ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อาร์เอ็มเอส ไททานิก"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
บรรทัด 208: บรรทัด 208:
[[ไฟล์:Boat Deck 2nd Class Promenade.gif|thumb|left|ดาดฟ้าของผู้โดยสารชั้นสอง]]
[[ไฟล์:Boat Deck 2nd Class Promenade.gif|thumb|left|ดาดฟ้าของผู้โดยสารชั้นสอง]]


ชั้นนี้มีแบบเดียว ราคาตั๋วแบบเดียว โดยราคาตั๋วชั้นสองขายในราคา 12 ปอนด์ (ประมาณ 1021.81 ปอนด์ หรือ 48,800 บาทในปัจจุบัน) <ref name=ticket></ref>
ชั้นนี้มีแบบเดียว ราคาตั๋วแบบเดียว โดยราคาตั๋วชั้นสองขายในราคา 12 ปอนด์ (ประมาณ 1,021.81 ปอนด์ หรือ 48,800 บาทในปัจจุบัน) <ref name=ticket></ref>


บริเวณของผู้โดยสารชั้นสองส่วนใหญ่ จะอยู่ในชั้น E ผู้โดยสารชั้นสองจะได้รับความหรูหราพอๆ กับโรงแรมทั่วๆไป แม้จะยังไม่หรูหราเท่าชั้นหนึ่ง
บริเวณของผู้โดยสารชั้นสองส่วนใหญ่ จะอยู่ในชั้น E ผู้โดยสารชั้นสองจะได้รับความหรูหราพอๆ กับโรงแรมทั่วๆไป แม้จะยังไม่หรูหราเท่าชั้นหนึ่ง

รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:14, 1 กันยายน 2553

ไฟล์:Titanic2.jpg
เรือไททานิก
ประวัติ
ชื่ออาร์เอ็มเอส ไททานิก (RMS Titanic) [2]
เจ้าของ บริษัทไวท์ สตาร์ ไลน์ (White Star Line) [2]
ท่าเรือจดทะเบียนLiverpool
เส้นทางเดินเรือเบลฟัสต์ - ควีนส์ทาวน์ (ท่าเรือโคบห์) - แชร์บรูก - เซาแธมป์ตัน - นิวยอร์ก
Ordered31 กรกฎาคม ค.ศ. 1908[2]
อู่เรืออู่ต่อเรือ ฮาร์แลนด์ แอนด์ วูลฟฟ์ ในควีนส์ ไอแลนด์ เมืองเบลฟัสต์ ไอร์แลนด์เหนือ ประเทศอังกฤษ[2]
มูลค่าสร้าง1.75 ล้านปอนด์ (ในปี ค.ศ. 1912) หรือประมาณ 650-900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ในยุคปัจจุบัน)
Yard number401[3]
ปล่อยเรือ31 มีนาคม ค.ศ. 1909[2]
เดินเรือแรก31 พฤษภาคม ค.ศ. 1911[2] เวลา 10.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น
Christenedไม่มี
สร้างเสร็จ1 เมษายน ค.ศ. 1912
Maiden voyage10 เมษายน ค.ศ. 1912[2]
รหัสระบุlist error: <br /> list (help)
สัญญาณเรียกขาน "MGY"[1]
ตัวเลขทางราชการของอังกฤษ : 131428
ความเป็นไปชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็ง ใน วันเสาร์ที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1912 เวลา 23.40 น. ตามเวลาท้องถิ่น อัปปางลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ใน วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1912 เวลา 02.20น.[2]
ลักษณะเฉพาะ
ชั้น: ตระกูลโอลิมปิก
ขนาด (ตัน): 46,428 ตันเนจ[1]
ขนาด (ระวางขับน้ำ): 52,310 ตัน[3]
ความยาว: ความยาวตลอดลำ 883 ฟุต 9 นิ้ว[1] ยาวกว่าเรือโอลิมปิก 3 นิ้ว[4]
ความกว้าง: วัดที่แนวน้ำกลางลำเรือ 92 ฟุต 6 นิ้ว[4]
ความสูง: วัดจากแนวน้ำถึงดาดฟ้าเรือบด 60ฟุต 6 นิ้ว และวัดจากกระดูกงูถึงปลายปล่องไฟ 175 ฟุต
กินน้ำลึก: วัดจากกลางท้องเรือถึงแนวน้ำ 34 ฟุต 7 นิ้ว[2]
ความลึก: 64 ฟุต 6 นิ้ว (19.7 เมตร) [4]
ดาดฟ้า: 10 ชั้น; 7 ชั้นสำหรับผู้โดยสาร, 3 ชั้นสำหรับลูกเรือ โดยมี Sun deck, Boat (ชั้น เอ), Promenade (ชั้น บี), decks ซี-จี, ชั้นท้องเรืออีก 2 ชั้น (เป็นพื้นที่สำหรับหม้อน้ำ, เชื้อเพลิง, เครื่องยนต์, ห้องผนึกน้ำ, ประตูกั้นน้ำ หรือพื้นทีสำหรับเพลาใบจักร เป็นต้น)
ระบบพลังงาน:

2 ชุดเครื่องยนต์ 4 กระบอกสูบไอน้ำ Triple Expansion ขับเคลื่อนโดยตรงกับใบจักรข้างซ้าย-ขวา ให้กำลัง 30,000 แรงม้า 75 รอบ/นาที และไอน้ำความดันต่ำที่ผ่านการใช้เครื่องยนต์กระสอบสูบทั้งสองชุดเข้าสู่เครื่องยนต์เทอร์ไบน์ขับเคลื่อนผ่านชุดเกียร์สู่ใบจักรกลาง ให้กำลัง 16,000 แรงม้า 165 รอบ/นาที

[5]
ระบบขับเคลื่อน: 3 ใบ ทำจากสัมฤทธิ์ โดยใบจักรกลางขนาด 16 ฟุต ดุมใบจักรเป็นกรวยครอบ พวงใบจักรมี 4 ใบ และใบจักรข้างทั้งสอง ขนาด 23 ฟุต 6 นิ้ว ไม่มีกรวยครอบที่ดุม พวงใบจักรมี 4 ใบ[1]
ความเร็ว:
  • ความเร็วเรือออกแบบ: 20-23 นอต[2]
  • ความเร็วสูงสุด: ไม่เคยทดสอบอย่างจริงจัง คาดว่าประมาณ 21 นอต[1]
ความจุ:
  • แบบพักเดี่ยว 1,324 คน (ชั้นหนึ่ง 329 คน ชั้นสอง 285 คน และชั้นสาม จำนวน 710 คน) และสามารถปรับเปลี่ยนเป็นพักแบบคู่ในบางห้องได้เป็น 2,435 คน[1] ( ชั้นหนึ่ง 735 คน, ชั้นสอง 674 คน และชั้นสาม 1,026 คน )
  • ความจูสูงสุด: 3,547 คน
  • ลูกเรือ: 860 คน[2]

    อาร์เอ็มเอส ไททานิก (อังกฤษ: RMS Titanic) หรือ โรยาล เมล ชิป ไททานิก (อังกฤษ: Royal Mail Ship Titanic) คือ ชื่อเรือเดินสมุทรของบริษัทไวท์ สตาร์ ไลน์ (อังกฤษ: White Star Line) เริ่มก่อสร้างเมื่อ ค.ศ. 1909 สร้างเสร็จเมื่อ ค.ศ. 1911 ที่เบลฟาสท์, ไอร์แลนด์ พร้อม ๆ กับเรือคู่แฝดที่ชื่อว่า อาร์เอ็มเอส โอลิมปิก (อังกฤษ: RMS Olympic) ซึ่งเบากว่าไททานิกถึง 1,000 ตัน[6] ซึ่งครั้งหนึ่งเรือคู่นี้เคยเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    เบื้องหลัง

    ไฟล์:Titanic-bow seen from MIR I submersible.jpeg
    สภาพซากหัวเรือปัจจุบันใต้ท้องทะเล

    ในยุคช่วงประมาณ 100 ปีก่อน ยังไม่มีเครื่องบิน การเดินทางข้ามมหาสมุทรไปไกลๆ ต้องใช้เรือเท่านั้น จึงเกิดสายการเดินเรือขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ด้วยอุดมการณ์การเดินเรือที่ต่างกัน บ้างก็เน้นความใหญ่ บ้างก็เน้นความหรูหรา บ้างก็เน้นความประหยัด บ้างก็เน้นความเร็ว บ้างก็เน้นการรักษาสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ซึ่งมีสถิติมากมาย ที่สายการเดินเรือต่างๆ ต้องพยายามแข่งขันกัน เพื่อครองสถิติให้ได้มากๆ

    ในปี ค.ศ. 1858 สายการเดินเรือ "อีสเทิร์น สตีม เนวิเกชั่น คอมปานี" (Eastern Steam Navigation Company) ได้สร้างเรือยักษ์ เอสเอส เกรทอีสเทิร์น (SS Great Eastern) ซึ่งเป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกในยุคนั้น SS Great Eastern มีขนาด 18,915 ตัน ใหญ่กว่าเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดลำก่อนหน้ามันมากกว่า 4.5 เท่า แต่ใช้ได้เพียง 9 ปี ก็ต้องเลิกใช้ไปใน ค.ศ. 1867 และหลังจากสูญเสียมันไปนานกว่า 30 ปี ยังไม่มีเรือโดยสารลำใดที่ใหญ่กว่า SS Great Eastern

    แต่ใน ค.ศ. 1901 สายการเดินเรือไวต์สตาร์ไลน์ ได้ตัดสินใจสร้างเรือโดยสารที่ใหญ่กว่าเรือ SS Great Eastern เป็นลำแรก โดยจัดทำเป็นโครงการสร้างเรือใหญ่ 4 ลำ

    เรือทั้งสี่จะมีขนาดกว่า 20,000 ตัน เน้นการออกแบบภายในเรือที่สะดวกสบาย โดยเรือลำแรกของโครงการดังกล่าว คือเรือ อาร์เอ็มเอส เคลติค (ค.ศ. 1901) (RMS Celtic) ปล่อยลงน้ำครั้งแรกในวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1901 กลายเป็นเรือใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยขนาด 21,035 ตัน ตามมาด้วยเรือ อาร์เอ็มเอส เซดริก (RMS Cedric) แต่มันไม่ได้เป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    ใน ค.ศ. 1905 เอสเอส อเมริกา (SS America) ของสายการเดินเรืออื่นสร้างเสร็จ แย่งตำแหน่งเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปจาก Celtic แต่อยู่ในตำแหน่งได้ไม่ทันจบปี ค.ศ. 1905เรือโดยสารลำที่ 3 ของโครงการสร้าง 4 เรือยักษ์ ชื่อ อาร์เอ็มเอส บอลติก (ค.ศ. 1903) (RMS Baltic) สร้างเสร็จในปีเดียวกัน ชิงตำแหน่งเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกกลับคืนสู่สายการเดินเรือไวต์สตาร์ไลน์ได้ 1 ปี ก่อนจะถูกสายการเดินเรืออื่นแย่งตำแหน่งไปอีก

