากซ์ชาวเยอรมัน สะท้อนมุมมองของเคาต์สกี[209] ในขณะที่ปิออตร์ โคโปตกิน ผู้นิยมอนาธิปไตยชาวรัสเซีย กล่าวถึงการยึดอำนาจของบอลเชวิคว่าเป็น "การฝังการปฏิวัติรัสเซีย"[210]

สนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์: ค.ศ. 1917–1918

เมื่อขึ้นสู่อำนาจ เลนินเชื่อว่านโยบายสำคัญของรัฐบาลของเขาจะต้องถอนตัวออกจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งโดยการสงบศึกกับฝ่ายมหาอำนาจกลางของเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี[211] เขาเชื่อว่าสงครามที่ดำเนินอยู่จะสร้างความไม่พอใจในหมู่ทหารรัสเซียที่เบื่อหน่ายสงคราม ซึ่งเขาสัญญาว่าจะมีสันติภาพ และกองทหารเหล่านี้และกองทัพเยอรมันที่รุกคืบเข้ามาคุกคามทั้งรัฐบาลของเขาเองและต้นเหตุของลัทธิสังคมนิยมระหว่างประเทศ[212] ในทางตรงกันข้าม สมาชิกบอลเชวิคอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนีโคไล บูฮารินและฝ่ายคอมมิวนิสต์ซ้าย เชื่อว่าสันติภาพกับมหาอำนาจกลางจะเป็นการทรยศต่อลัทธิสังคมนิยมระหว่างประเทศ และรัสเซียควรเข้าร่วม "สงครามป้องกันการปฏิวัติ" แทน ซึ่งจะกระตุ้นให้ชนชั้นกรรมาชีพเยอรมันลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลของตนเอง[213]

ในกฤษฎีกาสันติภาพเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 เลนินเสนอการสงบศึกเป็นเวลาสามเดือน ซึ่งได้รับการอนุมัติจากสมัยประชุมครั้งที่ 2 ของสภาผู้แทนโซเวียตแห่งแรงงานและทหารรัสเซียทั้งปวง และนำเสนอต่อรัฐบาลเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี[214] ฝ่ายเยอรมันแสดงท่าทีในทางบวก โดยมองว่านี่เป็นโอกาสที่จะมุ่งความสนใจไปยังแนวรบด้านตะวันตกและขจัดความพ่ายแพ้ที่กำลังจะเกิดขึ้น[215] ในเดือนพฤศจิกายน การเจรจาสงบศึกเริ่มต้นที่เบรสท์-ลีตอฟสก์ ซึ่งเป็นที่ตั้งฐานหลักของกองบัญชาการสูงสุดของเยอรมนีในแนวรบด้านตะวันออก โดยมีคณะผู้แทนรัสเซียนำโดยทรอตสกีและอดอล์ฟ จอฟเฟ[216] ขณะเดียวกันมีการตกลงหยุดยิงจนถึงเดือนมกราคม[217] ในระหว่างการเจรจา เยอรมนียืนกรานที่จะรักษาการพิชิตในช่วงสงคราม ซึ่งรวมถึงโปแลนด์ ลิทัวเนีย และคูร์ลันด์ ในขณะที่รัสเซียโต้แย้งว่านี่เป็นการละเมิดสิทธิในการตัดสินใจด้วยตนเองของประเทศเหล่านี้[218] บอลเชวิคบางคนแสดงความหวังที่จะดึงการเจรจาออกไปจนกว่าการปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพจะปะทุขึ้นทั่วยุโรป[219] ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1918 ทรอตสกีเดินทางกลับจากเบรสต์-ลีตอฟสค์ไปยังเซนต์ปีเตอส์เบิร์กโดยยื่นคำขาดจากฝ่ายมหาอำนาจกลาง รัสเซียยอมรับข้อเรียกร้องเรื่องอาณาเขตของเยอรมนี ไม่เช่นนั้นสงครามจะดำเนินต่อไป[220]

การลงนามข้อตกลงสงบศึกระหว่างรัสเซียและเยอรมนีในวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1917

ในเดือนมกราคมและอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ เลนินเรียกร้องให้บอลเชวิคยอมรับข้อเสนอของเยอรมนี เขาแย้งว่าการสูญเสียดินแดนสามารถยอมรับได้หากทำให้รัฐบาลที่นำโดยบอลเชวิคอยู่รอดได้ สมาชิกบอลเชวิคส่วนใหญ่ปฏิเสธจุดยืนของเขา โดยหวังว่าจะยืดเวลาการสงบศึกออกไปและเรียกเยอรมนีว่าเป็นมิตรแต่โผงผาง[221] ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ กองทัพเยอรมันได้เปิดปฏิบัติการเฟาสท์ชลาก รุกล้ำเข้าไปในดินแดนที่รัสเซียควบคุมและพิชิตดวินสค์ได้ภายในหนึ่งวัน[222] เมื่อถึงจุดนี้ ในที่สุดเลนินก็โน้มน้าวให้คณะกรรมการกลางบอลเชวิคเสียงข้างมากยอมรับข้อเรียกร้องของมหาอำนาจกลาง[223] ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ฝ่ายมหาอำนาจกลางได้ยื่นคำขาดใหม่โดยรัสเซียต้องยอมรับการควบคุมของเยอรมนีไม่เพียงแต่ในโปแลนด์และรัฐบอลติกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงยูเครนด้วย ไม่เช่นนั้นจะต้องเผชิญการรุกรานเต็มรูปแบบ[224]

วันที่ 3 มีนาคม มีการลงนามในสนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์[225] ส่งผลให้รัสเซียสูญเสียดินแดนมหาศาล โดยคิดเป็นประชากรของอดีตจักรวรรดิร้อยละ 26 พื้นที่เก็บเกี่ยวทางการเกษตรร้อยละ 37 อุตสาหกรรมร้อยละ 28 รางรถไฟร้อยละ 26 และสามในสี่ของถ่านหินและเหล็กที่ฝากถูกถ่ายโอนไปยังการควบคุมของเยอรมนี[226] ด้วยเหตุนี้ สนธิสัญญาดังกล่าวจึงไม่ได้รับความนิยมอย่างลึกซึ้งในทุกช่วงการเมืองของรัสเซีย[227] และสมาชิกบอลเชวิคและพรรคปฏิวัติสังคมนิยมฝ่ายซ้ายหลายคนลาออกจากคณะกรรมการราษฎรเพื่อเป็นการประท้วง[228] หลังจากการลงนามในสนธิสัญญา คณะกรรมการราษฎรมุ่งเน้นไปที่การพยายามปลุกปั่นการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพในเยอรมนี โดยออกสิ่งพิมพ์ต่อต้านสงครามและต่อต้านรัฐบาลมากมายในประเทศ รัฐบาลเยอรมันตอบโต้ด้วยการขับนักการทูตรัสเซีย[229] สนธิสัญญายังคงล้มเหลวในการหยุดยั้งความพ่ายแพ้ของฝ่ายมหาอำนาจกลาง ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918 จักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 2 แห่งเยอรมนีสละราชบัลลังก์ และฝ่ายบริหารชุดใหม่ของประเทศได้ลงนามในข้อตกลงสงบศึกกับฝ่ายสัมพันธมิตร เป็นผลให้คณะกรรมการราษฎรประกาศให้สนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์เป็นโมฆะ[230]

การรณรงค์ต่อต้านคูลัค, เชการ์ และ ความน่าสะพรึงสีแดง: ค.ศ. 1918–1922

เลนินกับภรรยาและน้องสาวของเขานั้งในรถในขบวนสวนสนามวันแรงงานของกองทัพแดงที่สนามโคดีนกา กรุงมอสโก ค.ศ. 1918

เมื่อถึงต้น ค.ศ. 1918 หลายเมืองทางตะวันตกของรัสเซียเผชิญกับความอดอยากอันเป็นผลจากการขาดแคลนอาหารเรื้อรัง[231] เลนินกล่าวโทษเรื่องนี้ต่อพวกคูลัคหรือชาวนาที่ร่ำรวยกว่า ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากักตุนเมล็ดพืชที่พวกเขาผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าทางการเงิน ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1918 เขาได้ออกคำสั่งขอเพื่อจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธเพื่อริบเมล็ดพืชจากคูลัคเพื่อจำหน่ายในเมือง และในเดือนมิถุนายนได้เรียกร้องให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการชาวนายากจนเพื่อช่วยในการขอเบิก[232] นโยบายนี้ส่งผลให้เกิดความไม่เป็นระเบียบและความรุนแรงทางสังคมอย่างกว้างขวาง เนื่องจากกองกำลังติดอาวุธมักปะทะกับกลุ่มชาวนา ซึ่งก่อให้เกิดสงครามกลางเมือง[233] ตัวอย่างที่โดดเด่นของมุมมองของเลนินคือโทรเลขเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1918 ถึงบอลเชวิคในเปนซา ซึ่งเรียกร้องให้พวกเขาปราบปรามการจลาจลของชาวนาด้วยการแขวนคอ "คูลัค คนรวย [และ] คนดูดเลือด อย่างน้อย 100 คนต่อหน้าสาธารณะ"[234]

คำสั่งดังกล่าวทำให้ชาวนาหมดกำลังใจในการผลิตธัญพืชเกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถบริโภคได้ด้วยตนเอง[235] และทำให้การผลิตตกต่ำลง ตลาดมืดที่กำลังเฟื่องฟูช่วยเสริมเศรษฐกิจที่ทางการคว่ำบาตร[236] และเลนินเรียกร้องให้นำเอานักเก็งกำไร ผู้ขายสินค้าในตลาดมืด และนักปล้นสะดมไปยิงทิ้ง[237] ทั้งพรรคปฏิวัติสังคมนิยมและพรรคปฏิวัติสังคมนิยมฝ่ายซ้ายต่างประณามการจัดสรรเมล็ดพืชด้วยอาวุธในการประชุมรัฐสภาโซเวียตทั้งปวงรัสเซียครั้งที่ 5 ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1918[238] โดยตระหนักว่าคณะกรรมการชาวนายากจนกำลังข่มเหงชาวนาที่ไม่ใช่คูลัคด้วย และด้วยเหตุนี้จึงมีส่วนทำให้เกิดความรู้สึกต่อต้านรัฐบาลในหมู่ชาวนา ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1918 เลนินจึงได้ยกเลิกสิ่งเหล่านี้[239]

เลนินเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการก่อการร้ายและความรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำอีกในการโค่นล้มระเบียบเก่าและรับประกันความสำเร็จของการปฏิวัติ[240] เมื่อพูดกับคณะกรรมการบริหารกลางของรัฐสภาโซเวียตทั้งปวงรัสเซียในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1917 เขาประกาศว่า “รัฐเป็นสถาบันที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ความรุนแรง ก่อนหน้านี้ความรุนแรงนี้ใช้ถุงเงินจำนวนหนึ่งเพื่อประชาชนทั้งหมด บัดนี้เราต้องการ [...] จัดระเบียบความรุนแรงเพื่อประโยชน์ของประชาชน”[241] เขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อข้อเสนอแนะให้ยกเลิกโทษประหารชีวิต[242] ด้วยความกลัวว่ากองกำลังต่อต้านบอลเชวิคจะโค่นล้มรัฐบาลของเขา ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1917 เลนินจึงสั่งให้จัดตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อต่อสู้กับการต่อต้านการปฏิวัติและการก่อวินาศกรรมหรือที่เรียกว่าเชการ์ซึ่งเป็นกองกำลังตำรวจการเมืองที่นำโดยเฟลิกซ์ ดเซียร์จินสกี[243]

ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1918 คณะกรรมการราษฎรได้ออกกฤษฎีกาเพื่อเปิดฉากความน่าสะพรึงสีแดง ซึ่งเป็นระบบปราบปรามที่จัดทำโดยตำรวจลับเชการ์[244] แม้ว่าบางครั้งจะอธิบายว่าเป็นความพยายามที่จะกำจัดชนชั้นกระฎุมพีทั้งหมด[245] แต่เลนินก็ไม่ต้องการกำจัดสมาชิกทั้งหมดของชนชั้นนี้ เพียงแต่พวกที่ต้องการรื้อฟื้นการปกครองของตนกลับคืนมา[246] เหยื่อของความน่าสะพรึงสีแดงส่วนใหญ่เป็นพลเมืองมีฐานะดีหรืออดีตเจ้าหน้าที่รัฐบาลซาร์[247] คนอื่น ๆ ไม่ใช่ชนชั้นกลางที่ต่อต้านบอลเชวิคและรับรู้ถึงสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ทางสังคม เช่น โสเภณี[248] เชการ์อ้างสิทธิในทั้งการตัดสินโทษและประหารชีวิตใครก็ตามที่ถือว่าเป็นศัตรูของรัฐบาล โดยไม่ต้องอาศัยศาลปฏิวัติ[249] ด้วยเหตุนี้ เชการ์จึงได้ทำการสังหารบ่อยครั้งเป็นจำนวนมากทั่วทั้งรัสเซียโซเวียต[250] ตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่เชการ์ในเปโตรกราดประหารชีวิตผู้คน 512 รายภายในเวลาไม่กี่วัน[251] ไม่มีบันทึกที่เหลือรอดมาเพื่อให้ตัวเลขที่แม่นยำของจำนวนผู้เสียชีวิตในความน่าสะพรึงสีแดง[252] การประมาณการในเวลาต่อมาของนักประวัติศาสตร์อยู่ระหว่าง 10,000 ถึง 15,000 คน และ 50,000 ถึง 140,000 คน[253]

