จังหวัดเสียมราฐ
จังหวัดเสียมราฐ ខេត្តសៀមរាប | |
---|---|
บนลงล่าง ซ้ายไปขวา: นครวัด, นครธม, หมู่บ้านวัฒนธรรมกัมพูชา, พนมกุเลน, ปราสาทบันทายศรี, โตนเลสาบ, ปราสาทตาพรหม, ปราสาทซัวปรอต | |
สมญา: กำแพงพระนคร | |
แผนที่ประเทศกัมพูชาเน้นจังหวัดเสียมราฐ | |
พิกัด: 13°21′N 103°51′E / 13.350°N 103.850°E | |
ประเทศ | กัมพูชา |
เมืองหลัก | เสียมราฐ |
การปกครอง | |
• ผู้ว่าราชการ | ปรัก โซพ็วน (CPP) |
• ที่นั่งรัฐสภาในพระราชอาณาจักร | 6 / 125
|
พื้นที่ | |
• ทั้งหมด | 10,299 ตร.กม. (3,976 ตร.ไมล์) |
ประชากร (พ.ศ. 2551)[1] | |
• ทั้งหมด | 896,309 คน |
• ความหนาแน่น | 87 คน/ตร.กม. (230 คน/ตร.ไมล์) |
เขตเวลา | UTC+07 |
รหัสโทรศัพท์ | +855 |
รหัส ISO 3166 | KH-17 |
อำเภอ | 12 |
ตำบล | 100 |
หมู่บ้าน | 907 |
เสียมราฐ[2][3] หรือ เซียมเรียบ[3] (เขมร: សៀមរាប) เป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศกัมพูชา ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ อยู่ริมฝั่งทะเลสาบเขมร ห่างจากกรุงพนมเปญ 314 กิโลเมตร โดยใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ประมาณ 5 ชั่วโมง
จังหวัดเสียมราฐเป็นที่ตั้งของนครวัดและกลุ่มปราสาทหินหลายแห่ง อาทิ หมู่ปราสาทหินจากอาณาจักรขอม ได้แก่ ปราสาทนครวัด, กลุ่มปราสาทนครธม, (ตาพรหม และบายน, บันทายศรี, บากอง, โลเลย, พนมบาเค็ง, พนมกุเลน และบารายตะวันตก
เมืองหลักของจังหวัดนี้ (เทียบได้กับอำเภอเมืองในจังหวัดของไทย) ก็มีชื่อว่า เมืองเสียมราฐ เช่นกัน โดยเมืองเสียมราฐนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดของประเทศกัมพูชา แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมนครวัดประมาณ 1,600,000 คน[4]
ที่มาของชื่อ
[แก้]คำว่า เซียมเรียบ ในภาษาเขมรมีความหมายว่า "สยามราบ" คือ "สยาม (แพ้) ราบเรียบ"[5] ส่วน เสียมราฐ ในภาษาไทยนั้น หมายถึง "ดินแดนของสยาม"
บ้างว่า เสียมราบ มาจากสงครามที่เกิดขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราช (เจ้าพญาจันทราชา) ซึ่งเป็นการศึกระหว่างกัมพูชากับสยามในปี พ.ศ. 2089 ซึ่งปรากฏในพงศาวดารเขมร จ.ศ. 1217 เพียงฉบับเดียวเท่านั้น[5] ความว่า[6]
"...พระองค์ทรงราชย์ ลุศักราช ๑๔๖๒ (จ.ศ. ๙๐๒) ศกชวดนักษัตรได้ ๒๕ ปี พระชันษาได้ ๕๕ ปี พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา จึ่งยกทัพมาถึงพระนครหลวง ในปีชวดนั้น พระองค์ยกทัพไปถึงพระนครหลวงรบชนะพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาหนีไป พระเจ้าจันทร์ราชาจับได้เชลยไทยเป็นอันมากแล้วเสด็จกลับเข้ามาครองราชสมบัติ..."
