ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สมเด็จพระอริยวงษญาณ (มี)"
ล แก้ไขปีประสูติและปีที่ดำรงพระยศ |
|||
บรรทัด 2: | บรรทัด 2: | ||
| พระนามเดิม = มี |
| พระนามเดิม = มี |
||
| ภาพ = สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี)1.jpg |
| ภาพ = สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี)1.jpg |
||
|ดำรงพระยศ =[[พ.ศ. |
|ดำรงพระยศ =[[พ.ศ. 2359]] - [[11 กันยายน]][[พ.ศ. 2362]] |
||
|สมณุตตมาภิเษก=[[พ.ศ. |
|สมณุตตมาภิเษก=[[พ.ศ. 2359]] |
||
|ก่อนหน้า = [[สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศุข)]] |
|ก่อนหน้า = [[สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศุข)]] |
||
|ถัดไป = [[สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร)]] |
|ถัดไป = [[สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร)]] |
||
บรรทัด 9: | บรรทัด 9: | ||
| พระนาม = สมเด็จพระอริยวงษญาณ <br> สมเด็จพระสังฆราช (มี) |
| พระนาม = สมเด็จพระอริยวงษญาณ <br> สมเด็จพระสังฆราช (มี) |
||
| พระอิสริยยศ = สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช |
| พระอิสริยยศ = สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช |
||
| ประสูติ = 15 กรกฎาคม พ.ศ. |
| ประสูติ = 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2293 |
||
| วันบวช = |
| วันบวช = |
||
| สิ้นพระชนม์ = 11 กันยายน พ.ศ. 2362 |
| สิ้นพระชนม์ = 11 กันยายน พ.ศ. 2362 |
||
บรรทัด 21: | บรรทัด 21: | ||
}} |
}} |
||
'''สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี)''' ประสูติในรัชสมัยของ[[สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ]] สมัย[[กรุงศรีอยุธยา]]เป็นราชธานี เมื่อวันที่ [[15 กรกฎาคม]] [[พ.ศ. |
'''สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี)''' ประสูติในรัชสมัยของ[[สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ]] สมัย[[กรุงศรีอยุธยา]]เป็นราชธานี เมื่อวันที่ [[15 กรกฎาคม]] [[พ.ศ. 2293]] ไม่ปรากฏหลักฐานภูมิลำเนาเดิม ต่อมาผนวชที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) ในรัชสมัย[[สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช]] |
||
ท่านทรงภูมิธรรมความรู้สูงระดับ พระมหาเปรียญเอก 8-9 ประโยค ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่ง[[กรุงรัตนโกสินทร์]]ได้มีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระมหาเปรียญเอกขึ้นเป็นพระราชาคณที่พระวินัยรักขิต ซึ่งเทียบเท่าพระอุบาลีแต่เดิม ที่ต้องเปลี่ยนเพราะเห็นว่าสมณศักดิ์นี้ไปพ้องกับพระอรหันตสาวกของพระ พุทธเจ้า ต่อมาในปี พ.ศ. 2337 ก็ทรงได้รับพระกรุณาธิคุณเลื่อสมณศักดิ์ให้สูงขึ้นในระดับรองสมเด็จพระราชา คณะที่ '''พระพิมลธรรม''' ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนสมณศักดิ์เป็น '''สมเด็จพระพนรัตน''' สมเด็จพระราชาคณะตำแหน่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น '''สมเด็จพระวันรัต''' สมณศักดิ์ สมเด็จพระพนรัตน ได้ถูกยกเลิกไป ต่อมาในปี พ.ศ. 2359 [[สมเด็จพระสังฆราช (ศุข)]] ได้สิ้นพระชนม์ลง รัชกาลที่ 2 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา สมเด็จพระพนรัตน (มี) ขึ้นเป็น[[พระสังฆราช]] พระองค์ที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในราชทินนามสมณศักดิ์ที่ '''สมเด็จพระอริยวงษญาณ''' จนในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เปลี่ยนราชทินนามใหม่ เป็น '''สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ''' |
ท่านทรงภูมิธรรมความรู้สูงระดับ พระมหาเปรียญเอก 8-9 ประโยค ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่ง[[กรุงรัตนโกสินทร์]]ได้มีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระมหาเปรียญเอกขึ้นเป็นพระราชาคณที่พระวินัยรักขิต ซึ่งเทียบเท่าพระอุบาลีแต่เดิม ที่ต้องเปลี่ยนเพราะเห็นว่าสมณศักดิ์นี้ไปพ้องกับพระอรหันตสาวกของพระ พุทธเจ้า ต่อมาในปี พ.ศ. 2337 ก็ทรงได้รับพระกรุณาธิคุณเลื่อสมณศักดิ์ให้สูงขึ้นในระดับรองสมเด็จพระราชา คณะที่ '''พระพิมลธรรม''' ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนสมณศักดิ์เป็น '''สมเด็จพระพนรัตน''' สมเด็จพระราชาคณะตำแหน่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น '''สมเด็จพระวันรัต''' สมณศักดิ์ สมเด็จพระพนรัตน ได้ถูกยกเลิกไป ต่อมาในปี พ.ศ. 2359 [[สมเด็จพระสังฆราช (ศุข)]] ได้สิ้นพระชนม์ลง รัชกาลที่ 2 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา สมเด็จพระพนรัตน (มี) ขึ้นเป็น[[พระสังฆราช]] พระองค์ที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในราชทินนามสมณศักดิ์ที่ '''สมเด็จพระอริยวงษญาณ''' จนในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เปลี่ยนราชทินนามใหม่ เป็น '''สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ''' |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 08:33, 11 กุมภาพันธ์ 2560
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี) | |
---|---|
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช | |
สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 3 | |
ดำรงพระยศ | พ.ศ. 2359 - 11 กันยายนพ.ศ. 2362 |
สมณุตตมาภิเษก | พ.ศ. 2359 |