เลนินไม่เคยเห็นความรุนแรงนี้หรือมีส่วนร่วมในเหตุการณ์นี้โดยตรง[254] และทำตัวเหินห่างจากความรุนแรงต่อสาธารณะ[255] บทความและสุนทรพจน์ที่ได้รับการตีพิมพ์ของเขาไม่ค่อยเรียกร้องให้มีการประหารชีวิต แต่เขาทำเช่นนั้นเป็นประจำในโทรเลขเข้ารหัสและบันทึกที่เป็นความลับ[256] บอลเชวิคจำนวนมากแสดงความไม่เห็นด้วยกับการประหารชีวิตหมู่ของเชการ์ และกลัวว่าองค์กรจะไม่รับผิดชอบอย่างชัดเจน[257] พรรคคอมมิวนิสต์พยายามยับยั้งกิจกรรมของเชการ์ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1919 โดยตัดอำนาจศาลและการประหารชีวิตในพื้นที่ที่ไม่อยู่ภายใต้กฎอัยการศึกอย่างเป็นทางการ แต่เชการ์ยังคงดำเนินต่อไปเช่นเดิมในแนวกว้างของประเทศ[258] ภายใน ค.ศ. 1920 เชการ์ได้กลายเป็นสถาบันที่ทรงอำนาจที่สุดในรัสเซียโซเวียต โดยมีอิทธิพลเหนือกลไกรัฐอื่น ๆ ทั้งหมด[259]

กฤษฎีกาในเดือนเมษายน ค.ศ. 1919 ส่งผลให้มีการจัดตั้งค่ายกักกันซึ่งได้รับความไว้วางใจจากเชการ์[260] ซึ่งต่อมาบริหารงานโดยหน่วยงานรัฐบาลใหม่ที่เรียกว่ากูลัก[261] มีการจัดตั้งค่าย 84 แห่งทั่วรัสเซียโซเวียตและคุมนักโทษได้ประมาณ 50,000 คนภายในสิ้น ค.ศ. 1920 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 315 ค่ายและนักโทษประมาณ 70,000 คนภายในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1923[262] ผู้ที่ถูกกักขังในค่ายถูกใช้เป็นแรงงานทาส[263] ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1922 ปัญญาชนที่ถูกกล่าวหาว่าต่อต้านรัฐบาลบอลเชวิคถูกเนรเทศไปยังภูมิภาคที่ไม่เอื้ออำนวยหรือถูกเนรเทศออกจากรัสเซียโดยสิ้นเชิง เลนินได้พิจารณารายชื่อผู้ที่ต้องจัดการในลักษณะนี้เป็นการส่วนตัว[264] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1922 เลนินได้ออกคำสั่งให้ประหารชีวิตนักบวชที่ต่อต้านบอลเชวิค ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตระหว่าง 14,000 ถึง 20,000 ราย[265] คริสตจักรรัสเซียออร์ทอดอกซ์ได้รับผลกระทบหนักที่สุด นโยบายต่อต้านศาสนาของรัฐบาลยังส่งผลเสียต่อคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ สุเหร่ายิว และมัสยิดอิสลาม[266]

สงครามกลางเมืองและสงครามโปแลนด์–โซเวียต: ค.ศ. 1918–1920

เลนินคาดหวังว่าชนชั้นสูงและชนชั้นกระฎุมพีรัสเซียจะต่อต้านรัฐบาลของเขา แต่เขาเชื่อว่าความเหนือกว่าเชิงตัวเลขของชนชั้นล่าง ควบคู่ไปกับความสามารถของบอลเชวิคในการจัดระเบียบพวกเขาอย่างมีประสิทธิภาพ จะรับประกันชัยชนะอย่างรวดเร็วในทุกความขัดแย้ง[267] ด้วยเหตุนี้เขาล้มเหลวในการคาดการณ์ถึงความรุนแรงของการต่อต้านอย่างรุนแรงต่อการปกครองของบอลเชวิคในรัสเซีย[267] สงครามกลางเมืองอันนองเลือดที่ยาวนานเกิดขึ้นระหว่างฝ่ายแดงคอมมิวนิสต์และฝ่ายขาวต่อต้านบอลเชวิคเริ่มต้นใน ค.ศ. 1917 และสิ้นสุดด้วยชัยชนะของพวกแดงใน ค.ศ. 1923 นอกจากนี้ยังครอบคลุมความขัดแย้งทางชาติพันธุ์บริเวณชายแดนรัสเซีย และการลุกฮือของชาวนาที่ต่อต้านบอลเชวิคและการลุกฮือของฝ่ายซ้ายทั่วทั้งจักรวรรดิเก่า[268] ดังนั้นนักประวัติศาสตร์หลายคนจึงมองว่าสงครามกลางเมืองเป็นตัวแทนของความขัดแย้งสองประการที่แตกต่างกัน ครั้งแรกระหว่างนักปฏิวัติกับฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติ และอีกความขัดแย้งระหว่างกลุ่มปฏิวัติที่แตกต่างกัน[269]

กองทัพขาวก่อตั้งขึ้นโดยอดีตนายทหารซาร์[270] และรวมถึงกองทัพอาสาของอันตอน เดนีกินในรัสเซียตอนใต้[271] กองทัพของอะเลคซันดร์ คอลชัคในไซบีเรีย[272] และกองทัพของนีโคไล ยูเดนิชในรัฐบอลติกที่เพิ่งเป็นอิสระใหม่[273] ฝ่ายขาวได้รับการหนุนหลังเมื่อสมาชิกเชโกสโลวักลีเจียนจำนวน 35,000 นาย ซึ่งเป็นเชลยศึกจากการสู้รบกับฝ่ายมหาอำนาจกลางหันมาต่อต้านคณะกรรมการราษฎรและเป็นพันธมิตรกับคณะกรรมการสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (Komuch) ซึ่งเป็นรัฐบาลต่อต้านบอลเชวิคที่จัดตั้งขึ้นในซามารา[274] นอกจากนี้ ฝ่ายขาวยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลตะวันตกที่มองว่าสนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์เป็นการทรยศต่อความพยายามทำสงครามของฝ่ายสัมพันธมิตร และกลัวการเรียกร้องของพวกบอลเชวิคให้เกิดการปฏิวัติโลก[275] ใน ค.ศ. 1918 ทหารจากสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สหรัฐ แคนาดา อิตาลี และเซอร์เบียกว่า 10,000 นายยกพลขึ้นบกที่เมืองมูร์มันสค์ โดยยึดเมืองคันดาลัคชา ในขณะที่ปีต่อมากองทัพอังกฤษ สหรัฐ และญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่วลาดีวอสตอค[276] ในไม่ช้า กองทหารตะวันตกก็ถอนตัวออกจากสงครามกลางเมือง โดยสนับสนุนเฉพาะฝายขาวด้วยเจ้าหน้าที่ ช่างเทคนิค และยุทโธปกรณ์เท่านั้น แต่ญี่ปุ่นยังคงอยู่เพราะพวกเขามองว่าความขัดแย้งเป็นโอกาสในการขยายอาณาเขต[277]

เลนินมอบหมายให้ทรอตสกีจัดตั้งกองทัพแดงของกรรมกรและของชาวนา และด้วยการสนับสนุนของเขา ทรอตสกีจึงจัดตั้งสภาทหารปฏิวัติในเดือนกันยายน ค.ศ. 1918[278] และดำรงตำแหน่งประธานจนถึง ค.ศ. 1925 เมื่อทราบถึงประสบการณ์ทางทหารอันมีค่าของพวกเขา เลนินจึงเห็นพ้องกันว่าเจ้าหน้าที่จากกองทัพซาร์เก่าสามารถปฏิบัติหน้าที่ในกองทัพแดงได้[279] แม้ว่าทรอตสกีจะจัดตั้งสภาทหารขึ้นเพื่อติดตามกิจกรรมของพวกเขาก็ตาม ฝ่ายแดงควบคุมเมืองใหญ่ที่สุดสองแห่งของรัสเซีย ได้แก่ มอสโกและเปโตรกราด เช่นเดียวกับเมืองใหญ่ส่วนใหญ่ของรัสเซีย[280] ในขณะที่เมืองของฝ่ายขาวส่วนใหญ่ตั้งอยู่บริเวณรอบนอกของอดีตจักรวรรดิ ดังนั้นฝ่ายขาวจึงถูกขัดขวางโดยการแยกส่วนและการกระจัดกระจายทางภูมิศาสตร์[281] และเนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์รัสเซียที่มีอำนาจเหนือกว่าทำให้ชนกลุ่มน้อยระดับชาติของภูมิภาคแปลกแยก[282] กองทัพต่อต้านบอลเชวิคได้เปิดฉากความน่าสะพรึงสีขาว ซึ่งเป็นการรณรงค์ที่ใช้ความรุนแรงต่อการรับรู้ว่าผู้สนับสนุนบอลเชวิค ซึ่งโดยทั่วไปจะเกิดขึ้นเองมากกว่าความน่าสะพรึงสีแดงที่รัฐอนุมัติ[283] กองทัพทั้งกองทัพขาวและกองทัพแดงต่างรับผิดชอบต่อการโจมตีชุมชนชาวยิว กระตุ้นให้เลนินออกมาประณามลัทธิต่อต้านชาวยิว โดยกล่าวโทษอคติต่อชาวยิวจากการโฆษณาชวนเชื่อแบบทุนนิยม[284]

โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อต่อต้านบอลเชวิคของฝ่ายขาว ซึ่งมีภาพของเลนินในชุดคลุมสีแดงเพื่อช่วยเหลือบอลเชวิคคนอื่น ๆ ในการเสียสละรัสเซียให้กับรูปปั้นของมาคส์ ประมาณ ค.ศ.1918–1919

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2461 สเวียร์ดลอฟแจ้งคณะกรรมการราษฎรว่าสภาโซเวียตภูมิภาคยูรัลได้กำกับการสังหารอดีตซาร์และครอบครัวใกล้ชิดของซาร์ในเยคาเตรินบุร์ก เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาได้รับการช่วยเหลือโดยการรุกคืบของกองทัพขาว[285] แม้ว่าจะขาดข้อพิสูจน์ แต่นักเขียนชีวประวัติและนักประวัติศาสตร์เช่น ริชาร์ด ไปป์ส และดมีตรี โวลโคโกนอฟ ได้แสดงความเห็นว่าการสังหารนี้อาจได้รับอนุมัติจากเลนิน[286] ในทางกลับกัน นักประวัติศาสตร์ เจมส์ ไรอัน เตือนว่า "ไม่มีเหตุผล" ที่จะเชื่อสิ่งนี้[287] ไม่ว่าเลนินจะอนุมัติหรือไม่ก็ตาม เขายังถือว่าสิ่งนี้มีความจำเป็น โดยเน้นย้ำถึงแบบอย่างที่กำหนดโดยการประหารพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ในการปฏิวัติฝรั่งเศส[288]

หลังจากสนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์ พรรคปฏิวัติสังคมนิยมฝ่ายซ้ายได้ละทิ้งแนวร่วมและมองว่าบอลเชวิคเป็นผู้ทรยศต่อการปฏิวัติมากขึ้นเรื่อย ๆ[289] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1918 ยาคอฟ บลัมคิน นักปฏิวัติสังคมนิยมฝ่ายซ้ายได้ลอบสังหาร วิลเฮล์ม ฟอน เมียร์บาค เอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำรัสเซีย โดยหวังว่าเหตุการณ์ทางการทูตที่ตามมาจะนำไปสู่สงครามปฏิวัติกับเยอรมนีที่เปิดขึ้นใหม่[290] จากนั้นพรรคปฏิวัติสังคมนิยมฝ่ายซ้ายได้ก่อรัฐประหารในกรุงมอสโก โดยระดมยิงใส่เครมลินและยึดที่ทำการไปรษณีย์กลางของเมือง ก่อนที่จะถูกกองทัพของทรอตสกีหยุดยั้ง[291] ผู้นำพรรคและสมาชิกหลายคนถูกจับกุมและคุมขัง แต่ได้รับการปฏิบัติอย่างผ่อนปรนมากกว่าฝ่ายตรงข้ามอื่น ๆ ของบอลเชวิค[292]

โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อต่อต้านโปแลนด์ของบอลเชวิคใน ค.ศ. 1920

ภายใน ค.ศ. 1919 กองทัพขาวกำลังล่าถอย และพ่ายแพ้ในทั้งสามแนวรบเมื่อต้น ค.ศ. 1920[293] แม้ว่าคณะกรรมการราษฎรจะได้รับชัยชนะ แต่ขอบเขตอาณาเขตของรัฐรัสเซียก็ลดลง เนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่ใช่รัสเซียจำนวนมากได้ใช้ความไม่เป็นระเบียบเพื่อผลักดันเอกราชของชาติ[294] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1921 ระหว่างการทำสงครามที่เกี่ยวข้องกับโปแลนด์ มีการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพรีกา โดยแบ่งดินแดนพิพาทในเบลารุสและยูเครนระหว่างสาธารณรัฐโปแลนด์และรัสเซียโซเวียต รัสเซียโซเวียตพยายามที่จะยึดครองประเทศเอกราชใหม่ทั้งหมดของจักรวรรดิเก่าอีกครั้ง แม้ว่าความสำเร็จจะมีจำกัดก็ตาม เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ลัตเวีย และลิทัวเนียล้วนต่อต้านการรุกรานของโซเวียต ขณะที่ยูเครน เบลารุส (อันเป็นผลมาจากสงครามโปแลนด์–โซเวียต) อาร์มีเนีย อาเซอร์ไบจาน และจอร์เจียถูกยึดครองโดยกองทัพแดง[269][295] ภายใน ค.ศ. 1921 รัสเซียโซเวียตสามารถเอาชนะขบวนการระดับชาติของยูเครนและยึดครองเทือกเขาคอเคซัส แม้ว่าการลุกฮือต่อต้านบอลเชวิคในเอเชียกลางจะดำเนินไปจนถึงคริสต์ปลายทศวรรษ 1920[296]

