ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แก๊สมีสกุล"
Ohm Editor (คุย | ส่วนร่วม) |
Ohm Editor (คุย | ส่วนร่วม) |
||
บรรทัด 162: | บรรทัด 162: | ||
ก๊าซมีตระกูลจะข้ามขอบเขตระหว่างบล็อก—ฮีเลียมเป็นองค์ประกอบ s ในขณะที่สมาชิกที่เหลือคือ องค์ประกอบ p—ซึ่งผิดปกติในกลุ่ม IUPAC กลุ่ม IUPAC อื่นๆ ทั้งหมดมีองค์ประกอบจากแต่ละบล็อก สิ่งนี้ทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันในแนวโน้มทั่วทั้งตาราง และด้วยเหตุนี้นักเคมีบางคนจึงเสนอว่าควรย้ายฮีเลียมไปยังกลุ่มที่ 2 เพื่อให้เข้ากับองค์ประกอบ s<sup>2</sup> อื่นๆ<sup>[35][36][37]</sup> แต่โดยทั่วไปแล้วการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้ .{{โครงส่วน}} |
ก๊าซมีตระกูลจะข้ามขอบเขตระหว่างบล็อก—ฮีเลียมเป็นองค์ประกอบ s ในขณะที่สมาชิกที่เหลือคือ องค์ประกอบ p—ซึ่งผิดปกติในกลุ่ม IUPAC กลุ่ม IUPAC อื่นๆ ทั้งหมดมีองค์ประกอบจากแต่ละบล็อก สิ่งนี้ทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันในแนวโน้มทั่วทั้งตาราง และด้วยเหตุนี้นักเคมีบางคนจึงเสนอว่าควรย้ายฮีเลียมไปยังกลุ่มที่ 2 เพื่อให้เข้ากับองค์ประกอบ s<sup>2</sup> อื่นๆ<sup>[35][36][37]</sup> แต่โดยทั่วไปแล้วการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้ .{{โครงส่วน}} |
||
=== |
===สารประกอบ=== |
||
{{หลัก|สารประกอบก๊าซมีตระกูล}} |
|||
{{โครงส่วน}} |
|||
[[ไฟล์:Xenon-tetrafluoride-3D-vdW.png|thumb|left|โครงสร้างของ {{chem|Xe||F|4}} ซึ่งเป็นหนึ่งในสารประกอบของก๊าซมีตระกูลกลุ่มแรกที่ถูกค้นพบ|alt=แบบจำลองของโมเลกุลเคมีในแนวระนาบที่มีอะตอมตรงกลางสีน้ำเงิน (Xe) สร้างพันธะอย่างสมมาตรกับอะตอมรอบข้างสี่อะตอม (ฟลูออรีน)]] |
|||
ก๊าซมีตระกูลแสดงสารเคมีที่ต่ำมาก [ [ปฏิกิริยา (เคมี)|ปฏิกิริยา]]; ดังนั้นจึงมีการสร้าง [[สารประกอบก๊าซมีตระกูล]] เพียงไม่กี่ร้อยรายการเท่านั้น [[สารประกอบเคมี|สารประกอบ]] ที่เป็นกลางซึ่งฮีเลียมและนีออนมีส่วนร่วมใน [[พันธะเคมี]] ยังไม่ก่อตัวขึ้น (แม้ว่าจะมีไอออนที่มีฮีเลียมอยู่บ้าง และมีหลักฐานทางทฤษฎีบางอย่างสำหรับไอออนที่เป็นกลางซึ่งมีฮีเลียมอยู่บ้าง ) ในขณะที่ซีนอน คริปทอน และอาร์กอนแสดงปฏิกิริยาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น<ref name=Ngcomp> {{cite journal|last=Grochala|first=Wojciech|title=สารประกอบผิดปรกติของก๊าซ ซึ่งถูกเรียกว่ามีตระกูล|journal=[[Chemical Society Reviews]]|year=2007|issue= 10|pages=1632–1655| doi=10.1039/b702109g|volume=36|pmid=17721587|url=http://www.chem.uw.edu.pl/people/WGrochala/Ng_essay.pdf?origin%3Dpublication_detail}}</ref> ปฏิกิริยาเป็นไปตามลำดับ Ne < He < Ar < Kr < Xe < Rn ≪ Og. |
|||
ในปี 1933 [[Linus Pauling]] ทำนายว่าก๊าซมีตระกูลที่หนักกว่าสามารถสร้างสารประกอบที่มีฟลูออรีนและออกซิเจน เขาทำนายการมีอยู่ของ [[krypton hexafluoride]] ({{chem|KrF|6}}) และ [[xenon hexafluoride]] ({{chem|XeF|6}}) โดยสันนิษฐานว่า {{chem|XeF|8 }} อาจมีอยู่เป็นสารประกอบที่ไม่เสถียร และแนะนำว่า [[xenic acid]] สามารถสร้างเกลือ [[perxenate]] ได้<ref> {{cite journal|title=The Formulas of the American Chemical Society]]|volume=55|issue=5|pages=1895–1900 |ปี=1933| ดอย=10.1021/ja01332a016}}</ref><ref name='Holloway'> {{harvnb|ฮอลโลเวย์|1968}}</ref> การคาดคะเนเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าโดยทั่วไปมีความแม่นยำ ยกเว้นว่า {{chem|XeF|8}} ในขณะนี้ถือว่าทั้ง [[ความเสถียรทางอุณหพลศาสตร์|อุณหพลศาสตร์]] และ [[ทฤษฎีจลนพลศาสตร์ของก๊าซ|จลนศาสตร์]] ไม่เสถียร<ref> {{cite journal|last=Seppelt|first=Konrad|year=1979|title=การพัฒนาล่าสุดในวิชาเคมีขององค์ประกอบที่เป็นประจุลบบางชนิด|journal=[[Accounts of Chemical Research]]|volume=12|pages=211–216| ดอย=10.1021/ar50138a004|issue=6}}</ref> |
|||
สารประกอบซีนอนเป็นสารประกอบของก๊าซมีตระกูลจำนวนมากที่สุดที่ก่อตัวขึ้น<ref> {{cite journal|last=Moody|first=GJ|title=A Decade of Xenon Chemistry|journal=Journal of Chemical Education|ปี=1974|issue=10|volume=51|pages=628–630| url=http://www.eric.ed.gov/ERICWebPortal/custom/portlets/recordDetails/detailmini.jsp?_nfpb=true&_&ERICExtSearch_SearchValue_0=EJ111480&ERICExtSearch_SearchType_0=no&accno=EJ111480|access-date=16 ตุลาคม 2550|doi=10 .1021/ed051p628| bibcode= 1974JChEd..51..628M }}</ref> ส่วนใหญ่มีอะตอมของซีนอนใน [[สถานะออกซิเดชัน]] ที่ +2, +4, +6 หรือ +8 ที่สร้างพันธะกับอะตอมที่มี [[ไฟฟ้าลบ]] สูง เช่น ฟลูออรีนหรือออกซิเจน เช่นใน [[ซีนอนไดฟลูออไรด์] ] ({{chem|XeF|2}}), [[ซีนอนเตตระฟลูออไรด์]] ({{chem|XeF|4}}), [[ซีนอนเฮกซาฟลูออไรด์]] ({{chem|XeF|6}}), [ [ซีนอนเตทรอกไซด์]] ({{chem|XeO|4}}) และโซเดียมเปอร์ซีเนต ({{chem|Na|4|XeO|6}}) ซีนอนทำปฏิกิริยากับฟลูออรีนเพื่อสร้างซีนอนฟลูออไรด์จำนวนมากตามสมการต่อไปนี้: |
|||
::Xe + F <sub>2</sub> → XeF <sub>2</sub> |
|||
::Xe + 2F <sub>2</sub> → XeF <sub>4</sub> |
|||
::Xe + 3F <sub>2</sub> → XeF <sub>6</sub> |
|||
บางส่วนของ สารประกอบเหล่านี้พบว่าใช้ใน [[การสังเคราะห์ทางเคมี]] เป็น [[ตัวออกซิไดซ์]]s; โดยเฉพาะอย่างยิ่ง {{chem|XeF|2}} มีจำหน่ายในเชิงพาณิชย์และสามารถใช้เป็นตัวแทน [[fluorination|fluorinating]]<ref> {{cite journal |title=Fluorination with XeF <sub>2</sub> . 44. ผลกระทบของรูปทรงเรขาคณิตและเฮเทอโรอะตอมต่อเรจิโอเซเล็คทิวิตีของฟลูออรีนเบื้องต้นในวงแหวนอะโรมาติก |ผู้เขียน1=Zupan, Marko |ผู้เขียน2=อิสครา, Jernej |ผู้เขียน3=Stavber, Stojan |journal=J. องค์กร เคมี |ปี=1998 |เล่ม=63 |ฉบับ=3 |pages=878–880 |doi=10.1021/jo971496e |pmid=11672087}}</ref> ในปี พ.ศ. 2550 มีการระบุสารประกอบของซีนอนประมาณห้าร้อยตัวที่จับกับธาตุอื่นๆ รวมทั้งสารประกอบออร์แกนซีนอน (ที่มีซีนอนจับกับคาร์บอน) และซีนอนจับกับไนโตรเจน คลอรีน ทอง ปรอท และซีนอนเอง<ref name=Ngcomp/><ref> {{harvnb|ฮาร์ดิง|2002|pp=90–99}}</ref> สารประกอบของซีนอนที่จับกับโบรอน ไฮโดรเจน โบรมีน ไอโอดีน เบริลเลียม กำมะถัน ไททาเนียม ทองแดง และเงิน ยังพบได้เฉพาะที่อุณหภูมิต่ำในก๊าซมีตระกูล [[matrix isolation|matrices]] หรือในก๊าซมีตระกูลที่มีความเร็วเหนือเสียง .<ref name=Ngcomp/> |
|||
เรดอนมีปฏิกิริยามากกว่าซีนอน และสร้างพันธะเคมีได้ง่ายกว่าซีนอน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกัมมันตภาพรังสีสูงและครึ่งชีวิตสั้นของ [[ไอโซโทปของเรดอน|เรดอนไอโซโทป]] จึงเกิดเรดอนเพียงไม่กี่ [[ฟลูออไรด์]] และ [[ออกไซด์]] เท่านั้น<ref> .{{cite Journal|title=The Chemistry of Radon|volume=51|journal=Russian Chemical Reviews|year=1982|issue=1|pages=12–20|author1=Avrorin, VV |author2=Krasikova, RN |author3 =Nefedov, VD |author4=Toropova, MA |doi=10.1070/RC1982v051n01ABEH002787|bibcode= 1982RuCRv..51...12A |s2cid=250906059 }}</ref> เรดอนก้าวไปสู่พฤติกรรมของโลหะมากกว่าซีนอน ไดฟลูออไรด์ RnF <sub>2</sub> เป็นไอออนิกสูง และ Rn <sup>2+</sup> ประจุบวกจะเกิดขึ้นในสารละลายฮาโลเจนฟลูออไรด์ ด้วยเหตุผลนี้ อุปสรรคทางจลนพลศาสตร์ทำให้ยากที่จะออกซิไดซ์เรดอนเกินสถานะ +2 มีเพียงการทดลองตามรอยเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในการทำเช่นนั้น อาจสร้าง RnF <sub>4</sub> , RnF <sub>6</sub> และ RnO <sub>3</sub><ref name=Stein> {{cite Journal |last1=Stein |first1=Lawrence |date=1983 |title=The Chemistry of Radon |journal=Radiochimica Acta |volume=32 |issue=1–3 |pages=163–171 |doi=10.1524/ract .1983.32.13.163|s2cid=100225806 }}</ref><ref> {{cite journal |last1=Liebman |first1=Joel F. |date=1975 |title=Conceptual Problems in Noble Gas and Fluorine Chemistry, II: The Nonexistence of Radon Tetrafluoride |journal=Inorg. นิวเคลียร์ เคมี เล็ต |volume=11 |issue=10 |pages=683–685 |doi=10.1016/0020-1650(75)80185-1}}</ref><ref> {{cite Journal |last1=Seppelt |first1=Konrad |date=2015 |title=Molecular Hexafluorides |journal=Chemical Reviews |volume=115 |issue=2 |pages=1296–1306 |doi=10.1021/cr5001783|pmid=25418862 }}</ref> |