ก่อนหน้า | สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) |
ถัดไป | สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) |
สถิต | วัดมหาธาตุ |
ศาสนา | พุทธ มหานิกาย |
ประสูติ | 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2293 มี |
สิ้นพระชนม์ | 11 กันยายน พ.ศ. 2362 |
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี) ประสูติในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2293 ไม่ปรากฏหลักฐานภูมิลำเนาเดิม ต่อมาผนวชที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ท่านทรงภูมิธรรมความรู้สูงระดับ พระมหาเปรียญเอก 8-9 ประโยค ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้มีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระมหาเปรียญเอกขึ้นเป็นพระราชาคณที่พระวินัยรักขิต ซึ่งเทียบเท่าพระอุบาลีแต่เดิม ที่ต้องเปลี่ยนเพราะเห็นว่าสมณศักดิ์นี้ไปพ้องกับพระอรหันตสาวกของพระ พุทธเจ้า ต่อมาในปี พ.ศ. 2337 ก็ทรงได้รับพระกรุณาธิคุณเลื่อสมณศักดิ์ให้สูงขึ้นในระดับรองสมเด็จพระราชา คณะที่ พระพิมลธรรม ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนสมณศักดิ์เป็น สมเด็จพระพนรัตน สมเด็จพระราชาคณะตำแหน่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น สมเด็จพระวันรัต สมณศักดิ์ สมเด็จพระพนรัตน ได้ถูกยกเลิกไป ต่อมาในปี พ.ศ. 2359 สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) ได้สิ้นพระชนม์ลง รัชกาลที่ 2 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา สมเด็จพระพนรัตน (มี) ขึ้นเป็นพระสังฆราช พระองค์ที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในราชทินนามสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระอริยวงษญาณ จนในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เปลี่ยนราชทินนามใหม่ เป็น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
ในปี พ.ศ. 2360 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ผนวชเป็นสามเณร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สามเณรเจ้าฟ้ามงกุฎ เสด็จไปทรงจำพรรษาอยู่ที่วัดมหาธาตุเป็น เวลา 1 พรรษา ตลอดเวลาที่ได้ประทับจำพรรษา สมเด็จพระสังฆราช (มี) ทรงทำหน้าที่พระอาจารย์ ถวายความรู้เกี่ยวกับพระธรรมวินัย พระไตรปิฎกตลอดจนทศพิธราชธรรม
ในด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม เป็นพระธุระในการพัฒนาการศึกษา ดูและแก้วิธีการสอน การสอบไล่พระปริยัติธรรมทุกครั้งอย่างใกล้ชิด ได้ทอดพระเนตรเห็นข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไขปรับปรุงอยู่ตลอด โดยมิได้ถือพระองค์ว่าทรงเป็นสังฆราชา จนในที่สุดได้ทรงปรึกษาหารือกับพระราชาคณะที่ เป็นเปรียญเอกอีกนับสิบรูป จนเห็นชอบทั่วหน้าในการปรับปรุงแก้ไขวิธีการสอน การสอบไล่ปริยัติธรรมใหม่ ได้ทรงกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอน และการสอบเทียบความรู้ใหม่ ให้มี 9 ประโยค แทนหลักสูตรเก่าที่ใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยา ซึ่งมีการแบ่งหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมเพียง 3 ชั้น คือ บาเรียนตรี บาเรียนโท บาเรียนเอก
สมเด็จพระสังฆราช (มี) สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2362 ในสมัยรัชกาลที่ 2 สิริพระชนมายุได้ 70 พรรษา
จัดสมณทูตไทยไปลังกา
เมื่อครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระพนรัตน สมเด็จพระสังฆราช (มี) ได้ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจที่สำคัญครั้งหนึ่ง คือพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ทรงมีพระราชดำริที่จะให้พระสงฆ์ไทยออกไปสืบข่าวพระศาสนายังลังกาทวีป แต่เนื่องจาก สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) ขณะนั้นทรงชราภาพ จึงทรงมอบหมายให้ สมเด็จพระพนรัตน (มี) เป็นผู้จัดสมณทูตเพื่อออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังลังกาทวีปครั้งนี้ ดังมีรายละเอียดบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดาร ดังนี้
“เมื่อปีมะเส็ง เอกศก จุลศักราช ๑๑๗๑ พ.ศ. ๒๓๕๒ แต่ในปลายรัชกาลที่ ๑ มีพระภิกษุชาวลังกาชื่อพระวลิตรภิกษุ รูป ๑ กับ สามเณร ๒ รูป เข้ามาจากเมืองนครศรีธรรมราชมาถึงกรุงเทพฯ โปรดให้วลิตรภิกษุกับสามเณรชื่อรัตนปาละ ไปอยู่ในสำนักสมเด็จพระสังฆราช ณ วัดมหาธาตุ สามเณรอีกรูป ๑ ชื่อหิธายะ ให้ไปอยู่ในสำนักสมเด็จพระวันรัตน์ วัดพระเชตุพน ต่อมาในรัชกาลที่ ๒ สามเณรลังกาทั้ง ๒ รูป ขออุปสมบทเป็นพระภิกษุสยามวงศ์ เพราะถือว่าเป็นวงศ์เดียวกับพระสงฆ์ในลังกาทวีป ซึ่งได้รับอุปสมบทแต่พระอุบาลี ที่ออกไปในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกศครั้งกรุงเก่า จึงโปรดให้สามเณรทั้ง ๒ นี้เป็นนาคหลวงบวชในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระราชทานนิตยภัตไตรปีสืบมา
ครั้นมาถึงปีระกา เบญจศก จุลศักราช ๑๑๗๕ พ.ศ. ๒๓๕๖ มีพระลังกาเข้ามาถึงกรุงเทพฯ อีกรูป ๑ ชื่อพระศาสนวงศ์ อ้างว่าพระมหาสังฆนายกในลังกาทวีปให้เชิญพระบรมสารีริกธาตุ เข้ามาถวายแด่สมเด็จพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา แต่ไม่มีสมณสาสน์หรือสำคัญอันใดมา ครั้นไต่ถามถึงการพระศาสนาในลังกาทวีป พระศาสนวงศ์ก็ให้การเลื่อนเปื้อนไปต่างๆ ซ้ำมาเกิดรังเกียจไม่ปรองดองกันกับพระลังกาที่เข้ามาอยู่แต่ก่อน วัตรปฏิบัติก็ไม่น่าเลื่อมใสด้วยกันทั้ง ๒ รูป