จึงสันนิษฐานว่าสงครามครั้งนี้น่าจะเป็นที่มาของชื่อ "เสียมราบ" เนื่องจากเป็นการรบครั้งสำคัญครั้งสุดท้ายที่รบใกล้เมืองพระนคร เพราะหลังจากนี้เส้นทางการเดินทัพและสมรภูมิจะเปลี่ยนไปเป็นเส้นทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบ คือ แถบเมืองพระตะบอง, โพธิสัตว์, บริบูรณ์ และละแวก เป็นต้น[5] แต่อย่างไรก็ตามการสงครามครั้งนี้ไม่มีการกล่าวถึงในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาแต่อย่างใด[5]
ใน เขมรแบ่งเป็นสี่ภาค พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอธิบายว่าบริเวณเสียมราฐเป็นบริเวณที่เรียกว่า ขอมแปรพักตร์ หรือ เขมรไทย ที่มีชุมชนไทยและเขมรอาศัยอยู่ปะปนกันมาแต่ยุคโบราณ ทรงกล่าวถึงที่มาของชื่อเสียมราฐไว้ว่า "...อย่างเมืองนครเสียมราฐทุกวันเขมรเรียกว่านักกร แต่คำโบราณเขมรเรียกว่าเสียมเงียบบ้าง เสียมเรียบบ้าง ไทยเรียกว่าเสียมราฐ ตามคำเขมรโบราณ ก็คำนั้นแปลว่าเมืองไทยทำปลาแห้ง คือแต่ก่อนเป็นบ้านเมืองไทยทำปลาแห้งขาย..."[7]
บ้างก็ว่าชื่อ "เซียมเรียบ" ตั้งขึ้นใหม่แทน "เสียมราฐ" หลังจากที่ในกรณีพิพาทอินโดจีน พลตรี แปลก พิบูลสงคราม ผู้บัญชาการกองทัพอีสานและบูรพาในขณะนั้น ได้เคยบุกข้ามชายเดนขับไล่ฝรั่งเศสออกจากดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง พระตะบอง และเสียมราฐ แต่แพ้
ชื่อ "เสียมราฐ" ใน นิราศนครวัด ฉบับเขมร ของออกญาสุตตันตปรีชา (อินทร์) แปลว่า เสียมปราศเกรงหรือสยามไม่เกรงกลัว นิราศนี้แต่งเมื่อคราวเตรียมรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ณ นครวัด ความว่า[8]
เหตุดังนั้นจึงได้เรียกว่าเสียมราบ | เพราะมีภาพเสียมขลาดพระจอมเจ้า | |
โบราณราชจารึกตั้งนามเนา | ถึงเดี๋ยวนี้สยามเปลี่ยนเรียกเล่าว่าเสียมราษฐ์ ฯ |
คำเสียมราษฐ์แปลว่าเสียมปราศเกรง | ตั้งสำแดงอิทธิฤทธิ์คิดประมาท | |
เดินล่วงล้ำรานรุกสีหนาท | ไม่เกรงชาติกัมพูชาเวลานั้น ฯ |
เพราะเมืองนี้เป็นเมืองขึ้นสยาม | เสียมทำตามอำนาจไม่ขลาดนั่น | |
คำ “ราษฐ์” ศัพท์นี้แปลดังนั้น | ถ้าราฎฐ์นั้นจะแปลว่าแดนเมือง ฯ | |
— นิราศนครวัด ฉบับเขมร ของออกญาสุตตันตปรีชา (อินทร์) |
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงอธิบายชื่อเมืองเสียมราฐว่า :-
ชื่อนั้นจะเกี่ยวไปในนิทานเรื่อง พญาโคตรตัมบอง เมืองเสียมราฐ เขมรเขาเขียนเสียมราช อ่านว่า เสียมเรียบ เขาว่าไทยแก้เป็นเสียมราฐ ทีก็จะจริง เมื่อฉันยังหนุ่มก็เห็นในราชการใช้ว่าเสียมราบ เขาจะหมายความว่ากะไรไม่ทราบ แต่เราคงคิดว่าเขาหมายว่าไทยแพ้เขาราบที่นั่นจึงเปลี่ยนเสียเป็นเสียมราฐ (คือ สยามรัฐ) ออกจะไม่มีมูล ที่จริงอ่านประวัติหรือพงศาวดารก็ไม่เคยพบว่าไทยแพ้เขมรที่นั่น[9]
การแบ่งเขตการปกครอง
[แก้]จังหวัดเสียมราฐแบ่งออกเป็น 12 อำเภอ (ស្រុក) ได้แก่
รหัสเมือง | ชื่อเมือง (ภาษาเขมร) |
เขียนด้วยอักษรไทย | เขียนด้วยอักษรโรมัน |