|||
คริปทอนมีปฏิกิริยาน้อยกว่าซีนอน แต่มีรายงานสารประกอบหลายตัวที่มีคริปทอนใน [[สถานะออกซิเดชัน]] ที่ +2<ref name=Ngcomp/> [[คริปทอนไดฟลูออไรด์]] มีความโดดเด่นที่สุดและจำแนกได้ง่ายที่สุด ภายใต้สภาวะที่รุนแรง คริปทอนจะทำปฏิกิริยากับฟลูออรีนเพื่อสร้าง KrF <sub>2</sub> ตามสมการต่อไปนี้: |
|||
::Kr + F <sub>2</sub> → KrF <sub>2</sub> |
|||
สารประกอบที่คริปทอนสร้างพันธะเดี่ยวกับไนโตรเจนและออกซิเจนก็มีลักษณะเช่นกัน<ref> {{cite journal|doi=10.1016/S0010-8545(02)00202-3|title=เคมีของคริปทอน|year=2002|author=Lehmann, J|journal=Coordination Chemistry Reviews|volume=233–234|pages= 1–39}}</ref> แต่จะคงที่ต่ำกว่า {{convert|-60|C}} และ {{convert|-90|C}} ตามลำดับ<ref name=Ngcomp/> |
|||
อะตอมของคริปทอนจับกันทางเคมีกับอโลหะอื่นๆ (ไฮโดรเจน คลอรีน คาร์บอน) รวมถึง [[โลหะทรานซิชัน]] บางส่วน (ทองแดง เงิน ทอง) ที่ยังถูกสังเกตพบ แต่ที่อุณหภูมิต่ำในเมทริกซ์ก๊าซมีตระกูลเท่านั้น หรือในเครื่องบินไอพ่นที่มีความเร็วเหนือเสียง<ref name=Ngcomp/> มีการใช้เงื่อนไขที่คล้ายกันเพื่อให้ได้สารประกอบสองสามชนิดแรกของอาร์กอนในปี 2000 เช่น [[อาร์กอนฟลูออโรไฮไดรด์]] (HArF) และบางส่วนจับกับโลหะทรานซิชันช่วงปลายอย่างทองแดง เงิน และทอง<ref name=Ngcomp/> ในปี พ.ศ. 2550 ยังไม่มีข้อมูลโมเลกุลที่เป็นกลางที่เสถียรซึ่งเกี่ยวข้องกับฮีเลียมหรือนีออนที่มีพันธะโควาเลนต์<ref name=Ngcomp/> |
|||
การคาดคะเนจากแนวโน้มเป็นระยะทำนายว่าออกาเนสสันควรเป็นก๊าซมีตระกูลที่มีปฏิกิริยามากที่สุด การบำบัดทางทฤษฎีที่ซับซ้อนมากขึ้นบ่งชี้ว่ามีปฏิกิริยามากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ถึงจุดที่มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการใช้คำอธิบายของ 'ก๊าซมีตระกูล'<ref> {{cite Journal |last=Roth |first=Klaus |year=2017 |title=Ist das Element 118 ein Edelgas? |trans-title=ธาตุ 118 เป็นก๊าซมีตระกูลหรือไม่? |journal=[[Chemie in unserer Zeit]] |language=German |volume=51 |issue=6 |pages=418–426 |doi=10.1002/ciuz.201700838}}<br /> แปลเป็นภาษาอังกฤษโดย WE Russey และเผยแพร่เป็นสามส่วนใน [[นิตยสาร ChemViews]]:<br /> {{cite magazine |last=Roth |first=Klaus |date=3 เมษายน 2018 |title=New Kids on the Table: ธาตุ 118 เป็นก๊าซมีตระกูลหรือไม่? – ตอนที่ 1 |url=https://www.chemistryviews.org/details/ezine/10907570/New_Kids_on_the_Table_Is_Element_118_a_Noble_Gas__Part_1.html |magazine=[[นิตยสาร ChemViews]] |doi=10.1002/chemv.201800029}}<br /> {{cite magazine |last=Roth |first=Klaus |date=1 May 2018 |title=New Kids on the Table: ธาตุ 118 เป็นก๊าซมีตระกูลหรือไม่? – ตอนที่ 2 |url=https://www.chemistryviews.org/details/ezine/11002036/New_Kids_on_the_Table_Is_Element_118_a_Noble_Gas__Part_2.html |magazine=[[นิตยสาร ChemViews]] |doi=10.1002/chemv.201800033}}<br /> {{cite magazine |last=Roth |first=Klaus |date=5 June 2018 |title=New Kids on the Table: ธาตุ 118 เป็นก๊าซมีตระกูลหรือไม่? – ตอนที่ 3 |url=https://www.chemistryviews.org/details/ezine/11046703/New_Kids_on_the_Table_Is_Element_118_a_Noble_Gas__Part_3.html |magazine=[[นิตยสาร ChemViews]] |doi=10.1002/chemv.201800046}}</ref> Oganesson คาดว่าจะค่อนข้างเหมือน [[ซิลิคอน]] หรือ [[ดีบุก]] ในกลุ่ม 14:<ref name=primefan> {{อ้างอิงเว็บ |url=http://www.primefan.ru/stuff/chem/ptable/ptable.pdf |title=Есть ли граница у таблицы Менделеева? |trans-title=ตาราง Mendeleev มีขอบเขตหรือไม่? |last=Kulsha |first=AV |website=www.primefan.ru |เข้าถึงวันที่=8 กันยายน 2018 |language=ru}}</ref> องค์ประกอบปฏิกิริยาที่มีสถานะ +4 ทั่วไปและสถานะ +2 ทั่วไปน้อยกว่า<ref name='BFricke'> {{อ้างอิงหนังสือ |last1=Fricke |first1=Burkhard |ปี=1975 |title=ธาตุหนักยิ่งยวด: การทำนายคุณสมบัติทางเคมีและกายภาพ |journal=ผลกระทบล่าสุดของฟิสิกส์ต่อเคมีอนินทรีย์ |volume=21 |pages=[https: //archive.org/details/recentimpactofph0000unse/page/89 89–144] |doi=10.1007/BFb0116498 |url=https://archive.org/details/recentimpactofph0000unse/page/89 |access-date=4 ตุลาคม 2013 | series=โครงสร้างและพันธะ |isbn=978-3-540-07109-9 }}</ref><ref> [http://www.primefan.ru/stuff/chem/front2019.png โปสเตอร์ตารางธาตุรัสเซีย] โดย AV Kulsha และ TA Kolevich</ref> ซึ่งที่อุณหภูมิและความดันห้องไม่ได้เป็นก๊าซแต่เป็นสารกึ่งตัวนำที่เป็นของแข็ง จำเป็นต้องมีการทดสอบเชิงประจักษ์ / เชิงทดลองเพื่อตรวจสอบการคาดการณ์เหล่านี้<ref name=og/><ref name=semiconductor> {{cite journal |last1=Mewes |first1=Jan-Michael |last2=Smits |first2=Odile Rosette |first3=Paul |last3=Jerabek |first4=Peter |last4=Schwerdtfeger |date=25 July 2019 |title=Oganesson คือ สารกึ่งตัวนำ: ในการจำกัดวงช่องว่างเชิงสัมพัทธภาพในของแข็งก๊าซมีตระกูลที่หนักที่สุด |journal=Angewandte Chemie |volume=58 |issue=40 |pages=14260–14264 |doi=10.1002/anie.201908327 |pmid=31343819 |pmc =6790653 }}</ref> (ในทางกลับกัน [[ฟลีโรเวียม]] แม้จะอยู่ในกลุ่มที่ 14 แต่คาดการณ์ว่าจะระเหยผิดปกติ ซึ่งบ่งชี้ถึงคุณสมบัติคล้ายก๊าซมีตระกูล)<ref> {{อ้างอิงวารสาร |last=Kratz |first=JV |date=2012-08-01 |title=ผลกระทบของคุณสมบัติของธาตุที่หนักที่สุดต่อเคมีและวิทยาศาสตร์กายภาพ |url=https://www.degruyter.com /document/doi/10.1524/ract.2012.1963/html |journal=Radiochimica Acta |language=th |volume=100 |issue=8–9 |pages=569–578 |doi=10.1524/ract.2012.1963 |s2cid=97915854 | issn=2193-3405}}</ref><ref> {{อ้างอิงเว็บ |title=บ่งชี้ถึงสารระเหย 114 |url=http://doc.rero.ch/record/290779/files/ract.2010.1705.pdf |website=doc.rero.ch}}</ref> |
|||
ก๊าซมีตระกูลรวมถึงฮีเลียมสามารถสร้าง [[โมเลกุลไอออน]] ที่เสถียรในเฟสของก๊าซ วิธีที่ง่ายที่สุดคือ [[ฮีเลียมไฮไดรด์ไอออน|ฮีเลียมไฮไดรด์โมเลกุลไอออน]], HeH <sup>+</sup> ค้นพบในปี 2468<ref> {{cite journal |author1=Hogness, TR |author2=Lunn, EG |title=การแตกตัวเป็นไอออนของไฮโดรเจนโดยการกระทบของอิเล็กตรอนตามที่ตีความโดยการวิเคราะห์รังสีบวก |journal=Physical Review |ปี=1925 |volume=26 |issue=1 | หน้า=44–55 |ดอย=10.1103/PhysRev.26.44 |bibcode=1925PhRv...26...44H}}</ref> เนื่องจากประกอบด้วยธาตุที่มีมากที่สุด 2 ชนิดในเอกภพ ได้แก่ ไฮโดรเจนและฮีเลียม จึงเชื่อว่าเกิดขึ้นตามธรรมชาติใน [[ตัวกลางระหว่างดวงดาว]] และในที่สุดก็ถูกตรวจพบในเดือนเมษายน 2019 โดยใช้อากาศ [[หอดูดาวสตราโตสเฟียร์สำหรับอินฟราเรด ดาราศาสตร์|กล้องโทรทรรศน์โซเฟีย]]. นอกจากไอออนเหล่านี้แล้ว ยังมีก๊าซมีตระกูลที่เป็นกลาง [[excimer]] อีกหลายชนิด เหล่านี้เป็นสารประกอบเช่น ArF และ KrF ที่เสถียรเฉพาะเมื่ออยู่ใน [[สถานะกระตุ้น|สถานะอิเล็กทรอนิกส์ตื่นเต้น]]; บางส่วนพบการใช้งานใน [[excimer laser]]s |
|||