    และเรือลำสุดท้ายของโครงการ สร้างเสร็จใน ค.ศ. 1907 คือเรือ อาร์เอ็มเอส เอเดรียติก (RMS Adriatic) แต่เรือลำนี้ไม่ได้เป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    สายการเดินเรือไวต์สตาร์นั้น เชื่อเสมอว่าคนทั่วไปสามารถโดยสารกับเรือได้นาน ถ้าเรือนั้นมี ความเพรียบพร้อมในการบริการที่ดีเยี่ยม สะดวกสบายราวกันอยู่บ้าน และความเร็วเรือที่ได้ต้องใช้เชื้อเพลิงซึ่งเป็นถ่านหินจำนวนมาก ไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อม (ไวต์สตาร์เป็นพวกนักอนุรักษ์) ดังนั้นเรือทั้งสี่ลำนี้จึงมีความเร็วบริการประมาณ 16-17 น็อต (29.632-31.484 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ซึ่งความเร็วระดับนี้น้อยเกินกว่าจะสู้เรือของสายการเรืออื่น ๆ ได้

    เรือ SS Kaiserin Auguste Victoria (RMS Empress of Scotland (1906)) จากสายการเดินเรืออื่น แย่งตำแหน่งเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปจาก RMS Baltic ในปี ค.ศ. 1906

    ต่อมา สายการเดินเรือคูนาร์ด (Cunard Line) ซึ่งเป็นคู่แข่งรายสำคัญของไวต์สตาร์ไลน์ ได้ต่อเรือ อาร์เอ็มเอส ลูซิทาเนีย (RMS Lusitania) ต่อขึ้นในอู่ต่อเรือ John Brown ใน ค.ศ. 1907 เป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกแทนเรือ SS Kaiserin Auguste Victoria[1]

    และในปีเดียวกัน คูนาร์ดก็สร้าง อาร์เอ็มเอส มอริทาเนีย หรือ อาร์เอ็มเอส มอร์ทาเนีย (RMS Mauretania) ที่ต่อขึ้นในอู่ต่อเรือ Tyneside ได้ออกบริการในปีเดียวกัน เป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกแทน RMS Lusitania ทั้งคู่มีขนาดใหญ่กว่า 30000 ตัน แล่นด้วยความเร็ว 24 นอต (44.448 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) เป็นเรือแฝดรุ่นใหม่ของคูนาร์ด ล้ำหน้ากว่าเรือ 4 ลำของไวต์สตาร์ ทั้งด้านความเร็ว และขนาด[1]

    ใน ค.ศ. 1907 หรือปีที่เรือแฝดคูนาร์ดออกบริการนั่นเอง บุคคลสำคัญของสายการเดินเรือไวต์สตาร์ได้ร่วมจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำที่บ้าน downshire Belgrave Square ในกรุงลอนดอน เพื่อร่วมกันคิดรูปแบบเรือลำที่ดีกว่าเรือแฝดคู่นั้น และนั่นก็เป็นสาเหตุในการต่อเรือไททานิก[1]

    Postcard ของ เรือไททานิก

    หลัง RMS Mauretania เป็นเรือโดยสารใหญ่ที่สุดในโลกมาราว 4 ปี เรือลำแรกในโครงการต่อเรือ 3 ลำของไวต์สตาร์ไลน์ (เป็นการต่อเรือขนาดใหญ่ 3 ใบเถา เน้นรูปแบบการบริการของสายการเดินเรือที่หรูหราเป็นหลักความเร็วเป็นรอง) ชื่อ RMS Olympic สร้างเสร็จใน ค.ศ. 1911 มีขนาดใหญ่กว่าเรือ RMS Mauretania มากกว่า 40% ทำให้กลายเป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลก และต่อมา เรือลำที่สองในโครงการ ชื่อ RMS Titanic สร้างเสร็จใน ค.ศ. 1912 เป็นเรือโดยสารใหญ่ที่สุดในโลกแทนโอลิมปิก[1]

    และเรือลำสุดท้ายของโครงการ ตอนแรกจะใช้ชื่อ อาร์เอ็มเอส ไจแกนติก หรือ อาร์เอ็มเอส ไกแกนติก (RMS Gigantic) แต่ว่า มันสร้างเสร็จใน ค.ศ. 1914 ภายหลังการล่มของไททานิก โดยคาดว่าจะใช้รับส่งผู้โดยสารเพื่อข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก แต่ก็เป็นแค่ความฝันเพราะตรงกับช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 พอดี ส่งผลให้ใน ค.ศ. 1915 มันถูกเปลี่ยนจากเรือสำราญเป็นเรือพยาบาล รับ-ส่ง ทหารในต่างแดนในคาบสมุทรเมดิเตอร์เรเนียน แทน และเปลี่ยนชื่อเป็น เอชเอ็มเอชเอส บริแทนนิก (HMHS Britannic) แม้บริแทนนิกจะใหญ่กว่าไททานิกกว่า 1,800 ตัน แต่บริแทนนิก ไม่มีโอกาสได้เป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะสายการเดินเรือฮาเป็ก (Hapag หรือ Hamburg Amerika Line) จากเยอรมนี ได้สร้างเรือ SS Imperator (RMS Berengaria ของสายการเดินเรือคูนาร์ด) ที่ใหญ่กว่าบริแทนนิก เสร็จก่อนบริแทนนิก แต่เป็นที่น่าเศร้าเพราะในปี 1916 เรือได้อัปปางลงในทะเลอีเจียน เนื่องจากโดนทุ่นระเบิดจากเรือดำน้ำฝ่ายเยอรมัน ที่ยังหลงเหลือจากการกู้ระเบิดในเส้นทางดังกล่าว จึงส่งผลให้เรือเสียหายหนักและอัปปางลงในระยะเวลา 55 นาที หลังการเดินทางเพียง 6 ครั้ง เท่านั้น

    ในการออกแบบขั้นต้นเรือทั้ง 3 ลำมีโครงสร้างคล้ายคลึงกัน และทั้งสามมีขนาดใหญ่กว่าเรือแฝดของคูนาร์ด ขับเคลื่อนด้วย 2 ใบจักร 2 เครื่องยนต์กระบอกสูบ แต่ต่อมาเพิ่มเครื่องยนต์เทอร์ไบน์อีกกลายเป็น 3 ใบจักร เนื่องจากเรือรุ่น 4 ลำก่อนมีเพียง 2 เครื่องยนต์สามารถทำความเร็วได้ต่ำ ในขนาดที่เรือคู่แข่งมี 4 เครื่องยนต์ เรือทั้งสามมีเสากระโดงเรือ 2 หรือ 3 แห่ง ปล่องไฟ 3 ปล่อง แต่ต่อมาเพิ่มเป็น 4 ให้เท่ากับจำนวนปล่องบนเรือ Mauretania และ Lusitania เพื่อให้เรือดูสมดุล (และหลอกว่ามีกำลังขับเคลื่อนสูง) โดย 3 ปล่องแรกจะไว้ใช้ระบายอากาศจากเครื่องยนต์ แต่ปล่องสุดท้ายไว้ใช้ระบายอากาศภายในเรือ[1]

    ส่วนเรือไททานิกนั้น ก็มิได้ใหญ่โตถึงขนาดว่าไม่มีใครทำลายสถิติมันได้ลง ต่อให้มันไม่จม มันก็จะเสียตำแหน่งเรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้กับ RMS Olympic เพราะภายหลังไททานิกจม ในปีเดียวกันนั้น มีการนำเรือโอลิมปิกไปต่อเติมซ่อมแซมจนมีขนาดใหญ่กว่าไททานิก 110 ตัน

    หลังจากนั้น ตำแหน่งเรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็เปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ จนในปัจจุบัน เรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นเรือแฝด 3 ลำ คือ MS Liberty of the Seas , MS Freedom of the Seas และ MS Independence of the Seas ซึ่งมีขนาดถึง 154,407 ตัน ใหญ่กว่าไททานิกถึง 3.333 เท่า

    แต่อย่างไรก็ตาม ไททานิกก็เป็นที่โดดเด่นในประวัติศาสตร์มากกว่า

    ลักษณะเฉพาะของเรือ

    ไฟล์:TitanicDeckPlans.jpg
    Deckplan เรือไททานิก
    มุมมองจากด้านล่างของบันไดแกรนด์อันหรูหรา ในบริเวณของผู้โดยสารชั้น First Class

    ไททานิกเป็นเรือที่เปิดศักราชใหม่ให้กับอุตสาหกรรมเรือเดินสมุทร เนื่องจากเป็นเรือลำแรกๆ ของโลกที่สร้างโดยโลหะและรองรับผู้โดยสารได้ถึง 2,435 คน ยาว 269.0622 เมตร กว้าง 28.194 เมตร ขนาดของเรือ 46,328 ตัน แบ่งเป็น 9 ชั้น เรียงจากชั้นบนลงชั้นล่างได้ดังนี้[7]

    • 9. ดาดฟ้า สงวนไว้ให้ผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นสอง มีปล่องไฟ 4 ตัว สูงตัวละ 19 เมตร และห้องยิมเนเซียม[8]
    • 8. ชั้น A ห้องนั่งเล่น ห้องสมุด[8] ห้องสูบบุหรี่ คาเฟ่ขนาดเล็ก และเนิร์สเซอรี่ของผู้โดยสารชั้นหนึ่ง
    • 7. ชั้น B ห้องอาหาร a la carte ร้านกาแฟแบบปารีสของผู้โดยสารชั้นหนึ่ง [9] และห้องสูบบุหรี่ผู้โดยสารชั้นสอง
    • 6. ชั้น C ห้องสมุดของผู้โดยสารชั้นสอง ห้องเอนกประสงค์ของผู้โดยสารชั้นสาม
    • 5. ชั้น D ห้องอาหารของผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นสอง
    • 4. ชั้น E ห้องนอนของผู้โดยสารชั้นหนึ่ง สอง สาม ลูกเรือ
    • 3. ชั้น F ห้องอาหารของผู้โดยสารชั้นสาม
    • 2. ชั้น G สระว่ายน้ำ ห้องอาบน้ำแบบตุรกี[8] และห้องเก็บกระเป๋าเดินทาง
    • 1. ชั้นห้องเครื่อง มี 16 ห้อง หม้อน้ำรวม 29 ชุด ส่งเชื้อเพลิงให้เครื่องยนต์ 3 ตัว เครื่องยนต์ 3 ตัว หมุนใบจักร 3 ใบ รวม 50000 แรงม้า เร่งความเร็วเรือได้สูงสุด 23 น็อต (42.596 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ความเร็วมาตรฐาน 21 น็อต (38.892 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ห้องเครื่องทั้ง 16 ห้องมีกำแพงสูงถึงชั้น F และมีประตูกลซึ่งจะปิดลงมาทุกบานทั่วลำเรือเมื่อพบเหตุผิดปกติที่ห้องเครื่องใดห้องเครื่องหนึ่ง ซึ่งถ้าหากไม่เกิดรอยรั่วในหลายห้องเครื่องจนเกินไป ตามหลักการลอยตัวแล้ว เรือจะไม่จม ถึงแม้จะเป็นจุดอ่อนที่สุดของเรือซึ่งก็คือหัวเรือ ก็ยังรับรอยแตกได้ถึง 4 ห้องเครื่องติดกันโดยไม่จม[10]

    ไททานิก มีลิฟต์ 4 ตัว ในจำนวนนี้ 3 ตัว ถูกสงวนมีไว้สำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง อีก 1 ตัว มีไว้สำหรับผู้โดยสารชั้นสอง ส่วนผู้โดยสาร ชั้นสามไม่มีสิทธิ์ใช้ลิฟต์