จึงเป็นเหตุให้ทรงแคลงพระราชหฤทัยว่าจะมิใช่พระที่ได้รับอุปสมบทมาแต่ลังกาทวีป ทรงพระราชดำริว่าพระสงฆ์ในลังกาทวีปก็เป็นสมณวงศ์อันเดียวกันกับ พระสงฆ์ในสยามประเทศ เคยมีสมณไมตรีต่อกันมาแต่ครั้งกรุงเก่า แต่เริดร้างมาเสียเพราะเกิดเหตุศึกสงคราม ไม่ได้ไปมาหาสู่ถึงกันช้านาน บัดนี้ กรุงสยามก็ได้ประดิษฐานพระนครรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี มีอิสระมั่นคงแล้ว แลได้ข่าวว่าลังกาทวีปเสียแก่อังกฤษ การพระศาสนาแลศาสนวงศ์ในลังกาทวีปจะเป็นอย่างไร ควรจะสืบสวนให้ทราบความจริงไว้ จึงทรงเผดียงสมเด็จพระวันรัตน์ (มี) วัดราชบูรณะ กับพระพุทธโฆษาจารย์ (บุญศรี) ให้จัดหาพระภิกษุสงฆ์ทั้งฝ่ายคณะใต้แลคณะเหนือ จะมีองค์ใดศรัทธาออกไปยังลังกาทวีปบ้าง สมเด็จพระวันรัตนจัดได้พระวัดราชบูรณะ ๕ รูป คือ พระอาจารย์ดีรูป ๑ พระอาจารย์เทพรูป ๑ พระแก้วรูป ๑ พระคงรูป ๑ พระห่วงรูป ๑ พระพุทธโฆษาจารย์จัดได้พระวัดมหาธาตุ ๔ รูป คือ พระอาจารย์อยู่รูป ๑ พระปรางรูป ๑ พระเซ่งรูป ๑ พระม่วงรูป ๑ รวมพระสงฆ์ไทย ๙ รูป ครั้งนั้นพระรัตนปาละ พระหิธายะชาวลังกา ซึ่งเข้ามาอุปสมบทในกรุงเทพฯ ทราบว่าพระสงฆ์สมณทูตไทยจะออกไปลังกา ถวายพระพรลาจะออกไปเยี่ยมญาติโยมของตนด้วย โปรดให้ไปกับสมณทูต พระสงฆ์ที่จะไปจึงรวมเป็น ๑๐ รูปด้วยกัน เมื่อจัดพระได้พร้อมแล้ว ถึงเดือน ๒ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ปีจอ ฉศก พ.ศ. ๒๓๗๕ โปรดให้นิมนต์พระสงฆ์สมณทูตเข้าไปรับผ้าไตรแลเครื่องบริขารต่อพระหัตถ์ แลโปรดให้จัดต้นไม้เงินทอง ๑๖ สำรับเทียนใหญ่ธูปใหญ่ ๓๐๐ คู่ เป็นของทรงพระราชอุทิศส่งไปบูชาพระทันตธาตุ และพระเจดียฐานในลังกาทวีป แลโปรดให้จัดเครื่องสมณบริขาร ๓ สำรับ คือ บาตร ฝาแลเซิงประดับมุก ถลกบาตรสักหลาดแดง ไตรแพรปักสี ย่ามหักทองขวางเป็นของพระราชทานพระสังฆนายก พระอนุนายก แลพระเถระซึ่งรักษาพระทันตธาตุ ณ เมืองสิงขัณฑศิริวัฒนบุรี แลมีสมณสาสน์ของสมเด็จพระสังฆราช ไปถึงพระสังฆนายกด้วยฉบับหนึ่ง โปรดให้หมื่นไกร กรมการเมืองนครศรีธรรมราช เป็นไวยาวัจกรสมณทูต แลคุมต้นไม้เงินทองสิ่งของพระราชทานไปด้วย สมณทูตลงเรือกรมอาสาจามไปจากกรุงเทพฯ เมื่อ ณ วันเดือน ๒ ขึ้น ๑๓ ค่ำ ถูกลมว่าวพัดกล้าคลื่นใหญ่ เรือไปชำรุดเกยที่ปากน้ำเมืองชุมพร พระยาชุมพรจัดเรือส่งไปเมืองไชยา พระยาไชยาจัดเรือส่งต่อไป ถึงเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อ ณ เดือน ๔ ขึ้น ๘ ค่ำ ไม่ทันฤดูลมที่จะใช้ใบไปลังกาทวีป สมณทูตจึงต้องค้างอยู่เมืองนครศรีธรรมราช ๑๑ เดือน ในระหว่างนั้น พระวลิตรภิกษุ กับพระศาสนวงศ์ พระลังกาที่อยู่ในกรุงเทพฯ ทราบว่าพระสงฆ์ไทยยังค้างอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช ถวายพระพรลาว่าจะกลับไปบ้านเมืองกับสมณทูตไทย
เมื่อได้พระราชทานอนุญาตแล้ว ก็ตามออกไปยังเมืองนครศรีธรรมราช แต่เมื่ออกไปถึงเมืองนครศรีธรรมราชแล้ว พระวลิตรภิกษุ กับพระรัตนปาละ พระหิธายะ ที่มาบวชในกรุงเทพฯ ไปประพฤติตัวไม่เรียบร้อยต่างๆ พระยานครศรีธรรมราช (น้อย) เห็นว่า ถ้าให้พระลังกา ๓ รูปนั้น ไปกับพระสงฆ์สมณทูตไทยเกรงจะไปเกิดเหตุการณ์ให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ จึงจัดส่งไปเกาะหมากทั้ง ๓ รูป ให้กลับไปบ้านเมืองของตนตามอำเภอใจ คงให้ไปกับพระสงฆ์ไทยแต่พระศาสนวงศ์รูปเดียว แต่เมื่อไปขึ้นบกในอินเดียแล้วพระศาสนวงศ์ก็หลบหายไปอีก พระสงฆ์สมณทูตไทยไปบกจากเมืองนครศรีธรรมราช ไปลงเรือที่เมืองฝรั่ง ได้ออกเรือเมื่อ ณ เดือน ๔ ขึ้น ๑๓ ค่ำ ปีกุน สัปตศก จุลศักราช ๑๑๗๗ พ.ศ. ๒๓๕๘ ไปกับเรือที่บรรทุกช้างไปขายในอินเดีย พระยานครศรีธรรมราชมีจดหมายไปถึงสังฆนาเกน นายห้างพราหมณ์อยู่ ณ เมืองบำบุดบำดัด ซึ่งเป็นคนชอบกับเจ้าพระยานคร ได้เคยรับซื้อช้างกันมาเสมอทุกปี
ครั้นเรือไปถึงเมืองบำบุดบำดัด สังฆนาเกนได้ทราบความในหนังสือเจ้าพระยานครแล้ว ก็ช่วยเป็นธุระรับรองพระสงฆ์สมณทูต แลให้เที่ยวหาจ้างคนนำทางที่จะไปลังกา พระสงฆ์ต้องคอยท่าอยู่อีกเดือนหนึ่ง จึงได้บลิม แขกต้นหนคน ๑ เคยมาค้าขายที่เมืองฝรั่งพูดไทยได้เป็นล่าม แลนำทางไป ต้นไม้ทองเงินธูปเทียนแลเครื่องบริขารของพระราชทานนั้นบลิมก็รับไปด้วย เรียกค่าจ้างเป็นเงิน ๑๘๐ รูเปีย ออกเดินไปจากเมืองบำบุดบำดัด เมื่อ ณ เดือน ๕ แรม ๖ ค่ำ ไป ๗๖ วัน ถึงท่าข้ามไปเกาะลังกา บลิมจ้างเรือไปส่งไปวัน ๑ ถึงเกาะลังกา ขึ้นเดินไปจากท่าเรืออีก ๓ วัน ถึงเมืองอนุราธบุรี เมื่อ ณ วันเดือน ๘ บุรพาสาธขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีชวด อัฐศก พ.ศ. ๒๓๕๙ พักอยู่ที่เมืองอนุราธบุรี ๓ วัน กุมารสิยูม ซึ่งเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองอนุราธบุรีนั้น จัดคนนำทางส่งต่อไปเมืองสิงขัณฑศิริวัฒนบุรี เดินไปได้ ๑๖ วัน ถึงคลองน้ำชื่อว่า วาลุกคงคา เมื่อ ณ วันเดือน ๘ ทุติยาสาธขึ้นค่ำ ๑ ขุนนางเมืองสิงขัณฑทราบว่าพระสงฆ์ไทยไปถึงคลองวาลุกคงคา จึงแต่งให้พันนายบ้านราษฎรออกมาปฏิบัติ ทำปะรำดาดผ้าขาวให้พักอาศัยอยู่คืนหนึ่ง รุ่งขึ้น ณ วันเดือน ๘ ทุติยาสาธขึ้น ๒ ค่ำ พระสงฆ์ สามเณร ราษฎรชาวลังกาชายหญิง ออกมารับสมณทูตไทยแห่เข้าไปในเมือสิงขัณฑ ให้ไปอยู่วัดบุปผาราม เวลานั้นอังกฤษพึ่งได้เกาะลังกาเป็นเมืองขึ้นใหม่ๆ เจ้าเมืองอังกฤษกำลังเอาใจชาวลังกา ให้เห็นว่าไม่ประสงค์จะเบียดเบียนพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ชาวลังกาเคยได้รับนิตยภัตจตุปัจจัยมาแต่ เมื่อยังมีพระเจ้าแผ่นดินสิงหฬปกครองอย่างไร ก็คงให้อย่างนั้น