นอกจากสารประกอบที่อะตอมของก๊าซมีตระกูลมีส่วนร่วมใน [[พันธะโควาเลนต์]] แล้ว ก๊าซมีตระกูลยังก่อตัวเป็นสารประกอบ [[ที่ไม่ใช่โควาเลนต์]] [[clathrate]]s อธิบายครั้งแรกในปี 1949<ref> {{cite Journal |title=An Inert Gas Compound |author1=Powell, HM |author2=Guter, M. |name-list-style=amp |journal=Nature |volume=164 |pages=240–241 |year=1949 |ดอย=10.1038/164240b0 |pmid=18135950 |issue=4162|bibcode= 1949Natur.164..240P |s2cid=4134617 }}</ref> ประกอบด้วยอะตอมของก๊าซมีตระกูลที่ติดอยู่ภายในโพรงของ [[ผลึกขัดแตะ]] ของสารอินทรีย์และอนินทรีย์บางชนิด เงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการก่อตัวของพวกมันคืออะตอมของแขก (ก๊าซมีตระกูล) จะต้องมีขนาดที่เหมาะสมเพื่อให้พอดีกับโพรงของโครงตาข่ายคริสตัลโฮสต์ ตัวอย่างเช่น อาร์กอน คริปทอน และซีนอนสร้างคลาเทรตด้วย [[ไฮโดรควิโนน]] แต่ฮีเลียมและนีออนไม่มีเพราะพวกมันมีขนาดเล็กเกินไปหรือไม่เพียงพอ<ref> {{harvnb|กรีนวูด|1997|p=893}}</ref> นีออน อาร์กอน คริปทอน และซีนอนยังก่อตัวเป็นคลาเทรตไฮเดรต ซึ่งก๊าซมีตระกูลจะถูกขังอยู่ในน้ำแข็ง<ref> {{cite Journal |author=Dyadin, Yuri A.|doi=10.1070/MC1999v009n05ABEH001104 |title=Clathrate ไฮเดรตของไฮโดรเจนและนีออน |journal=Mendeleev Communications |volume=9 |issue=5 |year=1999 |pages=209–210 |display-authors=etal}}</ref> |
|||
[[ไฟล์:Endohedral fullerene.png|thumb|สารประกอบเอนโดฮีดรัลฟูลเลอรีนที่มีอะตอมของก๊าซมีตระกูล|alt=โครงร่างของบัคมินสเตอร์ฟูลเลอรีนที่มีอะตอมพิเศษอยู่ตรงกลาง]] |
|||
ก๊าซมีตระกูลสามารถก่อตัวเป็น [[เอนโดฮีดรัลฟูลเลอรีน #สารประกอบฟูลเลอรีนเจือด้วยสารที่ไม่ใช่โลหะ|เอนโดฮีดรัล ฟูลเลอรีน]] ซึ่งอะตอมของก๊าซมีตระกูลถูกขังอยู่ภายในโมเลกุล [[ฟูลเลอรีน]] ในปี 1993 มีการค้นพบว่าเมื่อ {{chem|C|60}} ซึ่งเป็นโมเลกุลทรงกลมที่ประกอบด้วย 60 [[คาร์บอน]] อะตอม สัมผัสกับก๊าซมีตระกูลที่ความดันสูง [[ซับซ้อน (เคมี)|ซับซ้อน]] es เช่น {{chem|He@C|60}} สามารถสร้างขึ้นได้ (สัญลักษณ์ ''@'' ระบุว่ามีเขาอยู่ภายใน {{chem|C|60}} แต่ไม่ผูกพันโควาเลนต์กับมัน)<ref> {{cite journal|title=สารประกอบที่เสถียรของฮีเลียมและนีออน He@C60 and Ne@C60|author1=Saunders, M. |author2=Jiménez-Vázquez, HA |author3=Cross, RJ |author4=Poreda, RJ |journal=[[วิทยาศาสตร์ (วารสาร)|วิทยาศาสตร์]]|ปี= 1993|volume=259|pages=1428–1430|doi=10.1126/science.259.5100.1428|pmid=17801275|issue=5100|bibcode= 1993Sci...259.1428S |s2cid=41794612 }}</ref> ในปี 2008 เอ็นโดฮีดรัลคอมเพล็กซ์ที่มีฮีเลียม นีออน อาร์กอน คริปทอน และซีนอนได้ถูกสร้างขึ้น<ref> {{cite journal|title=การรวมตัวของฮีเลียม นีออน อาร์กอน คริปทอน และซีนอนในฟูลเลอรีนโดยใช้แรงดันสูง|author1=Saunders, Martin |author2=Jimenez-Vazquez, Hugo A. |author3=Cross, R. James |author4 =Mroczkowski, Stanley |author5=Gross, Michael L. |author6=Giblin, Daryl E. |author7=Poreda, Robert J. |journal=[[J. เช้า. เคมี Soc.]]|ปี=1994|volume=116|issue=5|pages=2193–2194|doi=10.1021/ja00084a089}}</ref> พบสารประกอบเหล่านี้ใช้ในการศึกษาโครงสร้างและความว่องไวต่อปฏิกิริยาของฟูลเลอรีนโดยวิธี [[นิวเคลียร์ แมกเนติก เรโซแนนซ์]] ของอะตอมของก๊าซมีตระกูล<ref> {{อ้างอิงวารสาร|last1=Frunzi|first1=Michael|last2=Cross|first2=R Jame|last3=Saunders|first3=Martin|title=ผลของซีนอนต่อปฏิกิริยาฟูลเลอรีน|journal=[[Journal of the American Chemical Society]]|ปี=2007|volume=129|doi=10.1021/ja075568n|pages=13343– 6|pmid=17924634|issue=43|url=https://figshare.com/articles/journal_contribution/2977702}}</ref> ( ดูข้อความ)]] |
|||
สารประกอบของก๊าซมีตระกูล เช่น [[ซีนอนไดฟลูออไรด์]] ({{chem|XeF|2}}) ถูกพิจารณาว่าเป็น [[ไฮเปอร์วาเลนต์]] เนื่องจากพวกมันละเมิด [[กฎออกเตต]] พันธะในสารประกอบดังกล่าวสามารถอธิบายได้โดยใช้แบบจำลอง [[พันธะสามศูนย์สี่อิเล็กตรอน]]<ref> {{harvnb|กรีนวูด|1997|p=897}}</ref><ref> {{harvnb|เวนโฮลด์|2005|pp=275–306}}</ref> แบบจำลองนี้เสนอครั้งแรกในปี พ.ศ. 2494 พิจารณาถึงพันธะของอะตอมคอลลิเนียร์สามตัว ตัวอย่างเช่น พันธะใน {{chem|XeF|2}} อธิบายโดยชุดของ [[molecular orbital]]s (MO) สามชุดที่ได้มาจาก [[p-orbital]] บนแต่ละอะตอม พันธะผลลัพธ์จากการรวมกันของ p-orbital ที่เติมจาก Xe กับ p-orbital ที่เติมครึ่งหนึ่งจากแต่ละอะตอม [[ฟลูออรีน| F]] ทำให้เกิดออร์บิทัลที่มีพันธะที่เติมเต็ม, ออร์บิทัลที่ไม่มีพันธะที่เติม และว่างเปล่า [ [antibonding]] ออร์บิทัล [[การโคจรของโมเลกุลที่ถูกครอบครองสูงสุด]] ถูกแปลเป็นภาษาท้องถิ่นบนอะตอมของปลายทั้งสอง สิ่งนี้แสดงถึงตำแหน่งของประจุที่อำนวยความสะดวกโดยค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงของฟลูออรีน<ref> {{cite journal|last=Pimentel|first=GC|title= พันธะของไอออนไตรฮาไลด์และไบฟลูออไรด์โดยวิธีการโคจรระดับโมเลกุล|ปี=1951|issue=4|pages=446–448|doi=10.1063/1.1748245|journal= วารสารฟิสิกส์เคมี|volume=19|bibcode= 1951JChPh..19..446P }}</ref> |
|||
คุณสมบัติทางเคมีของก๊าซมีตระกูลที่หนักกว่า คริปทอนและซีนอน ได้รับการยอมรับอย่างดี เคมีของสารที่เบากว่า อาร์กอนและฮีเลียมยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ในขณะที่ยังไม่สามารถระบุสารประกอบของนีออนได้ |
|||
{{ชัดเจน}} |
|||
== การมีอยู่ธรรมชาติและการผลิต == |
== การมีอยู่ธรรมชาติและการผลิต == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:47, 11 สิงหาคม 2566
แก๊สมีสกุล | |||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| |||||||||||
↓ คาบ | |||||||||||
1 | ฮีเลียม (He) 2 | ||||||||||
2 | นีออน (Ne) 10 | ||||||||||
3 | อาร์กอน (Ar) 18 | ||||||||||
4 | คริปตอน (Kr) 36 | ||||||||||
5 | ซีนอน (Xe) 54 | ||||||||||
6 | เรดอน (Rn) 86 | ||||||||||
7 | โอกาเนสซอน (Og) 118 | ||||||||||
คำอธิบาย
| |||||||||||
แก๊สมีตระกูล (ในอดีตเรียกว่า แก๊สเฉื่อย หรือบางครั้งใช้ชื่อว่า aerogens[1]) เป็นกลุ่มของธาตุทางเคมีซึ่งมีสมบัติคล้ายกัน ภายใต้ภาวะมาตรฐานสำหรับอุณหภูมิและความดันธาตุเหล่านี้ต่างไม่มีกลิ่น ไม่มีสี เป็นแก๊สอะตอมเดี่ยวซึ่งไม่มีความว่องไวต่อปฏิกริยาเคมี แก๊สมีตระกูลที่เกิดในธรรมชาติทั้งหกธาตุ ได้แก่ ฮีเลียม (He), นีออน (Ne), อาร์กอน (Ar), คริปทอน (Kr), ซีนอน (Xe) และเรดอน (Rn)
แก๊สมีตระกูลมีคุณสมบัติดังนี้
- เป็นแก๊สที่ไม่ทำปฏิกิริยากับธาตุอื่น ๆ เพราะอิเล็กตรอนชั้นนอกสุด (valence electron) ครบ 8 ตัว (ยกเว้น He ที่มี 2 ตัว)
- มีสถานะเป็นแก๊สทั้งหมด (1 โมเลกุล ประกอบด้วยอะตอม 1 อะตอม) ได้แก่ He, Ar, Kr, Rn
- ปัจจุบันพบแก๊สเฉื่อยบางชนิด เช่น Kr และ Xe สามารถทำปฏิกิริยากับ F และ O ได้ เช่น KrF2, XeF2, XeF4, XeF6, XeO3, XeO4
- แก๊สเฉื่อยมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลเป็น "วันเดอร์วาลส์" จึงทำให้มีจุดเดือดจุดหลอมเหลวต่ำ
ประวัติ
แก๊สมีตระกูล ถูกแปลมาจากคำว่า Edelgas ในภาษาเยอรมัน คำดังกล่าวถูกใช้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1898 โดยฮิวโก้ เอิร์ดแมนน์[2] เพื่อบ่งบอกถึงระดับความว่องไวต่อปฏิกิริยาที่ต่ำ ชื่อนี้ถูกตั้งด้วยเหตุผลเดียวกับ "โลหะมีสกุล" ซึ่งมีค่าความว่องไวต่อปฏิกิริยาที่ต่ำเช่นเดียวกัน อีกชื่อของแก๊สมีตระกูลอย่างแก๊สเฉื่อยไม่ได้รับความนิยมแล้ว เนื่องจากสารประกอบของก๊าซมีตระกูลเป็นที่รู้จักมากกว่าเดิม[3] และ แก๊สหายาก ซึ่งเป็นอีกชื่อที่เคยถูกใช้[4] ถูกตั้งอย่างไม่ถูกต้อง เพราะการสลายตัวของกัมมันตภาพรังสีโพแทสเซียม-40 ทำให้อาร์กอนเป็นส่วนประกอบของบรรยากาศของโลกมากถึง 0.94% โดยปริมาตร และ 1.3% โดยมวล[5]