    ในการบรรจุผู้โดยสาร โดยปกติ เรือไททานิก สามารถจุผู้โดยสารได้ 2,435 คน โดยแบ่งเป็น ชั้นสาม 1,026 คน , ชั้นสอง 674 คน และชั้นหนึ่ง 735 คน และลูกเรีออีก 892 คน รวมผู้โดยสารและลูกเรือ 3,327 คน แต่ถ้าในอนาคต ถ้าสายการเดินเรือต้องการเพิ่มความจุผู้คน จะสามารถดัดแปลงเรือให้จุผู้โดยสารและลูกเรือได้มากขึ้นอีก 220 คน เป็น 3,547 คน (แต่ยังไม่ได้รับการดัดแปลง) แต่ในการเดินทางเที่ยวแรก มีผู้โดยสารประมาณ 2,208 คน

    แต่ว่าเรือสำรองช่วยชีวิตหรือเรือบดนั้นเพียงพอสำหรับผู้โดยสารเพียง 1,178 คนเท่านั้น โดยจะแบ่งเป็น 20 ลำ ในจำนวนนี้ 14 ลำ จุได้ 65 คน , 4 ลำ จุได้ 47 คน และอีก 2 ลำ จุได้ 40 คน[8]

    การเดินทางครั้งแรก เริ่มการเดินทางที่เมืองเซาท์แธมตัน ประเทศอังกฤษ (Southampton, England) ในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1912 ควบคุมโดยกัปตัน เอ็ดเวิร์ด เจ. สมิธ (Edward J. Smith) เพื่อเดินทางไปยังนิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา ในการเดินทางครั้งนั้น มีผู้เดินทางรวมทั้งหมด 2,208 คน แบ่งเป็นลูกเรือ 891 คน , ผู้โดยสารชั้นสาม 708 คน , ผู้โดยสารชั้นสอง 285 คน และผู้โดยสารชั้นหนึ่ง 324 คน

    ข้อมูลทั่วไปของเรือ

    สัดส่วนเรือ

    • ความยาว: ความยาวตลอดลำ 883 ฟุต 9 นิ้ว ยาวกว่าเรือโอลิมปิก 3 นิ้ว[9] โดยมีความยาวแนวน้ำ 710 ฟุต 5 นิ้ว[8]
    • ความกว้าง: วัดที่แนวน้ำกลางลำเรือ 92 ฟุต 6 นิ้ว[8]
    • กินน้ำลึก: วัดจากกลางท้องเรือถึงแนวน้ำ 59 ฟุต 2 นิ้ว[8]
    • ความสูง: วัดจากแนวน้ำถึงดาดฟ้าเรือบด 60ฟุต 6 นิ้ว และวัดจากกระดูกงูถึงปลายปล่องไฟ 175 ฟุต[8]
    • ขนาด: 46,439 ตันเนจ, ระวางขับน้ำ 52,310 ตัน[8]

    ลักษณะทั่วไป

    • ปล่องไฟ: 4 ปล่อง[2] ติดหวูดไอน้ำทุกปล่อง ใช้เส้นเคเบิลตรึงปล่องละ 12 เส้น โดยแต่ละปล่องทำมุม 3.27 องศาจากแนวตั้งฉาก ใช้งานจริง 3 ปล่องแรก ปล่องสุดท้ายให้ระบายอากาศและทำให้ดูสมดุล
    • การทาสี: ปลายปล่องไฟทาสีดำ ตัวปล่องทาสีเหลืองอ่อนเนื้อลูกวัว ซุเปอร์สตรัคเจอร์ทาสีขาวงาช้าง ตัวเรือทำสีดำ โดยมีแถบสีทองคาดกลางระหว่างตัวเรือและซุเปอร์สตัคเจอร์ตลอดความยาวเรือ ท้องเรือใต้แนวน้ำทางสีแดง ใบจักรสีทองบรอนซ์
    • หัวรือ: ออกแบบให้มีที่ตัดน้ำแข็งทางหัวเรือ โดยมี สมอเรือ 2 ตัว ปั่นจั่น 1 ตัว เสากระโดงเรือ 1[2] ต้องและช่องขนสินค้า
    • ท้ายเรือ: หางเสือ 1 ตัว, สะพานเทียบเรือ, ปั้นจั่นยกสินค้า 2 ตัว
    • ประเภทวัสดุสร้างเรือ: เฟรม ทำจาก เหล็ก, โครงสร้างภายใน ทำจาก ไม้, เปลือกเรือภายในและภายนอก ทำจาก เหล็กกล้า พื้นดาดฟ้าเรือ ปูด้วย ไม้สัก ปล่องไฟ ทำจาก เหล็กกล้า, เสากระโดงเรือ ทำจาก ไม้สนสพรูซ (spruce) ท้องเรือ 2 ชั้น มีปีก stabilizer และมีเข็มทิศขนาดใหญ่บนดาดฟ้าชั้น Sun Deck ระหว่างปล่องไฟหมายเลข 2 และ 3
    • ดาดฟ้า: 10 ชั้น; 7 ชั้นสำหรับผู้โดยสาร, 3 ชั้นสำหรับลูกเรือ โดยมี Sun deck, Boat (ชั้น เอ), Promenade (ชั้น บี), decks ซี-จี, ชั้นท้องเรืออีก 2 ชั้น (เป็นพื้นที่สำหรับหม้อน้ำ, เชื้อเพลิง, เครื่องยนต์, ห้องผนึกน้ำ, ประตูกั้นน้ำ หรือพื้นทีสำหรับเพลาใบจักร เป็นต้น)
    • ตำแหน่งห้องวิทยุสื่อสาร: ชั้นเรือบด กราบซ้าย ถัดจากห้องสะพานเดินเรือ
    • ตะเกียงส่งสัญญาณ: 2 ดวง ติดตั้งทั้งกราบซ้ายและขวา บริเวณปีกสะพานเดินเรือชั้นเรือบด
    • สมอเรือ: 2 ตัว ตำแหน่งกราบซ้ายและขวาหัวเรือ หนัก 27 ตัน/ตัว
    • ปั้นจั่นไฟฟ้า: 9 ตัว โดยมี 1 ตัว ที่หัวเรือสำหรับสมอเรือ; 2 ตัว บนชั้น ซี ด้านหน้าของซุเปอร์สตรัคเจอร์ ใกล้กับช่องสินค้า (Well deck) ; 2 ตัว บนชั้น บี ค่อนไปทางท้ายเรือ; 2 ตัว บนชั้น ซี ด้านหลังของซุเปอร์สตรัคเจอร์ ใกล้กับช่องสินค้า (Well deck)
    • โกดังสินค้า: 9 แห่ง (ห้องมาตรฐาน 6 ห้อง ห้องแช่แข็ง 2 ห้อง และห้องไปรษณีย์ ห้อง)
    • ลิฟต์สินค้า: 2 ตัว (ตัวแรกจากชั้น เอ ไป ชั้น ดี ตัวที่สอง จากชั้น ดี ไปชั้น จี และลงท้องเรือโดยบันได)
    • ฝากั้นน้ำ: 15 แนวแบ่งเป็น 16 ห้อง พร้อมประตูประตูผนึกน้ำทำงานด้วยไฟฟ้า
    • ความจุผู้โดยสาร: แบบพักเดี่ยว 1,324 คน (ชั้นหนึ่ง 329 คน ชั้นสอง 285 คน และชั้นสาม จำนวน 710 คน) และสามารถปรับเปลี่ยนเป็นพักแบบคู่ในบางห้องได้เป็น 2,435 คน ( ชั้นหนึ่ง 735 คน, ชั้นสอง 674 คน และชั้นสาม 1,026 คน )
    • ความจูสูงสุด: 3,547 คน
    • เสื้อชูชีพ: 3,560 ชุด[8]
    • ห่วงชูชีพ: 49 ห่วง
    • เรือชูชีพ: เรือบด 20 ลำ ความจุ 1,178 ชีวิต เป็นเรือไม้ 14 ลำ (ขนาดลำเรือยาว 30 ฟุต กว้าง 9 ฟุต 1 นิ้ว สูง 4 ฟุต จุ 65 ชีวิต) เรือเร็ว (Cutter) 2 ลำ (ขนาดลำเรือยาว 25 ฟุต 2 นิ้ว กว้าง 7 ฟุต 2 นิ้ว สูง 3 ฟุต จุ 40 ชีวิต) เรือผ้าใบ 4 ลำ (ขนาดลำเรือยาว 27 ฟุต 5 นิ้ว กว้าง 8 ฟุต สูง 3 ฟุต จุ 47 ชีวิต)
    • ลูกเรือ: 899 คน[8]

    พนักงานประจำเรือ

    • กัปตันเรือ: เอ็ดเวิร์ด จอห์น สมิธ[2]
    • หัวหน้าเจ้าหน้าที่: เฮนรี่ ทิงเกิล ไวด์[3]
    • เจ้าหน้าที่ชั้นหนึ่ง: วิลเลียม แม็คมาสเตอร์ เมอร์ด็อก[3]
    • เจ้าหน้าที่ชั้นสอง: ชาร์ลส์ เฮิร์บเบิร์ต ไลโทเลอร์[3]
    • เจ้าหน้าที่ชั้นสาม: เฮิร์บเบิร์ต จอห์น พิตแมน[3]
    • เจ้าหน้าที่ชั้นสี่: โกร์ฟ โจเซฟ บ็อกซ์ฮอล[3]
    • เจ้าหน้าที่ชั้นห้า: ฮาโรลด์ ก็อดเฟรย์ โลว์[3]
    • เจ้าหน้าที่ชั้นหก: เจมส์ เพล มุดดี้[3]
    • โดยรวมทั้ง สจ็วตชายและหญิง สาวใช้ บริกรชายและหญิง คนครัว แพทย์ กลาสี ช่างไฟฟ้า ช่างน้ำมัน คนเติมถ่านหิน กรีเซอร์ ผู้ช่วยห้องเครื่อง ผู้ดูแลพื้นที่ผู้โดยสารหรือสัตว์เลี้ยง ผู้ดูแลอาหารและบัญชี เสมียน วงดนตรี เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ผู้ควบคุมปั่นจั่น ผู้สังเกตการณ์บนเสากระโดงเรือ ซีแมน พนักงานประจำลิฟต์ พนักงานห้องซักล้าง พนักงานห้องวิทยุโทรเลข เป็นต้น
    • เจ้าหน้าที่สังเกตการณ์บนเสากระโดงเรือ: ก่อนเที่ยงวัน ริชาร์ด ไซมอนส์ และ อาร์คิบัลด์ เจเวล และ หลังเที่ยงวัน เฟร็ดเดอริก ฟลีต และ เรจจิโนลด์ ลี
    • พนักงานประจำห้องวิทยุสื่อสาร: แจ็ค ฟิลลิปส์ และ ฮาโรลด ไบรด์ จาก บริษัท มาร์โคนี เทเลกราฟ, นิวยอร์ก