พระสงฆ์ไทยก็ได้รับความอุปการะเหมือนกับพระสงฆ์ชาวลังกาด้วยทุกอย่าง ฝ่ายพระสังฆนายก พระอนุนายกชาวสิงหฬ ก็ช่วยทำนุบำรุง พาสมณทูตไทยไปหาเจ้าเมืองอังกฤษ ขอลูกกุญแจมาไขเปิดพระทันตธาตุมนเทียร แลเชิญพระทันตธาตุออกให้นมัสการ แล้วพาไปนมัสการพระพุทธบาทบนยอดเขาสุมนกูฏ ได้ไปเที่ยวนมัสการพระเจดีย์ฐานที่สำคัญทุกแห่ง สมณทูตไทยอยู่ในลังกาทวีป ๑๒ เดือนจึงลาพระสังฆนายก พระอนุนายกกลับมา พระสังฆนายก พระอนุนายก ประชุมพร้อมกัน ทำสมณสาสน์ตอบให้สมณทูตไทยถือเข้ามาถึงสมเด็จพระสังฆราชฉบับ ๑ ในสมณสาสน์นั้นว่า พระสังฆนายก พระอนุนายก ได้ช่วยทำนุบำรุงพระสงฆ์ไทยตั้งแต่ไปจนกลับมา มีความผาสุกทุกองค์ จัดได้พระเจดีย์แก้วผลึกสูง ๘ นิ้วบรรจุพระบรมธาตุ ๕ พระองค์ พระพุทธรูปกาไหล่ทองคำหน้าตัก ๕ นิ้วองค์หนึ่ง ฉลองพระเนตรองค์หนึ่ง ถวายเข้ามาในสมเด็จพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา แลจัดได้พระเจดีย์กาไหล่ทองคำองค์หนึ่งสูง ๑๒ นิ้ว บรรจุพระบรมธาตุ ๓ พระองค์ แว่นตาศิลาอันหนึ่ง ถวายสมเด็จพระสังฆราช อนึ่ง เมื่อสมณทูตไทยกลับมาคราวนั้น ได้หน่อพระมหาโพธิเมืองอนุราธบุรีเข้ามาด้วย ๖ ต้น พระสงฆ์ไทยออกจากเมืองสิงขัณฑ ณ เดือน ๗ แรม ๖ ค่ำ ปีฉลูนพศก พ.ศ. ๒๓๖๐ ขุนนางอังกฤษที่เป็นเจ้าเมืองกลัมพู เอาเป็นธุระฝากเรือลูกค้ามาส่งที่เมืองบำบุดบำดัด แล้วสังฆนาเกนเศรษฐีเสียค่าระวาง ให้เรือกำปั่นลูกค้ามาส่งที่เมืองเกาะหมาก ขึ้นพักอยู่ที่เมืองเกาะหมาก ๔ เดือน
พระยานครศรีธรรมราชทราบว่า พระสงฆ์ซึ่งไปลังกากลับมาถึงเมืองเกาะหมากแล้ว จึงแต่งหรือไปรับ แลจัดส่งเข้ามา ถึงกรุงเทพมหานคร เมื่อเดือน ๙ แรมค่ำ ๑ ปีขาลสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๑๘๙ พ.ศ. ๒๓๖๑ แลต้นพระมหาโพธิที่ได้มานั้น พระอาจารย์เทพ ขอเอาไปปลูกไว้ที่เมืองกลันตันต้นหนึ่ง เจ้าพระยานครขอเอาไปปลูกที่เมืองนครสองต้น ได้เข้ามาถวายสามต้น โปรดให้ปลูกไว้ที่วัดสุทัศน์ต้นหนึ่ง วัดมหาธาตุต้นหนึ่ง วัดสระเกศต้นหนึ่ง แล้วทรงตั้งพระอาจารย์ดีเป็นที่พระคัมภีรปรีชา ตั้งพระอาจารย์เทพเป็นที่พระปัญญาวิสารเถร พระห่วงนั้นทรงเห็นว่าได้เรียนหนังสือ รู้ภาษามคธมาก ได้ช่วยเป็นล่ามโต้ตอบกับชาวลังกา ไม่เสียรัดเสียเปรียบ เป็นคนฉลาดไหวพริบดี จึงทรงตั้งให้เป็นพระวิสุทธิมุนี เป็นพระราชาคณะทั้ง ๓ รูป พระสงฆ์ที่ได้เป็นสมณทูตไปลังกานอกจากนั้น พระราชทานไตรปืแลนิตยภัตต่อมา เดือนละ ๘ บาทบ้าง ๖ บาทบ้างทุกรูป พระกรณียกิจครั้งนี้นับว่าเป็นพระเกียรติประวัติที่สำคัญ เพราะเป็นการรื้อฟื้นศาสนไมตรีระหว่างไทยกับลังกา ที่เริดร้างกันมากว่าครึ่งศตวรรษ ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ทั้งเป็นการปูทางให้แก่สมณทูตไทยในรัชกาลต่อมา ซึ่งยังผลให้คณะสงฆ์ไทยและลังกา มีการติดต่อสัมพันธ์กันใกล้ชิดยิ่งขึ้น อันเป็นการเอื้อประโยชน์แก่กันและกัน ในทางพระศาสนาในเวลาต่อมาเป็นอันมาก”
สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๓ แห่งกรุงรัตน์โกสินทร์
ครั้นเมื่อถึงวันที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๕๙ ตรงกับวันพุธ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๖ ปีชวดอัฐศก เวลา ๒ โมงเช้า นี้ สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา สมเด็จพระพนรัตน (มี) ขึ้นเป็น สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันพฤหัสบดี แรม ๗ ค่ำ เดือน ๙ ปีชวด พุทธศักราช ๒๓๕๙ ดังมีสำเนาประกาศสถาปนาดังนี้
“ศิริศยุภมัศดุอดีตกาลพระพุทธศักราชชไมยะ สหัสสังวัจฉรไตรยสตาธฤกษ์เอกูณสัฏฐีเตมสประจุบันกาล มุสิกสังวัจฉรมาสกาลปักษ์ยครุวารสัตตดฤษถีบริเฉทกาลอุกฤษฐ์ สมเด็จบรมธรรมฤกมหาราชารามาธิราชเจ้า ผู้ทรงทศพิธราชธรรมอนันตคุณวิบุลยอันมหาประเสริฐ ทรงพระราชศรัทธามีพระราชโองการมารพระบัณฑูรสุรสิงหนาทดำรัสสั่ง พระราชูทิศถาปนาให้สมเด็จพระพนรัตน เป็นสมเด็จพระอริยวงษญาณปริยัติยวราสังฆราชาธิบดีศรีสมณุตมาปรินายก ติปิฎกธราจารย์ สฤทธิขัติยสารสุนทร มหาคณฤกษษรทักษิณา สฤทธิสังฆคามวาสี อรัญวาสี เป็นประธานถานาทุกคณะนิกรจัตุพิธบรรพสัช สถิตย์ในพระศรีรัตนมหาธาตุวรวิหารพระอารามหลวง ให้จฤกถฤๅตฤกาลอวยผลv พระชนมายุศมศรีสวัสดิ พิพัฒนมงคลวิมลทฤฆายุศม ในพระพุทธศาสนาเถิด”
ในพระประวัติสมเด็จพระสังฆราช (มี) นี้เองที่ปรากฏหลักฐานเป็นครั้งแรกว่า สมเด็จพระสังฆราชในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ มีราชทินนามว่า “สมเด็จพระอริยวงษญาณ” กระทั่งถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงแก้เป็น “สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ” และใช้พระนามนี้สืบมาจนปัจจุบัน
เกิดธรรมเนียมแห่สมเด็จพระสังฆราชมาสถิต ณ วัดมหาธาตุ
สมเด็จพระสังฆราช (มี) ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรก ที่ทรงตั้งในรัชกาลที่ ๒ และทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรก ที่เมื่อทรงตั้งแล้วโปรดให้แห่จากพระอารามเดิมมาสถิต ณ วัดมหาธาตุ อันเป็นการเริ่มต้นธรรมเนียมแห่สมเด็จพระสังฆราช จากพระอารามเดิมมาสถิต ณ วัดมหาธาตุ ซึ่งเกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๒ เมื่อคราวทรงตั้ง สมเด็จพระสังฆราช (มี) นี้เป็นครั้งแรก และวัดมหาธาตุก็ได้เป็นที่สถิตของสมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จนตลอดรัชกาลที่ ๒