ปีแยร์ ฌ็องซ็อง และนอร์แมน ล็อกเยอร์ค้นพบธาตุใหม่ในวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1868 ขณะมองไปที่ชั้นโครโมสเฟียร์ของดวงอาทิตย์ และตั้งชื่อมันว่าฮีเลียม จากคำว่า ἥλιος (hḗlios)[6] ซึ่งมีความหมายในภาษากรีกว่าดวงอาทิตย์ การวิเคราะห์ทางเคมีที่สามารถพิสูจน์ว่าฮีเลียมเป็นแก๊สมีตระกูลเกิดขึ้นในภายหลัง ก่อนการพิสูจน์ดังกล่าว เมื่อ ค.ศ. 1784 นักเคมีและนักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ เฮนรี คาเวนดิชค้นพบสารจำนวนน้อยในอากาศที่มีความว่องไวต่อปฏิกิริยาต่ำกว่าไนโตรเจน[7] ต่อมาในปี ค.ศ. 1895 จอห์น วิลเลียม สตรัทท์ หรือ ลอร์ดเรย์ลี่ ค้นพบว่าสารไนโตรเจนตัวอย่างจากอากาศมีความหนาแน่นต่างจากไนโตรเจนที่ได้จากปฏิกิริยาเคมี ร่วมกันกับนักวิทยาศาสตร์ชาวสกอตแลนด์ วิลเลียม แรมซีย์จากยูนิเวอร์ซิตีคอลลิจลันเดิน เรย์ลี่ได้ตั้งทฤษฎีขึ้นว่าไนโตรเจนที่สกัดได้จากอากาศถูกปนเปื้อนกับแก๊สอื่น นำไปสู่การทดลองที่ประสบความสำเร็จในการสกัดธาตุใหม่อย่างอาร์กอน ซึ่งถูกตั้งชื่อจากคำภาษากรีกว่า ἀργός (argós ซึ่งมีความหมายว่า "ไม่ได้ใช้งาน" หรือ "ขี้เกียจ")[7] การค้นพบใหม่ทำให้พวกเขาตระหนักว่ามีแก๊สจำนวนมากหายไปจากตารางธาตุ ในการทดลองเพื่อหาธาตุอาร์กอน แรมซีย์ก็ยังพบวิธีสกัดฮีเลียมเป็นครั้งแรก ขณะให้ความร้อนแก่แร่ธาตุชื่อ คลีเวตหลังได้รับหลักฐานการมีอยู่ของธาตุฮีเลียมและอาร์กอน ในปี ค.ศ. 1902 ดมีตรี เมนเดเลเยฟได้เพิ่มแก๊สมีตระกูลทั้งสองลงในกลุ่มที่ 0 ของลำดับการเรียงธาตุของเขา ภายหลังรู้จักในชื่อตารางธาตุ[8]
แรมซีย์ทำการทดลองหาแก๊สมีตระกูลต่อไป ด้วยการใช้วิธีการกลั่นแบบลำดับส่วนในการแยกอากาศเหลวกลายเป็นส่วนประกอบต่างๆ จนปี ค.ศ. 1898 เขาได้ค้นพบธาตุ คริปทอน, นีออน, และ ซีนอน ซึ่งถูกตั้งชื่อตามคำภาษากรีกว่า κρυπτός (kryptós, "หาย"), νέος (néos, "ใหม่") และ ξένος (ksénos, "แปลก") ตามลำดับ เรดอนถูกค้นพบตั้งแต่ ค.ศ. 1898 โดยฟรีดริช เอิร์นสท์ ดอร์น[9] และ ถูกตั้งชื่อจากการแผ่รังสีเรเดียม แต่เรดอนเพิ่งถูกจัดเป็นแก๊สมีตระกูลหลังปี ค.ศ. 1904 เมื่อคุณสมบัติต่าง ๆ ถูกค้นพบว่ามีลักษณะเหมือนกับแก๊สมีตระกูลอื่นๆ [10] เรย์ลี่และแรมซีย์ได้รับรางวัลโนเบล ประจำปี ค.ศ. 1904 ในสาขาฟิสิกส์และเคมี จากการค้นพบการมีอยู่ของแก๊สมีตระกูล[11][12] เจ. อี. เซเดอร์บลอม ประธานกลุ่มราชบัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน กล่าวไว้ว่า "การค้นพบกลุ่มของธาตุใหม่ทั้งหมด โดยที่ยังไม่มีธาตุใดเป็นต้นแบบของกลุ่มอยู่เลย นับเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และมีเอกลักษณ์มากในประวัติศาสตร์ของเคมีวิทยา สิ่งนี้จะเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญต่อการค้นคว้า"[12]
การค้นคว้าเกี่ยวกับแก๊สมีตระกูลมีส่วนช่วยอย่างมากในการพัฒนาองค์ความรู้ด้านโครงสร้างอะตอม ในปี ค.ศ. 1895 นักเคมีวิทยาชาวฝรั่งเศส อองรี มอยส์ซานได้พยายามสร้างปฏิกิริยาเคมีระหว่างฟลูออรีนที่มีคุณสมบัติอิเล็กโตรเนกาทิวิตีสูง และอาร์กอน หนึ่งในแก๊สมีตระกูล แต่การทดลองกลับล้มเหลว การเตรียมสารประกอบอาร์กอนยังเป็นไปไม่ได้จนจบคริสต์ศตวรรษที่ 20 แต่การท้าทายความเป็นไปได้ดังกล่าวทำให้เกิดทฤษฎีของโครงสร้างอะตอมใหม่ ๆ ตามมา ด้วยความรู้จากการทดลองที่ผ่านมา เมื่อปี ค.ศ. 1913 นักฟิสิกส์ชาวเดนิช นิลส์ โปร์เสนอทฤษฎีโครงสร้างอะตอมว่า อิเล็กตรอนในอะตอมต่างถูกเรียงอยู่ภายในชั้นพลังงานรอบนิวเคลียส และธาตุทั้งหมดในแก๊สมีตระกูลยกเว้นฮีเลียม ล้วนมีอิเล็กตรอนในระดับพลังงานวงนอกครบ 8 อิเล็กตรอนเสมอ[13] ต่อมาในปี ค.ศ. 1916 กิลเบิร์ต เอ็น ลูอิสได้คิดค้นกฎออกเตตซึ่งสามารถสรุปได้ว่าการจับตัวครบแปดของอิเล็กตรอนในระดับพลังงานวงนอกเป็นการจัดเรียงตัวที่เสถียรที่สุดสำหรับอะตอมใดๆ โดยธาตุที่มีการจัดรูปแบบนี้จะไม่ตอบสนองต่อธาตุอื่น ๆ เนื่องจากไม่ต้องการอิเล็กตรอนมารวมในระดับพลังงานวงนอกอีกแล้ว[14]
ในปี ค.ศ. 1962 นักเคมี นีล บาร์ตเลตต์ค้นพบซีนอนเฮกซะฟลูออโรแพลทิเนต[15] สารประกอบของก๊าซมีตระกูลที่ถูกค้นพบเป็นครั้งแรก สารประกอบของแก๊สมีตระกูลชนิดอื่นถูกค้นพบในเวลาต่อมา เช่น สารประกอบของธาตุเรดอนอย่างเรดอนไดฟลูออไรด์ (RnF
2) [16] ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1962 จากรอยสารกัมมันตภาพรังสี สารประกอบของธาตุคริปทอนอย่างคริปทอนไดฟลูออไรด์ (KrF
2)[17]ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1963 ส่วนสารประกอบอาร์กอนตัวแรกที่เสถียรถูกบันทึกไว้ในปี ค.ศ. 2000 เมื่ออาร์กอนฟลูออโรไฮไดรด์ (HArF) เกิดการจับตัวที่อุณหภูมิ 40 เคลวิน (−233.2 องศาเซลเซียส; −387.7 องศาฟาเรนไฮต์)[18]
ในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2006 นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันร่วมเพื่อการวิจัยนิวเคลียร์ และห้องปฏิบัติการแห่งชาติ ลอว์เรนซ์ ลิเวอร์มอร์สามารถสังเคราะห์โอกาเนสซอนซึ่งเป็นธาตุที่ 17 ในกลุ่มที่ 18 ของตารางธาตุ[19]ได้สำเร็จ ด้วยการรวมตัวของแคลิฟอร์เนียมกับแคลเซียม[20]
สมบัติทางกายภาพและอะตอม
สมบัติ[13][21] | ฮีเลียม | นีออน | อาร์กอน | คริปทอน | ซีนอน | เรดอน | โอกาเนสซอน |
---|---|---|---|---|---|---|---|
ความหนาแน่น (g/dm3) | 0.1786 | 0.9002 | 1.7818 | 3.708 | 5.851 | 9.97 | 7200 (ค่าทำนาย)[22] |
จุดเดือด (K) | 4.4 | 27.3 | 87.4 | 121.5 | 166.6 | 211.5 | 450±10 (ค่าทำนาย)[22] |
จุดหลอมเหลว (K) | –[23] | 24.7 | 83.6 | 115.8 | 161.7 | 202.2 | 325±15 (ค่าทำนาย[22] |
ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอ (kJ/mol) | 0.08 | 1.74 | 6.52 | 9.05 | 12.65 | 18.1 | – |
การละลาย ในน้ำที่อุณหภูมิ 20 °C (cm3/kg) | 8.61 | 10.5 | 33.6 | 59.4 | 108.1 | 230 | – |
เลขอะตอม | 2 | 10 | 18 | 36 | 54 | 86 | 118 |
รัศมีอะตอม (จากการคำนวณ) (pm) | 31 | 38 | 71 | 88 | 108 | 120 | – |
พลังงานไอออไนเซชัน (kJ/mol) | 2372 | 2080 | 1520 | 1351 | 1170 | 1037 | 839 (ค่าทำนาย)[24] |
อิเล็กโตรเนกาทิวิตี[25] | 4.16 | 4.79 | 3.24 | 2.97 | 2.58 | 2.60 | 2.59[26] |
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ดูต่อที่ Noble gas (data page)
แก๊สมีตระกูลมีแรงระหว่างอะตอม ที่อ่อน ส่งผลให้มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวที่ต่ำมาก แก๊สมีตระกูลเป็นแก๊สอะตอมเดี่ยว ภายใต้ภาวะมาตรฐาน รวมถึงเป็นธาตุที่มีมวลอะตอมสูงกว่าธาตุที่เป็นของแข็งทั่วไป[27] ฮีเลียมมีปริมาณที่เป็นเอกลักษณ์กว่าธาตุอื่น โดยมีจุดเดือดที่ 1 บรรยากาศมาตรฐานต่ำกว่าสสารอื่น ฮีเลียมเป็นธาตุเดียวที่แสดงสมบัติของของไหลยวดยิ่งและเป็นธาตุเดียวที่ไม่สามารถทำให้เป็นของแข็งด้วยการลดอุณหภูมิที่ความดันบรรยากาศ[28] (ปรากฏการณ์นี้สามารถอธิบายด้วยกลศาสตร์ควอนตัมว่าพลังงานจุดศูนย์ มากเกินไปที่จะเกิดการเยือกแข็ง)[29] – ต้องให้ความดัน 25 บรรยากาศมาตรฐาน (2,500 กิโลปาสกาล; 370 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) ที่อุณหภูมิ 0.95 เคลวิน (−272.200 องศาเซลเซียส; −457.960 องศาฟาเรนไฮต์) เพื่อเปลี่ยนให้ฮีเลียมเป็นของแข็ง[28] ในขณะที่ต้องใช้ความดันประมาณ 115 kbar สำหรับอุณหภูมิห้อง[30] แก๊สมีตระกูลจนถึงซีนอนมีไอโซโทปที่เสถียรหลายไอโซโทป เรดอนไม่มีไอโซโทปเสถียร โดยไอโซโทปที่คงตัวได้นานที่สุดคือ [[222Rn]] ด้วยครึ่งชีวิต 3.8 วันและสลายเป็นฮีเลียมกับพอโลเนียม ซึ่งจะสลายต่อเป็นตะกั่ว จุดหลอมเหลวและจุดเดือดจะเพิ่มขึ้นไล่จากบนลงล่างของหมู่
อะตอมของแก๊สมีตระกูลเช่นเดียวกันกับอะตอมในหมู่ส่วนใหญ่ มีรัศมีอะตอมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากคาบหนึ่งไปอีกคาบหนึ่งเนื่องจากการเพิ่มจำนวนของอิเล็กตรอน ขนาดของอะตอมสัมพันธ์กับสมบัติหลายประการ ตัวอย่างเช่นพลังงานไอออไนเซชันกลับกันกับรัศมีที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเวเลนซ์อิเล็กตรอนในแก๊สมีตระกูลที่ใหญ่กว่าจะห่างจากนิวเคลียสทำให้อิเล็กตรอนไม่ได้กระจุกตัวอย่างแน่นในอะตอมเท่ากับแก๊สมีตระกูลที่เล็กกว่า แก๊สมีตระกูลมีพลังงานไอออไนเซชันมากที่สุดเมื่อเทียบกับธาตุในคาบเดียวกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเสถียรของการจัดเรียงอิเล็กตรอนและสัมพันธ์กับความไม่ว่องไวต่อปฏิกิริยาเคมี[31] แต่อย่างไรก็ตาม แก๊สมีตระกูลที่หนักบางธาตุมีพลังงานไอออไนเซชันน้อยพอที่จะเปรียบเทียบกับธาตุและโมเลกุลอื่น ข้อมูลเชิงลึกระบุว่าซีนอนมีพลังงานไอออไนเซชันเท่ากับโมเลกุลออกซิเจน ทำให้บาร์ทเล็ตพยายามออกซิไดส์ซีนอนด้วยแพทตินัมเฮกซะฟลูออไรด์ ซึ่งเป็นตัวออกซิไดซ์ที่แรงมากพอให้เกิดปฏิกิริยากับออกซิเจน[32] แก๊สมีตระกูลไม่สามารถรับอิเล็กตรอนจากแอนไอออน เนื่องจากมีสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนน้อยกว่าศูนย์[33]