    ระบบขับเคลื่อน

    • เครื่องยนต์: 2 ชุดเครื่องยนต์ 4 กระบอกสูบไอน้ำTriple Expansion ขับเคลื่อนโดยตรงกับใบจักรข้างซ้าย-ขวา ให้กำลัง 30,000 แรงม้า 75 รอบ/นาที และไอน้ำความดันต่ำที่ผ่านการใช้เครื่องยนต์กระสอบสูบทั้งสองชุดเข้าสู่เครื่องยนต์เทอร์ไบน์ขับเคลื่อนผ่านชุดเกียร์สู่ใบจักรกลาง ให้กำลัง 16,000 แรงม้า 165 รอบ/นาที[8]
    • ใบจักร: 3 ใบ ทำจากสัมฤทธิ์ โดยใบจักรกลางขนาด 16 ฟุต ดุมใบจักรเป็นกรวยครอบ พวงใบจักรมี 4 ใบ และใบจักรข้างทั้งสอง ขนาด 23 ฟุต 6 นิ้ว ไม่มีกรวยครอบที่ดุม พวงใบจักรมี 4 ใบ[8]
    • หม้อน้ำ: 29 ตัว ผลิตโดย เดนนี่ แอนด์ ซันส์ ในลิเวอร์พูล 24 ตัวเป็นแบบเติมถ่านได้ 2 ฝั่ง (6 ช่องเตาต่อหม้อน้ำ 1 ตัว) อีก 5 ตัวเติมถ่านได้ฝั่งเดียว (3 ช่องเตาต่อหม้อน้ำ 1 ตัว) รวมพื้นที่นำความร้อน (Active Heat Surface) 144,142 ตารางฟุต
    • เชื้อเพลิง: ถ่านหิน 825 ตัน/วัน
    • น้ำจืด: 14,000 แกลลอน/วัน
    • หางเสือ: 1 ตัว ตำแหน่งท้ายเรือตรงกลาง หนัก 100 ตัน, ยึดด้วยบานพับ 6 จุด
    • ความเร็วเรือออกแบบ: 20-23 นอต[8]
    • ความเร็วเรือตอนปะทะภูเขาน้ำแข็ง: 20-21 นอต
    • ความเร็วสูงสุด: ไม่เคยทดสอบอย่างจริงจัง คาดว่าประมาณ 21 นอต[8]

    สภาพภายในเรือ

    ภายในเรือไททานิก จะกั้นอาณาเขตไว้อย่างชัดเจน ว่าบริเวณใด เป็นส่วนของผู้โดยสารชั้นใด และผู้โดยสารในเรือจะต้องอยู่ในบริเวณที่เป็นชั้นของตนเองเท่านั้น [8][12]

    ชั้นสาม (Third class)

    ชั้นนี้ เป็นชั้นที่ราคาตั๋วต่ำ โดยชั้นนี้ จะแบ่งออกได้หลายแบบ ตามลักษณะห้อง บริการ และสิทธิต่างๆ บนเรือ โดยราคาตั๋วชั้นสามที่ถูกสุด ขายในราคา 3 ปอนด์ (ประมาณ 255.45 ปอนด์ หรือ 12,200 บาทในปัจจุบัน) ส่วนราคาตั๋วชั้นสามที่แพงสุด ขายในราคา 8 ปอนด์ (ประมาณ 681.21 ปอนด์ หรือ 32,500 บาทในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นราคาที่นับว่าประหยัดมาก เมื่อเทียบกับการเดินทางทางทะเลด้วยระยะเวลากว่าสัปดาห์ แต่การที่ราคาประหยัดนั้น ก็ทำให้เกิดผลเสียตามมา[13]

    บริเวณของผู้โดยสารชั้นสามส่วนใหญ่จะอยู่ในชั้น F กับชั้น G ผู้โดยสารชั้นประหยัด สิทธิหลายอย่างถูกจำกัด เช่น สิทธิในการใช้ลิฟต์ สิทธิในการขึ้นชั้นดาดฟ้า

    ห้องของชั้นสามมีตั้งแต่ห้องขนาด 2 เตียงนอน ไปจนถึง 8 เตียงนอน ห้องพักแม้จะแคบ แต่สะอาดเรียบง่าย และดูสว่างสดใส และการที่อยู่ในท้องเรือลึกๆ ทำให้อากาศอุ่นสบายกว่าอาณาเขตชั้นอื่น

    ห้องของชั้นสามที่มีราคาถูกที่สุด (3 ปอนด์) จะอยู่ท้ายเรือ เพราะห้องเหล่านั้นจะอยู่ใกล้ใบจักรขับเคลื่อนเรือมากๆ ดังนั้นในบริเวณนั้น จะโคลงเคลงและสั่น ผู้ที่ไม่ชินกับทะเล จะเกิดอาการเมาเรือได้ถ้าไปอยู่ในบริเวณนั้นนานๆ (ถึงแม้จะเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ตามที) [13]

    ชั้นสอง (Second class)

    ไฟล์:Boat Deck 2nd Class Promenade.gif
    ดาดฟ้าของผู้โดยสารชั้นสอง

    ชั้นนี้มีแบบเดียว ราคาตั๋วแบบเดียว โดยราคาตั๋วชั้นสองขายในราคา 12 ปอนด์ (ประมาณ 1,021.81 ปอนด์ หรือ 48,800 บาทในปัจจุบัน) [13]

    บริเวณของผู้โดยสารชั้นสองส่วนใหญ่ จะอยู่ในชั้น E ผู้โดยสารชั้นสองจะได้รับความหรูหราพอๆ กับโรงแรมทั่วๆไป แม้จะยังไม่หรูหราเท่าชั้นหนึ่ง ห้องของชั้นสองมี 2 ขนาด คือขนาด 2 กับ 4 เตียงนอน ภายในห้องไม่แออัด มีเฟอร์นิเจอร์ที่ทันสมัยในยุคนั้น โซฟาพักผ่อนในห้องส่วนตัว

    ชั้นหนึ่ง (First Class)

    ห้องรับแขกของผู้โดยสารชั้นหนึ่ง

    คลาสนี้มีสองแบบคือแบบห้องธรรมดากับแบบห้องชุดพิเศษ

    แบบธรรมดาจะขายตั๋วในราคา 30 ปอนด์ (2554.54 ปอนด์ หรือ 122,000 บาทในปัจจุบัน) ผู้โดยสารชั้นนี้ จะได้รับความหรูหราเต็มพิกัด [14]

    บริเวณของผู้โดยสารชั้นหนึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในชั้น A , B , C, D และบางส่วนของชั้น E ห้องพักแบบธรรมดายังมีการจัดระดับแยกอีก 2 แบบอีกด้วย คือ แบบห้องสูท (ห้องชุด) บนชั้น B และ C ผู้โดยสารจะได้รับความหรูหรามากกว่าโรงแรมแทบทั้งหมดในอังกฤษหรือในอเมริกา ผู้โดยสารสามารถเลือกลักษณะห้องพักของตนได้ เพราะห้อง First Class ถูกเตรียมไว้มากกว่า 10 รูปแบบ ตั้งแต่สไตล์เรเนอซองส์ , ดัตช์โบราณ , ดัตช์สมัยใหม่ , รีเจนซี่, หลุยส์, อดัมส์ ฯลฯ ที่เพิ่มส่วนพื้นที่ห้องนั่งเล่นในตัว ห้องแต่งตัว

    และห้องพักชั้นหนึ่งแบบธรรมดาจะมีการแตกแต่งแบบเรียบง่าย อีกทั้งขนาดห้องเล็กกว่า ซึ่งทุกห้อง ถูกผสมผสานเข้ากับความเป็นสมัยใหม่ได้ลงตัวมาก ทุกห้องมีเทคโนโลยีทำความร้อนจากไฟฟ้าและหลอดไฟฟ้า โดยห้องพักแบบนี้พบตามชั้น A ถึง D และมากสุดชั้น E

    แต่ชั้นหนึ่งแบบห้องชุดพิเศษ (Parlor Suite) นั้น ราคาสูงถึง 870 ปอนด์ (74081.81 ปอนด์ หรือ 3,540,000 บาทในปัจจุบัน) คุณภาพที่ได้รับก็สมราคา เพราะผู้โดยสารที่ซื้อตั๋ว จะมีห้องนอน 2 ห้อง ห้องนั่งเล่นพักผ่อนส่วนตัว ห้องแต่งตัว ห้องน้ำส่วนตัว โดยห้องพัก Millionair Suite บนเรือไททานิกมีอยู่ 4 ห้องโดย 2 ห้องแรกบนชั้น B จะมีระเบียงชมทะเลส่วนตัวขนาดยาว 50 ฟุต และอีก 2 ห้องบนชั้น C[13]

    ลางร้ายก่อนเกิดเหตุ

    Futility

    ใน ค.ศ. 1898 (พ.ศ. 2441) หรือ 14 ปีก่อนจะเกิดโศกนาฏกรรมไททานิก นักเขียนนิยายชาวอเมริกัน ชื่อ มอร์แกน โรเบิร์ทสัน (Morgan Robertson) ได้แต่งนวนิยายมาเรื่องหนึ่ง ชื่อเรื่องว่า Futility[15]

    เป็นเรื่องราวเกียวกับเรือลำหนึ่ง ที่ถูกสร้างและออกแบบมาให้เป็นเรือลำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ชื่อเรือว่า ไททัน (Titan) มีความแข็งแกร่งจนกล่าวได้ว่าเรือไม่มีวันจม แต่ได้ชนภูเขาน้ำแข็งจมลง มีผู้เสียชีวิตมากมายเพราะเรือสำรองไม่พอ ซึ่งใกล้เคียงกับเนื้อเรื่องของไททานิก แต่... นิยายเรื่องนี้ ถูกแต่งก่อนเหตุการณ์จริงจะเกิดขึ้น เรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลกในช่วงที่นวนิยายตีพิมพ์คือเรือ SS Kaiser Wilhelm der Grosse ซึ่งมีขนาดเพียงร้อยละ 31 (เพียง 14,349 ตัน ในขณะที่ไททานิก 46,329 ตัน) ของเรือไททานิกเท่านั้น แต่ข้อมูลของเรือไททันในจินตนาการของมอร์แกน และข้อมูลจริงของไททานิก ใกล้เคียงกันมาก ดังตาราง[16]

    ข้อเปรียบเทียบ เรือไททานิกจริง เรือไททันในนิยาย
    สัญชาติของเรือ อังกฤษ อังกฤษ
    ชื่อเล่นของเรือ Unsinkable (ไม่มีวันจม) Unsinkable (ไม่มีวันจม)
    ขนาดของเรือ 46,329 ตัน 45,000 ตัน
    ความยาวของเรือ 269.1 เมตร (882 ฟุต 9 นิ้ว) 243.84เมตร (800 ฟุต)
    จุผู้โดยสารสูงสุด 2,435 คน 2,000 คน
    จุลูกเรือมากที่สุด 892 คน 1,000 คน
    ความเร็วสูงสุด 23 น็อต 24 น็อต
    การเดินทาง จากอังกฤษไปนิวยอร์ก จากนิวยอร์กไปอังกฤษ
    จำนวนห้องเครื่อง 16 19
    จำนวนเรือสำรอง 20 24
    เวลาชนภูเขาน้ำแข็ง 23 นาฬิกา 40 นาที ใกล้เที่ยงคืน
    สถานที่ชนภูเขาน้ำแข็ง กลางมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ กลางมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ
    เดือนที่ออกเดินทาง เมษายน เมษายน


    นอกจากนี้ ยังมีลางร้ายอืกมากปรากฏในช่วงก่อนการเดินทาง จนถึงกับมีผู้พูดไว้ในวันที่ไททานิกออกเดินทางว่า "That ship is going to sink."