หลังจากที่กองทหารรักษาการณ์โอเบอร์อ็อสของเยอรมนีถูกถอนออกจากแนวรบด้านตะวันออกหลังการสงบศึก ทั้งกองทัพรัสเซียโซเวียตและกองทัพโปแลนด์ก็เคลื่อนเข้ามาเพื่อเติมเต็มสุญญากาศ[297] รัฐโปแลนด์ที่เพิ่งเป็นอิสระใหม่และรัฐบาลโซเวียตต่างก็แสวงหาการขยายอาณาเขตในภูมิภาค[298] กองทัพโปแลนด์และรัสเซียปะทะกันครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1919[299] โดยความขัดแย้งพัฒนาจนกลายเป็นสงครามโปแลนด์–โซเวียต ซึ่งต่างจากความขัดแย้งครั้งก่อน ๆ ของโซเวียต ความขัดแย้งนี้มีผลกระทบมากกว่าต่อการส่งออกการปฏิวัติและอนาคตของยุโรป[300] กองทัพโปแลนด์บุกเข้าไปในยูเครน[301] และได้ยึดเคียฟจากโซเวียตภายในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1920[302] หลังจากกองทัพโปแลนด์ถูกบีบบังคับให้ถอยกลับ เลนินกระตุ้นให้กองทัพแดงบุกโปแลนด์เอง โดยเชื่อว่าชนชั้นกรรมาชีพโปแลนด์จะลุกขึ้นเพื่อสนับสนุนกองทัพรัสเซียและจุดประกายให้เกิดการปฏิวัติยุโรป ทรอตสกีและบอลเชวิคคนอื่น ๆ ไม่เชื่อ แต่ก็เห็นด้วยกับการรุกราน ชนชั้นกรรมาชีพโปแลนด์ไม่ลุกขึ้น และกองทัพแดงพ่ายแพ้ในยุทธการที่วอร์ซอ[303] กองทัพโปแลนด์ผลักดันกองทัพแดงกลับเข้าไปในรัสเซีย บังคับให้คณะกรรมการราษฎรร้องขอสันติภาพ สงครามสิ้นสุดลงด้วยการลงนามสนธิสัญญาสันติภาพริกาซึ่งรัสเซียยกดินแดนให้กับโปแลนด์[304]

องค์การคอมมิวนิสต์สากลและการปฏิวัติโลก: ค.ศ. 1919–1920

เลนินกล่าวปราศัย ณ จัตุรัสแดง กรุงมอสโก ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1919

หลังจากการสงบศึกบนแนวรบด้านตะวันตก เลนินเชื่อว่าการปฏิวัติยุโรปจวนจะใกล้เข้ามา[305] ด้วยความพยายามที่จะส่งเสริมสิ่งนี้ คณะกรรมการราษฎรจึงสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลโซเวียตของเบ-ลอ กุนในฮังการีในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2462 ตามมาด้วยรัฐบาลโซเวียตในบาวาเรีย และการลุกฮือของนักสังคมนิยมที่ปฏิวัติต่าง ๆ ในส่วนอื่น ๆ ของเยอรมนี รวมทั้งของสันนิบาตสปาตาคิสท์[306] ในช่วงสงครามกลางเมืองรัสเซีย กองทัพแดงถูกส่งไปยังสาธารณรัฐแห่งชาติที่เพิ่งเป็นอิสระบริเวณชายแดนรัสเซีย เพื่อช่วยเหลือนักลัทธิมากซ์ในการสถาปนาระบบการปกครองของโซเวียต[307] ในยุโรป สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดรัฐที่นำโดยคอมมิวนิสต์ใหม่ในเอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย เบลารุส และยูเครน ซึ่งทั้งหมดนี้ในนามเป็นอิสระจากรัสเซีย แต่ในความเป็นจริงถูกควบคุมจากมอสโก[307] ขณะที่ห่างออกไปทางตะวันออกนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลคอมมิวนิสต์ในมองโกเลียนอก[308] บอลเชวิคอาวุโสหลายคนต้องการให้สิ่งเหล่านี้ซึมซับเข้าไปในรัฐรัสเซีย เลนินยืนกรานว่าควรเคารพความอ่อนไหวของชาติ แต่ให้ความมั่นใจกับสหายของเขาว่าการบริหารพรรคคอมมิวนิสต์ชุดใหม่ของประเทศเหล่านี้อยู่ภายใต้อำนาจโดยพฤตินัยของคณะกรรมการราษฎร[309]

ในปลาย ค.ศ. 1918 พรรคแรงงานอังกฤษได้เรียกร้องให้มีการจัดตั้งการประชุมระหว่างประเทศของพรรคสังคมนิยม[310] ซึ่งก็คือพรรคแรงงานและสังคมนิยมสากล เลนินมองว่าสิ่งนี้เป็นการฟื้นฟูสากลที่สองซึ่งเขาดูหมิ่น และกำหนดการประชุมสังคมนิยมระหว่างประเทศที่เป็นคู่แข่งของเขาเองเพื่อชดเชยผลกระทบของมัน[311] การประชุมจัดโดยได้รับความช่วยเหลือจากซีโนเวียฟ, นีโคไล บูฮาริน, ทรอตสกี, คริสเตียน ราคอฟสกี และ แองเจลิกา บาลาบานอฟ[311] การประชุมใหญ่ครั้งแรกขององค์การคอมมิวนิสต์สากล (โคมินเทิร์น) เปิดขึ้นในกรุงมอสโกในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1919[312] การประชุมยังขาดความครอบคลุมทั่วโลก จากจำนวนผู้แทนที่มาชุมนุมกัน 34 คน โดย 30 คนอาศัยอยู่ในประเทศของอดีตจักรวรรดิรัสเซีย และผู้แทนระหว่างประเทศส่วนใหญ่ไม่ได้รับการยอมรับจากพรรคสังคมนิยมในประเทศของตน[313] ด้วยเหตุนี้ บอลเชวิคจึงมีอำนาจเหนือระเบียบการ[314] โดยต่อมาเลนินได้เขียนกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ขึ้นมากมาย ซึ่งหมายความว่ามีเพียงพรรคสังคมนิยมที่สนับสนุนความคิดเห็นของบอลเชวิคเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมองค์การคอมมิวนิสต์สากล[315] ในระหว่างการประชุมครั้งแรก เลนินได้พูดคุยกับคณะผู้แทน โดยโจมตีเส้นทางรัฐสภาสู่ลัทธิสังคมนิยมที่ดำเนินการโดยนักแก้ลัทธิมากซ์เช่น คาอุตสกี และย้ำเสียงเรียกร้องของเขาอีกครั้งให้โค่นล้มรัฐบาลชนชั้นกระฎุมพีของยุโรปด้วยความรุนแรง[316] ขณะที่ซีโนเวียฟกลายเป็นประธานาธิบดีขององค์การคอมมิวนิสต์สากล เลนินยังคงมีอิทธิพลสำคัญเหนือเรื่องนี้[317]

เลนินในหนึ่งในคณะกรรมการของการประชุมครั้งที่สองของโคมินเทิร์น

การประชุมครั้งที่สองของโคมินเทิร์นจัดขึ้นที่สถาบันสโมลนืยในเปโตรกราดในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1920 ซึ่งถือเป็นครั้งสุดท้ายที่เลนินไปเยือนเมืองอื่นที่ไม่ใช่มอสโก[318] ที่นั่น เขาสนับสนุนให้ผู้แทนจากต่างประเทศเลียนแบบการยึดอำนาจของพวกบอลเชวิค และละทิ้งมุมมองที่มีมายาวนานของเขาที่ว่าระบบทุนนิยมเป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการพัฒนาสังคม แทนที่จะสนับสนุนประเทศเหล่านั้นที่อยู่ภายใต้การยึดครองของอาณานิคมให้เปลี่ยนสังคมก่อนทุนนิยมของพวกเขาโดยตรงไปสู่สังคมนิยม[319] สำหรับการประชุมครั้งนี้ เขาได้ประพันธ์หนังสือ คอมมิวนิสต์ปีกซ้าย: ความคิดระส่ำระส่ายไร้เดียงสา ซึ่งเป็นหนังสือสั้นที่กล่าวถึงการวิพากษ์วิจารณ์องค์ประกอบต่าง ๆ ภายในพรรคคอมมิวนิสต์อังกฤษและเยอรมนีที่ปฏิเสธที่จะเข้าสู่ระบบรัฐสภาและสหภาพแรงงานของประเทศของตน แต่เขากลับกระตุ้นให้พวกเขาทำเช่นนั้นเพื่อความก้าวหน้าของการปฏิวัติ[320] การประชุมดังกล่าวต้องถูกระงับเป็นเวลาหลายวันเนื่องจากสงครามที่กำลังเกิดขึ้นในโปแลนด์[321] และถูกย้ายไปที่กรุงมอสโก ซึ่งยังคงจัดการประชุมต่อไปจนถึงเดือนสิงหาคม[322] การปฏิวัติโลกที่คาดการณ์ไว้ของเลนินไม่เป็นรูปธรรม เมื่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์ฮังการีถูกโค่นล้ม และการลุกฮือของนักลัทธิมากซ์ในเยอรมนีก็ถูกปราบปราม[323]

ทุพภิกขภัยและนโยบายเศรษฐกิจใหม่: ค.ศ. 1920–1922

ภายในพรรคคอมมิวนิสต์ มีความขัดแย้งจากสองฝ่าย ได้แก่ กลุ่มลัทธิรวมอำนาจประชาธิปไตยและแรงงานฝ่ายค้าน ซึ่งทั้งสองฝ่ายกล่าวหาว่ารัฐรัสเซียมีการรวมอำนาจแบบรวมศูนย์และเป็นระบบราชการมากเกินไป[324] แรงงานฝ่ายค้านซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสหภาพแรงงานของรัฐอย่างเป็นทางการ ยังแสดงความกังวลว่ารัฐบาลสูญเสียความไว้วางใจจากชนชั้นแรงงานรัสเซีย[325] พวกเขาโกรธเคืองกับข้อเสนอแนะของทรอตสกีที่ให้กำจัดสหภาพแรงงาน เขามองว่าสหภาพแรงงานไม่จำเป็นใน "รัฐแรงงาน" แต่เลนินไม่เห็นด้วย โดยเชื่อว่าจะเป็นการดีที่สุดที่จะรักษาสหภาพแรงงานไว้ บอลเชวิคส่วนใหญ่ยอมรับความคิดเห็นของเลนินใน 'การอภิปรายเกี่ยวกับสหภาพแรงงาน'[326] เพื่อจัดการกับความขัดแย้ง ในการประชุมสมัชาพรรคครั้งที่ 10 ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1921 เลนินได้ออกคำสั่งห้ามกิจกรรมแบบแบ่งฝ่ายภายในพรรค ภายใต้ความเจ็บปวดจากการถูกขับออก[327]

เหยื่อจากทุพภิกขภัยในบูซูลุค แคว้นโอเรนบุร์ก ฤดูหนาว ค.ศ. 1921/1922

ทุพภิกขภัยในรัสเซียใน ค.ศ. 1921 ถือเป็นภาวะทุพภิกขภัยที่รุนแรงที่สุดในประเทศซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากภัยแล้ง นับตั้งแต่ ค.ศ. 1891 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตประมาณห้าล้านคน[328] ทุพภิกขภัยรุนแรงขึ้นจากการขอเบิกของรัฐบาล เช่นเดียวกับการส่งออกธัญพืชรัสเซียในปริมาณมาก[329] เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภาวะทุพภิกขภัย รัฐบาลสหรัฐได้จัดตั้งหน่วยงานบรรเทาทุกข์อเมริกา (American Relief Administration) เพื่อแจกจ่ายอาหาร[330] เลนินสงสัยในความช่วยเหลือนี้และได้ติดตามความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด[331] ในช่วงภาวะทุพภิกขภัย สังฆราชตีฮอนเรียกร้องให้คริสตจักรออร์โธดอกซ์ขายสินค้าที่ไม่จำเป็นเพื่อช่วยเลี้ยงอาหารแก่ผู้อดอยาก ซึ่งเป็นการกระทำที่รัฐบาลรับรอง[332] ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2465 คณะกรรมการราษฎรเดินหน้าต่อไปโดยเรียกร้องให้มีการบังคับขายทรัพย์สินมีค่าทั้งหมดของสถาบันทางศาสนา[333] สังฆราชตีฮอนคัดค้านการขายสิ่งของที่ใช้ในศีลมหาสนิทและมีสงฆ์จำนวนมากต่อต้านการจัดสรร ส่งผลให้เกิดความรุนแรง[334]

ใน ค.ศ. 1920 และ ค.ศ. 1921 การต่อต้านการขอเบิกในท้องถิ่นส่งผลให้เกิดการลุกฮือของชาวนาต่อต้านบอลเชวิคที่ลุกลามไปทั่วรัสเซีย ซึ่งถูกปราบปราม[335] การลุกฮือที่สำคัญที่สุดคือกบฏตัมบอฟซึ่งถูกกองทัพแดงปราบลง[336] ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2464 เหล่าแรงงานได้นัดหยุดงานในเปโตรกราด ส่งผลให้รัฐบาลประกาศใช้กฎอัยการศึกในเมือง และส่งกองทัพแดงเข้ามาเพื่อปราบปรามการประท้วง[337] ในเดือนมีนาคม กบฏโครนสตัดต์เริ่มต้นขึ้นเมื่อกะลาสีเรือในโครนสตัดต์ก่อกบฏต่อต้านรัฐบาลบอลเชวิค โดยเรียกร้องให้นักสังคมนิยมทุกคนได้รับอนุญาตให้เผยแพร่อย่างเสรี สหภาพแรงงานอิสระได้รับเสรีภาพในการชุมนุม และชาวนาได้รับอนุญาตให้มีตลาดเสรีและไม่อยู่ภายใต้การเรียกร้อง เลนินประกาศว่าผู้ก่อการกบฏถูกกลุ่มปฏิวัติสังคมนิยมและจักรวรรดินิยมต่างชาติชักนำให้เข้าใจผิด โดยเรียกร้องให้มีการตอบโต้อย่างรุนแรง[338] ภายใต้การนำของทรอตสกี กองทัพแดงปราบกบฏในวันที่ 17 มีนาคม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคนและผู้รอดชีวิตถูกกักขังในค่ายแรงงาน[339]