---|---|---|---|
1701 | អង្គរជុំ | อังกอร์ชุม, นครชุม (องฺครชุ˚) | Angkor Chum |
1702 | អង្គរធំ | อังกอร์ธม, นครธม (องฺครธํ) | Angkor Thom |
1703 | បន្ទាយស្រី | บันทายสรี, บันทายศรี (บนฺทายสฺรี) | Banteay Srei |
1704 | ជីក្រែង | จีแกรง (ชีแกฺรง) | Chi Kraeng |
1706 | ក្រឡាញ់ | กระลัญ (กฺรฬาญ่) | Kralanh |
1707 | ពួក | ปวก (พวก) | Pouk |
1709 | ប្រាសាទបាគង | ปราสาทบากอง (ปฺราสาทบากง) | Prasat Bakong |
1710 | សៀមរាប | เสียมราฐ (เสียมราบ) | Siem Reap |
1711 | សូទ្រនិគម | สูทรนิคม (สูทฺรนิคม) | Soutr Nikom |
1712 | ស្រីស្នំ | เสร็ยสนำ (สฺรีสฺนํ) | Srei Snam |
1713 | ស្វាយលើ | สวายเลอ (สฺวายเลี) | Svay Leu |
1714 | វ៉ារិន | วาริน | Varin |
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "General Population Census of Cambodia 2008 - Provisional population totals" (PDF). National Institute of Statistics, Ministry of Planning. 3 September 2008.
- ↑ ข้อ 6 แห่ง "อนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส แก้ไขเพิ่มเติมข้อบทแห่งสนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม รัตนโกสินทรศก 112 ว่าด้วยดินแดนกับข้อตกลงอื่น ๆ ฉบับลงนาม ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก 122"
- ↑ 3.0 3.1 "ประกาศสำนักงานราชบัณฑิตยสภา เรื่อง กำหนดชื่อประเทศ ดินแดน เขตการปกครอง และเมืองหลวง" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 139 (พิเศษ 205 ง). 1 กันยายน 2565.
- ↑ "จังหวัดเสียมเรียบ". indochinaexplorer.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-10-13. สืบค้นเมื่อ 5 May 2014.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 ศานติ ภักดีคำ. ดร. (กันยายน 2554). "เขมรรบไทยสมัยอยุธยา:ในหลักฐานประวัติศาสตร์กัมพูชา". ศิลปวัฒนธรรม 32(9) : 113
- ↑ "พงศาวดารเขมร จ.ศ. 1217". ในประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 12, หน้า 142
- ↑ ศานติ ภักดีคำ. ยุทธมรรคา เส้นทางเดินทัพไทย-เขมร. กรุงเทพฯ : มติชน, 2557, หน้า 131
- ↑ ศานติ ภักดีคำ. (2545). "นิราศนครวัด ฉบับเขมร ของออกญาสุตตันตปรีชา (อินท์): เสียมเรียบและวิเคราะห์ชื่อ “เสียมเรียบ” ", นครวัดทัศนะเขมร :รวบรวมบทรจนาเกี่ยวกับประสาทนครวัดโดยกวีและนักปราชญ์เขมรศานติ. (แปลโดย Braḥ Grū Saṅghavijjā). กรุงเทพฯ: มติชน. 285 หน้า. หน้า 159–160. ISBN 978-974-3-22736-3
- ↑ นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา และอนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ), พระยา. (2506). สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงบันทึกเรื่องความรู้ต่าง ๆ ประทานพระยาอนุมานราชธน เล่ม 3. พระนคร: สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย. หน้า 8.