    ออกเดินทาง (เที่ยวแรกและสุดท้าย) [17]

    เรือไททานิกและเรือโอลิมปิก

    วันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1911

    เรือไททานิกถูกปล่อยลงน้ำเป็นครั้งแรก[2] โดยใช้เวลาเพียง 62 วินาทีเรือก็ลงสู่น้ำเป็นที่เรียบร้อย ไททานิกที่ต่อเสร็จแล้วได้กลายเป็นพาหนะที่ใหญ่ที่สุดในโลกในยุคนั้น มีความยาว 268 เมตร กว้าง 28 เมตร และความสูงวัดจากท้องเรือถึงสะพานเดินเรือ (สะพานเดินเรือหมายถึงห้องควบคุมเรือที่อยู่บนดาดฟ้า) 30 เมตร พิธีปล่อยเรือถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และมีผู้เข้าชมถึง 100,000 คน

    หลังจากใช้เวลาตกแต่งหลายเดือน ในที่สุด ไททานิกก็กลายเป็นเรือเดินสมุทรสุดหรูหรา ไททานิกมีระวาง 46,300 ตัน[2] ใหญ่กว่าเรือโอลิมปิก 1,000 ตัน บรรทุกผู้โดยสารและลูกเรือได้เต็มที่ถึง 3,547 คน มีเครื่องยนต์ที่มีพลังแรงถึง 46,000 แรงม้า (เปรียบเทียบกับรถยนต์นั่งขนาดกระบอกสูบ 2,000 ซีซี. มีกำลังราว 130-140 แรงม้า) ทุ่มค่าก่อสร้างไปถึง 7,500,000 ดอลลาร์และค่าตกแต่งอีก 2,500,000 ดอลลาร์ รวมเป็น 10 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถ้าคิดเทียบเป็นค่าของเงินในปัจจุบันจะเป็นมูลค่าถึง 400 ล้านดอลลาร์ (ราวสองหมื่นล้านบาท) ทีเดียว

    วันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1912

    ไฟล์:Titanic new york.jpg
    เรือไททานิก, เรือ อาร์เอ็มเอส โอเชียนิก (ค.ศ. 1899) (RMS Oceanic) และ เรือ เอสเอส นิวยอร์ก (SS City of New York)
    กับตัน เอ็ดเวิร์ด จอห์น สมิธ กัปตันของไททานิก


    เรือไททานิกออกจากท่าเรือเซาแทมป์ตันในการเดินทางครั้งแรก

    สายการเดินเรือไวต์สตาร์จัดการเดินทางรอบปฐมฤกษ์ของเรือไททานิกในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1912 โดยเดินทางจากท่าเรือเซาแทมป์ตันของอังกฤษไปยังเมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในการเดินทางรอบปฐมฤกษ์นี้เป็นแผนการประชาสัมพันธ์เรือไททานิกด้วย ดังนั้นจึงมีบุคคลสำคัญและบุคคลในวงสังคมชั้นสูงทั้งของอังกฤษ ยุโรป และสหรัฐอเมริการ่วมเดินทางไปด้วยเป็นจำนวนมาก รวมทั้ง เจ. พี มอร์แกน เจ้าของไวต์สตาร์ เจ. บรูซ อิสเมย์ ผู้จัดการไวต์สตาร์ รวมทั้งยังมีทอมัส แอนดรูวส์ วิศวกรอาวุโสของอู่ต่อเรือฮาร์แลนด์และวูลฟฟ์ผู้ออกแบบและควบคุมการต่อเรือไททานิก แต่ต่อมามอร์แกนยกเลิกการเดินทางกะทันหันเนื่องจากล้มป่วย[1]

    กัปตันเรือไททานิกก็ไม่ใช่ใครอื่น กัปตันเอ็ดเวิร์ด จอห์น สมิธ นั่นเอง กัปตันสมิทเป็นกัปตันเรือที่เก่งกาจและมีค่าตัวแพงที่สุดในยุคนั้น การเดินทางในเที่ยวนี้จะเป็นเที่ยวสั่งลาในอาชีพกัปตันเรือเพราะหลังจากนั้นกัปตันสมิทก็จะเกษียณแล้ว[1]

    แม้ไททานิกจะถูกออกแบบมาให้เป็นเรือที่ใช้ในได้ในทุกฤดูกาลของปี แต่การเดินทางในช่วงนี้ก็ต้องระวังเป็นพิเศษเพราะธารน้ำแข็งแถบกรีนแลนด์จะละลายและก่อให้เกิดภูเขาน้ำแข็งเคลื่อนตัวลงมาในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือและลอยตามกระแสน้ำในมหาสมุทรลงมาทางใต้

    เรือไททานิกออกเดินทางเที่ยวปฐมฤกษ์จากท่าเรือเซาแทมป์ตันในอังกฤษโดยมีจุดหมายปลายทางคือเมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ผู้โดยสารในเที่ยวนั้นประกอบด้วยบุคคลชั้นสูงในวงสังคมของอังกฤษ ยุโรป และสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก

    ในเช้าวันเดินทาง ตามกฎการเดินเรือ เจ้าหน้าที่ประจำเรือจะต้องมีการฝึกซ้อมการใช้เรือชูชีพในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน การฝึกซ้อมในเช้านั้นทำขึ้นพอเป็นพิธีเท่านั้น ดังนั้นจึงมีลูกเรือมาฝึกซ้อมเพียงไม่กี่นาย แต่เดิมไททานิกถูกออกแบบมาให้มีเรือชูชีพ 32 ลำ แต่ต่อมาถูกตัดออกเหลือเพียง 20 ลำซึ่งจุผู้โดยสารรวมกันได้เพียง 1,178 คนเท่านั้น เนื่องจากเห็นว่าเกะกะ อีกทั้งเห็นว่าจำนวนเพียงเท่านี้ก็เหลือเฟือแล้วตามกฎหมายการเดินเรือในยุคนั้นที่กำหนดจำนวนเรือชูชีพตามน้ำหนักเรือเป็นเกณฑ์โดยไม่คำนึงถึงจำนวนผู้โดยสาร ซึ่งในกรณีของไททานิก เรือชูชีพเพียงแค่ 962 ที่ก็เป็นการเพียงพอแล้วตามกฎหมาย

    ครั้นเวลาเที่ยง เรือไททานิกก็ออกเดินทางจากท่าเรือเซาแทมป์ตัน เมื่อเรือเริ่มออกจากท่าก็หวุดหวิดจะเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากในช่วงนั้นเป็นช่วงที่พนักงานเหมืองถ่านหินทำการประท้วงและนัดหยุดงาน ส่งผลให้เรือหลายลำต้องจอดแช่อยู่ที่ท่าเรือเนื่องจากไม่มีถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงสำหรับการเดินทาง แต่เนื่องจากไวต์สตาร์เป็นสายการเดินเรือใหญ่ จึงมีถ่านหินตุนอยู่บ้างทำให้ไททานิกสามารถออกเดินทางได้[2]

    จากการที่ท่าเรือค่อนข้างคับคั่ง เมื่อไททานิกอันเป็นเรือขนาดใหญ่มหึมาออกจากท่า ผลจากการเคลื่อนตัวของเรือทำให้น้ำกระเพื่อมและเกิดแรงดูดอันมหาศาลดึงเรือที่อยู่ใกล้เคียงเข้าหาเรือไททานิก เรือ เอสเอส นิวยอร์ก (SS City of New York) ถูกกระแสน้ำดูดจนเกือบชนเรือไททานิกโดยห่างเพียงหนึ่งเมตรกว่าๆเท่านั้นเอง โชคดีที่เบนเรือออกทัน อุบัติเหตุในครั้งนี้ก็เป็นสาเหตุเดียวกับที่เรือโอลิมปิกเกิดอุบัติเหตุชนกันจนต้องซ่อมใหญ่ก่อนหน้านี้นั่นเอง[18]

    เมื่อออกจากท่าเรือเซาแทมป์ตัน ไททานิกมุ่งหน้าไปยังเมืองแชร์บูร์กของฝรั่งเศส[2] เพื่อแวะรับผู้โดยสาร[19]

    11 เมษายน

    ไททานิกแวะที่ท่าเรือเมืองควีนส์ทาวน์ในไอร์แลนด์ และในเวลา 13.30 น. ไททานิกก็ถอนสมอและมุ่งหน้าไปยังสหรัฐอเมริกา แต่ใครจะทราบเล่าว่าการถอนสมอครั้งนั้นเป็นการถอนสมอครั้งสุดท้ายและเรือไททานิกจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ[2][19]

    12 - 13 เมษายน

    ทะเลสงบและอากาศแจ่มใส การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้โดยสารบนเรือต่างรื่นเริงกับการเดินทางอันหรูหราในครั้งนี้[3]

    14 เมษายน

    ตามกำหนดการเดิม เช้าวันอาทิตย์ที่ 14 นี้จะต้องมีการซ้อมการใช้เรือชูชีพโดยมีผู้โดยสารร่วมฝึกซ้อมด้วย แต่การฝึกซ้อมได้ถูกยกเลิกไป

    แม้ในสมัยนั้นจะมีระบบโทรศัพท์เกิดขึ้นแล้วก็ตาม แต่การติดต่อด้วยเสียงพูดระหว่างเรือหรือระหว่างเรือกับแผ่นดินยังไม่สามารถทำได้ ระบบที่มีอยู่ในตอนนั้นคือวิทยุโทรเลขซึ่งเป็นการส่งรหัสมอร์ส (Morse code) ด้วยคลื่นวิทยุ ในเรือแต่ละลำจะมีห้องวิทยุโทรเลขซึ่งมีเจ้าหน้าที่คอยรับส่งข้อความโดยเฉพาะเพราะต้องเป็นผู้ที่รู้จักรหัสมอร์ส[20]

    ห้องส่งวิทยุโทรเลขบนเรือเดินสมุทรในยุคนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อบริการแก่ผู้โดยสาร เป็นหลัก เพราะการเดินทางโดยทางเรือนั้นต้องใช้เวลานาน จากหลายวันถึงเป็นเดือน ดังนั้นการติดต่อกับผู้ที่อยู่บนบกจึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับผู้โดยสาร ส่วนการใช้เพื่อประโยชน์ในการเดินเรือนั้นเป็นวัตถุประสงค์รอง[21]

    ในเรือไททานิกนี้ก็เช่นกัน ห้องวิทยุโทรเลขมีไว้เพื่อบริการผู้โดยสารเป็นหลัก เจ้าหน้าที่วิทยุโทรเลขนี้ไม่ใช่พนักงานประจำเรือ แต่เป็นพนักงานของบริษัทมาร์โคนีซึ่งเป็นต้นตำรับในการสื่อสารด้วยวิทยุโทรเลข แม้แต่ใบโทรเลขในยุคนั้นที่จริงก็ไม่ได้เรียกว่า โทรเลข (telegram) แต่เรียกว่า มาร์โคนีแกรม (marconigram) อัตราค่าส่งวิทยุโทรเลขบนเรือไททานิกคิดเป็นเงิน 3.12 ดอลลาร์หรือเทียบเท่ากับ 36 ดอลลาร์ในสมัยนี้ซึ่งนับว่าสูงอยู่ในระดับหลักพันบาทไทย[20]

    เนื่องจากไททานิกเป็นเรือขนาดใหญ่ จุผู้โดยสารได้มาก ดังนั้นปริมาณการใช้บริการส่งวิทยุโทรเลขก็ต้องมากเป็นธรรมดา พนักงานรับส่งวิทยุโทรเลขจึงต้องทำงานค่อนข้างหนัก เมื่อว่างเว้นจากงานบริการผู้โดยสารแล้วจึงค่อยมาสะสางเรื่องการติดต่อเพื่อการเดินเรือ อีกทั้งในสมัยนั้นยังไม่มีขั้นตอนการนำส่งข้อความแก่กัปตันเรืออย่างเป็นระบบ ดังนั้นจึงไม่มีหลักประกันแต่อย่างใดว่าข่าวสารจะถึงมือกัปตันหรือไม่ หรือถึงช้าเร็วเพียงใด[20]