สมบัติทางกายภาพของแก๊สมีตระกูลถูกกำหนดโดยแรงแวนเดอร์วาลส์ระหว่างอะตอมที่อ่อน แรงดึงดูดเพิ่มขึ้นตามขนาดของอะตอมเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของสภาพมีขั้วได้ และการลดลงของพลังงานไอออนไนเซชัน นั่นส่งผลให้เกิดแนวโน้มของค่าต่าง ๆ ไล่จากบนลงล่างตามธาตุหมู่ 18 โดยรัศมีอะตอมและแรงระหว่างอะตอมจะเพิ่มขึ้น ทำให้จุดเดือด จุดหลอมเหลว ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอและความสามารถในการละลาย ส่วนการเพิ่มขึ้นของความหนาแน่นเกิดจากการเพิ่มของมวลอะตอม[31]
แก๊สมีตระกูลมีสมบัติใกล้เคียงแก๊สอุดมคติภายใต้ภาวะมาตรฐาน แต่เมื่อพิจารณาค่าเบี่ยงเบนจากกฎของแก๊สอุดมคติจะนำไปสู่การศึกษาเกี่ยวกับแรงระหว่างโมเลกุล ศักย์เลนนาร์ด-โจนส์ มักถูกใช้ในการจำลองปฏิสัมพันธ์ระหว่างโมเลกุล เป็นโมเดลที่เสนอใน ค.ศ. 1924 โดย โจห์น เลนนาร์ด-โจนส์ จากข้อมูลที่ทดลองกับอาร์บอนก่อนที่กลศาสตร์ควอนตัมจะให้เครื่องมือสำหรับการทำความเข้าใจเรื่องแรงระหว่าโมเลกุลด้วยหลักการแรกเริ่ม[34] การวิเคราะห์เชิงทฤษฎีของปฏิสัมพันธ์เหล่านี้สามารถทำได้ง่ายเพราะแก๊สมีตระกูลเป็นแก๊สอะตอมเดี่ยวและเป็นทรงกลม หมายความว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างอะตอมไม่ขึ้นกับทิศทางหรือมีสมบัติเป็นไอโซทรอปิก
สมบัติทางเคมี
ก๊าซมีตระกูลไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส และไม่ติดไฟภายใต้สภาวะมาตรฐาน[32] ครั้งหนึ่งพวกมันถูกระบุว่าเป็นหมู่ 0 ในตารางธาตุเพราะเชื่อว่าพวกมันมีวาเลนซ์เป็นศูนย์ ซึ่งหมายความว่าอะตอมของพวกมันไม่สามารถรวมตัวกับธาตุอื่นเพื่อสร้างสารประกอบได้ อย่างไรก็ตาม มีการค้นพบในภายหลังว่าบางชนิดก่อตัวเป็นสารประกอบ ทำให้ฉลากนี้เลิกใช้ไป[11]
การจัดเรียงอิเล็กตรอน
เช่นเดียวกับกลุ่มอื่น ๆ สมาชิกของครอบครัวนี้แสดงรูปแบบในการกําหนดค่าอิเล็กตรอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเปลือกนอกสุดที่ส่งผลให้เกิดแนวโน้มในพฤติกรรมทางเคมี:
เช่นเดียวกับกลุ่มอื่นๆ สมาชิกของตระกูลนี้แสดงรูปแบบใน โครงแบบอิเล็กตรอน โดยเฉพาะชั้นนอกสุดที่ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมทางเคมี:
เลขอะตอม | ธาตุ | จำนวนอิเล็กตรอน/เปลือก |
---|---|---|
2 | ฮีเลียม | 2 |
10 | นีออน | 2, 8 |
18 | อาร์กอน | 2, 8, 8 |
36 | คริปทอน | 2, 8, 18, 8 |
54 | ซีนอน | 2, 8, 18, 18, 8 |
86 | เรดอน | 2, 8, 18, 32, 18, 8 |
118 | ออกาเนสสัน | 2, 8, 18, 32, 32, 18, 8 (คาดคะเน) |
ก๊าซมีตระกูลมีเปลือกอิเล็กตรอนเต็มเวเลนซ์ เวเลนซ์อิเล็กตรอนเป็นอิเล็กตรอนวงนอกสุดของอะตอม และโดยปกติจะเป็นอิเล็กตรอนเพียงตัวเดียวที่ร่วมสร้างพันธะเคมี อะตอมที่มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเต็มวงจะเสถียรมาก ดังนั้นจึงไม่มีแนวโน้มที่จะสร้างพันธะเคมี และมีแนวโน้มน้อยที่จะได้รับหรือสูญเสียอิเล็กตรอน[33] อย่างไรก็ตาม ก๊าซมีตระกูลที่หนักกว่า เช่น เรดอน จะถูกจับกันด้วยแรงแม่เหล็กไฟฟ้าน้อยกว่าก๊าซมีตระกูลที่เบากว่า เช่น ฮีเลียม ทำให้ง่ายต่อการกำจัดอิเล็กตรอนภายนอกออกจากก๊าซมีตระกูลหนัก ใช้ร่วมกับสัญกรณ์การกำหนดค่าอิเล็กตรอนเพื่อสร้างสัญกรณ์ก๊าซมีตระกูล ในการทำเช่นนี้ ก๊าซมีตระกูลที่ใกล้ที่สุดซึ่งอยู่ก่อนหน้าองค์ประกอบที่เป็นปัญหาจะถูกเขียนขึ้นก่อน จากนั้นจึงจัดโครงแบบอิเล็กตรอนต่อจากจุดนั้นไปข้างหน้า ตัวอย่างเช่น สัญกรณ์อิเล็กตรอนของฟอสฟอรัสคือ 1s2 2s2 2p6 3s2 3p3 ในขณะที่สัญลักษณ์ของก๊าซมีตระกูลคือ [Ne] 3s2 3p3 สัญกรณ์ที่กะทัดรัดกว่านี้ทำให้ระบุธาตุได้ง่ายขึ้น และสั้นกว่าการเขียนสัญกรณ์ทั้งหมดของออร์บิทัลของอะตอม[34]
ก๊าซมีตระกูลจะข้ามขอบเขตระหว่างบล็อก—ฮีเลียมเป็นองค์ประกอบ s ในขณะที่สมาชิกที่เหลือคือ องค์ประกอบ p—ซึ่งผิดปกติในกลุ่ม IUPAC กลุ่ม IUPAC อื่นๆ ทั้งหมดมีองค์ประกอบจากแต่ละบล็อก สิ่งนี้ทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันในแนวโน้มทั่วทั้งตาราง และด้วยเหตุนี้นักเคมีบางคนจึงเสนอว่าควรย้ายฮีเลียมไปยังกลุ่มที่ 2 เพื่อให้เข้ากับองค์ประกอบ s2 อื่นๆ[35][36][37] แต่โดยทั่วไปแล้วการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้ .
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
สารประกอบ
ก๊าซมีตระกูลแสดงสารเคมีที่ต่ำมาก [ [ปฏิกิริยา (เคมี)|ปฏิกิริยา]]; ดังนั้นจึงมีการสร้าง สารประกอบก๊าซมีตระกูล เพียงไม่กี่ร้อยรายการเท่านั้น สารประกอบ ที่เป็นกลางซึ่งฮีเลียมและนีออนมีส่วนร่วมใน พันธะเคมี ยังไม่ก่อตัวขึ้น (แม้ว่าจะมีไอออนที่มีฮีเลียมอยู่บ้าง และมีหลักฐานทางทฤษฎีบางอย่างสำหรับไอออนที่เป็นกลางซึ่งมีฮีเลียมอยู่บ้าง ) ในขณะที่ซีนอน คริปทอน และอาร์กอนแสดงปฏิกิริยาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น[35] ปฏิกิริยาเป็นไปตามลำดับ Ne < He < Ar < Kr < Xe < Rn ≪ Og.
ในปี 1933 Linus Pauling ทำนายว่าก๊าซมีตระกูลที่หนักกว่าสามารถสร้างสารประกอบที่มีฟลูออรีนและออกซิเจน เขาทำนายการมีอยู่ของ krypton hexafluoride (KrF
6) และ xenon hexafluoride (XeF
6) โดยสันนิษฐานว่า XeF
8 อาจมีอยู่เป็นสารประกอบที่ไม่เสถียร และแนะนำว่า xenic acid สามารถสร้างเกลือ perxenate ได้[36][37] การคาดคะเนเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าโดยทั่วไปมีความแม่นยำ ยกเว้นว่า XeF
8 ในขณะนี้ถือว่าทั้ง อุณหพลศาสตร์ และ จลนศาสตร์ ไม่เสถียร[38]
สารประกอบซีนอนเป็นสารประกอบของก๊าซมีตระกูลจำนวนมากที่สุดที่ก่อตัวขึ้น[39] ส่วนใหญ่มีอะตอมของซีนอนใน สถานะออกซิเดชัน ที่ +2, +4, +6 หรือ +8 ที่สร้างพันธะกับอะตอมที่มี ไฟฟ้าลบ สูง เช่น ฟลูออรีนหรือออกซิเจน เช่นใน [[ซีนอนไดฟลูออไรด์] ] (XeF
2), ซีนอนเตตระฟลูออไรด์ (XeF
4), ซีนอนเฮกซาฟลูออไรด์ (XeF
6), [ [ซีนอนเตทรอกไซด์]] (XeO
4) และโซเดียมเปอร์ซีเนต (Na
4XeO
6) ซีนอนทำปฏิกิริยากับฟลูออรีนเพื่อสร้างซีนอนฟลูออไรด์จำนวนมากตามสมการต่อไปนี้:
- Xe + F 2 → XeF 2
- Xe + 2F 2 → XeF 4
- Xe + 3F 2 → XeF 6
บางส่วนของ สารประกอบเหล่านี้พบว่าใช้ใน การสังเคราะห์ทางเคมี เป็น ตัวออกซิไดซ์s; โดยเฉพาะอย่างยิ่ง XeF
2 มีจำหน่ายในเชิงพาณิชย์และสามารถใช้เป็นตัวแทน fluorinating[40] ในปี พ.ศ. 2550 มีการระบุสารประกอบของซีนอนประมาณห้าร้อยตัวที่จับกับธาตุอื่นๆ รวมทั้งสารประกอบออร์แกนซีนอน (ที่มีซีนอนจับกับคาร์บอน) และซีนอนจับกับไนโตรเจน คลอรีน ทอง ปรอท และซีนอนเอง[35][41] สารประกอบของซีนอนที่จับกับโบรอน ไฮโดรเจน โบรมีน ไอโอดีน เบริลเลียม กำมะถัน ไททาเนียม ทองแดง และเงิน ยังพบได้เฉพาะที่อุณหภูมิต่ำในก๊าซมีตระกูล matrices หรือในก๊าซมีตระกูลที่มีความเร็วเหนือเสียง .[35]
เรดอนมีปฏิกิริยามากกว่าซีนอน และสร้างพันธะเคมีได้ง่ายกว่าซีนอน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกัมมันตภาพรังสีสูงและครึ่งชีวิตสั้นของ เรดอนไอโซโทป จึงเกิดเรดอนเพียงไม่กี่ ฟลูออไรด์ และ ออกไซด์ เท่านั้น[42] เรดอนก้าวไปสู่พฤติกรรมของโลหะมากกว่าซีนอน ไดฟลูออไรด์ RnF 2 เป็นไอออนิกสูง และ Rn 2+ ประจุบวกจะเกิดขึ้นในสารละลายฮาโลเจนฟลูออไรด์ ด้วยเหตุผลนี้ อุปสรรคทางจลนพลศาสตร์ทำให้ยากที่จะออกซิไดซ์เรดอนเกินสถานะ +2 มีเพียงการทดลองตามรอยเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในการทำเช่นนั้น อาจสร้าง RnF 4 , RnF 6 และ RnO 3[43][44][45]
คริปทอนมีปฏิกิริยาน้อยกว่าซีนอน แต่มีรายงานสารประกอบหลายตัวที่มีคริปทอนใน สถานะออกซิเดชัน ที่ +2[35] คริปทอนไดฟลูออไรด์ มีความโดดเด่นที่สุดและจำแนกได้ง่ายที่สุด ภายใต้สภาวะที่รุนแรง คริปทอนจะทำปฏิกิริยากับฟลูออรีนเพื่อสร้าง KrF 2 ตามสมการต่อไปนี้:
- Kr + F 2 → KrF 2
สารประกอบที่คริปทอนสร้างพันธะเดี่ยวกับไนโตรเจนและออกซิเจนก็มีลักษณะเช่นกัน[46] แต่จะคงที่ต่ำกว่า −60 องศาเซลเซียส (−76 องศาฟาเรนไฮต์) และ −90 องศาเซลเซียส (−130 องศาฟาเรนไฮต์) ตามลำดับ[35]
อะตอมของคริปทอนจับกันทางเคมีกับอโลหะอื่นๆ (ไฮโดรเจน คลอรีน คาร์บอน) รวมถึง โลหะทรานซิชัน บางส่วน (ทองแดง เงิน ทอง) ที่ยังถูกสังเกตพบ แต่ที่อุณหภูมิต่ำในเมทริกซ์ก๊าซมีตระกูลเท่านั้น หรือในเครื่องบินไอพ่นที่มีความเร็วเหนือเสียง[35] มีการใช้เงื่อนไขที่คล้ายกันเพื่อให้ได้สารประกอบสองสามชนิดแรกของอาร์กอนในปี 2000 เช่น อาร์กอนฟลูออโรไฮไดรด์ (HArF) และบางส่วนจับกับโลหะทรานซิชันช่วงปลายอย่างทองแดง เงิน และทอง[35] ในปี พ.ศ. 2550 ยังไม่มีข้อมูลโมเลกุลที่เป็นกลางที่เสถียรซึ่งเกี่ยวข้องกับฮีเลียมหรือนีออนที่มีพันธะโควาเลนต์[35]