การที่สมเด็จพระสังฆราชเสด็จมาประทับ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ นั้น ถือเป็นสังฆประเพณีว่าสมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อนและหลังจากนี้ สมเด็จพระสังฆราชจะต้องเสด็จประทับ ณ วัดมหาธาตุฯ เนื่องจากเป็นพระอารามหลวงใหญ่ของราชธานี เพื่อจะได้เป็นประธานแก่คณะสงฆ์แห่งพุทธจักร ก่อนจะเสด็จมาประทับจะต้องโปรดให้ตั้งขบวนแห่งมีฤกษ์ เครื่องพิธี และสังฆพิธี อย่างพร้อมเพรียงนับว่าเป็นพระเพณีในทางพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่มาก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงได้อรรถาธิบายไว้ ในหนังสือ “ประวัติอธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุ” ไว้อย่างละเอียดดังนี้ว่า
“ในรัชกาลที่ ๒ ต้องทรงตั้งสมเด็จพระสังฆราชถึง ๓ พระองค์ ตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราช (มี) เป็นต้นมา ล้วนอยู่พระอารามอื่นก่อน แล้วจึงมาสถิตวัดมหาธาตุทั้งนั้น เมื่อจะเป็นสมเด็จพระสังฆราช บางพระองค์แห่มาสถิตวัดมหาธาตุก่อนแล้ว จึงรับพระสุพรรณบัตร บางพระองค์รับพระสุพรรณบัตรก่อนแล้วจึงแห่มาสถิตวัดมหาธาตุ คงจะเกี่ยวด้วยฤกษ์ทรงสถาปนา ถ้าฤกษ์อยู่ในเวลาพระศพสมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อนยังอยู่ที่ตำหนัก ก็รับพระสุพรรณบัตรก่อน พระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ก่อน แล้วจึงแห่สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่มาสถิตวัดมหาธาตุ ถ้าฤกษ์สถาปนา เป็นเวลาพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ก่อนแล้ว ก็แห่มาสถิตวัดมหาธาตุก่อน แล้วจึงรับพระสุพรรณบัตร คราวทรงตั้ง สมเด็จพระสังฆราช (มี) นี้ เห็นได้ชัดโดยวันในจดหมายเหตุว่า เมี่อทรงตั้งนั้น สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) สิ้นพระชนม์ยังไม่ถึง ๓ เดือน คงยังไม่ได้พระราชทานเพลิงพระศพ
ลักษณะการตั้งสมเด็จพระสังฆราช ข้าพเจ้าได้เห็นจดหมายเหตุของอาลักษณ์ จดรายการพิธีคราวตั้ง สมเด็จพระสังฆราช (นาค) เมื่อในรัชกาลที่ ๓ แต่เข้าใจว่า ตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อนๆ การพิธีก็จะเป็นอย่างเดียวกัน...
เริ่มการพิธีด้วยฤกษ์จารึกพระสุพรรณบัฏ จารึกในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามจารึกแล้ว (ม้วนรัดด้วยไหมเบญจพรรณ) บรรจุกล่องงาวางบนพานทอง มีถึงแพรเหลือระบายแดงผูกพานทองชั้น ๑ แล้วเอาพานทองนั้นวางบนพาน ๒ ชั้น ประดับมุก มีถึงแพรเหลืองระบายแดงผูกพานขั้น ๒ อีกชั้น ๑ แล้วจึงปิดคลุมปักหักทองขวางนอกพระสุพรรณบัฏ ยังมีตราพระมหามณฑปสำหรับตำแหน่งพระสังฆราชใส่ถึงตาด ใส่ในหีบขาวกับตลับชาดงา หีบนั้นใส่ถุงแพรต่วนเหลืองระบายแดงบนตะลุ่มประดับมุก มีถุงแพรเหลือระบายแดงอีกชั้น ๑ แล้วเชิญพานพระสุพรรณบัฏและพานตราพระมหามณฑป ตั้งบนเตียงพระมหามณฑปในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
วันก่อนพระฤกษ์สถาปนาเวลาบ่าย พระราชาคณะเจริญพระพุทธมนต์ที่ในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเข้าเสด็จออกยังพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระอาลักษณ์นุ่งห่มปักลายทองเชิงกรวย สวมเสื้อครุย นั่งบนผ้าขาวพับ อ่านประกาศพระนามครั้นประกาศแล้ว ทรงประเคนพานพระสุพรรณบัฏและตะลุ่มพระมณฑป เมื่อทรงประเคนแล้วเชิญกลับไปตั้งไว้บนเตียงพระมณฑป พระสงฆ์รับพระราชทานอาหารบิณฑบาตฉันเพลแล้ว เป็นการเสร็จพิธีในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีในหนังสือพระราชพงศาวดารคราวทรงตั้ง สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) ในรัชกาลที่ ๒ นั้น ทำพิธีในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เมื่อพระสงฆ์ฉันแล้ว มีเวียนเทียนสมโภชสมเด็จพระสังฆราชด้วย
ลักษณะการที่กล่าวมา ข้าพเจ้าสังสัยว่า มีรายการอีกอย่างหนึ่งไม่ปรากฏในจดหมายเหตุอาลักษณ์ คือเรื่องทรงอภิเษกสมเด็จพระสังฆราช เพราะอาลักษณ์ไม่มีหน้าที่จึงไม่กล่าวถึง ข้าพเจ้าเห็นเมื่อครั้งทรงสถาปนา สมเด็จพระสังฆราช (สา) วัดราชประดิษฐ์ เมื่อในรัชกาลที่ ๕ ตั้งพระแท่นสรงอันมีไม้อุทุมพรเป็นที่ประทับที่ชาลในกำแพงแก้ว ข้างพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามด้านใต้ พระครูธรรมวิธานจารย์ก็เล่าว่า เมื่อครั้งทรงสถาปนา สมเด็จพระสังฆราช (นาค) ในรัชกาลที่ ๓ ท่านสถิตอยู่วัดราชบูรณะ แต่มาสรงที่ตำหนักวัดมหาธาตุ จึงสันนิษฐานว่า เมื่อแต่ก่อนเห็นจะทำพิธีที่ตำหนักสมเด็จพระสังฆราชด้วยอีกแห่งหนึ่ง ตั้งพระแท่นสรงที่นั่นมีสวดมนต์เย็นเหมือนอย่างตั้งกรมเจ้านาย สมเด็จพระสังฆราชสรงในตอนเช้าแล้ว จึงเข้ามารับพระราชทานพระสุพรรณบัฏในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นทำนองพิธีตั้งกรมเจ้านายแต่ก่อน
ได้ความตามจดหมายเหตุของอาลักษณ์ต่อมาว่ ในวันตั้งสมเด็จพระสังฆราชนั้น ตอนบ่ายแห่พระสุพรรณบัฏและตรามหามณฑป ไปส่งยังพระอาราม มีกระบวนแห่สวมเสื้อครัยและลอมพอกขาว ถือดอกบัวสด ๔๐ กลองชนะ ๒๐ จ่าปี่ ๑ แตรฝรั่ง ๔ แตรงอน ๘ สังข์ ๒ รวม ๓๒ คน สวมเสื้อหมวกแดง แล้วถึงเครื่องสูงบังแทรกรวม ๑๘ คน นุ่งกางเกงยก เสื้อมัสรูเกี้ยวผ้าลาย แล้วถึงราชยานถุรับพระสุพรรณบัฏและตราพระมหามณฑป มีขุนหมื่นอาลักษณ์นุ้งถมปักลาย สวมเสื้อครุยลอมพอกนั่งประคอง คน ๑ กระบวนหลังมีเครื่องสูงแล้วถึงเกณฑ์แห่มีคู่แห่ ๒๐ และถือธง ๒๐ เป็นอันหมดกระบวน
ในค่ำวันนั้นมีจุดดอกไม้เพลิง ดอกไม้พุ่มเจ็ดชั้น ๒๐ พุ่ม ระทาสูง ๔ สอก ๑๐ ระทาพะเนียง ๓๐ กระบอก จุดที่นอกระเบียงข้างหน้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม...”