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1921 เลนินได้เสนอนโยบายเศรษฐกิจใหม่ (เนียป) แก่คณะกรรมาธิการ เขาโน้มน้าวบอลเชวิคอาวุโสส่วนใหญ่ถึงความจำเป็น และได้ผ่านนโยบายในเดือนเมษายน[340] เลนินอธิบายนโยบายในหนังสือเล่มเล็ก ว่าด้วยเรื่องภาษีอาหาร ซึ่งเขาระบุว่า เนียปเป็นตัวแทนของการกลับไปสู่แผนเศรษฐกิจบอลเชวิคดั้งเดิม เขาอ้างว่าสิ่งเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากสงครามกลางเมือง ซึ่งคณะกรรมการราษฎรถูกบังคับให้หันไปใช้นโยบายเศรษฐกิจสงครามคอมมิวนิสต์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำให้อุตสาหกรรมเป็นของชาติ การกระจายผลผลิตแบบรวมศูนย์ การบีบบังคับหรือบังคับขอผลิตผลทางการเกษตร และความพยายามที่จะขจัดการหมุนเวียนของเงิน วิสาหกิจเอกชน และการค้าเสรี ส่งผลให้เศรษฐกิจล่มสลายอย่างรุนแรง[341][342] เนียปอนุญาตให้บริษัทเอกชนบางแห่งในรัสเซีย อนุญาตให้นำระบบค่าจ้างกลับมาใช้ใหม่ได้ และอนุญาตให้ชาวนาขายผลิตผลในตลาดเปิดโดยต้องเก็บภาษีจากรายได้ของพวกเขา[343] นโยบายดังกล่าวยังอนุญาตให้มีการกลับคืนสู่อุตสาหกรรมขนาดเล็กของเอกชน อุตสาหกรรมพื้นฐาน การขนส่งและการค้าต่างประเทศยังอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ[344] เลนินเรียกสิ่งนี้ว่า "ทุนนิยมของรัฐ"[345] และบอลเชวิคจำนวนมากคิดว่าสิ่งนี้เป็นการทรยศต่อหลักการสังคมนิยม[346] นักเขียนชีวประวัติของเลนินมักระบุว่าการเสนอนโยบายเศรษฐกิจใหม่เป็นหนึ่งในความสำเร็จที่สำคัญที่สุดของเขา และบางคนเชื่อว่าหากไม่ดำเนินการ คณะกรรมการราษฎรจะถูกโค่นล้มอย่างรวดเร็วโดยการลุกฮือของประชาชน[347]

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1920 รัฐบาลได้นำเกณฑ์แรงงานสากล เพื่อให้พลเมืองทุกคนที่มีอายุระหว่าง 16 ถึง 50 ปีต้องทำงาน[348] เลนินยังเรียกร้องให้มีโครงการไฟฟ้าจำนวนมากของรัสเซีย ซึ่งเป็นแผนโกเอียลรอ ซึ่งเริ่มในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1920 คำประกาศของเลนินที่ว่า "คอมมิวนิสต์คืออำนาจโซเวียตบวกกับการใช้พลังงานไฟฟ้าของทั้งประเทศ" ได้ถูกอ้างถึงอย่างกว้างขวางในปีต่อ ๆ มา[349] ด้วยความปรารถนาที่จะพัฒนาเศรษฐกิจรัสเซียผ่านการค้าต่างประเทศ คณะกรรมการราษฎรจึงส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุมเจนัว เลนินหวังว่าจะเข้าร่วมแต่ถูกขัดขวางจากสุขภาพที่ไม่ดีของเขา การประชุมดังกล่าวส่งผลให้มีข้อตกลงระหว่างรัสเซียกับเยอรมนี ซึ่งตามมาจากข้อตกลงทางการค้าก่อนหน้านี้กับสหราชอาณาจักร[350] เลนินหวังว่าการอนุญาตให้บริษัทต่างชาติลงทุนในรัสเซีย คณะกรรมการราษฎรจะทำให้การแข่งขันระหว่างประเทศทุนนิยมรุนแรงขึ้นและเร่งความหายนะให้เร็วขึ้น เขาพยายามเช่าแหล่งน้ำมันคัมชัตกาให้กับบริษัทอเมริกันแห่งหนึ่งเพื่อเพิ่มความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ และญี่ปุ่น ซึ่งต้องการให้คัมชัตคาเป็นส่วนหนึงของจักรวรรดิ[351]

สุขภาพเสื่อมถอยและความขัดแย้งกับสตาลิน: ค.ศ. 1920–1923

เลนินนั่งรถเข็นไม่นานหลังจากป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองเป็นครั้งที่สามในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1923
สตาลินและเลนินที่กอร์กี ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1922 ภาพถ่ายโดยมารีเยีย อุลยาโนวา น้องสาวของเลนิน

ท่ามกลางความอับอายและความหวาดกลัวของเลนิน ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1920 บอลเชวิคได้จัดงานเลี้ยงใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดปีที่ 50 ของเขา ซึ่งมีการเฉลิมฉลองอย่างกว้างขวางทั่วรัสเซีย และการตีพิมพ์บทกวีและชีวประวัติที่อุทิศให้กับเขา[352] ระหว่าง ค.ศ. 1920 ถึง ค.ศ. 1926 มีการตีพิมพ์ ผลงานรวบรวม ของเลนินจำนวน 20 เล่ม เนื้อหาบางส่วนถูกละเว้น[353] ระหว่าง ค.ศ. 2463 บุคคลสำคัญของชาติตะวันตกหลายคนได้ไปเยือนเลนินในรัสเซีย อาทิเช่นนักเขียนเอช. จี. เวลส์ และนักปรัชญา เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์[354] รวมถึงผู้นิยมอนาธิปไตยทั้งเอ็มมา โกลด์แมน และอเล็กซานเดอร์ เบิร์คแมน[355] นอกจากนี้ อาร์ม็องด์ยังไปเยี่ยมเลนินที่เครมลินซึ่งมีสุขภาพย่ำแย่มากขึ้นเรื่อย ๆ[356] เขาส่งเธอไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมืองคีสโลวอดสค์ ทางตอนเหนือของคอเคซัสเพื่อพักฟื้น แต่เธอเสียชีวิตที่นั่นในเดือนกันยายน ค.ศ. 1920 ระหว่างที่มีอหิวาตกโรคระบาด[357] ร่างของเธอถูกส่งไปยังมอสโก ที่ซึ่งเลนินซึ่งโศกเศร้าอย่างเห็นได้ชัดและดูแลการฝังศพของเธอใต้กำแพงเครมลิน[358]

เลนินป่วยหนักในช่วงครึ่งหลังของ ค.ศ. 1921[359] โดยมีอาการหูไวเกิน นอนไม่หลับ และปวดศีรษะเป็นประจำ[360] ตามคำยืนกรานของโปลิตบูโรในเดือนกรกฎาคม เขาออกจากมอสโกเพื่อลาพักผ่อนเป็นเวลาหนึ่งเดือนที่คฤหาสน์กอร์กีของเขา[361] ซึ่งเขาได้รับการดูแลจากภรรยาและน้องสาวของเขา เลนินเริ่มใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ที่จะฆ่าตัวตาย โดยขอให้ทั้งครุปสกายาและสตาลินซื้อโพแทสเซียมไซยาไนด์ให้เขา[362] แพทย์ 26 คนได้รับการว่าจ้างให้ช่วยเหลือเลนินในช่วงปีสุดท้ายของเขา หลายคนเป็นชาวต่างชาติและถูกจ้างมาด้วยค่าใช้จ่ายจำนวนมาก[363] บางคนแย้งว่าอาการป่วยของเขาอาจเกิดจากการออกซิเดชันของโลหะจากกระสุนที่ติดอยู่ในร่างกายของเขาจากการพยายามลอบสังหารใน ค.ศ. 1918 ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1922 เขาได้รับการผ่าตัดเพื่อเอาออกได้สำเร็จ[364] อาการยังคงดำเนินต่อไปหลังจากนี้ โดยแพทย์ของเลนินไม่แน่ใจสาเหตุ บางคนแนะนำว่าเขาเป็นโรคประสาทเปลี้ยเหตุบาดเจ็บหรือโรคหลอดเลือดแดงแข็ง ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1922 เขาเป็นโรคหลอดเลือดสมองครั้งแรก ทำให้สูญเสียความสามารถในการพูดชั่วคราว และเป็นอัมพาตที่ซีกขวา[365] เขาพักฟื้นที่กอร์กีและหายเป็นปกติภายในเดือนกรกฎาคม[366] ในเดือนตุลาคม เขากลับไปมอสโก ในเดือนธันวาคม เขาเป็นโรคหลอดเลือดสมองครั้งที่สองและกลับไปกอร์กี[367]

แม้ว่าเลนินจะป่วย แต่เลนินก็ยังคงสนใจพัฒนาการทางการเมืองเป็นอย่างมาก เมื่อผู้นำของพรรคปฏิวัติสังคมนิยมถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาสมรู้ร่วมคิดต่อต้านรัฐบาลในการพิจารณาคดีที่จัดขึ้นระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1922 เลนินเรียกร้องให้ประหารชีวิต พวกเขาถูกจำคุกโดยไม่มีกำหนดแทน โดยถูกประหารชีวิตเฉพาะในช่วงการกวาดล้างใหญ่ของสตาลินเท่านั้น[368] ด้วยการสนับสนุนของเลนิน รัฐบาลยังประสบความสำเร็จในการกำจัดลัทธิเมนเชวิคในรัสเซียด้วยการขับเมนเชวิคทั้งหมดออกจากสถาบันและรัฐวิสาหกิจในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1923 จากนั้นจึงจำคุกสมาชิกของพรรคในค่ายกักกัน[369] เลนินกังวลถึงความอยู่รอดของระบอบอมาตยาธิปไตยซาร์ในรัสเซียโซเวียต[370] โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปีสุดท้ายของเขา โดยประณามทัศนคติของระบอบอมาตยาธิปไตย[371] เขาแนะนำให้ยกเครื่องใหม่ทั้งหมดเพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว[372] ในจดหมายฉบับหนึ่งบ่นว่า "เรากำลังถูกดูดเข้าไปในหนองน้ำของระบอบอมาตยาธิปไตยที่น่ารังเกียจ"[373]

ระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ. 1922 ถึงมกราคม ค.ศ. 1923 เลนินได้ทำ "พินัยกรรมเลนิน" ซึ่งเขาได้หารือเกี่ยวกับคุณสมบัติส่วนตัวของสหายของเขา โดยเฉพาะทรอตสกีและสตาลิน[374] เขาแนะนำให้ถอดสตาลินออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ เนื่องจากเห็นว่าเขาไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้[375] แต่เขากลับแนะนำทรอตสกีให้ทำงานนี้ โดยอธิบายว่าเขาเป็น "คนที่มีความสามารถมากที่สุดในคณะกรรมการกลางชุดปัจจุบัน" เขาเน้นย้ำถึงสติปัญญาที่เหนือกว่าของทรอตสกี แต่ในขณะเดียวกันก็วิพากษ์วิจารณ์ความมั่นใจในตนเองและความโน้มเอียงไปทางการบริหารที่มากเกินไป[376] ในระหว่างช่วงเวลานี้ เลนินได้วิพากษ์วิจารณ์ลักษณะระบบราชการของผู้ตรวจกรรมกรและชาวนา โดยเรียกร้องให้มีการสรรหาเจ้าหน้าที่ชนชั้นแรงงานใหม่เพื่อเป็นยาแก้พิษสำหรับปัญหานี้[377] ในขณะที่ในอีกบทความหนึ่ง เขาเรียกร้องให้รัฐต่อสู้กับการไม่รู้หนังสือ ส่งเสริมการตรงต่อเวลาและความมีจิตสำนึกภายในประชาชน และส่งเสริมให้ชาวนาเข้าร่วมสหกรณ์[378]

คฤหาสน์กอร์กีของเลนิน ซึ่งเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงปีสุดท้ายของเขา (ภาพถ่ายใน ค.ศ. 2017)

ในช่วงที่เลนินไม่อยู่ สตาลินได้เริ่มรวบรวมอำนาจของเขาทั้งโดยการแต่งตั้งผู้สนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งที่โดดเด่น[379] และโดยการปลูกฝังภาพลักษณ์ของตัวเองว่าเป็นผู้สืบทอดที่ใกล้ชิดและสมควรได้รับจากเลนินมากที่สุด[380] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1922 สตาลินรับผิดชอบในระบอบการปกครองของเลนิน โดยได้รับมอบหมายจากโปลิตบูโรให้ควบคุมว่าใครจะเข้าถึงเขาได้[381] เลนินวิพากษ์วิจารณ์สตาลินมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่เลนินยืนกรานว่ารัฐควรรักษาการผูกขาดการค้าระหว่างประเทศไว้ ในช่วงกลาง ค.ศ. 1922 สตาลินกำลังนำบอลเชวิคกลุ่มอื่น ๆ ในการต่อต้านเรื่องนี้แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ[382] มีข้อโต้แย้งส่วนตัวระหว่างทั้งสองด้วยเช่นกัน สตาลินทำให้ครุปสกายาอารมณ์เสียด้วยการตะโกนใส่เธอระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์ ซึ่งทำให้เลนินโกรธมากซึ่งส่งจดหมายถึงสตาลินเพื่อแสดงความรำคาญ[383]

