โคลงนิราศหริภุญชัย
โคลงนิราศหริภุญชัย เป็นกวีเก่าที่มีประมาณ 720 บรรทัด เดิมแต่งเป็นภาษาไทยถิ่นเหนือ โดยคำว่า นิราศ มาจากคำศัพท์ภาษาสันสกฤตแปลว่า “ไม่มี” เป็นแนวการแต่งกวีที่มีการเดินทางไกลและแยกจากผู้เป็นที่รัก[1] หริภุญชัยเป็นอาณาจักรโบราณที่มีศูนย์กลางที่จังหวัดลำพูน โดยพญามังรายทรงผนวกเข้ากับอาณาจักรล้านนาในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 กวีนี้กล่าวถึงการเดินทางจากเชียงใหม่ไปยังลำพูนเพื่อสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่วัดพระธาตุหริภุญชัย โดยไปเยี่ยมชมวัดและข้างทางประมาณ 20 แห่ง ในระหว่างการเดินทาง ผู้แต่งรู้สึกคร่ำครวญถึงการแยกจากนางศรีทิพ ผู้เป็นที่รักของเขา การเดินทางใช้เวลาสองถึงสามวัน กวีนี้จบลงที่เทศกาลพระบรมสารีริกธาตุที่ราชินีกับพระราชโอรสเสด็จมาด้วย เนื้อเรื่องเดิมสืบไปได้ถึง ค.ศ. 1517-1518 บทกวีได้รับการชื่นชมเพียงเล็กน้อยจนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้เนื่องจากความยากของภาษาเก่า
เอกสารตัวเขียนและการเผยแพร่
[แก้]มีข้อความเจ็ดข้อความที่เขียนบนใบลานด้วยภาษาไทยถิ่นเหนือ ซึ่งพบในจังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย, ลำพูน และพะเยา ส่วนอีกข้อความหนึ่งที่เขียนบนสมุดข่อยในภาษาไทยถูกเก็บอยู่ในสำนักหอสมุดแห่งชาติ มีสี่ฉบับที่มีเนื้อหาคล้ายกัน เชื่อกันว่าเอกสารตัวเขียนอาจนำมาจากล้านนาไปที่อาณาจักรอยุธยาตอนสมเด็จพระนารายณ์มหาราชตีเมืองเชียงใหม่ใน พ.ศ. 2204 แล้วไปแปลเป็นภาษาไทย แต่ไม่มีหลักฐานสนับสนุนทฤษฎีนี้[2][3]
ข้อความฉบับภาษาไทยได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักหอสมุดแห่งชาติใน พ.ศ. 2467 ที่มีคำนำโดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า ผลงานนี้ “อาจเป็นต้นแบบของนิราศที่แต่งในอยุธยาและส่งลงมาถึงกรุงเทพ”[4] อย่างไรก็ตาม ผลงานนี้มีคนอ่านน้อยเพราะใช้ภาษาที่คลุมเครือ ใน พ.ศ. 2486 ประเสริฐ ณ นครเริ่มถอดความอักษรล้านนาไปเป็นอักษรไทย ทำให้มีการตีพิมพ์ใช้งานเป็นการส่วนตัวและเป็นหนังสืองานศพในปีถัดมา ในช่วง พ.ศ. 2502 พระยาอนุมานราชธนส่งเสริมให้ประเสริฐแปลเพิ่มและตีพิมพ์ผลงานนี้ ทำให้มีการตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมภาษาและวรรณคดีไทยใน พ.ศ. 2503 ใน พ.ศ. 2516 ประเสริฐตีพิมพ์ฉบับขยายที่มีอักษรล้านนา อักษรไทย คำอธิบาย และภาคผนวกของคำและสถานที่โดยวิจิตร ยอดสุวรรณ (Wijit Yodsuwan)[5]
ใน พ.ศ. 2532 ลมูล จันทน์หอม จบการศึกษาวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยทำการเปรียบเทียบข้อความฉบับล้านนาหกบรรทัดที่เขาอ้างว่า “ใกล้เคียงกับต้นฉบับมากที่สุด”[6]
ใน พ.ศ. 2535 ทิว วิชัยขัทคะ กับไพฑูรย์ ดอกบัวแก้ว ตีพิมพ์ฉบับอักษรล้านนาอีกฉบับที่พวกเขากล่าวว่าเป็น “ฉบับลำพูน”[7] และใน พ.ศ. 2562 วินัย พงศ์ศรีเพียร เรียบเรียงนิราศแบบใหม่เสร็จที่มีการเทียบกับภาษาไทยและอังกฤษ พร้อมกับงานวิจัยทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับภูมิหลังของนักกวี[8]
ชื่อ นิราศหริภุญชัย อาจมาหลังจากกวีแนว นิราศ ได้พัฒนาแล้ว[1] เช่นในเอกสารตัวเขียนหนึ่งจากวัดเจดีย์หลวงกวีนี้มีชื่อว่า ลำลพุน[9]
ปีที่แต่งและผู้ประพันธ์
[แก้]บทเปิดกวีให้ปีหนไทว่า “ปีเมิงเป้า” ซึ่งอาจเป็นไปได้ทั้งเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2000, 2060, 2120, 2180 เป็นต้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ คาดการณ์ว่าอยู่ใน พ.ศ. 2180 ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองหรือก่อนหน้านั้น[4]
ประเสริฐ ณ นคร กล่าวว่ากวีนี้เขียนใน พ.ศ. 2060-2061 โดยในกวีกล่าวถึงพระแก้วมรกต ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจริงเฉพาะในช่วง พ.ศ. 2011 ถึง 2091 และพระพุทธสิหิงค์ประทับที่วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจริงเฉพาะใน พ.ศ. 1950 ถึง 2091 ดังนั้น ช่วงปีที่ตรงกับปีนักษัตรนี้คือ พ.ศ. 2060/2061[10] แต่มีนักวิชาการบางส่วนตั้งข้อสงสัยถึงวันที่เริ่มเขียน[11]
เมื่อดูคำศัพท์ในกวี จึงเป็นที่กระจ่างว่าผู้แต่งกับผู้เป็นที่รักเป็นเชื้อพระวงศ์[12] เช่น เขากล่าวถึงของถวายของตนว่า ราชกุศล (“ผลงานที่ดีของกษัตริย์” (v.126)) และกล่าวถึงผู้เป็นที่รักว่า อัคคชา (“มเหสีหลัก/ราชินี” (v.127))
วินัย พงศ์ศรีเพียรเสนอว่าผู้แต่งคือพระเมืองแก้ว (ครองราชย์ พ.ศ. 2038–2068) กษัตริย์ล้านนาใน เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2060 และศรีทิพดำรงตำแหน่งเป็นพระมเหสี[13] ในขณะที่อรุณรัตน์ วิเชียรเขียวเสนอว่าผู้แต่งคือศิริยวาปีมหาอำมาตย์ ขุนนางชั้นมหาอำมาตย์จากลำปาง และศรีทิพคือภรรยาของเขา ส่วนโป่งน้อยคือพระราชมารดาของพระเมืองแก้ว[14]
เรื่องย่อ
[แก้]เริ่มบทบูชาพระรัตนตรัย บอกวันเวลาที่แต่ง แล้วกล่าวถึงการที่ต้องจากนางที่เชียงใหม่ไปบูชาพระธาตุหริภุญชัยที่เมืองหริภุญชัย (ลำพูน) ก่อนออกเดินทางได้นมัสการลาพระพุทธสิหิงค์ ณ วัดพระสิงห์ ผ่านวัดทุงยู วัดศรีเกิด วัดผาเกียร (ชัยพระเกียรติ) วัดอูปแป้น ขอพรพระมังราชหรือพระมังรายซึ่งสถิต ณ ศาลเทพารักษ์ ผ่านหอพระแก้ว (กุฏาราม) นมัสการลาพระแก้วมรกต ณ วัดเจดีย์หลวง ผ่านวัดช่างแต้ม วัดเจ็ดลิน วัดเสฏฐา (วัดเชษฐา) วัดฟ่อนสร้อย วัดเชียงสง ออกประตูเชียงใหม่ ผ่านวัดศรีมหาทวาร (วัดเชียงของ) วัดพันงอม วัดเถียงเส่า วัดกุฎีคำ (วัดธาตุคำ) วัดน่างรั้ว ออกประตูขัวก้อม ขึ้นขบวนเกวียน ผ่านวัดกู่คำหลวง (วัดเจดีย์เหลี่ยม) วัดพระนอนป้านปิง (วัดพระนอนหนองผึ้ง) วัดยางหนุ่ม (วัดกองทราย) หยุดพักนอนที่กาดต้นไร (ตลาดต้นไทร) 1 คืน เมื่อเดินทางพบสิ่งใดหรือตำบลใดก็พรรณนาคร่ำครวญรำพันรักไปตลอดทางจนถึงเมืองหริภุญชัย ได้นมัสการพระธาตุหริภุญชัยสมความตั้งใจ บรรยายพระธาตุ งานสมโภชพระธาตุ ก่อนแวะไปนมัสการพระที่วัดพระยืน ตอนสุดท้ายลาพระธาตุกลับเชียงใหม่
รูปแบบ