    เช้าวันที่ 14 เมษายน กัปตันสมิทสั่งเดินเครื่องเรือไททานิกเต็มที่ สำหรับสาเหตุของการเร่งเครื่องครั้งนี้มีผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่าเป็นไปตามความต้องการของอิสเมย์ ผู้จัดการไวต์สตาร์ ที่ต้องการทำเวลาเพื่อให้ไปถึงนิวยอร์กก่อนกำหนดและเพื่อเป็นการลบสถิติที่เรือโอลิมปิกซึ่งเป็นเรือพี่ในชุด 3 ใบเถานี้เคยทำไว้ ไททานิกจึงแล่นด้วยความเร็วถึง 22.5 นอต (1 นอตคือ 1 ไมล์ทะเลต่อชั่วโมง, 1 ไมล์ทะเลหรือ nautical mile นี้เท่ากับ 1.852 กิโลเมตร) ซึ่งเกือบถึงความเร็วสูงสุดของเรือ (23 นอต) [3]

    และในวันเดียวกันนี้เอง ไททานิกได้รับวิทยุโทรเลขเตือนเรื่องภูเขาน้ำแข็งในเส้นทางเดินเรือถึง 7 ครั้ง (เอกสารบางแหล่งระบุว่า 6 ครั้ง) จากเรือเดินสมุทรในสายแอตแลนติกเหนือ อาทิ จากเรือ อาร์เอ็มเอส แคโรเนีย (RMS Caronia), อาร์เอ็มเอส บอลติก (ค.ศ. 1903) (RMS Baltic), เอสเอส อเมริกา (SS Amerika) [22], เอสเอส แคลิฟอร์เนียน (SS Californian) และ เอสเอส เมซาบา (SS Mesaba) ฯลฯ และที่ร้ายก็คือ เมื่อเวลา 21.45 น. ไททานิกได้รับวิทยุโทรเลขเตือนว่ามีภูเขาน้ำแข็งและน้ำแข็งกระจัดกระจายอยู่ในเส้นทางข้างหน้า แต่พนักงานวิทยุโทรเลขไม่ได้ส่งข้อความนั้นให้แก่กัปตันหรือเจ้าหน้าที่เรือคนใดเลย ทั้งนี้ เพราะมัวยุ่งอยู่กับการส่งวิทยุโทรเลขให้แก่ผู้โดยสารในเรือนั่นเอง

    การจมของเรือ[17]

    แผนที่แสดงบริเวณที่เรือเกิดอุบัติเหตุ
    เหล่านักดนตรีของไททานิก
    ไฟล์:Titanic sinking.jpg
    ภาพการจมของเรือจากภาพยนตร์เรื่อง ไททานิก (ค.ศ. 1997)
    ภาพวาดการจมของไททานิก โดย Willy Stöwer
    เรือบดของไททานิก
    อาร์เอ็มเอส คาร์พาเธีย (RMS Carpathia)

    วันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1912 ขณะเดินทางอยู่ทางใต้ของแกรนด์แบงค์ ของนิวฟันด์แลนด์ 22 นาฬิกา 45 นาที อุณหภูมิภายนอกเรือ ลดลงอย่างรวดเร็วจนเกือบถึงจุดเยือกแข็ง และน้ำทะเลรอบๆ ก็นิ่งลงจนแทบไม่มีคลื่นเลย เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจ แต่ก็ไม่มีใครในเรือที่รู้สึกถึงความผิดปกติ ผู้โดยสารที่อยู่บนดาดฟ้าก็กลับลงไปในเรือและใช้ชีวิตต่อตามปกติ[23]

    22 นาฬิกา 50 นาที ทะเลสงบไร้ระลอก มหาสมุทรเงียบสงัด คงมีแต่เสียงหัวเรือแหวกน้ำทะเล เรือเดินสมุทรแคลิฟอร์เนียนซึ่งอยู่ไม่ไกลนักได้ส่งข่าวเตือนภัยแก่ไททานิกว่าเรือแคลิฟอร์เนียนต้องหยุดเรือไม่สามารถเดินทางต่อไปได้เพราะถูกห้อมล้อมไปด้วยน้ำแข็ง[23]

    23 นาฬิกา 39 นาทีเวรยามที่เสากระโดงแจ้งว่าได้พบภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่อยู่ข้างหน้าเรือ ลูกเรือจึงได้เลี้ยวลำเรือเพื่อหลบเลี่ยง แต่เนื่องจากใบจักรและหางเสือที่มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับขนาดของเรือ ทำให้ผู้บังคับเรือซึ่งยังไม่ชินกับการบังคับเรือใหญ่ขนาดนี้ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด[24]

    23 นาฬิกา 40 นาที ไททานิกชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็ง[2] ที่ 41 องศา 46 ลิปดาเหนือ 50 องศา 14 ลิปดาตะวันตก

    ไม่กี่นาทีต่อมาวิศวกรเดินลงไปตรวจดูความเสียหาย และรายงานมาว่า เรือได้ชนกับภูเขาน้ำแข็งทางกราบขวาด้านหัวเรือ ซึ่งเป็นจุดอ่อนทนรอยแตกได้ไม่อึดเท่าจุดอื่นๆ และห้องเครื่องส่วนหัว 5 ห้องเครื่องแรกก็เกิดรอยรั่ว ซึ่งวิศวกรบอกว่า หัวเรือเป็นจุดอ่อนที่สุดในเรือที่สามารถรับรอยแตกต่อเนื่องจากหัวเรือได้ 4 ห้อง ไม่ใช่ 5 ห้องดังที่เป็น ดังนั้น น้ำจะท่วมห้องเครื่องทั้งห้าสูงขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อท่วมมิดชั้นF เริ่มไหลขึ้นชั้นE น้ำก็จะล้นกำแพงกั้นน้ำเข้าท่วมห้องเครื่องที่ 6 และท่วมไปทีละห้องๆ และจมในที่สุด ดังนั้น เรือกำลังจะจม โดยหัวเรือจะจมลงไปก่อน โดยเรือเหลือเวลาไม่กี่ชั่วโมง[1][25]

    0 นาฬิกา 0 นาที ของวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1912 น้ำเริ่มท่วมส่วนที่เป็นห้องพักของผู้โดยสารชั้นสาม ทำให้เริ่มเกิดข่าวลือกันในเรือว่าเรือกำลังจะจม แต่ผู้โดยสารส่วนมากที่ได้ข่าวมักยังไม่เชื่อ เพราะก่อนหน้านี้เรือไททานิกถูกโปรโมตอย่างดิบดีว่าไม่มีวันจม

    0 นาฬิกา 5 นาที กัปตันสั่งให้เตรียมเรือสำรองไว้ เตรียมอพยพผู้คนโดยด่วน , ไปบอกเจ้าหน้าที่วิทยุให้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกไป และบอกพนักงานให้ไปปลุกผู้โดยสาร ให้ผู้โดยสารสวมเสื้อชูชีพ และทำร่างกายให้อุ่นๆ และไปที่ดาดฟ้า ทำให้ข่าวลือเรื่องเรือกำลังจะจมแพร่ไปทั่วเรือ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อ ส่วนใหญ่ยังนั่งกินเลี้ยง เล่นไพ่ ดื่มไวน์อย่างใจเย็น และเมื่อขึ้นไปที่ดาดฟ้า เจออากาศหนาวๆ ภายนอก ก็กลับเข้าไปข้างในอีก ในช่วงเวลานี้ ผู้โดยสารดูไม่ตื่นตัว และไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังจะพบนั้นเลวร้ายเพียงใด[1]

    ต่อมาราว 5-15 นาที เรือ อาร์เอ็มเอส คาร์พาเธีย (RMS Carpathia) ของสายการเดินเรือคูนาร์ด (Cunard Line) รับสัญญาณขอความช่วยเหลือของไททานิกได้ และตอบกลับ โดยบอกว่าเร่งเครื่องเต็มที่แล้ว และคาร์พาเธียจะไปถึงเรือไททานิกภายใน 4 ชั่วโมง แต่นั่นนานเกินไป วิศวกรบอกว่าเรือลอยอยู่ไม่ถึง 4 ชั่วโมงแน่ ดังนั้น ไททานิก จึงต้องพึ่งตนเอง[26]

    0 นาฬิกา 25 นาที เรือสำรองทุกลำพร้อมอพยพผู้โดยสาร กัปตันสั่งให้เริ่มอพยพโดยให้สตรีและเด็กลงเรือไปก่อน แต่ลูกเรือไม่รู้ว่าเรือสำรองจุผู้คนได้เท่าไร จึงปล่อยเรือบดออกทั้งๆที่ยังใส่คนไม่เต็มที่ ทำให้แทนที่เรือสำรองจะช่วยชีวิตได้ 1,178 คนตามที่มันถูกออกแบบ มันกลับรับผู้โดยสารมาเพียง 712 คนเท่านั้น[1]

    0 นาฬิกา 45 นาที เรือสำรองลำแรกถูกปล่อยลงมา และเมื่อผู้โดยสารได้รับข่าวการปล่อยเรือชูชีพ และเห็นเจ้าหน้าที่ต่างทำงานอย่างเคร่งเครียดเอาจริงเอาจัง ก็เริ่มเชื่อข่าวที่ลือกันในเรือว่า เรือกำลังจะจม[27]

    0 นาฬิกา 50 นาที พลุขอความช่วยเหลือเริ่มถูกยิงขึ้นฟ้า[1]

    1 นาฬิกาตรง ผู้โดยสารและลูกเรือส่วนใหญ่เชื่อแล้ว ว่าเรือที่พวกเขาอยู่นั้นกำลังจะจม ความวุ่นวายและตื่นตระหนกเริ่มเกิดขึ้น ลูกเรือที่ทำหน้าที่ปล่อยเรือสำรองเริ่มเจอแรงกดดันจากการที่ผู้โดยสารแย่งกันเป็นคนถัดไปที่จะได้ขึ้นเรือสำรอง เกิดเป็นความวุ่นวายเล็กๆ แต่ในขณะเดียวกัน ผู้โดยสารชายหลายท่าน แสดงความเป็นสุภาพบุรุษ โดยให้ภรรยาและลูกขึ้นเรือ แล้วตนเองถอยไป[28]

    1 นาฬิกา 15 นาที น้ำท่วมขึ้นมิดหัวเรือ และข่าวการที่น้ำท่วมมาจนมิดหัวเรือ ทำให้ผู้โดยสารเริ่มตื่นตระหนก เพราะเคยเห็นว่าหัวเรือนั้นสูงเพียงใด ดังนั้นผู้โดยสารและลูกเรือจึงตื่นตระหนกมากขึ้นเมื่อรู้ข่าว เพราะคิดว่า เรือจมเร็วกว่าที่คิด ทำให้ผู้โดยสารที่ไม่ใช่สุภาพบุรุษแย่งกันขึ้นเรือ ทำให้ความวุ่นวายทวีความรุนแรงขึ้น[1]