การแบ่งแยกทางการเมืองที่สำคัญที่สุดระหว่างทั้งสองเกิดขึ้นระหว่างกรณีจอร์เจีย สตาลินเสนอแนะว่าทั้งจอร์เจียที่ถูกยึดครองโดยโซเวียตและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อาเซอร์ไบจานและอาร์มีเนีย ซึ่งล้วนถูกรุกรานและยึดครองโดยกองทัพแดง ควรรวมเข้ากับรัฐรัสเซีย แม้ว่าจะมีเสียงประท้วงจากรัฐบาลท้องถิ่นที่โซเวียตแต่งตั้งไว้ก็ตาม[384] เลนินมองว่านี่เป็นการแสดงออกถึงลัทธิชาตินิยมทางชาติพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ของรัสเซียโดยสตาลินและผู้สนับสนุนของเขา แทนที่จะเรียกร้องให้รัฐชาติเหล่านี้เข้าร่วมกับรัสเซียในฐานะส่วนกึ่งอิสระของสหภาพที่ใหญ่กว่า ซึ่งเขาเสนอให้เรียกว่าสหภาพสาธารณรัฐโซเวียตแห่งยุโรปและเอเชีย[385] หลังจากการต่อต้านข้อเสนอนี้อยู่บ้าง ในที่สุดสตาลินก็ยอมรับข้อเสนอดังกล่าว แต่ด้วยข้อตกลงของเลนิน เขาได้เปลี่ยนชื่อของรัฐที่เสนอใหม่เป็นสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (สหภาพโซเวียต)[386] เลนินส่งทรอตสกีไปพูดในนามของเขาที่การประชุมคณะกรรมการกลางในเดือนธันวาคม ซึ่งแผนการสำหรับสหภาพโซเวียตถูกคว่ำบาตร แผนเหล่านี้ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 30 ธันวาคมโดยรัฐสภาโซเวียต ส่งผลให้เกิดการก่อตั้งสหภาพโซเวียต[387] แม้ว่าสุขภาพของเขาจะย่ำแย่ แต่เลนินก็ได้รับเลือกเป็นประธานรัฐบาลชุดใหม่ของสหภาพโซเวียต[388]

อสัญกรรมและรัฐพิธีศพ: ค.ศ. 1923–1924

งานศพของเลนิน วาดโดยอีซัค บรอดสกี ค.ศ. 1925

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1923 เลนินป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองเป็นครั้งที่สามและสูญเสียความสามารถในการพูด[389] ในเดือนนั้น เลนินเป็นอัมพาตบางส่วนทางด้านขวา และเริ่มแสดงอาการภาวะเสียการสื่อความ[390] ภายในเดือนพฤษภาคม ดูเหมือนว่าเขาจะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ โดยสามารถฟื้นความคล่องตัว ทักษะการพูด และการเขียนบางส่วนได้[391] ในเดือนตุลาคม เขาได้เดินทางเยือนเครมลินเป็นครั้งสุดท้าย[392] ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเขา ซีโนเวียฟ คาเมเนฟ และ บูฮาริน มาเยี่ยมเลนิน คนหลังไปเยี่ยมเขาที่คฤหาสน์กอร์กีของเขาในวันที่เขาเสียชีวิต[393] เลนินตกอยู่ในอาการโคม่าและเสียชีวิตในเวลาต่อมาในวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 1924 ขณะมีอายุ 53 ปี[394] สาเหตุการตายอย่างเป็นทางการของเขาถูกบันทึกว่าเป็นโรคหลอดเลือดที่รักษาไม่หาย[395]

แถลงการต่อการเสียชีวิตของเลนิน

รัฐบาลโซเวียตประกาศการเสียชีวิตของเลนินต่อสาธารณะในวันรุ่งขึ้น[396] ในวันที่ 23 มกราคม ผู้ร่วมไว้อาลัยจากพรรคคอมมิวนิสต์ สหภาพแรงงาน และรัฐสภาโซเวียตไปที่บ้านกอร์กีของเขาเพื่อตรวจสอบศพ ซึ่งถูกเคลื่อนย้ายขึ้นไปบนโลงศพสีแดงโดยผู้นำบอลเชวิค[397] โลงศพถูกเคลื่อนย้ายโดยรถไฟไปมอสโกและถูกนำไปยังทำเนียบสหภาพที่ซึ่งศพนอนอยู่บนแท่นพิธีในสภาพปกติ[398] ในช่วงสามวันต่อมา มีผู้ร่วมไว้อาลัยประมาณหลายล้านคนมาเพื่อดูศพ หลายคนเข้าคิวรอนานหลายชั่วโมงในสภาพที่เย็นยะเยือก[399] ในวันที่ 26 มกราคม ในการประชุมรัฐสภาโซเวียตมวลสหภาพครั้งที่ 11 จัดขึ้นเพื่อแสดงความเคารพ โดยมีคาลีนิน ซิโนเวียฟ และสตาลินกล่าวสุนทรพจน์[399] ที่น่าสังเกตก็คือทรอตสกีไม่อยู่ เขาพักฟื้นในคอเคซัส และต่อมาเขาอ้างว่าสตาลินส่งโทรเลขถึงเขาโดยระบุวันที่จัดงานศพที่วางแผนไว้ไม่ถูกต้อง ทำให้เขาไม่สามารถมาทันเวลาได้[400] พิธีศพของเลนินจัดขึ้นในวันรุ่งขึ้น เมื่อร่างของเขาถูกนำไปยังจัตุรัสแดงพร้อมกับการบรรเลงดนตรีซึ่งฝูงชนที่รวมตัวกันฟังการปราศรัยต่อเนื่องก่อนที่ศพจะถูกนำไปฝังในห้องนิรภัยของสุสานที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษ[401] มีผู้เข้าร่วมนับหมื่นคนแม้ว่าอุณหภูมิจะเยือกแข็ง[402]

เพื่อต่อต้านการประท้วงของครุปสกายา ร่างของเลนินถูกดองเพื่อเก็บรักษาไว้เพื่อจัดแสดงต่อสาธารณะในระยะยาวในสุสานจัตุรัสแดง[403] ในระหว่างขั้นตอนนี้ สมองของเลนินถูกเอาออกไป ใน ค.ศ. 1925 ได้มีการก่อตั้งสถาบันเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว โดยเผยให้เห็นว่าเลนินเป็นโรคเส้นโลหิตตีบขั้นรุนแรง[404] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1929 โปลิตบูโรได้ตกลงที่จะเปลี่ยนสุสานชั่วคราวเป็นสุสานถาวรที่ทำจากหินแกรนิต ซึ่งสร้างเสร็จใน ค.ศ. 1933[405] โลงศพของเขาถูกแทนที่ใน ค.ศ. 1940 และอีกครั้งใน ค.ศ. 1970[406] เพื่อความปลอดภัยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ตั้งแต่ ค.ศ. 1941 ถึง ค.ศ. 1945 ศพจึงถูกย้ายไปที่เมืองตูย์เมนชั่วคราว[407] ศพของเขายังคงแสดงต่อสาธารณะในสุสานเลนินที่จัตุรัสแดงจนถึงปัจจุบัน[408]

หมายเหตุ

  1. รัสเซีย: Владимир Ильич Ульянов, อักษรโรมัน: Vladimir Ilyich Ulyanov, สัทอักษรสากล: [vlɐˈdʲimʲɪr ɨˈlʲjitɕ ʊˈlʲjanəf]
  2. รัสเซีย: Ленин, อักษรโรมัน: Lenin, สัทอักษรสากล: [ˈlʲenʲɪn] ( ฟังเสียง)
  3. There have been suggestions that he was of Russian, Chuvash, Mordvin, or Kalmyk ancestry.[5]