[แก้]โคลงนี้มีโคลงสี่สุภาพ 181 โคลงที่มีทำนองและน้ำเสียงต่างกัน และไม่มีการเชื่อมโคลง[15]
สถานที่ในโคลงนิราศหริภุญชัย
[แก้]โคลงบทที่ | ชื่อ | ปัจจุบัน | ที่อยู่ | ตำแหน่ง |
---|---|---|---|---|
10 | พระวรเชษฐช้อย ศรีสิงห์ | วัดพระสิงห์ | ถนนสามล้าน | 18.7884, 98.9818 |
12 | ทุงยู | วัดทุงยู | ถนนราชดำเนิน | 18.7887, 98.9842 |
12 | ศรีเกิด | วัดศรีเกิด | ถนนราชดำเนิน | 18.7882, 98.9840 |
12 | ปราเกียร | วัดชัยพระเกียรติ | ถนนราชดำเนิน | 18.7886, 98.9859 |
14 | หอมังราชเจ้า | หอผีพระญามังราย | ถนนพระปกเกล้า | 18.7888, 98.9882 |
15 | กุฏาราม | หอพระแก้ว (หายไป)[18] | ||
15 | อุปแป้น | วัดอูปแป้น (หายไป) | ||
16 | มหาอาวาสสร้อย ศรีสถาน | วัดเจดีย์หลวง | ถนนพระปกเกล้า | 18.7869, 98.9865 |
19 | เสฐฐา | วัดเสฏฐา (เชษฐา) ร้าง | ในโรงเรียนพุทธิโศภณ | 18.7858, 98.9891 |
19 | ช่างแต้ม | วัดช่างแต้ม | ถนนพระปกเกล้า | 18°47'07.2"N 98°59'18.0"E |
20 | เจ็ดลิน | วัดเจ็ดลิน | ถนนพระปกเกล้า | 18.7837, 98.9880 |
21 | ฟ่อนสร้อย | วัดฟ่อนสร้อย | ถนนพระปกเกล้า | 18.7825, 98.9885 |
23 | เชียงสง | วัดเชียงสงร้าง | ถนนพระปกเกล้า | 18.782204, 98.988426 |
24 | เชียงใหม่หม้า ทวารทอง | ประตูเชียงใหม่ | ถนนบำรุงบำรี | 18.7813, 98.9890 |
27 | ศรีมหาทวาร | วัดศรีมหาทวาร (วัดเชียงของ) ร้าง[19] | ถนนช่างหล่อ | 18.780952, 98.988473 |
28 | พันงอม | หายไป | ||
29 | เถียงเส่า | อาจเป็นวัดแสนเส่า | ถนนสุริวงศ์ | 18.7786, 98.9885 |
30 | กุฎีคำ | วัดธาตุคำ | ถนนสุริวงศ์ | 18.7774, 98.9886 |
31 | น่างรั้ว | วัดยางกวง | ถนนสุริวงศ์ | 18.7760, 98.9890 |
32 | ทวารทอง | ประตูขัวก้อม | ถนนสุริวงศ์ | 18.772330521074743, 98.99004477434806 |
45 | กู่คำหลวง | วัดเจดีย์เหลี่ยม | เวียงกุมกาม | 18.7539, 98.9959 |
49 | พระขวาง | อาจเป็นวัดพระนอนหนองผึ้ง | หนองผึ้ง | 18.7386, 99.0124 |
67 | ยางหนุ่ม | วัดกองทราย | หนองผึ้ง | 18.7304, 99.0205 |
73 | หัวฝาย | วัดหัวฝาย | ตำบลหนองผึ้ง | 18.7133, 99.0362 |
77 | กาดต้นไร | ตลาดต้นไทร | ไม่ทราบ | |
104 | พระธาตุเจ้า จอมจักร | วัดพระธาตุหริภุญชัย | จังหวัดลำพูน | 18.5772, 99.0082 |
146 | พระพุทธเจ้า จตุตน | วัดพระยืน | จังหวัดลำพูน | 18.5763, 99.0193 |
ตัวอย่าง
[แก้]ในโคลงที่ 31 เขายกย่องวัดที่ปัจจุบันคือวัดยางกวงริมถนนสุริวงศ์ จังหวัดเชียงใหม่ และคิดถึงผู้เป็นที่รักว่า:
อารามเรียงรุ่นหั้น เงางาม
เป็นปิ่นบุรีนาม น่างรั้ว
บเห็นนาฏนงราม บวรสวาท สยบเอย
ทังขื่อชีพิตกั้ว โลกนี้นามนิพาน
ในโคลงที่ 161 เขายกย่องราชินีตอนมาถึงวัดพระธาตุหริภุญชัยว่า:
ธาดาอห่อยเนื้อ ทิพมาล
ไทงาศสันเฉลิมปาน แต่งแต้ม
อานาศาสตร์พันพาน เพิงแพ่ง งามเอย
ยลยิ่งนางฟ้าแย้ม ย่างย้ายลดาวัลย์
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 Manas Chitakasem 1972.