    1 นาฬิกา 25 นาที ความวุ่นวายทวีความรุนแรงขึ้นมาก เจ้าหน้าที่เริ่มใช้ปืนในการควบคุม เรือบดถูกเจ้าหน้าที่ปล่อยลงอย่างรีบร้อน เพราะความวุ่นวายจะทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำคัญในการใส่คนลงไปในเรือ และในการปล่อยเรือสำรองลงไป ในขณะที่เรือเองก็จมลงเรื่อยๆ เหล่านักดนตรีได้แสดงสปิริตอย่างน่าชื่นชม พวกเขาพยายามเล่นดนตรีเพื่อผ่อนคลายความตื่นตระหนกของคนบนเรือตลอดเวลา เมื่อห้องโถงด้านหัวเรือจมต่ำลงก็ย้ายไปเล่นที่ดาดฟ้าด้านท้ายเรือ และบรรเลงไปจนนาทีสุดท้ายของชีวิต

    1 นาฬิกา 45 นาที น้ำเริ่มเข้าท่วมบริเวณระเบียงด้านหัวเรือ ในขณะนี้ ชั้น A ด้านหัวเรือ เหลือความสูงจากผิวน้ำ 3 เมตร

    1 นาฬิกา 55 นาที เรือสำรองทุกลำถูกปล่อยออกไปหมด เจ้าหน้าที่จึงเตรียมเรือสำรองแบบพับได้ และเริ่มลำเลียงผู้คนออกจากเรือต่อ[1]

    2 นาฬิกาตรง น้ำเริ่มไหลเข้าท่วมดาดฟ้าเรือบริเวณส่วนหัว ท่วมห้องบังคับการเรือ และเริ่มเข้าท่วมลึกเข้าไป[1]

    2 นาฬิกา 5 นาที เรือสำรองทุกลำถูกปล่อยออกไปจนหมด แต่ยังเหลือคนมากกว่า 1,500 คนบนเรือ และท้ายเรือเริ่มยกตัวขึ้น เห็นใบจักรขับเคลื่อนลอยขึ้นมาอย่างชัดเจน และยกขึ้นเรื่อยๆ และทางด้านหัวเรือ น้ำก็เข้าท่วมสูงมิดห้องบังคับการเรือ ท้ายเรือยกตัวขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ เรือเอียงอย่างน่ากลัว ผู้โดยสารหวาดกลัว บางคนถึงกับโดดลงมาจากเรือเพื่อหวังจะว่ายไปขึ้นเรือชูชีพด้านล่าง แต่ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตก่อนจะว่ายไปถึง[29]

    เพราะในเวลานั้น เจ้าหน้าที่ที่อยู่บนเรือสำรอง ได้นำเรือสำรองทุกลำให้ออกห่างจากตัวเรือไททานิกให้ไกลที่สุด เพราะไททานิกที่กำลังจมอย่างรวดเร็วและรุนแรง อาจจะดูดเรือสำรองจม หรืออาจเกิดอันตรายอย่างอื่น ที่สามารถทำให้เรือสำรองจมได้ เหล่าเจ้าหน้าที่ พยายามนำเรือสำรองออกไปให้ไกลที่สุด ดังนั้น ผู้ที่ตัดสินใจในการโดดมาจากเรือไททานิก แล้วคิดว่ายไปขึ้นเรือสำรอง ส่วนใหญ่จึงไม่รอด

    2 นาฬิกา 18 นาที ระบบไฟฟ้าบนเรือหยุดทำงาน ไม่นานต่อมา เรือก็ขาดออกเป็นสองท่อน (จุดที่ฉีกขาดอยู่ระหว่างปล่องไฟปล่องที่ 3 กับปล่องที่ 4) แต่พื้นของชั้นล่างสุดยังไม่ขาดออกจากกัน การหักครั้งนี้ ทำให้ส่วนหัวเรือจมลงอย่างรวดเร็ว ดึงส่วนท้ายเรือขึ้นมา ส่งผลให้ส่วนท้ายเรือยกตั้งฉากกับพื้นน้ำ และเริ่มจมลงในแนวดิ่ง[30]

    2 นาฬิกา 20 นาที ของวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1912 เรือทั้งลำจมลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ[2] ผู้โดยสารจำนวนมากลอยคออยู่ด้วยเสื้อชูชีพ แต่น้ำทะเลในขณะนั้นเย็นจัดเกือบ 0 องศาเซลเซียส ผู้โดยสารและลูกเรือที่ขึ้นเรือสำรองไม่ทัน ถูกทิ้งให้ลอยคอบนน้ำที่เย็นยะเยือก ในขณะที่ทางเรือสำรองที่ลอยอยู่ด้านนอก ก็พยายามจะเข้าไปช่วย แต่ไม่ได้ เพราะหากผลีผลามเข้าไป คนที่ลอยคออยู่ในน้ำที่เย็นเยือกจะแย่งกันขึ้นเรือสำรอง เพื่อที่จะหลุดพ้นจากน้ำอันเย็นหนาว ซึ่งนั่นจะทำให้เรือสำรอง ถูกผู้ที่ลอยคออยู่รุมจนจมลงไปด้วย ดังนั้น จึงต้องรอ ปล่อยให้ผู้ที่ลอยคอหนาวตายไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเหลือผู้รอดน้อยพอที่จะเข้าไปช่วยเหลือได้โดยที่เรือสำรองจะไม่ถูกรุมจนจม

    3 นาฬิกาตรง เสียงหวีดร้องขอความช่วยเหลือเงียบลง รวมเป็นเวลา 40 นาที ที่ผู้ที่ลอยคออยู่ตายไปจนเกือบหมด เจ้าหน้าที่จึงส่งเรือสำรองมาช่วย แต่ไม่ค่อยทันนัก ส่วนใหญ่ ตายหมดแล้ว เรือสำรองที่เข้าไปช่วยเหลือนั้น นำผู้โดยสารที่ยังไม่เสียชีวิตขึ้นมาได้เพียง 14 คนในสภาพหนาวสั่นทรมาน และในจำนวนนี้ 3 คนเสียชีวิต รวมแล้วเหลือผู้ที่รอดจากการถูกนำมาจากน้ำเย็นเฉียบเพียง 11 คน[31]

    4 นาฬิกา 10 นาที อาร์เอ็มเอส คาร์พาเธีย[2] ได้เข้าไปช่วยเหลือผู้รอดชีวิตบนเรือสำรองทั้งหมด และพาสู่นิวยอร์ก[32] ในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1912 จากนั้น ได้มีการสรุปยอดและรายชื่อของผู้รอดและผู้เสียชีวิต ดังนี้[33]

    กลุ่มคน จำนวนที่โดยสารมาในเที่ยวนี้ จำนวนที่รอด จำนวนที่เสียชีวิต
    ลูกเรือ 899 214 685
    ผู้โดยสารชั้น Third Class 710 174 536
    ผู้โดยสารชั้น Second Class 285 119 166
    ผู้โดยสารชั้น First Class 329 199 130
    รวมทั้งหมด 2,223 706 1,517

    การสืบสวนและเรือแคลิฟอร์เนียน[34]

    ข่าวการจมของไททานิกบนหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ (The New York Times)
    ข่าวการจมของไททานิกบนหนังสือพิมพ์ New York Herald

    18 เมษายน เวลาประมาณ 9.00 น. เรือคาร์เพเทียก็ได้มาถึงเมืองนิวยอร์ก มีผู้ที่มารอที่ท่าเรือถึงหนึ่งแสนคนเพื่อรอรับฟังข่าวภัยพิบัติทางเรือครั้งร้ายแรงนี้[35]

    หลังจากนั้นทั้งฝ่ายสหรัฐอเมริกาและอังกฤษต่างก็พยายามสอบสวนหาสาเหตุของอุบัติภัยในครั้งนี้ รวมทั้งสรุปยอดผู้เสียชีวิต ซึ่งทำให้ได้ทราบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าในคืนที่เกิดเหตุ เรือแคลิฟอร์เนียนอยู่ใกล้ไททานิกยิ่งกว่าเรือคาร์เพเทียเสียอีก แต่เหตุที่เรือแคลิฟอร์เนียนไม่ได้มาช่วยเหลือเพราะพนักงานวิทยุโทรเลขหลับจึงไม่ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือ [1]

    ยังมีปริศนาอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้รับความกระจ่าง เป็นต้นว่า เรือลึกลับ ที่มีผู้รอดชีวิตเห็นในช่วงเวลาที่ไททานิกกำลังอับปางนั้นคือเรือลำใดแน่ บ้างก็เชื่อว่าเป็นเรือแคลิฟอร์เนียน แต่บ้างก็คิดว่าอาจไม่ใช่เพราะหลักฐานเท่าที่สอบสวนได้ยังไม่เพียงพอที่จะชี้ชัดลงไปเช่นนั้นรวมทั้งเรื่องที่ว่าไททานิกอับปางในลักษณะใดกันแน่ จากคำบอกเล่าของผู้รอดชีวิตที่ว่าไททานิกหักเป็น 2 ท่อนนั้น ผู้เชี่ยวชาญในสมัยนั้นรวมทั้งคนทั่วไปไม่ค่อยให้ความเชื่อถือนัก คิดว่าผู้เล่าเห็นเหตุการณ์ไม่ชัดและเล่าผิดพลาดมากกว่า ส่วนใหญ่คงเชื่อว่าเรือไททานิกจมลงไปทั้งลำ[1]

    ผลจากการที่พนักงานวิทยุโทรเลขของเรือแคลิฟอร์เนียนหลับ เป็นเหตุให้ไม่สามารถไปช่วยไททานิกได้ทัน ทำให้ต่อมามีการเพิ่มเติมกฎเกี่ยวกับการเดินเรือขึ้นมา นั่นคือเรือทุกลำต้องมีพนักงานวิทยุอยู่ประจำหน้าที่ตลอดเวลา และในปี ค.ศ. 1913 หน่วยเรือลาดตระเวนสำรวจภูเขาน้ำแข็งก็ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อสำรวจเส้นทางและแจ้งเตือนเกี่ยวกับภูเขาน้ำแข็งในเส้นทางเดินเรือสายแอตแลนติกเหนือ[1]

    ดังที่ทราบกันว่าเรือไททานิกนั้นอัปปางโดยการชนก้อนน้ำแข็งและจมหายไป ในมหาสมุทรพร้อมชีวิตผู้คนอีกมากมาย โดยตำนานไม่ได้กล่าวถึงมัมมี่ของเจ้าหญิงอาเมน-รา (Amen-Ra) ที่ใต้ท้องเรือว่าเกี่ยวข้องกับสาเหตุการจมแต่อย่างใด