อ้างอิง

  1. Sebestyen 2017, p. 33.
  2. Fischer 1964, p. 6; Rice 1990, p. 12; Service 2000, p. 13.
  3. Fischer 1964, p. 6; Rice 1990, pp. 12, 14; Service 2000, p. 25; White 2001, pp. 19–20; Read 2005, p. 4; Lih 2011, pp. 21, 22.
  4. Fischer 1964, pp. 3, 8; Rice 1990, pp. 14–15; Service 2000, p. 29.
  5. Fischer 1964, pp. 1–2; Rice 1990, pp. 12–13; Volkogonov 1994, p. 7; Service 2000, pp. 21–23; White 2001, pp. 13–15; Read 2005, p. 6.
  6. "Владимир Ильич Ленин (1870–1924)" (ภาษารัสเซีย). Uniros.ru. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 September 2012. สืบค้นเมื่อ 3 August 2015.
  7. Fischer 1964, pp. 1–2; Rice 1990, pp. 12–13; Service 2000, pp. 21–23; White 2001, pp. 13–15; Read 2005, p. 6.
  8. Fischer 1964, p. 5; Rice 1990, p. 13; Service 2000, p. 23.
  9. Fischer 1964, pp. 2–3; Rice 1990, p. 12; Service 2000, pp. 16–19, 23; White 2001, pp. 15–18; Read 2005, p. 5; Lih 2011, p. 20.
  10. Petrovsky-Shtern 2010, pp. 66–67.
  11. Fischer 1964, p. 6; Rice 1990, pp. 13–14, 18; Service 2000, pp. 25, 27; White 2001, pp. 18–19; Read 2005, pp. 4, 8; Lih 2011, p. 21; Yakovlev 1988, p. 112.
  12. Fischer 1964, p. 8; Service 2000, p. 27; White 2001, p. 19.
  13. Rice 1990, p. 18; Service 2000, p. 26; White 2001, p. 20; Read 2005, p. 7; Petrovsky-Shtern 2010, p. 64.
  14. Fischer 1964, p. 7; Rice 1990, p. 16; Service 2000, pp. 32–36.
  15. Fischer 1964, p. 7; Rice 1990, p. 17; Service 2000, pp. 36–46; White 2001, p. 20; Read 2005, p. 9.
  16. Fischer 1964, pp. 6, 9; Rice 1990, p. 19; Service 2000, pp. 48–49; Read 2005, p. 10.
  17. Fischer 1964, p. 9; Service 2000, pp. 50–51, 64; Read 2005, p. 16; Petrovsky-Shtern 2010, p. 69.
  18. Fischer 1964, pp. 10–17; Rice 1990, pp. 20, 22–24; Service 2000, pp. 52–58; White 2001, pp. 21–28; Read 2005, p. 10; Lih 2011, pp. 23–25.
  19. Fischer 1964, p. 18; Rice 1990, p. 25; Service 2000, p. 61; White 2001, p. 29; Read 2005, p. 16; Theen 2004, p. 33.
  20. Fischer 1964, p. 18; Rice 1990, p. 26; Service 2000, pp. 61–63.
  21. Rice 1990, pp. 26–27; Service 2000, pp. 64–68, 70; White 2001, p. 29.
  22. Fischer 1964, p. 18; Rice 1990, p. 27; Service 2000, pp. 68–69; White 2001, p. 29; Read 2005, p. 15; Lih 2011, p. 32.
  23. Fischer 1964, p. 18; Rice 1990, p. 28; White 2001, p. 30; Read 2005, p. 12; Lih 2011, pp. 32–33.
  24. Fischer 1964, p. 18; Rice 1990, p. 310; Service 2000, p. 71.
  25. Fischer 1964, p. 19; Rice 1990, pp. 32–33; Service 2000, p. 72; White 2001, pp. 30–31; Read 2005, p. 18; Lih 2011, p. 33.
  26. Rice 1990, p. 33; Service 2000, pp. 74–76; White 2001, p. 31; Read 2005, p. 17.
  27. Rice 1990, p. 34; Service 2000, p. 78; White 2001, p. 31.
  28. Rice 1990, p. 34; Service 2000, p. 77; Read 2005, p. 18.
  29. Rice 1990, pp. 34, 36–37; Service 2000, pp. 55–55, 80, 88–89; White 2001, p. 31; Read 2005, pp. 37–38; Lih 2011, pp. 34–35.
  30. Fischer 1964, pp. 23–25, 26; Service 2000, p. 55; Read 2005, pp. 11, 24.
  31. Service 2000, pp. 79, 98.
  32. Rice 1990, pp. 34–36; Service 2000, pp. 82–86; White 2001, p. 31; Read 2005, pp. 18, 19; Lih 2011, p. 40.
  33. Fischer 1964, p. 21; Rice 1990, p. 36; Service 2000, p. 86; White 2001, p. 31; Read 2005, p. 18; Lih 2011, p. 40.
  34. Fischer 1964, p. 21; Rice 1990, pp. 36, 37.
  35. Fischer 1964, p. 21; Rice 1990, p. 38; Service 2000, pp. 93–94.
  36. Pipes 1990, p. 354; Rice 1990, pp. 38–39; Service 2000, pp. 90–92; White 2001, p. 33; Lih 2011, pp. 40, 52.
  37. Pipes 1990, p. 354; Rice 1990, pp. 39–40; Lih 2011, p. 53.
  38. Rice 1990, pp. 40, 43; Service 2000, p. 96.
  39. Pipes 1990, p. 355; Rice 1990, pp. 41–42; Service 2000, p. 105; Read 2005, pp. 22–23.
  40. Fischer 1964, p. 22; Rice 1990, p. 41; Read 2005, pp. 20–21.
  41. Fischer 1964, p. 27; Rice 1990, pp. 42–43; White 2001, pp. 34, 36; Read 2005, p. 25; Lih 2011, pp. 45–46.
  42. Fischer 1964, p. 30; Rice 1990, p. 46; Service 2000, p. 103; White 2001, p. 37; Read 2005, p. 26.
  43. Rice 1990, pp. 47–48; Read 2005, p. 26.
  44. Fischer 1964, p. 31; Pipes 1990, p. 355; Rice 1990, p. 48; White 2001, p. 38; Read 2005, p. 26.
  45. Fischer 1964, p. 31; Rice 1990, pp. 48–51; Service 2000, pp. 107–108; Read 2005, p. 31; Lih 2011, p. 61.
  46. 46.0 46.1 Fischer 1964, p. 31; Rice 1990, pp. 48–51; Service 2000, pp. 107–108.
  47. Fischer 1964, p. 31; Rice 1990, pp. 52–55; Service 2000, pp. 109–110; White 2001, pp. 38, 45, 47; Read 2005, p. 31.
  48. Fischer 1964, p. 33; Pipes 1990, p. 356; Service 2000, pp. 114, 140; White 2001, p. 40; Read 2005, p. 30; Lih 2011, p. 63.
  49. Fischer 1964, pp. 33–34; Rice 1990, pp. 53, 55–56; Service 2000, p. 117; Read 2005, p. 33.
  50. Rice 1990, pp. 61–63; Service 2000, p. 124; Rappaport 2010, p. 31.
  51. Rice 1990, pp. 57–58; Service 2000, pp. 121–124, 137; White 2001, pp. 40–45; Read 2005, pp. 34, 39; Lih 2011, pp. 62–63.
  52. Fischer 1964, pp. 34–35; Rice 1990, p. 64; Service 2000, pp. 124–125; White 2001, p. 54; Read 2005, p. 43; Rappaport 2010, pp. 27–28.
  53. Fischer 1964, p. 35; Pipes 1990, p. 357; Rice 1990, pp. 66–65; White 2001, pp. 55–56; Read 2005, p. 43; Rappaport 2010, p. 28.
  54. Fischer 1964, p. 35; Pipes 1990, p. 357; Rice 1990, pp. 64–69; Service 2000, pp. 130–135; Rappaport 2010, pp. 32–33.
  55. Rice 1990, pp. 69–70; Read 2005, p. 51; Rappaport 2010, pp. 41–42, 53–55.
  56. Rice 1990, pp. 69–70.
  57. Fischer 1964, pp. 4–5; Service 2000, p. 137; Read 2005, p. 44; Rappaport 2010, p. 66.
  58. Rappaport 2010, p. 66; Lih 2011, pp. 8–9.
  59. Fischer 1964, p. 39; Pipes 1990, p. 359; Rice 1990, pp. 73–75; Service 2000, pp. 137–142; White 2001, pp. 56–62; Read 2005, pp. 52–54; Rappaport 2010, p. 62; Lih 2011, pp. 69, 78–80.
  60. Fischer 1964, p. 37; Rice 1990, p. 70; Service 2000, p. 136; Read 2005, p. 44; Rappaport 2010, pp. 36–37.
  61. Fischer 1964, p. 37; Rice 1990, pp. 78–79; Service 2000, pp. 143–144; Rappaport 2010, pp. 81, 84.
  62. Read 2005, p. 60.
  63. Fischer 1964, pp. 40, 50–51; Rice 1990, p. 76; Service 2000, pp. 148–150; Read 2005, p. 48; Rappaport 2010, pp. 82–84.
  64. Rice 1990, pp. 77–78; Service 2000, p. 150; Rappaport 2010, pp. 85–87.
  65. Pipes 1990, p. 360; Rice 1990, pp. 79–80; Service 2000, pp. 151–152; White 2001, p. 62; Read 2005, p. 60; Rappaport 2010, p. 92; Lih 2011, p. 81.
  66. Rice 1990, pp. 81–82; Service 2000, pp. 154–155; White 2001, p. 63; Read 2005, pp. 60–61; Rappaport 2010, p. 93.
  67. Fischer 1964, p. 39; Rice 1990, p. 82; Service 2000, pp. 155–156; Read 2005, p. 61; White 2001, p. 64; Rappaport 2010, p. 95.
  68. Rice 1990, p. 83; Rappaport 2010, p. 107.
  69. Rice 1990, pp. 83–84; Service 2000, p. 157; White 2001, p. 65; Rappaport 2010, pp. 97–98.
  70. Service 2000, pp. 158–159, 163–164; Rappaport 2010, pp. 97, 99, 108–109.
  71. Rice 1990, p. 85; Service 2000, p. 163.
  72. Fischer 1964, p. 41; Rice 1990, p. 85; Service 2000, p. 165; White 2001, p. 70; Read 2005, p. 64; Rappaport 2010, p. 114.
  73. Fischer 1964, p. 44; Rice 1990, pp. 86–88; Service 2000, p. 167; Read 2005, p. 75; Rappaport 2010, pp. 117–120; Lih 2011, p. 87.
  74. Fischer 1964, pp. 44–45; Pipes 1990, pp. 362–363; Rice 1990, pp. 88–89.
  75. Service 2000, pp. 170–171.
  76. Pipes 1990, pp. 363–364; Rice 1990, pp. 89–90; Service 2000, pp. 168–170; Read 2005, p. 78; Rappaport 2010, p. 124.
  77. Fischer 1964, p. 60; Pipes 1990, p. 367; Rice 1990, pp. 90–91; Service 2000, p. 179; Read 2005, p. 79; Rappaport 2010, p. 131.
  78. Fischer 1964, p. 51; Rice 1990, p. 94; Service 2000, pp. 175–176; Read 2005, p. 81; Read 2005, pp. 77, 81; Rappaport 2010, pp. 132, 134–135.
  79. Rice 1990, pp. 94–95; White 2001, pp. 73–74; Read 2005, pp. 81–82; Rappaport 2010, p. 138.
  80. Rice 1990, pp. 96–97; Service 2000, pp. 176–178.
  81. Fischer 1964, pp. 70–71; Pipes 1990, pp. 369–370; Rice 1990, p. 104.
  82. Fischer 1964, p. 53; Pipes 1990, p. 364; Rice 1990, pp. 99–100; Service 2000, pp. 179–180; White 2001, p. 76.
  83. Zetterberg, P. L. Kessler & Terhi Jääskeläinen & Seppo. "Emergeance of Finland". The History Files. สืบค้นเมื่อ 12 August 2023.
  84. Rice 1990, pp. 103–105; Service 2000, pp. 180–182; White 2001, pp. 77–79.
  85. Rice 1990, pp. 105–106; Service 2000, pp. 184–186; Rappaport 2010, p. 144.
  86. Brackman 2000, pp. 59, 62.
  87. Service 2000, pp. 186–187.
  88. Fischer 1964, pp. 67–68; Rice 1990, p. 111; Service 2000, pp. 188–189.
  89. Fischer 1964, p. 64; Rice 1990, p. 109; Service 2000, pp. 189–190; Read 2005, pp. 89–90.
  90. Fischer 1964, pp. 63–64; Rice 1990, p. 110; Service 2000, pp. 190–191; White 2001, pp. 83, 84.
  91. Rice 1990, pp. 110–111; Service 2000, pp. 191–192; Read 2005, p. 91.
  92. Fischer 1964, pp. 64–67; Rice 1990, p. 110; Service 2000, pp. 192–193; White 2001, pp. 84, 87–88; Read 2005, p. 90.
  93. Fischer 1964, p. 69; Rice 1990, p. 111; Service 2000, p. 195.
  94. Fischer 1964, pp. 81–82; Pipes 1990, pp. 372–375; Rice 1990, pp. 120–121; Service 2000, p. 206; White 2001, p. 102; Read 2005, pp. 96–97.
  95. Fischer 1964, p. 70; Rice 1990, pp. 114–116.
  96. Fischer 1964, pp. 68–69; Rice 1990, p. 112; Service 2000, pp. 195–196.
  97. Fischer 1964, pp. 75–80; Rice 1990, p. 112; Pipes 1990, p. 384; Service 2000, pp. 197–199; Read 2005, p. 103.
  98. Rice 1990, p. 115; Service 2000, p. 196; White 2001, pp. 93–94.
  99. Fischer 1964, pp. 71–72; Rice 1990, pp. 116–117; Service 2000, pp. 204–206; White 2001, pp. 96–97; Read 2005, p. 95.
  100. Fischer 1964, p. 72; Rice 1990, pp. 118–119; Service 2000, pp. 209–211; White 2001, p. 100; Read 2005, p. 104.
  101. Fischer 1964, pp. 93–94; Pipes 1990, p. 376; Rice 1990, p. 121; Service 2000, pp. 214–215; White 2001, pp. 98–99.
  102. Rice 1990, p. 122; White 2001, p. 100.
  103. Service 2000, p. 216; White 2001, p. 103; Read 2005, p. 105.
  104. Fischer 1964, pp. 73–74; Rice 1990, pp. 122–123; Service 2000, pp. 217–218; Read 2005, p. 105.
  105. Rice 1990, p. 127; Service 2000, pp. 222–223.
  106. Fischer 1964, p. 94; Pipes 1990, pp. 377–378; Rice 1990, pp. 127–128; Service 2000, pp. 223–225; White 2001, p. 104; Read 2005, p. 105.
  107. Fischer 1964, p. 107; Service 2000, p. 236.
  108. Fischer 1964, p. 85; Pipes 1990, pp. 378–379; Rice 1990, p. 127; Service 2000, p. 225; White 2001, pp. 103–104.
  109. Fischer 1964, p. 94; Rice 1990, pp. 130–131; Pipes 1990, pp. 382–383; Service 2000, p. 245; White 2001, pp. 113–114, 122–113; Read 2005, pp. 132–134.
  110. Fischer 1964, p. 85; Rice 1990, p. 129; Service 2000, pp. 227–228; Read 2005, p. 111.
  111. Pipes 1990, p. 380; Service 2000, pp. 230–231; Read 2005, p. 130.
  112. Rice 1990, p. 135; Service 2000, p. 235.
  113. Fischer 1964, pp. 95–100, 107; Rice 1990, pp. 132–134; Service 2000, pp. 245–246; White 2001, pp. 118–121; Read 2005, pp. 116–126.
  114. Service 2000, pp. 241–242.
  115. Service 2000, p. 243.
  116. Service 2000, pp. 238–239.
  117. Rice 1990, pp. 136–138; Service 2000, p. 253.
  118. Service 2000, pp. 254–255.
  119. Fischer 1964, pp. 109–110; Rice 1990, p. 139; Pipes 1990, pp. 386, 389–391; Service 2000, pp. 255–256; White 2001, pp. 127–128.