การคาดคะเนจากแนวโน้มเป็นระยะทำนายว่าออกาเนสสันควรเป็นก๊าซมีตระกูลที่มีปฏิกิริยามากที่สุด การบำบัดทางทฤษฎีที่ซับซ้อนมากขึ้นบ่งชี้ว่ามีปฏิกิริยามากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ถึงจุดที่มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการใช้คำอธิบายของ 'ก๊าซมีตระกูล'[47] Oganesson คาดว่าจะค่อนข้างเหมือน ซิลิคอน หรือ ดีบุก ในกลุ่ม 14:[48] องค์ประกอบปฏิกิริยาที่มีสถานะ +4 ทั่วไปและสถานะ +2 ทั่วไปน้อยกว่า[49][50] ซึ่งที่อุณหภูมิและความดันห้องไม่ได้เป็นก๊าซแต่เป็นสารกึ่งตัวนำที่เป็นของแข็ง จำเป็นต้องมีการทดสอบเชิงประจักษ์ / เชิงทดลองเพื่อตรวจสอบการคาดการณ์เหล่านี้[22][51] (ในทางกลับกัน ฟลีโรเวียม แม้จะอยู่ในกลุ่มที่ 14 แต่คาดการณ์ว่าจะระเหยผิดปกติ ซึ่งบ่งชี้ถึงคุณสมบัติคล้ายก๊าซมีตระกูล)[52][53]
ก๊าซมีตระกูลรวมถึงฮีเลียมสามารถสร้าง โมเลกุลไอออน ที่เสถียรในเฟสของก๊าซ วิธีที่ง่ายที่สุดคือ ฮีเลียมไฮไดรด์โมเลกุลไอออน, HeH + ค้นพบในปี 2468[54] เนื่องจากประกอบด้วยธาตุที่มีมากที่สุด 2 ชนิดในเอกภพ ได้แก่ ไฮโดรเจนและฮีเลียม จึงเชื่อว่าเกิดขึ้นตามธรรมชาติใน ตัวกลางระหว่างดวงดาว และในที่สุดก็ถูกตรวจพบในเดือนเมษายน 2019 โดยใช้อากาศ กล้องโทรทรรศน์โซเฟีย. นอกจากไอออนเหล่านี้แล้ว ยังมีก๊าซมีตระกูลที่เป็นกลาง excimer อีกหลายชนิด เหล่านี้เป็นสารประกอบเช่น ArF และ KrF ที่เสถียรเฉพาะเมื่ออยู่ใน สถานะอิเล็กทรอนิกส์ตื่นเต้น; บางส่วนพบการใช้งานใน excimer lasers
นอกจากสารประกอบที่อะตอมของก๊าซมีตระกูลมีส่วนร่วมใน พันธะโควาเลนต์ แล้ว ก๊าซมีตระกูลยังก่อตัวเป็นสารประกอบ ที่ไม่ใช่โควาเลนต์ clathrates อธิบายครั้งแรกในปี 1949[55] ประกอบด้วยอะตอมของก๊าซมีตระกูลที่ติดอยู่ภายในโพรงของ ผลึกขัดแตะ ของสารอินทรีย์และอนินทรีย์บางชนิด เงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการก่อตัวของพวกมันคืออะตอมของแขก (ก๊าซมีตระกูล) จะต้องมีขนาดที่เหมาะสมเพื่อให้พอดีกับโพรงของโครงตาข่ายคริสตัลโฮสต์ ตัวอย่างเช่น อาร์กอน คริปทอน และซีนอนสร้างคลาเทรตด้วย ไฮโดรควิโนน แต่ฮีเลียมและนีออนไม่มีเพราะพวกมันมีขนาดเล็กเกินไปหรือไม่เพียงพอ[56] นีออน อาร์กอน คริปทอน และซีนอนยังก่อตัวเป็นคลาเทรตไฮเดรต ซึ่งก๊าซมีตระกูลจะถูกขังอยู่ในน้ำแข็ง[57]
ก๊าซมีตระกูลสามารถก่อตัวเป็น เอนโดฮีดรัล ฟูลเลอรีน ซึ่งอะตอมของก๊าซมีตระกูลถูกขังอยู่ภายในโมเลกุล ฟูลเลอรีน ในปี 1993 มีการค้นพบว่าเมื่อ C
60 ซึ่งเป็นโมเลกุลทรงกลมที่ประกอบด้วย 60 คาร์บอน อะตอม สัมผัสกับก๊าซมีตระกูลที่ความดันสูง ซับซ้อน es เช่น He@C
60 สามารถสร้างขึ้นได้ (สัญลักษณ์ @ ระบุว่ามีเขาอยู่ภายใน C
60 แต่ไม่ผูกพันโควาเลนต์กับมัน)[58] ในปี 2008 เอ็นโดฮีดรัลคอมเพล็กซ์ที่มีฮีเลียม นีออน อาร์กอน คริปทอน และซีนอนได้ถูกสร้างขึ้น[59] พบสารประกอบเหล่านี้ใช้ในการศึกษาโครงสร้างและความว่องไวต่อปฏิกิริยาของฟูลเลอรีนโดยวิธี นิวเคลียร์ แมกเนติก เรโซแนนซ์ ของอะตอมของก๊าซมีตระกูล[60] ( ดูข้อความ)]]
สารประกอบของก๊าซมีตระกูล เช่น ซีนอนไดฟลูออไรด์ (XeF
2) ถูกพิจารณาว่าเป็น ไฮเปอร์วาเลนต์ เนื่องจากพวกมันละเมิด กฎออกเตต พันธะในสารประกอบดังกล่าวสามารถอธิบายได้โดยใช้แบบจำลอง พันธะสามศูนย์สี่อิเล็กตรอน[61][62] แบบจำลองนี้เสนอครั้งแรกในปี พ.ศ. 2494 พิจารณาถึงพันธะของอะตอมคอลลิเนียร์สามตัว ตัวอย่างเช่น พันธะใน XeF
2 อธิบายโดยชุดของ molecular orbitals (MO) สามชุดที่ได้มาจาก p-orbital บนแต่ละอะตอม พันธะผลลัพธ์จากการรวมกันของ p-orbital ที่เติมจาก Xe กับ p-orbital ที่เติมครึ่งหนึ่งจากแต่ละอะตอม F ทำให้เกิดออร์บิทัลที่มีพันธะที่เติมเต็ม, ออร์บิทัลที่ไม่มีพันธะที่เติม และว่างเปล่า [ [antibonding]] ออร์บิทัล การโคจรของโมเลกุลที่ถูกครอบครองสูงสุด ถูกแปลเป็นภาษาท้องถิ่นบนอะตอมของปลายทั้งสอง สิ่งนี้แสดงถึงตำแหน่งของประจุที่อำนวยความสะดวกโดยค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงของฟลูออรีน[63]
คุณสมบัติทางเคมีของก๊าซมีตระกูลที่หนักกว่า คริปทอนและซีนอน ได้รับการยอมรับอย่างดี เคมีของสารที่เบากว่า อาร์กอนและฮีเลียมยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ในขณะที่ยังไม่สามารถระบุสารประกอบของนีออนได้ แม่แบบ:ชัดเจน
การมีอยู่ธรรมชาติและการผลิต
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การใช้ประโยชน์
แก๊สมีตระกูลมีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวที่ต่ำมาก ซึ่งทำให้แก๊สเหล่านี้ใช้เป็นสารทำความเย็นในเชิงอติสีตศาสตร์ โดยเฉพาะฮีเลียมเหลว[64] ซึ่งเดือดที่ 4.2 เคลวิน (−268.95 องศาเซลเซียส; −452.11 องศาฟาเรนไฮต์) ถูกนำไปใช้สร้างแม่เหล็กตัวนำยิ่งยวด สำหรับการสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็ก (MRI) และนิวเคลียร์แมกเนติกเรโซแนนซ์สเปกโทรสโกปี (NMR)[65] นีออนเหลวถึงแม้จะไม่สามารถลดอุณหภูมิจนเท่าฮีเลียมเหลว นีออนเหลวยังถูกใช้ในงานด้านอติสีตศาสตร์เนื่องจากมีวิสัยสามารถทำความเย็นมากกว่าฮีเลียมเหลว 40 เท่าและมากกว่าไฮโดรเจนเหลว 3 เท่า[66]
ฮีเลียมถูกใช้เป็นองค์ประกอบของแก๊สสำหรับหายใจแทนที่ไนโตรเจน เนื่องจากมีความสามารถในการละลายในของไหลต่ำโดยเฉพาะไขมัน แก๊สทั่วไปมักถูกดูดซึมโดยเลือดและเนื้อเยื่อภายใต้ความดันเช่นการดำน้ำลึก ทำให้เกิดภาวะเซื่องซึมเรียกว่าภาวะเมาไนโตรเจน[67] แต่ด้วยที่ฮีเลียมมีความสามารถในการละลายต่ำ ฮีเลียมจึงซึมเข้าเยื่อหุ้มเซลล์ได้น้อย เมื่อใช้ฮีเลียมเป็นส่วนผสมของแก๊สสำหรับหายใจเช่นใน trimix หรือ heliox จึงช่วยลดอาการเซื่องซึมของนักประดาน้ำภายใต้ความลึก[68] ความสามารถในการละลายของฮีเลียมที่น้อยมีประโยชน์ในการรักษาโรคลดความกดหรือ the bends[13][69] เมื่อมีปริมาณแก๊สละลายในร่างกายลดลงหมายความว่าจะเกิดฟองแก๊สจำนวนน้อยลงที่ความดันที่ต่ำลง นอกจากนี้อาร์กอนยังเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการดำน้ำลึกแบบ drysuit[70] และฮีเลียมยังใช้เป็นแก๊สเติมแกนของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์
ตั้งแต่วินาศภัยฮินเดินบวร์คในปี ค.ศ. 1937[71] ฮีเลียมถูกใช้ทดแทนไฮโดรเจนสำหรับแก๊สลอยตัวในเรือเหาะและลูกโป่ง เนื่องจากความเบาและความไม่ติดไฟ แม้ว่าจะมีแรงลอยตัวลดลง 8.6%[72][13]
ในการประยุกต์ใช้ แก๊สมีตระกูลถูกใช้ในบรรยากาศเฉื่อย อาร์กอนถูกใช้ในการสังเคราะห์สารประกอบที่ไวต่ออากาศนั่นคือไวต่อไนโตรเจน อาร์กอนแข็งถูกใช้ในการศึกษาสารประกอบที่ไม่เสถียรมากเช่นสารมัธยันตร์ที่ไวต่อปฏิกิริยา โดยการกักในเมทริกซ์เฉื่อยที่อุณหภูมิต่ำมาก[73] ฮีเลียมถูกใช้เป็นตัวกลางนำพาในเทคนิคแก๊สโครมาโทกราฟี เป็นแก๊สเติมในเทอร์โมมิเตอร์และในอุปกรณ์ตรวจวัดการแผ่รังสีเช่นเครื่องนับไกเกอร์–มึลเลอร์และห้องฟอง[74] ฮีเลียมและอาร์กอนมักถูกใช้เป็นกำบังสำหรับการเชื่อมอาร์กและการกระจายของโลหะไร้สกุลในบรรยากาศขณะเชื่อมหรือตัดโลหะ รวมถึงกระบวนการทางโลหการและการผลิตซิลิคอนในอุตสาหกรรมสารกึ่งตัวนำ[66]
แก๊สมีตระกูลมักถูกใช้ในการจัดแสงเพราะมีความไวต่อปฏิกิริยาเคมีต่ำ อาร์กอนจะผสมกับไนโตรเจนใช้เติมในหลอดไส้ร้อนแบบธรรมดา[66] คริปทอนถูกใช้ในหลอดไฟประสิทธิภาพสูง ซึ่งให้อุณหภูมิสีและประสิทธิภาพสูงกว่า เนื่องจากสามารถลดอัตราการขาดของแกนหลอดไฟได้ดีกว่าอาร์กอน หลอดแฮโลเจนใช้คริปทอนประสมกับสารประกอบของไอโอดีนหรือโบรมีนปริมาณน้อย[66] แก๊สมีตระกูลเรืองแสงให้สีที่โดดเด่นเมื่อใช้ในหลอดแก๊สคายประจุเช่น หลอดไฟนีออน แม้ว่าหลอดไฟจะเรียกชื่อตามแก๊สนีออนแต่ก็ประกอบด้วยแก๊สชนิดอื่นและสารเรืองแสง ซึ่งทำให้เกิดเฉดสีหลากหลายได้เป็นสีส้มอมแดงของนีออน ซีนอนมักใช้ในหลอดไฟซีนอนอาร์ค เนื่องจากสเปกตรัมที่เกือบต่อเนื่องคล้ายกับแสงอาทิตย์ จึงมักประยุกต์ในเครื่องฉายภาพยนตร์และไฟหน้ารถ[66]