    แต่ทว่าหนังสือพิมพ์บางฉบับกล่าวถึงเรื่องการอัปปางของไททานิกว่าเกิดจากคำสาปมัมมี่ที่อยู่รูป ของสินค้าในเรือแห่งนี้ พ่อค้าที่ขาดจิตสำนึก ได้ลอบนำมัมมี่เข้าสู่อเมริกา เพื่อต้องการขายมัมมี่แก่พิพิธภัณฑ์ในนิวยอร์ก ตามที่ได้ตกลงราคาเป็นมูลค่าที่สูงถึง 500,000 ดอลลาร์ เขายังได้ตกลงแบ่งเงินจำนวนนั้นให้แก่หัวขโมยที่ลักลอบโจรกรรมสุสานแห่งนี้ โดยที่การลักลอบโจรกรรมครั้งนี้เทพอนูบิสทรงพิโรธเป็นอย่างยิ่งจากการที่มเหสีของฟาโรห์ถูกลักลอบขโมยไปและขายให้พิพิธภัณฑ์ในนิวยอร์กสเหมือนเป็นการหมิ่น พระเกียรติฟาโรห์อย่างมหันต์ ดังนั้นเพื่อจัดการทำลายล้างพวกที่ไม่เคารพ เทพอนูบิสจึงจมเรือไททานิกเพื่อให้มัมมี่จมลงสู่ทะเลพร้อมกับเรือและผู้โดยสารโชคร้ายทุกคน นั่นคืออำนาจคำสาปแห่งเทพเจ้า ยังมีตำนานที่เล่าขานกันเพิ่มเติมว่า มัมมี่ได้ถูกนำขึ้นไปไว้อย่างปลอดภัยบทเรือชูชีพที่ช่วยชีวิตผู้โดยสาร ในขณะที่เรือไททานิกกำลังจมสู่ท้องทะเล จากนั้นได้มีการขนส่งต่อไปยังนิวยอร์ก แต่กลับเกิดเหตุประหลาดมากมาย จนทำให้เจ้าหน้าที่รับผิดชอบตัดสินใจส่งกลับคืนสู่อียิปต์ด้วยเรือ อาร์เอ็มเอส เอ็มเปรส ออฟ ไอร์แลนด์ (RMS Empress of Ireland) และสุดท้ายเรือลำนี้ก็ได้จมลงสู่มหาสมุทรพร้อมกับชีวิตของลูกเรือทุกคน การอัปปางครั้งนี้มัมมี่ไม่ได้จมอยู่กับเรือหากแต่สามารถกู้ขึนมาได้โดยเรือชูชีพหลังจากนั้นมีความพยายาม ที่จะส่วมัมมี่กลับสู่อียิปต์อีกครั้งด้วยเรือ อาร์เอ็มเอส ลูซิทาเนีย (RMS Lusitania) ซึ่งก็อัปปางลงอีกจากฝีมือตอร์ปิโดในสงครามโลก แต่ครั้งนี้ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะมัมมี่ที่ดำดิ่งสู่ก้นสมุทรไปพร้อมกับสัมภาระต่างๆของเรือลูซิทาเนีย ด้วยเหตุนี้จึงมีการวิพากษ์กันว่า เคราะห์กรรมของไททานิกนั้นเนื่องมาจากคำสาปของมัมมี่จนเป็นตำนานที่เล่าขานที่โจษขานกันไม่รู้จบ

    อย่างไรก็ตาม มัมมี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสาเหตุการจมของเรือ 3 ลำนี้แต่อย่างใด

    ผู้รอดชีวิต

    นางมอลลี บราวน์ (Molly Brown) และกัปตันของเรือคาร์เพเทีย

    หายนะภัยไททานิกครั้งนี้มีผู้รอดชีวิตทั้งสิ้นกว่า 700 คน แต่มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,500 คน นับเป็นภัยพิบัติครั้งร้ายแรงครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเดินเรือ[36]

    อันที่จริงแล้ว ผู้ที่รอดชีวิตจากเรือไททานิกมิได้มีแต่เพียงผู้หญิงและเด็กเท่านั้น แต่ยังมีชายด้วย จากการสรุปข้อเท็จจริงพบว่าชายที่รอดชีวิตมีทั้งผู้โดยสารชั้น 1 ชั้น 2 ชั้น 3 และลูกเรือ[37]

    บุคคลที่รอดชีวิตบางคนที่น่ากล่าวถึงคือ เจ. บรูซ อิสเมย์ กรรมการผู้จัดการไวต์สตาร์ ผู้คนส่วนใหญ่ต่างสงสัยกันว่าอิสเมย์รอดมาได้อย่างไรทั้ง ๆ ที่ผู้ชายส่วนใหญ่เสียชีวิตหมดเนื่องจากสละที่นั่งให้แก่สตรีและเด็ก ชีวิตในช่วงหลังของอิสเมย์ต้องล้มละลายทางเกียรติยศเพราะสังคมตราหน้าว่าเขารอดมาได้เพราะแย่งที่ของสตรีและเด็ก

    บางคนก็พูดกันว่าอิสเมย์พรางตัวเป็นหญิงเพื่อลงเรือ แต่อิสเมย์ชี้แจงว่าตนลงเรือชูชีพลำสุดท้าย เมื่อเห็นยังมีที่ว่างจึงได้ลงเรือไปและก็ไม่ได้พรางตัวเป็นสตรีแต่อย่างใด

    นางมอลลี บราวน์ (Molly Brown) ซึ่งเป็นพวกเศรษฐีใหม่ที่เดินทางไปกับเรือไททานิก เมื่ออยู่ในเรือ ชูชีพนางบราวน์ได้แสดงความเข้มแข็งและกล้าหาญ ในสภาพที่ทุกคนหมดเรี่ยวแรง เธอได้แสดงบทบาทผู้นำโดยให้สั่งคนในเรือช่วยกันพายเรือมุ่งไปยังเรือคาร์เพเทีย และพยายามช่วยคนที่ตกน้ำ หลังจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ชีวิตของนางบราวน์ก็รุ่งเรืองขึ้น จากเดิมที่สังคมชั้นสูงในเมืองเดนเวอร์ไม่ยอมรับเธอ แต่จากวีรกรรมอันกล้าหาญทำให้เธอก้าวไปไกลถึงขนาดได้รับเสนอการชื่อให้เข้าชิงตำแหน่งวุฒิสมาชิกทีเดียว รวมทั้งยังมีผู้นำเรื่องราวของเธอไปสร้างเป็นภาพยนตร์ แต่อย่างไรก็ดี ในบั้นปลายของชีวิต เธอก็เปลี่ยนไปกลายเป็นคนที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัว

    เจ้าหน้าที่ของเรือไททานิกที่รอดชีวิตไม่มีใครเลยสักคนเดียวที่สามารถก้าวไปถึงตำแหน่งกัปตันเรือ

    จากนั้น ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1985 ซากเรือไททานิกได้ถูกค้นพบอีกครั้ง[2]

    เมื่อต้นปี ค.ศ. 1997 นางเอดิท ไฮส์แมน ผู้ที่มีชีวิตรอดจากเรือไททานิกที่มีอายุมากที่สุดก็ได้เสียชีวิตลง เธออยู่ในเหตุการณ์เรือไททานิกเมื่ออายุ 15 ปีและเสียชีวิตลงเมื่ออายุได้ 100 ปี

    และผู้ที่รอดชีวิตรายสุดท้ายจากเหตุการณ์เรือไททานิกอับปาง คือ มิลล์วินา ดีน (Millvina Dean) ชาวอังกฤษ ซึ่งเธอได้เสียชีวิตลงเมื่อ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2009 รวมอายุได้ 97 ปี ซึ่งในขณะเกิดเหตุ เธอมีอายุเพียง 9 สัปดาห์เท่านั้น [38][3]

    อ้างอิง

    1. 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 1.13 1.14 1.15 1.16 1.17 1.18 1.19 1.20 1.21 1.22 The Great Ocean Liners: RMS Titanic
    2. 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 2.10 2.11 2.12 2.13 2.14 2.15 2.16 2.17 2.18 2.19 2.20 2.21 2.22 2.23 2.24 2.25 2.26 2.27 2.28 2.29 Maritimequest: RMS Titanic's data
    3. 3.00 3.01 3.02 3.03 3.04 3.05 3.06 3.07 3.08 3.09 3.10 3.11 Titanic's home at Atlantic Liners
    4. 4.0 4.1 4.2 Staff (27 May 1911). "The Olympic and Titanic". The Times. London (39596): 4.
    5. Beveridge, Bruce (2004). "Ismay's Titans". Olympic & Titanic. West Conshohocken, PA: Infinity. p. 1. ISBN 0741419491. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |coauthors= ถูกละเว้น แนะนำ (|author=) (help)
    6. "Titanic's Blueprints [Roy Mengot] db-09". Titanic-model.com. สืบค้นเมื่อ 2009-01-06.
    7. Titanic's data
    8. 8.00 8.01 8.02 8.03 8.04 8.05 8.06 8.07 8.08 8.09 8.10 8.11 8.12 8.13 8.14 8.15 8.16 "RMS Titanic facts".
    9. 9.0 9.1 "Titanic-construction".
    10. General Information of Titanic
    11. Titanic's Sea Trials
    12. ข้อมูลลักษณะห้องของ Class ต่างๆ ในไททานิก และข้อมูลผู้โดยสารโดยสังเขป
    13. 13.0 13.1 13.2 13.3 ข้อมูลโดยรวมของไททานิก ราคาตั๋ว
    14. "Titanic:A voyage of discovery".
    15. *"The Titan & the Titanic". Lux Aeterna Publishing Limited. สืบค้นเมื่อ November 23. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |accessyear= ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=) (help)
    16. Flavio Cenni. "The Titanic before the Titanic". สืบค้นเมื่อ January 13. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |accessyear= ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=) (help)
    17. 17.0 17.1 Timeline of the Titanic
    18. Cableto THE NEW YORK TIMES., Special (1912-04-11). "TITANIC IN PERIL ON LEAVING PORT". New York Times (1857-Current file). p. 1. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2009-02-21.
    19. 19.0 19.1 "Titanic Passengers and Crew Listings". encyclopedia titanica. สืบค้นเมื่อ 2008-11-24.
    20. 20.0 20.1 20.2 "Wireless and the Titanic".
    21. LaRoe, L. M. n.d. Titanic. National Geographic Society Society.
    22. "Titanic & Her Sisters Olympic & Britannic" by McCluskie/Sharpe/Marriott, p. 490, ISBN 1-57145-175-7
    23. 23.0 23.1 Lightoller's testimony on Day 12 of British Board of Trade Inquiry
    24. Harland, John (1984). Seamanship in the age of sail. London: Conway Maritime. pp. pp 175–176. ISBN 0 85177 179 3. The transition to 'rudder' orders...did not occur in the United Kingdom...until 1933 {{cite book}}: |pages= has extra text (help)
    25. [1]
    26. "Pleas For Help - Distress Calls Heard". United States Senate Inquiry Report. สืบค้นเมื่อ 2008-11-24.
    27. http://home.comcast.net/~bwormst/titanic/lifeboats/lifeboats.htm
    28. Titanic Disaster: Official Casualty Figures and Commentary
    29. Encyclopedia Titanica http://www.encyclopedia-titanica.org/item/1924/
    30. USA Today's report on the hull fragments
    31. Chuck Anesi — Titanic Disaster: Official Casualty Figures with commentary on sex, age, and class variations.
    32. ""RMS Carpathia"". สืบค้นเมื่อ 2008-11-08. {{cite web}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |coauthors= (help)
    33. "RMS Titanic: List of Bodies and Disposition of Same". Nova Scotia Archives and Records Management. สืบค้นเมื่อ 2008-03-03.
    34. "STEAMSHIP LIGHT SEEN FROM STEAMSHIP TITANIC & STEAMSHIP CALIFORNIAN'S RESPONSIBILITY". United States Senate Inquiry Report. Titanic Inquiry Project. สืบค้นเมื่อ 2008-11-24.
    35. Holdaway, F. W. (19 April 1912). "Winchester "titanic relief fund"". The Hampshire Chronicle. สืบค้นเมื่อ 2008-11-08. {{cite web}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |coauthors= (help)
    36. U.S. Senate inquiry stats
    37. Titanic Disaster: Official Casualty Figures and Commentary
    38. ผู้รอดชีวิตรายสุดท้ายจาก'ไททานิก'เสียชีวิตแล้ว.จากเว็บไซด์ไทยรัฐออนไลน์.

    แหล่งข้อมูลอื่น

    แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA แม่แบบ:Link FA