  120. Ted Widmer (20 April 2017). "Lenin and the Russian Spark". The New Yorker. สืบค้นเมื่อ 26 November 2019.
  121. Fischer 1964, pp. 110–113; Rice 1990, pp. 140–144; Pipes 1990, pp. 391–392; Service 2000, pp. 257–260.
  122. Service 2000, pp. 266–268, 279; White 2001, pp. 134–136; Read 2005, pp. 147, 148.
  123. Service 2000, pp. 267, 271–272; Read 2005, pp. 152, 154.
  124. Merridale 2017, p. ix.
  125. Service 2000, p. 282; Read 2005, p. 157.
  126. 126.0 126.1 Pipes 1990, p. 421; Rice 1990, p. 147; Service 2000, pp. 276, 283; White 2001, p. 140; Read 2005, p. 157.
  127. Pipes 1990, pp. 422–425; Rice 1990, pp. 147–148; Service 2000, pp. 283–284; Read 2005, pp. 158–61; White 2001, pp. 140–141; Read 2005, pp. 157–159.
  128. Pipes 1990, pp. 431–434; Rice 1990, p. 148; Service 2000, pp. 284–285; White 2001, p. 141; Read 2005, p. 161.
  129. Fischer 1964, p. 125; Rice 1990, pp. 148–149; Service 2000, p. 285.
  130. Pipes 1990, pp. 436, 467; Service 2000, p. 287; White 2001, p. 141; Read 2005, p. 165.
  131. Pipes 1990, pp. 468–469; Rice 1990, p. 149; Service 2000, p. 289; White 2001, pp. 142–143; Read 2005, pp. 166–172.
  132. Service 2000, p. 288.
  133. Pipes 1990, p. 468; Rice 1990, p. 150; Service 2000, pp. 289–292; Read 2005, p. 165.
  134. Pipes 1990, pp. 439–465; Rice 1990, pp. 150–151; Service 2000, p. 299; White 2001, pp. 143–144; Read 2005, p. 173.
  135. Pipes 1990, p. 465.
  136. Pipes 1990, pp. 465–467; White 2001, p. 144; Lee 2003, p. 17; Read 2005, p. 174.
  137. Pipes 1990, p. 471; Rice 1990, pp. 151–152; Read 2005, p. 180.
  138. Pipes 1990, pp. 473, 482; Rice 1990, p. 152; Service 2000, pp. 302–303; Read 2005, p. 179.
  139. Pipes 1990, pp. 482–484; Rice 1990, pp. 153–154; Service 2000, pp. 303–304; White 2001, pp. 146–147.
  140. Pipes 1990, pp. 471–472; Service 2000, p. 304; White 2001, p. 147.
  141. Service 2000, pp. 306–307.
  142. Rigby 1979, pp. 14–15; Leggett 1981, pp. 1–3; Pipes 1990, p. 466; Rice 1990, p. 155.
  143. Pipes 1990, pp. 485–486, 491; Rice 1990, pp. 157, 159; Service 2000, p. 308.
  144. Pipes 1990, pp. 492–493, 496; Service 2000, p. 311; Read 2005, p. 182.
  145. Pipes 1990, p. 491; Service 2000, p. 309.
  146. Pipes 1990, p. 499; Service 2000, pp. 314–315.
  147. Pipes 1990, pp. 496–497; Rice 1990, pp. 159–161; Service 2000, pp. 314–315; Read 2005, p. 183.
  148. Pipes 1990, p. 504; Service 2000, p. 315.
  149. Service 2000, p. 316.
  150. Shub 1966, p. 314; Service 2000, p. 317.
  151. Shub 1966, p. 315; Pipes 1990, pp. 540–541; Rice 1990, p. 164; Volkogonov 1994, p. 173; Service 2000, p. 331; Read 2005, p. 192.
  152. Volkogonov 1994, p. 176; Service 2000, pp. 331–332; White 2001, p. 156; Read 2005, p. 192.
  153. Rice 1990, p. 164.
  154. Pipes 1990, pp. 546–547.
  155. Pipes 1990, pp. 552–553; Rice 1990, p. 165; Volkogonov 1994, pp. 176–177; Service 2000, pp. 332, 336–337; Read 2005, p. 192.
  156. Fischer 1964, p. 158; Shub 1966, pp. 301–302; Rigby 1979, p. 26; Leggett 1981, p. 5; Pipes 1990, pp. 508, 519; Service 2000, pp. 318–319; Read 2005, pp. 189–190.
  157. Rigby 1979, pp. 166–167; Leggett 1981, pp. 20–21; Pipes 1990, pp. 533–534, 537; Volkogonov 1994, p. 171; Service 2000, pp. 322–323; White 2001, p. 159; Read 2005, p. 191.
  158. Fischer 1964, pp. 219, 256, 379; Shub 1966, p. 374; Service 2000, p. 355; White 2001, p. 159; Read 2005, p. 219.
  159. Rigby 1979, pp. 160–164; Volkogonov 1994, pp. 374–375; Service 2000, p. 377.
  160. Sandle 1999, p. 74; Rigby 1979, pp. 168–169.
  161. Fischer 1964, p. 432.
  162. Leggett 1981, p. 316; Lee 2003, pp. 98–99.
  163. Rigby 1979, pp. 160–161; Leggett 1981, p. 21; Lee 2003, p. 99.
  164. Service 2000, p. 388; Lee 2003, p. 98.
  165. Service 2000, p. 388.
  166. Rigby 1979, pp. 168, 170; Service 2000, p. 388.
  167. Service 2000, pp. 325–326, 333; Read 2005, pp. 211–212.
  168. Shub 1966, p. 361; Pipes 1990, p. 548; Volkogonov 1994, p. 229; Service 2000, pp. 335–336; Read 2005, p. 198.
  169. Fischer 1964, p. 156; Shub 1966, p. 350; Pipes 1990, p. 594; Volkogonov 1994, p. 185; Service 2000, p. 344; Read 2005, p. 212.
  170. Fischer 1964, pp. 320–321; Shub 1966, p. 377; Pipes 1990, pp. 94–595; Volkogonov 1994, pp. 187–188; Service 2000, pp. 346–347; Read 2005, p. 212.
  171. Service 2000, p. 345.
  172. Fischer 1964, p. 466; Service 2000, p. 348.
  173. Fischer 1964, p. 280; Shub 1966, pp. 361–362; Pipes 1990, pp. 806–807; Volkogonov 1994, pp. 219–221; Service 2000, pp. 367–368; White 2001, p. 155.
  174. Fischer 1964, pp. 282–283; Shub 1966, pp. 362–363; Pipes 1990, pp. 807, 809; Volkogonov 1994, pp. 222–228; White 2001, p. 155.
  175. Volkogonov 1994, pp. 222, 231.
  176. Service 2000, p. 369.
  177. Fischer 1964, pp. 252–253; Pipes 1990, p. 499; Volkogonov 1994, p. 341; Service 2000, pp. 316–317; White 2001, p. 149; Read 2005, pp. 194–195.
  178. Shub 1966, p. 310; Leggett 1981, pp. 5–6, 8, 306; Pipes 1990, pp. 521–522; Service 2000, pp. 317–318; White 2001, p. 153; Read 2005, pp. 235–236.
  179. Fischer 1964, p. 249; Pipes 1990, p. 514; Service 2000, p. 321.
  180. Fischer 1964, p. 249; Pipes 1990, p. 514; Read 2005, p. 219.
  181. White 2001, pp. 159–160.
  182. Fischer 1964, p. 249.
  183. Sandle 1999, p. 84; Read 2005, p. 211.
  184. Leggett 1981, pp. 172–173; Pipes 1990, pp. 796–797; Read 2005, p. 242.
  185. Leggett 1981, p. 172; Pipes 1990, pp. 798–799; Ryan 2012, p. 121.
  186. Hazard 1965, p. 270; Leggett 1981, p. 172; Pipes 1990, pp. 796–797.
  187. Volkogonov 1994, p. 170.
  188. 188.0 188.1 Service 2000, p. 321.
  189. Fischer 1964, pp. 260–261.
  190. Sandle 1999, p. 174.
  191. Fischer 1964, pp. 554–555; Sandle 1999, p. 83.
  192. Sandle 1999, pp. 122–123.
  193. Fischer 1964, p. 552; Leggett 1981, p. 308; Sandle 1999, p. 126; Read 2005, pp. 238–239; Ryan 2012, pp. 176, 182.
  194. Volkogonov 1994, p. 373; Leggett 1981, p. 308; Ryan 2012, p. 177.
  195. Pipes 1990, p. 709; Service 2000, p. 321.
  196. Volkogonov 1994, p. 171.
  197. Rigby 1979, pp. 45–46; Pipes 1990, pp. 682, 683; Service 2000, p. 321; White 2001, p. 153.
  198. Rigby 1979, p. 50; Pipes 1990, p. 689; Sandle 1999, p. 64; Service 2000, p. 321; Read 2005, p. 231.
  199. Fischer 1964, pp. 437–438; Pipes 1990, p. 709; Sandle 1999, pp. 64, 68.
  200. Fischer 1964, pp. 263–264; Pipes 1990, p. 672.
  201. Fischer 1964, p. 264.
  202. Pipes 1990, pp. 681, 692–693; Sandle 1999, pp. 96–97.
  203. Pipes 1990, pp. 692–693; Sandle 1999, p. 97.
  204. 204.0 204.1 Fischer 1964, p. 236; Service 2000, pp. 351–352.
  205. Fischer 1964, pp. 259, 444–445.
  206. Sandle 1999, p. 120.
  207. Service 2000, pp. 354–355.
  208. Fischer 1964, pp. 307–308; Volkogonov 1994, pp. 178–179; White 2001, p. 156; Read 2005, pp. 252–253; Ryan 2012, pp. 123–124.
  209. Shub 1966, pp. 329–330; Service 2000, p. 385; White 2001, p. 156; Read 2005, pp. 253–254; Ryan 2012, p. 125.
  210. Shub 1966, p. 383.
  211. Shub 1966, p. 331; Pipes 1990, p. 567.
  212. Fischer 1964, p. 151; Pipes 1990, p. 567; Service 2000, p. 338.
  213. Fischer 1964, pp. 190–191; Shub 1966, p. 337; Pipes 1990, p. 567; Rice 1990, p. 166.
  214. Fischer 1964, pp. 151–152; Pipes 1990, pp. 571–572.
  215. Fischer 1964, p. 154; Pipes 1990, p. 572; Rice 1990, p. 166.
  216. Fischer 1964, p. 161; Shub 1966, p. 331; Pipes 1990, p. 576.
  217. Fischer 1964, pp. 162–163; Pipes 1990, p. 576.
  218. Fischer 1964, pp. 171–172, 200–202; Pipes 1990, p. 578.
  219. Rice 1990, p. 166; Service 2000, p. 338.
  220. Service 2000, p. 338.
  221. Fischer 1964, p. 195; Shub 1966, pp. 334, 337; Service 2000, pp. 338–339, 340; Read 2005, p. 199.
  222. Fischer 1964, pp. 206, 209; Shub 1966, p. 337; Pipes 1990, pp. 586–587; Service 2000, pp. 340–341.
  223. Pipes 1990, p. 587; Rice 1990, pp. 166–167; Service 2000, p. 341; Read 2005, p. 199.
  224. Shub 1966, p. 338; Pipes 1990, pp. 592–593; Service 2000, p. 341.
  225. Fischer 1964, pp. 211–212; Shub 1966, p. 339; Pipes 1990, p. 595; Rice 1990, p. 167; Service 2000, p. 342; White 2001, pp. 158–159.
  226. Pipes 1990, p. 595; Service 2000, p. 342.
  227. Fischer 1964, pp. 213–214; Pipes 1990, pp. 596–597.
  228. Service 2000, p. 344.
  229. Fischer 1964, pp. 313–314; Shub 1966, pp. 387–388; Pipes 1990, pp. 667–668; Volkogonov 1994, pp. 193–194; Service 2000, p. 384.
  230. Fischer 1964, pp. 303–304; Pipes 1990, p. 668; Volkogonov 1994, p. 194; Service 2000, p. 384.
  231. Fischer 1964, p. 236; Pipes 1990, pp. 558, 723; Rice 1990, p. 170; Volkogonov 1994, p. 190.
  232. Fischer 1964, pp. 236–237; Shub 1966, p. 353; Pipes 1990, pp. 560, 722, 732–736; Rice 1990, p. 170; Volkogonov 1994, pp. 181, 342–343; Service 2000, pp. 349, 358–359; White 2001, p. 164; Read 2005, p. 218.
  233. Fischer 1964, p. 254; Pipes 1990, pp. 728, 734–736; Volkogonov 1994, p. 197; Ryan 2012, p. 105.
  234. Fischer 1964, pp. 277–278; Pipes 1990, p. 737; Service 2000, p. 365; White 2001, pp. 155–156; Ryan 2012, p. 106.
  235. Fischer 1964, p. 450; Pipes 1990, p. 726.
  236. Pipes 1990, pp. 700–702; Lee 2003, p. 100.
  237. Fischer 1964, p. 195; Pipes 1990, p. 794; Volkogonov 1994, p. 181; Read 2005, p. 249.
  238. Fischer 1964, p. 237.
  239. Service 2000, p. 385; White 2001, p. 164; Read 2005, p. 218.
  240. Shub 1966, p. 344; Pipes 1990, pp. 790–791; Volkogonov 1994, pp. 181, 196; Read 2005, pp. 247–248.
  241. Shub 1966, p. 312.
  242. Fischer 1964, pp. 435–436.
  243. Shub 1966, pp. 345–347; Rigby 1979, pp. 20–21; Pipes 1990, p. 800; Volkogonov 1994, p. 233; Service 2000, pp. 321–322; White 2001, p. 153; Read 2005, pp. 186, 208–209.
  244. Leggett 1981, p. 174; Volkogonov 1994, pp. 233–234; Sandle 1999, p. 112; Ryan 2012, p. 111.
  245. Shub 1966, p. 366; Sandle 1999, p. 112.
  246. Ryan 2012, p. 116.
  247. Pipes 1990, p. 821; Ryan 2012, pp. 114–115.
  248. Shub 1966, p. 366; Sandle 1999, p. 113; Read 2005, p. 210; Ryan 2012, pp. 114–115.
  249. Leggett 1981, pp. 173–174; Pipes 1990, p. 801.
  250. Leggett 1981, pp. 199–200; Pipes 1990, pp. 819–820; Ryan 2012, p. 107.
  251. Shub 1966, p. 364; Ryan 2012, p. 114.
  252. Pipes 1990, p. 837.
  253. Pipes 1990, p. 834.
  254. Volkogonov 1994, p. 202; Read 2005, p. 247.
  255. Pipes 1990, p. 796.
  256. Volkogonov 1994, p. 202.
  257. Pipes 1990, p. 825; Ryan 2012, pp. 117, 120.
  258. Leggett 1981, pp. 174–175, 183; Pipes 1990, pp. 828–829; Ryan 2012, p. 121.
  259. Pipes 1990, pp. 829–830, 832.
  260. Leggett 1981, pp. 176–177; Pipes 1990, pp. 832, 834.
  261. Pipes 1990, p. 835; Volkogonov 1994, p. 235.
  262. Leggett 1981, p. 178; Pipes 1990, p. 836.
  263. Leggett 1981, p. 176; Pipes 1990, pp. 832–833.
  264. Volkogonov 1994, pp. 358–360; Ryan 2012, pp. 172–173, 175–176.
  265. Volkogonov 1994, pp. 376–377; Read 2005, p. 239; Ryan 2012, p. 179.
  266. Volkogonov 1994, p. 381.
  267. 267.0 267.1 Service 2000, p. 357.
  268. Service 2000, pp. 391–392.
  269. 269.0 269.1 Lee 2003, pp. 84, 88.
  270. Read 2005, p. 205.
  271. Shub 1966, p. 355; Leggett 1981, p. 204; Rice 1990, pp. 173, 175; Volkogonov 1994, p. 198; Service 2000, pp. 357, 382; Read 2005, p. 187.