แก๊สมีตระกูลถูกใช้ในเอ็กไซเมอร์เลเซอร์ ซึ่งสร้างจากโมเลกุลที่ถูกกระตุ้นด้วยไฟฟ้าและคงสภาพในระยะเวลาสั้นเรียกว่าเอ็กไซเมอร์ โมเลกุลเอ็กไซเมอร์ที่ถูกใช้ในเลเซอร์อาจเป็นไดเมอร์ของแก๊สมีตระกูลเช่น Ar2, Kr2 หรือ Xe2 หรือที่นิยมใช้คือแก๊สมีตระกูลที่รวมตัวกับธาตุฮาโลเจนในรูปโมเลกุลเอ็กไซเมอร์เช่น ArF, KrF, XeF หรือ XeCl เลเซอร์เหล่านี้สร้างรังสีอัลตราไวโอเล็ต ซึ่งเนื่องจากความยาวคลื่นที่สั้น (193 นาโนเมตรสำหรับ ArF และ 248 นาโนเมตรสำหรับ KrF) ทำให้ใช้ในงานภาพถ่ายรังสีแม่นยำสูงได้ เอ็กไซเมอเลเซอร์ถูกใช้ในด้านอุตสาหกรรม การแพทย์และวิทยาศาสตร์อย่างหลากหลาย นอกจากนี้ยังใช้ในงานด้านไมโครลิโธกราฟีและด้านการสร้างชิ้นส่วนจุลภาค ซึ่งมีความสำคัญในการผลิตวงจรรวม และการผ่าตัดด้วยเลเซอร์ได้แก่การขยายหลอดเลือดด้วยเลเซอร์และการผ่าตัดตา[75]
แก๊สมีตระกูลบางชนิดมีการประยุกต์ใช้โดยตรงในทางการแพทย์ บางครั้งฮีเลียมจะถูกใช้ช่วยผู้ป่วยหอบหืดให้หายใจดีขึ้น[66] ซีนอนถูกใช้เป็นยาสลบเพราะความสามารถในการละลายในไขมันที่สูง ทำให้เกิดฤทธิ์มากกว่าไนตรัสออกไซด์ที่ใช้โดยทั่วไปและเนื่องจากมันถูกกำจัดจากร่างกายโดยทันที ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น[76] ซีนอนถูกประยุกต์ในการถ่ายภาพรังสีทางการแพทย์ของปอดด้วยเทคนิค hyperpolarized MRI[77] เรดอนซึ่งไวต่อปฏิกิริยามากและมีปริมาณน้อยถูกใช้ในการรังสีบำบัด[13]
แก๊สมีตระกูลโดยเฉพาะซีนอนถูกใช้มากในเครื่องยนต์ไอออนเนื่องจากความเฉื่อยของมัน เนื่องจากเครื่องยนต์ไอออนไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยปฏิกิริยาเคมี เชื้อเพลิงที่เฉื่อยเชิงเคมีถูกใช้ป้องกันการเกิดปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ระหว่างเชื้อเพลิงรวมถึงสิ่งอื่นในเครื่องยนต์
โอกาเนสซอนไม่เสถียรเกินไปทำให้ไม่สามารถประยุกต์ใช้ได้นอกจากใช้ในการวิจัย
สีในหลอดไฟ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ดูเพิ่ม
เชิงอรรถ
- ↑ Bauzá, Antonio; Frontera, Antonio (2015). "Aerogen Bonding Interaction: A New Supramolecular Force?". Angewandte Chemie International Edition. 54 (25): 7340–3. doi:10.1002/anie.201502571. PMID 25950423.
- ↑ Renouf, Edward (1901). "Noble gases". Science. 13 (320): 268–270. Bibcode:1901Sci....13..268R. doi:10.1126/science.13.320.268. S2CID 34534533.
- ↑ Ozima 2002, p. 30
- ↑ Ozima 2002, p. 4
- ↑ "argon". Encyclopædia Britannica. 2008.
- ↑ Oxford English Dictionary (1989), s.v. "helium". Retrieved 16 December 2006, from Oxford English Dictionary Online. Also, from quotation there: Thomson, W. (1872). Rep. Brit. Assoc. xcix: "Frankland and Lockyer find the yellow prominences to give a very decided bright line not far from D, but hitherto not identified with any terrestrial flame. It seems to indicate a new substance, which they propose to call Helium."
- ↑ 7.0 7.1 Ozima 2002, p. 1
- ↑ Mendeleev 1903, p. 497
- ↑ Partington, J. R. (1957). "Discovery of Radon". Nature. 179 (4566): 912. Bibcode:1957Natur.179..912P. doi:10.1038/179912a0. S2CID 4251991.
- ↑ "Noble Gas". Encyclopædia Britannica. 2008.
- ↑ Cederblom, J. E. (1904). "The Nobel Prize in Physics 1904 Presentation Speech".
- ↑ 12.0 12.1 Cederblom, J. E. (1904). "The Nobel Prize in Chemistry 1904 Presentation Speech".
- ↑ 13.0 13.1 13.2 13.3 13.4 "Noble Gas". Encyclopædia Britannica. 2008.
- ↑ Gillespie, R. J.; Robinson, E. A. (2007). "Gilbert N. Lewis and the chemical bond: the electron pair and the octet rule from 1916 to the present day". J Comput Chem. 28 (1): 87–97. doi:10.1002/jcc.20545. PMID 17109437.
- ↑ Bartlett, N. (1962). "Xenon hexafluoroplatinate Xe+[PtF6]−". Proceedings of the Chemical Society (6): 218. doi:10.1039/PS9620000197.
- ↑ Fields, Paul R.; Stein, Lawrence; Zirin, Moshe H. (1962). "Radon Fluoride". Journal of the American Chemical Society. 84 (21): 4164–4165. doi:10.1021/ja00880a048.
- ↑ Grosse, A. V.; Kirschenbaum, A. D.; Streng, A. G.; Streng, L. V. (1963). "Krypton Tetrafluoride: Preparation and Some Properties". Science. 139 (3559): 1047–1048. Bibcode:1963Sci...139.1047G. doi:10.1126/science.139.3559.1047. PMID 17812982.
- ↑ Khriachtchev, Leonid; Pettersson, Mika; Runeberg, Nino; Lundell, Jan; Räsänen, Markku (2000). "A stable argon compound". Nature. 406 (6798): 874–876. Bibcode:2000Natur.406..874K. doi:10.1038/35022551. PMID 10972285. S2CID 4382128.
- ↑ Barber, Robert C.; Karol, Paul J.; Nakahara, Hiromichi; Vardaci, Emanuele & Vogt, Erich W. (2011). "Discovery of the elements with atomic numbers greater than or equal to 113 (IUPAC Technical Report)*" (PDF). Pure Appl. Chem. IUPAC. 83 (7). doi:10.1515/ci.2011.33.5.25b. สืบค้นเมื่อ 30 May 2014.
- ↑ Oganessian, Yu. Ts.; Utyonkov, V.; Lobanov, Yu.; Abdullin, F.; Polyakov, A.; และคณะ (2006). "Synthesis of the isotopes of elements 118 and 116". Physical Review C. 74 (4): 44602. Bibcode:2006PhRvC..74d4602O. doi:10.1103/PhysRevC.74.044602.
- ↑ Greenwood 1997, p. 891
- ↑ 22.0 22.1 22.2 22.3 Smits, Odile; Mewes, Jan-Michael; Jerabek, Paul; Schwerdtfeger, Peter (2020). "Oganesson: A Noble Gas Element That Is Neither Noble Nor a Gas". Angew. Chem. Int. Ed. 59 (52): 23636–23640. doi:10.1002/anie.202011976. PMC 7814676. PMID 32959952.
- ↑ Liquid helium will only solidify if exposed to pressures well above atmospheric pressure, an effect explainable with quantum mechanics
- ↑ Winter, Mark (2020). "Organesson: Properties of Free Atoms". WebElements: THE periodic table on the WWW. สืบค้นเมื่อ 30 December 2020.
- ↑ Allen, Leland C. (1989). "Electronegativity is the average one-electron energy of the valence-shell electrons in ground-state free atoms". Journal of the American Chemical Society. 111 (25): 9003–9014. doi:10.1021/ja00207a003.
- ↑ Tantardini,Christian; Oganov, Artem R. (2021). "Thermochemical Electronegativities of the Elements". Nature Communications. 12 (1): 2087–2095. Bibcode:2021NatCo..12.2087T. doi:10.1038/s41467-021-22429-0. PMC 8027013. PMID 33828104.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ "Noble Gas". Encyclopædia Britannica. 2008.
- ↑ 28.0 28.1 Wilks, John (1967). "Introduction". The Properties of Liquid and Solid Helium. Oxford: Clarendon Press. ISBN 978-0-19-851245-5.
- ↑ "John Beamish's Research on Solid Helium". Department of Physics, University of Alberta. 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 May 2008.
- ↑ Pinceaux, J.-P.; Maury, J.-P.; Besson, J.-M. (1979). "Solidification of helium, at room temperature under high pressure" (PDF). Journal de Physique Lettres. 40 (13): 307–308. doi:10.1051/jphyslet:019790040013030700. S2CID 40164915.
- ↑ 31.0 31.1 Greenwood 1997, p. 891
- ↑ Bartlett, N. (1962). "Xenon hexafluoroplatinate Xe+[PtF6]−". Proceedings of the Chemical Society (6): 218. doi:10.1039/PS9620000197.
- ↑ Wheeler, John C. (1997). "Electron Affinities of the Alkaline Earth Metals and the Sign Convention for Electron Affinity". Journal of Chemical Education. 74 (1): 123–127. Bibcode:1997JChEd..74..123W. doi:10.1021/ed074p123.; Kalcher, Josef; Sax, Alexander F. (1994). "Gas Phase Stabilities of Small Anions: Theory and Experiment in Cooperation". Chemical Reviews. 94 (8): 2291–2318. doi:10.1021/cr00032a004.