อย่างไรก็ตาม วัดมหาธาตุก็ได้เป็นที่สถิตของ สมเด็จพระสังฆราช ต่อเนื่องกันมาถึง ๔ พระองค์ คือ
๑. สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) ซึ่งทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช มาแต่รัชกาลที่ ๑ จนถึงตอนต้นรัชกาลที่ ๒
๒. สมเด็จพระสังฆราช (มี) พระองค์ที่ ๑ ในรัชกาลที่ ๒
๓. สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) พระองค์ที่ ๒ ในรัชกาลที่ ๒
๔. สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) พระองค์ที่ ๓ ในรัชกาลที่ ๒ ซึ่งมีพระชนม์มาถึงปีที่ ๑๙ ในรัชกาลที่ ๓
จนมาในรัชกาลที่ ๓ เมื่อทรงตั้ง สมเด็จพระสังฆราช (นาค) วัดราชบุรณะ เป็นสมเด็จพระสังฆราช สืบต่อจาก สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) วัดมหาธาตุกำลังอยู่ในระหว่างบูรณปฏิสังขรณ์ สมเด็จพระสังฆราช (นาค) จึงสถิต ณ วัดราชบุรณะ จนถึงสิ้นพระชนม์ ต่อแต่นั้นมา เมื่อทรงตั้งสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่ ก็มิได้มีการแห่มาสถิต ณ วัดมหาธาตุ อีก ธรรมเนียมแห่สมเด็จพระสังฆราชมาสถิต ณ วัดมหาธาตุ จึงเป็นอันสิ้นสุดลงเมื่อสิ้นรัชสมัยรัชกาลที่ ๒
เกิดอธิกรณ์ครั้งสำคัญ
ในปีแรกที่ทรงตั้ง สมเด็จพระสังฆราช (มี) นั้นเอง ก็ได้เกิดอธิกรณ์ซึ่งนับว่าเป็นครั้งสำคัญและครั้งแรกขึ้นในรัชกาล เพราะมีพระเถระผู้ใหญ่ที่เป็นกำลังของคณะสงฆ์ ต้องอธิกรณ์เมถุนปาราชิกพร้อมกันถึง ๓ รูป ดังมีรายละเอียดบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดาร ดังนี้
“ในเดือน ๑๒ ปีชวด อัฐศก (พ.ศ. ๒๓๕๙) นั้น มีโจทก์ฟ้องว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (บุญศรี) วัดมหาธาตุ รูป ๑ พระญาณสมโพธิ (เค็ม) วัดนาคกลาง รูป ๑ พระมงคลเทพมุนี (จีน) วัดหน้าพระเมรุกรุงเก่า รูป ๑ ทั้ง ๓ รูปนี้ ประพฤติผิดพระวินัยบัญญัติข้อสำคัญ ต้องเมถุนปาราชิกมาช้านาน จนถึงมีบุตรหลายคน โปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นรักษ์รณเรศ กับพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงพิจารณาได้ความเป็นสัตย์สมดังฟ้อง จึงมีรับสั่งเอาตัวผู้ผิดไปจำไว้ ณ คุก”
ตำแหน่งที่ พระพุทธโฆษาจารย์ นั้น เป็นตำแหน่งสำคัญในคณะสงฆ์ รองลงมาจากตำแหน่งที่ สมเด็จพระพนรัตน หรือเป็นลำดับที่ ๓ ในสังฆมณฑล นับแต่ สมเด็จพระสังฆราช ลงมา และพระพุทธโฆษาจารย์ (บุญศรี) รูปนี้ นับว่าเป็นกำลังสำคัญของคณะสงฆ์ในขณะนั้น เพราะเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ ให้จัดสมณทูตไปลังกาเมื่อต้นรัชกาล สมเด็จพระสังฆราช (มี) ขณะยังเป็นที่ สมเด็จพระพนรัตน กับ พระพุทธโฆษาจารย์ (บุญศรี) นี้เอง ที่เป็นผู้จัดการเรื่องสมณทูตไปลังกา เป็นที่เรียบร้อยสมพระราชประสงค์ จึงนับว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย เมื่อมาเกิดอธิกรณ์ขึ้นเช่นนี้ คงเป็นที่ทรงโทมนัสเป็นอย่างมาก และก็คงตกเป็นภาระของสมเด็จพระสังฆราชนั่นเอง ที่จะต้องสะสางและปรับปรุงการคณะสงฆ์ให้ดีขึ้น ดังปรากฏความในพระราชพงศาวดารว่า
“ที่เกิดเหตุปรากฏว่าพระราชาคณะเป็นปาราชิกหลายรูปคราวนั้น เห็นจะทรงพระวิตกถึงการฝ่ายพระพุทธจักรมาก ปรากฏว่าได้ทรงเผดียงสมเด็จพระสังฆราช (มี) แลสมเด็จพระพนรัตน (อาจ) วัดสระเกษ ให้แต่งหนังสือโอวาทานุสาสนี แสดงข้อวัตรปฏิบัติอันสมควรแก่สมณะมณฑล คัดแจกทั่วไปตามพระอาราม เป็นทำนองสังฆาณัติแลการชำระความปาราชิกก็สืบสวนกวดขันขึ้นแต่ครั้งนั้นมา จนสิ้นรัชกาลที่ ๒ แลต่อมาในรัชกาลที่ ๓ ด้วย”
หนังสือโอวาทานุสาสนีดังกล่าวนี้โปรดให้แต่งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๙ นี้ มีสาระสำคัญว่าด้วยเรื่องให้พระอุปัชฌาย์ อาจารย์พระราชาคณะถานานุกรมเอาใจใส่สั่งสอนพระภิกษุสามเณร ให้อยู่ในจตุปาริสุทธิศีล ๔ ผู้ที่จะเป็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์ จะต้องมีความรู้เรื่องพระวินัยและสังฆกรรมเป็นอย่างดีและปฏิบัติให้ถูกต้อง
ต่อมาอีก ๓ ปี สมเด็จพระพนรัตน (อาจ) ผู้แต่งหนังสือโอวาทานุสาสนีเอง ก็ต้องอธิกรณ์ ด้วยประพฤติต่อศิษย์ผิดสมณสารูป พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงโปรดเกล้าฯ ให้ถอดจากสมณศักดิ์ และไล่จากวัดมหาธาตุ จึงไปอยู่ที่วัดไทรทอง (ซึ่งภายหลังต่อมาได้สร้างเป็นวัดเบญจมบพิตรดังปรากฏอยู่ในบัดนี้) จนถึงมรณภาพในรัชกาลที่ ๓ สมเด็จพระพนรัตน (อาจ) รูปนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จะทรงตั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราชสืบต่อกันมาจาก สมเด็จพระสังฆราช (มี) ถึงกับโปรดเกล้าฯ ให้แห่มาอยู่วัดมหาธาตุแล้ว แต่มาเกิดอธิกรณ์เสียก่อนดังกล่าว เหตุการณ์ครั้งนี้ คงเป็นเรื่องสะเทือนใจพุทธศาสนิกชน ยิ่งกว่าเมื่อครั้งพระราชาราชคณะ ๓ รูปต้องอธิกรณ์ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น เพราะพระเถระที่ต้องอธิกรณ์ครั้งนี้ เป็นถึงว่าที่สมเด็จพระสังฆราช และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะที่ไม่ห่างกันนัก