  272. Fischer 1964, pp. 334, 343, 357; Leggett 1981, p. 204; Service 2000, pp. 382, 392; Read 2005, pp. 205–206.
  273. Leggett 1981, p. 204; Read 2005, p. 206.
  274. Fischer 1964, pp. 288–289; Pipes 1990, pp. 624–630; Service 2000, p. 360; White 2001, pp. 161–162; Read 2005, p. 205.
  275. Fischer 1964, pp. 262–263.
  276. Fischer 1964, p. 291; Shub 1966, p. 354.
  277. Fischer 1964, pp. 331, 333.
  278. Pipes 1990, pp. 610, 612; Volkogonov 1994, p. 198.
  279. Fischer 1964, p. 337; Pipes 1990, pp. 609, 612, 629; Volkogonov 1994, p. 198; Service 2000, p. 383; Read 2005, p. 217.
  280. Fischer 1964, pp. 248, 262.
  281. Pipes 1990, p. 651; Volkogonov 1994, p. 200; White 2001, p. 162; Lee 2003, p. 81.
  282. Fischer 1964, p. 251; White 2001, p. 163; Read 2005, p. 220.
  283. Leggett 1981, p. 201; Pipes 1990, p. 792; Volkogonov 1994, pp. 202–203; Read 2005, p. 250.
  284. Leggett 1981, p. 201; Volkogonov 1994, pp. 203–204.
  285. Shub 1966, pp. 357–358; Pipes 1990, pp. 781–782; Volkogonov 1994, pp. 206–207; Service 2000, pp. 364–365.
  286. Pipes 1990, pp. 763, 770–771; Volkogonov 1994, p. 211.
  287. Ryan 2012, p. 109.
  288. Volkogonov 1994, p. 208.
  289. Pipes 1990, p. 635.
  290. Fischer 1964, p. 244; Shub 1966, p. 355; Pipes 1990, pp. 636–640; Service 2000, pp. 360–361; White 2001, p. 159; Read 2005, p. 199.
  291. Fischer 1964, p. 242; Pipes 1990, pp. 642–644; Read 2005, p. 250.
  292. Fischer 1964, p. 244; Pipes 1990, p. 644; Volkogonov 1994, p. 172.
  293. Leggett 1981, p. 184; Service 2000, p. 402; Read 2005, p. 206.
  294. Hall 2015, p. 83.
  295. Goldstein 2013, p. 50.
  296. Hall 2015, p. 84.
  297. Davies 2003, pp. 26–27.
  298. Davies 2003, pp. 27–30.
  299. Davies 2003, pp. 22, 27.
  300. Fischer 1964, p. 389; Rice 1990, p. 182; Volkogonov 1994, p. 281; Service 2000, p. 407; White 2001, p. 161; Davies 2003, pp. 29–30.
  301. Davies 2003, p. 22.
  302. Fischer 1964, p. 389; Rice 1990, p. 182; Volkogonov 1994, p. 281; Service 2000, p. 407; White 2001, p. 161.
  303. Fischer 1964, pp. 391–395; Shub 1966, p. 396; Rice 1990, pp. 182–183; Service 2000, pp. 408–409, 412; White 2001, p. 161.
  304. Rice 1990, p. 183; Volkogonov 1994, p. 388; Service 2000, p. 412.
  305. Shub 1966, p. 387; Rice 1990, p. 173.
  306. Fischer 1964, p. 333; Shub 1966, p. 388; Rice 1990, p. 173; Volkogonov 1994, p. 395.
  307. 307.0 307.1 Service 2000, pp. 385–386.
  308. Fischer 1964, pp. 531, 536.
  309. Service 2000, p. 386.
  310. Shub 1966, pp. 389–390.
  311. 311.0 311.1 Shub 1966, p. 390.
  312. Fischer 1964, p. 525; Shub 1966, p. 390; Rice 1990, p. 174; Volkogonov 1994, p. 390; Service 2000, p. 386; White 2001, p. 160; Read 2005, p. 225.
  313. Fischer 1964, p. 525; Shub 1966, pp. 390–391; Rice 1990, p. 174; Service 2000, p. 386; White 2001, p. 160.
  314. Service 2000, p. 387; White 2001, p. 160.
  315. Fischer 1964, p. 525; Shub 1966, p. 398; Read 2005, pp. 225–226.
  316. Service 2000, p. 387.
  317. Shub 1966, p. 395; Volkogonov 1994, p. 391.
  318. Shub 1966, p. 397; Service 2000, p. 409.
  319. Service 2000, pp. 409–410.
  320. Fischer 1964, pp. 415–420; White 2001, pp. 161, 180–181.
  321. Service 2000, p. 410.
  322. Shub 1966, p. 397.
  323. Fischer 1964, p. 341; Shub 1966, p. 396; Rice 1990, p. 174.
  324. Fischer 1964, pp. 437–438; Shub 1966, p. 406; Rice 1990, p. 183; Service 2000, p. 419; White 2001, pp. 167–168.
  325. Shub 1966, p. 406; Service 2000, p. 419; White 2001, p. 167.
  326. Fischer 1964, pp. 436, 442; Rice 1990, pp. 183–184; Sandle 1999, pp. 104–105; Service 2000, pp. 422–423; White 2001, p. 168; Read 2005, p. 269.
  327. White 2001, p. 170.
  328. Ryan 2012, p. 164.
  329. Volkogonov 1994, pp. 343, 347.
  330. Fischer 1964, p. 508; Shub 1966, p. 414; Volkogonov 1994, p. 345; White 2001, p. 172.
  331. Volkogonov 1994, p. 346.
  332. Volkogonov 1994, pp. 374–375.
  333. Volkogonov 1994, pp. 375–376; Read 2005, p. 251; Ryan 2012, pp. 176, 177.
  334. Volkogonov 1994, p. 376; Ryan 2012, p. 178.
  335. Fischer 1964, p. 467; Shub 1966, p. 406; Volkogonov 1994, p. 343; Service 2000, p. 425; White 2001, p. 168; Read 2005, p. 220; Ryan 2012, p. 154.
  336. Fischer 1964, p. 459; Leggett 1981, pp. 330–333; Service 2000, pp. 423–424; White 2001, p. 168; Ryan 2012, pp. 154–155.
  337. Shub 1966, pp. 406–407; Leggett 1981, pp. 324–325; Rice 1990, p. 184; Read 2005, p. 220; Ryan 2012, p. 170.
  338. Fischer 1964, pp. 469–470; Shub 1966, p. 405; Leggett 1981, pp. 325–326; Rice 1990, p. 184; Service 2000, p. 427; White 2001, p. 169; Ryan 2012, p. 170.
  339. Fischer 1964, pp. 470–471; Shub 1966, pp. 408–409; Leggett 1981, pp. 327–328; Rice 1990, pp. 184–185; Service 2000, pp. 427–428; Ryan 2012, pp. 171–172.
  340. Shub 1966, p. 411; Rice 1990, p. 185; Service 2000, pp. 421, 424–427, 429; Read 2005, p. 264.
  341. Gregory, Paul R. (2004). The Political Economy of Stalinism: Evidence from the Soviet Secret Archives. Cambridge University Press. pp. 218–20. ISBN 978-0-521-53367-6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 May 2015. สืบค้นเมื่อ 20 June 2015.
  342. Fischer 1964, pp. 479–480; Sandle 1999, p. 155; Service 2000, p. 430; White 2001, pp. 170, 171.
  343. Shub 1966, p. 411; Sandle 1999, pp. 153, 158; Service 2000, p. 430; White 2001, p. 169; Read 2005, pp. 264–265.
  344. Shub 1966, p. 412; Service 2000, p. 430; Read 2005, p. 266; Ryan 2012, p. 159.
  345. Fischer 1964, p. 479; Shub 1966, p. 412; Sandle 1999, p. 155; Ryan 2012, p. 159.
  346. Sandle 1999, p. 151; Service 2000, p. 422; White 2001, p. 171.
  347. Service 2000, pp. 421, 434.
  348. Pipes 1990, pp. 703–707; Sandle 1999, p. 103; Ryan 2012, p. 143.
  349. Fischer 1964, pp. 423, 582; Sandle 1999, p. 107; White 2001, p. 165; Read 2005, p. 230.
  350. Fischer 1964, pp. 574, 576–577; Service 2000, pp. 432, 441.
  351. Fischer 1964, pp. 424–427.
  352. Fischer 1964, p. 414; Rice 1990, pp. 177–178; Service 2000, p. 405; Read 2005, pp. 260–261.
  353. Volkogonov 1994, p. 283.
  354. Fischer 1964, pp. 404–409; Rice 1990, pp. 178–179; Service 2000, p. 440.
  355. Fischer 1964, pp. 409–411.
  356. Fischer 1964, pp. 433–434; Shub 1966, pp. 380–381; Rice 1990, p. 181; Service 2000, pp. 414–415; Read 2005, p. 258.
  357. Fischer 1964, p. 434; Shub 1966, pp. 381–382; Rice 1990, p. 181; Service 2000, p. 415; Read 2005, p. 258.
  358. Rice 1990, pp. 181–182; Service 2000, pp. 416–417; Read 2005, p. 258.
  359. Shub 1966, p. 426; Lewin 1969, p. 33; Rice 1990, p. 187; Volkogonov 1994, p. 409; Service 2000, p. 435.
  360. Shub 1966, p. 426; Rice 1990, p. 187; Service 2000, p. 435.
  361. Service 2000, p. 436; Read 2005, p. 281; Rice 1990, p. 187.
  362. Volkogonov 1994, pp. 420, 425–426; Service 2000, p. 439; Read 2005, pp. 280, 282.
  363. Volkogonov 1994, p. 443; Service 2000, p. 437.
  364. Fischer 1964, pp. 598–599; Shub 1966, p. 426; Service 2000, p. 443; White 2001, p. 172; Read 2005, p. 258.
  365. Fischer 1964, p. 600; Shub 1966, pp. 426–427; Lewin 1969, p. 33; Service 2000, p. 443; White 2001, p. 173; Read 2005, p. 258.
  366. Shub 1966, pp. 427–428; Service 2000, p. 446.
  367. Fischer 1964, p. 634; Shub 1966, pp. 431–432; Lewin 1969, pp. 33–34; White 2001, p. 173.
  368. Fischer 1964, pp. 600–602; Shub 1966, pp. 428–430; Leggett 1981, p. 318; Sandle 1999, p. 164; Service 2000, pp. 442–443; Read 2005, p. 269; Ryan 2012, pp. 174–175.
  369. Volkogonov 1994, p. 310; Leggett 1981, pp. 320–322; Aves 1996, pp. 175–178; Sandle 1999, p. 164; Lee 2003, pp. 103–104; Ryan 2012, p. 172.
  370. Lewin 1969, pp. 8–9; White 2001, p. 176; Read 2005, pp. 270–272.
  371. Fischer 1964, p. 578; Rice 1990, p. 189.
  372. Rice 1990, pp. 192–193.
  373. Fischer 1964, p. 578.
  374. Fischer 1964, pp. 638–639; Shub 1966, p. 433; Lewin 1969, pp. 73–75; Volkogonov 1994, p. 417; Service 2000, p. 464; White 2001, pp. 173–174.
  375. Fischer 1964, p. 647; Shub 1966, pp. 434–435; Rice 1990, p. 192; Volkogonov 1994, p. 273; Service 2000, p. 469; White 2001, pp. 174–175; Read 2005, pp. 278–279.
  376. Fischer 1964, p. 640; Shub 1966, pp. 434–435; Volkogonov 1994, pp. 249, 418; Service 2000, p. 465; White 2001, p. 174.
  377. Fischer 1964, pp. 666–667, 669; Lewin 1969, pp. 120–121; Service 2000, p. 468; Read 2005, p. 273.
  378. Fischer 1964, pp. 650–654; Service 2000, p. 470.
  379. Shub 1966, pp. 426, 434; Lewin 1969, pp. 34–35.
  380. Volkogonov 1994, pp. 263–264.
  381. Lewin 1969, p. 70; Rice 1990, p. 191; Volkogonov 1994, pp. 273, 416.
  382. Fischer 1964, p. 635; Lewin 1969, pp. 35–40; Service 2000, pp. 451–452; White 2001, p. 173.
  383. Fischer 1964, pp. 637–638, 669; Shub 1966, pp. 435–436; Lewin 1969, pp. 71, 85, 101; Volkogonov 1994, pp. 273–274, 422–423; Service 2000, pp. 463, 472–473; White 2001, pp. 173, 176; Read 2005, p. 279.
  384. Fischer 1964, pp. 607–608; Lewin 1969, pp. 43–49; Rice 1990, pp. 190–191; Volkogonov 1994, p. 421; Service 2000, pp. 452, 453–455; White 2001, pp. 175–176.
  385. Fischer 1964, p. 608; Lewin 1969, p. 50; Leggett 1981, p. 354; Volkogonov 1994, p. 421; Service 2000, p. 455; White 2001, p. 175.
  386. Service 2000, pp. 455, 456.
  387. Lewin 1969, pp. 40, 99–100; Volkogonov 1994, p. 421; Service 2000, pp. 460–461, 468.
  388. Rigby 1979, p. 221.
  389. Fischer 1964, p. 671; Shub 1966, p. 436; Lewin 1969, p. 103; Leggett 1981, p. 355; Rice 1990, p. 193; White 2001, p. 176; Read 2005, p. 281.
  390. Fischer 1964, p. 671; Shub 1966, p. 436; Volkogonov 1994, p. 425; Service 2000, p. 474; Lerner, Finkelstein & Witztum 2004, p. 372.
  391. Fischer 1964, p. 672; Rigby 1979, p. 192; Rice 1990, pp. 193–194; Volkogonov 1994, pp. 429–430.
  392. Fischer 1964, p. 672; Shub 1966, p. 437; Volkogonov 1994, p. 431; Service 2000, p. 476; Read 2005, p. 281.
  393. Rice 1990, p. 194; Volkogonov 1994, p. 299; Service 2000, pp. 477–478.
  394. Fischer 1964, pp. 673–674; Shub 1966, p. 438; Rice 1990, p. 194; Volkogonov 1994, p. 435; Service 2000, pp. 478–479; White 2001, p. 176; Read 2005, p. 269.
  395. Volkogonov 1994, p. 435; Lerner, Finkelstein & Witztum 2004, p. 372.
  396. Rice 1990, p. 7.
  397. Rice 1990, pp. 7–8.
  398. Fischer 1964, p. 674; Shub 1966, p. 439; Rice 1990, pp. 7–8; Service 2000, p. 479.
  399. 399.0 399.1 Rice 1990, p. 9.
  400. History, April 2009.
  401. Shub 1966, p. 439; Rice 1990, p. 9; Service 2000, pp. 479–480.
  402. Volkogonov 1994, p. 440.
  403. Fischer 1964, p. 674; Shub 1966, p. 438; Volkogonov 1994, pp. 437–438; Service 2000, p. 481.
  404. Fischer 1964, pp. 625–626; Volkogonov 1994, p. 446.
  405. Volkogonov 1994, pp. 444, 445.
  406. Volkogonov 1994, p. 445.
  407. Volkogonov 1994, p. 444.
  408. Moscow.info.

บรรณานุกรม

หนังสือเพิ่มเติม

แหล่งข้อมูลอื่น

ก่อนหน้า วลาดีมีร์ เลนิน ถัดไป
เริ่มตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการราษฎรแห่งสหภาพโซเวียต
(30 ธันวาคม 1922 – 21 มกราคม 1924)
อะเลคเซย์ รืยคอฟ
รักษาการ
ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งรัสเซีย
(17 พฤศจิกายน 1903 – 21 มกราคม 1924)
โจเซฟ สตาลิน
ในตำแหน่ง เลขาธิการใหญ่