- ↑ Mott, N. F. (1955). "John Edward Lennard-Jones. 1894–1954". Biographical Memoirs of Fellows of the Royal Society. 1: 175–184. doi:10.1098/rsbm.1955.0013.
- ↑ 35.0 35.1 35.2 35.3 35.4 35.5 35.6 35.7 Grochala, Wojciech (2007). "สารประกอบผิดปรกติของก๊าซ ซึ่งถูกเรียกว่ามีตระกูล" (PDF). Chemical Society Reviews. 36 (10): 1632–1655. doi:10.1039/b702109g. PMID 17721587.
- ↑ "The Formulas of the American Chemical Society]]". 55 (5): 1895–1900.
{{cite journal}}
: Cite journal ต้องการ|journal=
(help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|ดอย=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|ปี=
ถูกละเว้น (help) - ↑ ฮอลโลเวย์ 1968
- ↑ Seppelt, Konrad (1979). "การพัฒนาล่าสุดในวิชาเคมีขององค์ประกอบที่เป็นประจุลบบางชนิด". Accounts of Chemical Research. 12 (6): 211–216.
{{cite journal}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|ดอย=
ถูกละเว้น (help) - ↑ Moody, GJ. "A Decade of Xenon Chemistry". Journal of Chemical Education. 51 (10): 628–630. Bibcode:1974JChEd..51..628M. doi:10 .1021/ed051p628. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2550.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่า|doi=
(help); ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|access-date=
(help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|ปี=
ถูกละเว้น (help) - ↑ "Fluorination with XeF 2 . 44. ผลกระทบของรูปทรงเรขาคณิตและเฮเทอโรอะตอมต่อเรจิโอเซเล็คทิวิตีของฟลูออรีนเบื้องต้นในวงแหวนอะโรมาติก". J. องค์กร เคมี: 878–880. doi:10.1021/jo971496e. PMID 11672087.
{{cite journal}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|ฉบับ=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|ปี=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|ผู้เขียน1=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|ผู้เขียน2=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|ผู้เขียน3=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|เล่ม=
ถูกละเว้น (help) - ↑ ฮาร์ดิง 2002, pp. 90–99
- ↑ .Avrorin, VV; Krasikova, RN; Nefedov, VD; Toropova, MA (1982). "The Chemistry of Radon". Russian Chemical Reviews. 51 (1): 12–20. Bibcode:1982RuCRv..51...12A. doi:10.1070/RC1982v051n01ABEH002787. S2CID 250906059.
- ↑ Stein, Lawrence (1983). "The Chemistry of Radon". Radiochimica Acta. 32 (1–3): 163–171. doi:10.1524/ract .1983.32.13.163. S2CID 100225806.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่า|doi=
(help) - ↑ Liebman, Joel F. (1975). "Conceptual Problems in Noble Gas and Fluorine Chemistry, II: The Nonexistence of Radon Tetrafluoride". Inorg. นิวเคลียร์ เคมี เล็ต. 11 (10): 683–685. doi:10.1016/0020-1650(75)80185-1.
- ↑ Seppelt, Konrad (2015). "Molecular Hexafluorides". Chemical Reviews. 115 (2): 1296–1306. doi:10.1021/cr5001783. PMID 25418862.
- ↑ Lehmann, J (2002). "เคมีของคริปทอน". Coordination Chemistry Reviews. 233–234: 1–39. doi:10.1016/S0010-8545(02)00202-3.
- ↑ Roth, Klaus (2017). "Ist das Element 118 ein Edelgas?" [ธาตุ 118 เป็นก๊าซมีตระกูลหรือไม่?]. Chemie in unserer Zeit (ภาษาGerman). 51 (6): 418–426. doi:10.1002/ciuz.201700838.
{{cite journal}}
: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์)
แปลเป็นภาษาอังกฤษโดย WE Russey และเผยแพร่เป็นสามส่วนใน นิตยสาร ChemViews:
Roth, Klaus (3 เมษายน 2018). "New Kids on the Table: ธาตุ 118 เป็นก๊าซมีตระกูลหรือไม่? – ตอนที่ 1". นิตยสาร ChemViews. doi:10.1002/chemv.201800029.
Roth, Klaus (1 May 2018). "New Kids on the Table: ธาตุ 118 เป็นก๊าซมีตระกูลหรือไม่? – ตอนที่ 2". นิตยสาร ChemViews. doi:10.1002/chemv.201800033.
Roth, Klaus (5 June 2018). "New Kids on the Table: ธาตุ 118 เป็นก๊าซมีตระกูลหรือไม่? – ตอนที่ 3". นิตยสาร ChemViews. doi:10.1002/chemv.201800046. - ↑ แม่แบบ:อ้างอิงเว็บ
- ↑ แม่แบบ:อ้างอิงหนังสือ
- ↑ โปสเตอร์ตารางธาตุรัสเซีย โดย AV Kulsha และ TA Kolevich
- ↑ Mewes, Jan-Michael; Smits, Odile Rosette; Jerabek, Paul; Schwerdtfeger, Peter (25 July 2019). "Oganesson คือ สารกึ่งตัวนำ: ในการจำกัดวงช่องว่างเชิงสัมพัทธภาพในของแข็งก๊าซมีตระกูลที่หนักที่สุด". Angewandte Chemie. 58 (40): 14260–14264. doi:10.1002/anie.201908327. PMC 6790653. PMID 31343819.
- ↑ แม่แบบ:อ้างอิงวารสาร
- ↑ แม่แบบ:อ้างอิงเว็บ
- ↑ Hogness, TR; Lunn, EG. "การแตกตัวเป็นไอออนของไฮโดรเจนโดยการกระทบของอิเล็กตรอนตามที่ตีความโดยการวิเคราะห์รังสีบวก". Physical Review. 26 (1). Bibcode:1925PhRv...26...44H.
{{cite journal}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|ดอย=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|ปี=
ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|หน้า=
ถูกละเว้น (help) - ↑ Powell, HM & Guter, M. (1949). "An Inert Gas Compound". Nature. 164 (4162): 240–241. Bibcode:1949Natur.164..240P. PMID 18135950. S2CID 4134617.
{{cite journal}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|ดอย=
ถูกละเว้น (help) - ↑ กรีนวูด 1997, p. 893
- ↑ Dyadin, Yuri A.; และคณะ (1999). "Clathrate ไฮเดรตของไฮโดรเจนและนีออน". Mendeleev Communications. 9 (5): 209–210. doi:10.1070/MC1999v009n05ABEH001104.
- ↑ Saunders, M.; Jiménez-Vázquez, HA; Cross, RJ; Poreda, RJ. "สารประกอบที่เสถียรของฮีเลียมและนีออน He@C60 and Ne@C60". วิทยาศาสตร์. 259 (5100): 1428–1430. Bibcode:1993Sci...259.1428S. doi:10.1126/science.259.5100.1428. PMID 17801275. S2CID 41794612.
{{cite journal}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|ปี=
ถูกละเว้น (help) - ↑ Saunders, Martin; Jimenez-Vazquez, Hugo A.; Cross, R. James; Mroczkowski, Stanley; Gross, Michael L.; Giblin, Daryl E.; Poreda, Robert J. "การรวมตัวของฮีเลียม นีออน อาร์กอน คริปทอน และซีนอนในฟูลเลอรีนโดยใช้แรงดันสูง". J. เช้า. เคมี Soc. 116 (5): 2193–2194. doi:10.1021/ja00084a089.
{{cite journal}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|ปี=
ถูกละเว้น (help) - ↑ แม่แบบ:อ้างอิงวารสาร
- ↑ กรีนวูด 1997, p. 897
- ↑ เวนโฮลด์ 2005, pp. 275–306
- ↑ Pimentel, GC. "พันธะของไอออนไตรฮาไลด์และไบฟลูออไรด์โดยวิธีการโคจรระดับโมเลกุล". วารสารฟิสิกส์เคมี. 19 (4): 446–448. Bibcode:1951JChPh..19..446P. doi:10.1063/1.1748245.
{{cite journal}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|ปี=
ถูกละเว้น (help) - ↑ "Neon". Encarta. 2008.
- ↑ Zhang, C. J.; Zhou, X. T.; Yang, L. (1992). "Demountable coaxial gas-cooled current leads for MRI superconducting magnets". IEEE Transactions on Magnetics. IEEE. 28 (1): 957–959. Bibcode:1992ITM....28..957Z. doi:10.1109/20.120038.
- ↑ 66.0 66.1 66.2 66.3 66.4 66.5 Häussinger, Peter; Glatthaar, Reinhard; Rhode, Wilhelm; Kick, Helmut; Benkmann, Christian; Weber, Josef; Wunschel, Hans-Jörg; Stenke, Viktor; Leicht, Edith; Stenger, Hermann (2002). "Noble gases". Ullmann's Encyclopedia of Industrial Chemistry. Wiley. doi:10.1002/14356007.a17_485. ISBN 3-527-30673-0.
- ↑ Fowler, B.; Ackles, K. N.; Porlier, G. (1985). "Effects of inert gas narcosis on behavior—a critical review". Undersea Biomed. Res. 12 (4): 369–402. ISSN 0093-5387. OCLC 2068005. PMID 4082343. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 December 2010. สืบค้นเมื่อ 8 April 2008.
{{cite journal}}
: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์) - ↑ Bennett 1998, p. 176
- ↑ Vann, R. D., บ.ก. (1989). "The Physiological Basis of Decompression". 38th Undersea and Hyperbaric Medical Society Workshop. 75(Phys)6-1-89: 437. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 October 2008. สืบค้นเมื่อ 31 May 2008.
{{cite journal}}
: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์) - ↑ Maiken, Eric (1 August 2004). "Why Argon?". Decompression. สืบค้นเมื่อ 26 June 2008.
- ↑ "Disaster Ascribed to Gas by Experts". The New York Times. 7 May 1937. p. 1.
- ↑ Freudenrich, Craig (2008). "How Blimps Work". HowStuffWorks. สืบค้นเมื่อ 3 July 2008.
- ↑ Dunkin, I. R. (1980). "The matrix isolation technique and its application to organic chemistry". Chem. Soc. Rev. 9: 1–23. doi:10.1039/CS9800900001.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อkirk
- ↑ Basting, Dirk; Marowsky, Gerd (2005). Excimer Laser Technology. Springer. ISBN 3-540-20056-8.
- ↑ Sanders, Robert D.; Ma, Daqing; Maze, Mervyn (2005). "Xenon: elemental anaesthesia in clinical practice". British Medical Bulletin. 71 (1): 115–135. doi:10.1093/bmb/ldh034. PMID 15728132.
- ↑ Albert, M. S.; Balamore, D. (1998). "Development of hyperpolarized noble gas MRI". Nuclear Instruments and Methods in Physics Research A. 402 (2–3): 441–453. Bibcode:1998NIMPA.402..441A. doi:10.1016/S0168-9002(97)00888-7. PMID 11543065.
บรรณานุกรม
แหล่งข้อมูลห้องสมุดเกี่ยวกับ Noble gas |
- Bennett, Peter B.; Elliott, David H. (1998). The Physiology and Medicine of Diving. SPCK Publishing. ISBN 0-7020-2410-4.
- Bobrow Test Preparation Services (5 December 2007). CliffsAP Chemistry. CliffsNotes. ISBN 978-0-470-13500-6.
- Greenwood, N. N.; Earnshaw, A. (1997). Chemistry of the Elements (2nd ed.). Oxford:Butterworth-Heinemann. ISBN 0-7506-3365-4.
- Harding, Charlie J.; Janes, Rob (2002). Elements of the P Block. Royal Society of Chemistry. ISBN 0-85404-690-9.
- Holloway, John H. (1968). Noble-Gas Chemistry. London: Methuen Publishing. ISBN 0-412-21100-9.
- Mendeleev, D. (1902–1903). Osnovy Khimii (The Principles of Chemistry) (ภาษารัสเซีย) (7th ed.). New York, Collier.
- Ozima, Minoru; Podosek, Frank A. (2002). Noble Gas Geochemistry. Cambridge University Press. ISBN 0-521-80366-7.
- Weinhold, F.; Landis, C. (2005). Valency and bonding. Cambridge University Press. ISBN 0-521-83128-8.