การทำพิธีวิสาขบูชาครั้งแรกในกรุงรัตนโกสินทร์
พ.ศ. 2360 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ มีพระราชประสงค์จะทรงบำเพ็ญพระราชกุศลให้พิเศษยิ่งกว่าที่เคยทรงปฏิบัติมา จึงทรงมีพระราชราชปุจฉาต่อสมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระสังฆราชจึงได้ถวายพระพรให้ทรงกระทำการสักการบูชาพระศรีรัตนตรัย ในวันวิสาขบูชาเยี่ยงสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าแต่ปางก่อนเคยกระทำมา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดพิธีวิสาขบูชาขึ้นเป็นธรรมเนียม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2360 นั้นเป็นต้นมา นับเป็นการทำพิธีวิสาขบูชาครั้งแรกในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นเหตุให้มีการทำพิธีวิสาขบูชากันสืบมาจนปัจจุบัน เหตุการณ์สำคัญครั้งนี้นับว่า เป็นสิ่งที่เกิดจากพระปรีชาสามารถของ สมเด็จพระสังฆราช (มี) โดยแท้ นับเป็นพระเกียรติประวัติที่สำคัญครั้งหนึ่งของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นั้น
อนึ่ง พระราชกำหนดพิธีวิสาขบูชา ที่ได้กำหนดเป็นพระราชพิธีหลวงเป็นครั้งแรก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดเกล้าฯ ให้จัดขึ้นในครั้งนั้น พระราชพงศาวดารได้บันทึกไว้ดังนี้ คือ
“ศุภมัสดุ ๑๑๗๙ ศกอุศุภสังวัจฉร เจตมาสกาลปักษ์ ทุติยดฤถีครุวาร ปริเฉทกาลกำหนด พระบาทสมเด็จพระธรรมิกราชรามาธิราช บรมนาถบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงคุณธรรมอันประเสริฐ เสด็จออก ณ พระที่นั่งบุษบกมาลา มหาจักรพรรดิพิมานพร้อมด้วยอัครมหาเสนามาตยาธิบดี มุขมนตรีกระวีชาติราชปโรหิตจารย์ ผู้ทูลละอองพระบาทโดยลำดับ ทรงพระราชศรัทธาถวายสังฆภัตทานแก่พระสงฆ์มีองค์สมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน ครั้นเสด็จการภุตตกิจ พระสงฆ์รับพระราชทานฉันแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชรำพึงถึงสรรพการกุศล เป็นต้นว่า บริจาคทานรักษาศีล เจริญภาวนา ซึ่งได้ทรงบำเพ็ญมาเป็นนิจกาลนั้น ยังหาเต็มพระราชศรัทธาไม่ มีพระทัยปรารถนาจะใคร่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลให้มีผลวิเศษประเสริฐยิ่ง ที่พระองค์ยังมิได้ทรงกระทำเพื่อจะให้แปลกประหลาด จึงมีพระราชปุจฉาถามสมเด็จพระสังฆราช (มี) และพระราชาคณะผู้ใหญ่ผู้น้อยถวายพระพรว่า แต่ก่อนสมเด็จมหากษัตราธิราชเจ้ากระทำสักการบูชา พระศรีรัตนตรัยในวันวิสาขบูรณมี คือ วันเดือน ๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เป็นวันวิสาขนักขัตฤกษ์มหายัญพิธีบูชาใหม่ มีผลผลานิสงส์มากยิ่งกว่าตรุษสงกรานต์ เหตุว่าเป็นวันสมเด็จพระสัพพัญญพุทธเจ้าประสูติ ได้ตรัสรู้ ปรินิพพาน และสมเด็จพระเจ้าภาติกราชวสักราชดิศรมหาราชเคยกระทำสืบพระชนมายุ เป็นเยี่ยงอย่างโบราณราชประเพณีมาแต่ก่อน และพระราชพิธีวิสาขบูชาอันนี้เสื่อมสูญขาดมาช้านานแล้ว หามีกษัตริย์องค์ใดกระทำไม่ ถ้าได้กระทำสักการบูชาพระศรีรัตนตรัยในวันนั้นแล้ว ก็จะมีผลานิสงส์มากยิ่งนัก อาจสามารถปิดประตูจตุราบายภูมิทั้ง ๔ และเป็นที่จะดำเนินไปในสุคติภพเบื่องหน้า อาจให้เจริญทฤฆายุสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล ระงับทุกข์โทษอุปัทวันตรายภัยต่างๆ ในปริเฉทกาลปัจจุบัน เป็นอนันต์คุณานิสงส์วิเศษนักจะนับประมาณมิได้ ครั้นได้ทรงฟังเกิดพระราช ปิติโสมนัสตรัสเห็นว่าวิสาขบูชานี้จะเป็นเนื้อนาบุญราศี ประกอบพระราชกุศลเกิดขึ้นอีกแห่งหนึ่งเป็นแท้ จึงทรงพระราชศรัทธาจะยกรื้อวิสาขบูชามหาพิธีอันขาดประเพณีมานั้น ให้กลับเจียรฐิติกาลกำหนดปรากฏสำหรับแผ่นดินสืบต่อไป จะให้เป็นวัตตถประโยชน์และปรมัตถประโยชน์ ทรงพระราชศรัทธาจะให้สัตว์โลกข้าขอบขัณฑสีมาทั้งปวงเจริญอายุ และอยู่เป็นสุขปราศจากทุกข์ภัยในชั่วนี้และชั่วหน้า จึงมีพระราชโองการมานบัณฑูรสุรสิงหนาท ดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมสั่งว่า แต่นี้สืบไป เถิง ณ วันเดือน ๖ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ แรม ๑ ค่ำ เป็นวันวิสาขบูชานักขัตฤกษ์ใหญ่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรักษาอุโบสถศิลปรนิบัติพระสงฆ์ ๓ วัน ปล่อยสัตว์ ๓ วัน ห้ามมิให้ผู้ใดฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เสพสุราเมรัย ๓ วัน ถวายประทีปตั้งโคมแขวนเครื่องสักการบูชาดอกไม้เพลิง ๓ วัน ให้มีพระธรรมเทศนาในพระอารามหลวงถวายไทยทาน ๓ วัน ส่วนพระบรมราชวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท ไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎร์ลูกค้าวาณิช สมรชีพราหมณ์ทั้งปวง จงมีศรัทธาปลงใจในการกุศล อุตส่าห์กระทำวิสาขบูชาให้เป็นประเพณียั่งยืนไปทุกปี ไปอย่าให้ขาด ฝ่ายฆราวาสนั้นจงรักษาอุโบสถศีลถวายบิณฑบาต ปล่อยสัตว์ตามศรัทธา ๓ วัน ดุจวันตรัษสงกรานต์ เวลาเพลแล้วมีพระธรรมเทศนาในพระอาราม ครั้นเวลาบ่ายให้ตกแต่งเครื่องสักการบูชาพวงดอกไม้มาลากระทำให้วิจิตรต่างๆ ธูปเทียนชวาลาธงผ้า ธงกระดาษออกไปยังอารามบูชาพระรัตนตรัย ตั้งพานดอกไม้แขวนพวงไม้ธูปเทียนธงใหญ่ธงน้อยในพระอุโบสถ พระวิหารที่ลานพระเจดีย์ พระศรีมหาโพธิ์ และผู้ใดจะมีเครื่องดุริยางค์ดนตรีมโหรีพิณพาทย์ เครื่องผสมสมโภชประการใดๆ ก็ตามแต่ใจศรัทธา ครั้นเวลาค่ำให้บูชาพระรัตนตรัยด้วยเครื่องบูชาประทีป โคมตั้ง โคมแขวน จงทุกหน้าบ้าน และ ณ วันเดือน ๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำนั้นเป็นวันเพ็ญบุรณมี ให้ข้าทูลละอองธุลีพระบาทในพระราชวังหลวง ในกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ประชุมกันถวายสลากภัตแก่พระสงฆ์ และให้มรรคนายกทั้งปวงชักชวนสัปบุรุษทายก บรรดาที่อยู่ใกล้เคียงอารามใดๆ ให้นำสลากภัตถวายพระสงฆ์ในอารามนั้น เวลาบ่ายให้เอาหม้อใหญ่ใส่น้ำลอยด้วยดอกอุบลบัวหลวง ด้วยสายสิญจน์สำหรับเป็นน้ำปริตรไปตั้งที่พระอุโบสถ พระสงฆ์ลงอุโบสถแล้วจะได้สวดพระพุทธมนต์จำเริญพระปริตรธรรม ครั้นจบแล้วหม้อน้ำของผู้ใดก็เอาไปกินอาบปะพรมรดเย้าเรือนเคหา บำบัดโรคอุปัทวภัยต่างๆ ฝ่ายพระสงฆ์สมณนั้นให้พระราชาคณะฐานานุกรม ประกาศให้ลงพระอุโบสถแต่เพลาเพลแล้วให้พร้อมกัน ครั้นเสร็จอุโบสถกรรมแล้วเจริญพระปริตรธรรมแผ่พระพุทธอาญาในพระราชอาณาเขต ระงับอุปัทวภัยทั้งปวง ครั้นเวลาค่ำเป็นวันโอกาสแห่งพระสงฆ์สามเณรกระทำสักการบูชา พระศรีรัตนตรัยที่พระอุโบสถและพระวิหารด้วยธูปเทียน โคมตั้ง โคมแขวน ดอกไม้ และประทีป พระภิกษุที่เป็นธรรมกถึก จงมีจิตปราศโลภโลกามิสให้ตั้งเมตตาศรัทธาเป็นบุรจาริก จงสำแดงธรรมเทศนาให้พระสงฆ์สามเณรและสัปบุรุษ ฟังอันควรแก่ราตรีวันนั้นทุกอาราม ให้กระตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมานี้เสมอไปทุกปีอย่าให้ขาด ถ้าฆราวาสและพระสงฆ์สามเณรรูปใดเป็นพวกทุจริตจิตคะนองหยาบช้า หามีศรัทธาไม่กระทำความอันมิชอบ ให้เป็นอันตรายแก่ผู้กระทำวิสาขบูชาในวันนักขัตฤกษ์นั้น ให้ร้องแขวงนายบ้านนายอำเภอกำชับตรวจตราสอดแนมจับกุมเอาตัวผู้กระทำผิดให้จงได้ ถ้าจับคฤหัสถ์ได้ในกรุงฯ ให้ส่งกรมพระนครบาลนอกกรุงฯ ให้ส่งเจ้าเมืองกรมการ ถ้าจับพระสงฆ์สามเณรได้ในกรุงฯ ส่งสมเด็จพระสังฆราช พระพนรัตน์ นอกกรุงฯ ส่งเจ้าอธิการให้ไล่เลียงไต่ถามได้ความเห็นสัตย์ให้ลงทัณฑกรรม ตามอาญาฝ่ายพุทธจักร และพระราชอาณาจักรจะได้หลายจำอย่าให้ทำต่อไป และให้ประกาศป่าวร้องอาณาประชาราษฎร์ ลูกค้าวาณิชสมณชีพราหมณ์ให้จง รู้จงทั่ว ให้กระทำดังพระราชบัญญัติดังกล่าวมานี้จงทุกประการ ถ้าผู้ใดมิได้ฟัง จะเอาตัวผู้กระทำผิดเป็นโทษโดยโทษานุโทษฯ”
“พิธีวิสาขบูชาทำที่ในกรุงเทพฯ ในรัชกาลที่ ๒ ปรากฏว่ามีการเหล่านี้ คือนำโคมปิดกระดาษชักเสาไม้ไผ่ยอดผูกฉัตรกระดาษ พระราชทานไปปักจุดเป็นพุทธบูชาตามพระอารามหลวงวัดละ ๔ เสาอย่าง ๑ ให้นายอำเภอกำนันป่าวร้องราษฎรให้จุดโคมตามประทีปตามบ้านเรือนเป็นพุทธบูชาอย่าง ๑ หมายแผ่พระราชกุศล แต่ข้าราชการให้ร้อยดอกไม้แขวน เป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดารามทั้ง ๓ วันอย่าง ๑ มีดอกไม้เพลิงของหลวงตั้งจุดเป็นพุทธบูชาที่หน้าวัดพระศรีรัตนศาสดารามอย่าง ๑ นิมินต์พระสงฆ์ให้อุโบสถศีลและแสดงพระธรรมเทศนาแก่ราษฎร ตามพระอารามหลวงฝั่งตะวันออก ๑๐ วัน ผั่งตะวันตก ๑๐ วัน เครื่องกัณฑ์เป็นของหลวงพระราชทาน และให้นายอำเภอกำนันร้องป่าวตักเตือนราษฎรให้ไปรักษาศีล ฟังธรรม และห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอย่าง ๑ นำธงจระเข้ไปปักเป็นพุทธบูชา ตามพระอารามหลวงวัดละต้นอย่าง ๑ เลี้ยงพระสงฆ์ในท้องพระโรง พระราชทานสลากภัตแล้ว แล้วสดับปกรณ์พระบรมอัฐิ...”
อ้างอิง
- โกวิท ตั้งตรงจิตร. 19 สมเด็จพระสังฆราชกรุงรัตนโกสินทร์. --กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น, 2549.
ก่อนหน้า | สมเด็จพระอริยวงษญาณ (มี) | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) |
ไฟล์:ฉัตรสามชั้น.jpg สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2359 - พ.ศ. 2362) |
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) |