- ↑ Winai Pongsripian 2019, p. 24.
- ↑ Prasert na Nagara 1973, p. [10-12].
- ↑ 4.0 4.1 Vajirayana Library 1924.
- ↑ Prasert na Nagara 1973.
- ↑ Lamoon Janhom 1989.
- ↑ Thiu Wichaikhatkha 1992.
- ↑ Winai Pongsripian 2019.
- ↑ Lamoon Janhom 1989, p. 26.
- ↑ Prasert na Nagara 1973, p. [12].
- ↑ 11.0 11.1 Lagirarde 2004.
- ↑ Winai Pongsripian 2019, p. 33-36.
- ↑ Winai Pongsripian 2019, p. 27-36.
- ↑ Aroonrat Wichienkeeo 2019.
- ↑ Kreangkrai Kirdsiri 2010, p. 6.
- ↑ Aroonrat Wichienkeeo 1996.
- ↑ Kreangkrai Kirdsiri 2010.
- ↑ https://www.silpa-mag.com/history/article_6726
- ↑ https://www.matichonweekly.com/column/article_77971
ข้อมูล
[แก้]- Aroonrat Wichienkeeo (2019). 500 phi khlong nirat hariphunchai [500 years of Nirat Hariphunchai]. Chiang Mai: Airada Copytex.
- Aroonrat Wichienkeeo (1996). Wat rang nai wiang chiang mai [Abandoned monasteries in Chiang Mai]. Chiang Mai: Suriwong Book Center.
- Kreangkrai Kirdsiri (2010). "Khlong nirat hariphunchai: mueang chiang mai lae mueang lamphun nai wannakhadi lanna" [Nirat Hariphunchai: Chiang Mai and Lamphun in Lan Na literature]. ใน Winai Pongsripian (บ.ก.). 100 ekkasan samkhan: sappasan prawatisat thai lem thi 3 [100 key documents: essence of Thai history, volume 3]. Bangkok: Thailand Research Fund. pp. 5–43.
- Lagirarde, François (2004). "Un pèlerinage bouddhique au Lanna entre le XVIe et le XVIIe siècle d'après le Khlong Nirat Hariphunchai". Aséanie. 14: 69-107.
- Lamoon Janhom (1989). Khlong nirat hariphunchai kan winitchai ton chabap [Nirat Hariphunchai: a critical study of the text] (MA). Chiang Mai University.
- Lamoon Janhom (1995). Wannakam thongthin lanna [Local literature of Lan Na] (วิทยานิพนธ์). Chiang Mai: Suriwong Book Center.
- Manas Chitakasem (1972). "The emergence and development of the Nirat genre in Thai poetry". Journal of the Siam Society. 60, 2: 135-168.
- Prasert na Nagara (1973). Khlong Nirat Hariphunchai [Nirat Hariphunchai]. Bangkok: Phrajan.
- Suttinee Tongsa-ard (1988). Kan sueksa rongroi thang nam kao khong maenam ping nai boriwen thi rap chiang mai lamphun [The study of Mae Ping river’s old channel traces in Chiang Mai-Lamphun Basin] (MS). Chiang Mai University.
- Thiu Wichaikhatkha; Phaithun Dokbua (1992). Nirat Hariphunchai (chabap lamphun) [Nirat Hariphunchai, Lamphun version]. Chiang Mai: Social Research Institute, Chiang Mai University.
- Vajirayana Library (1924). Khlong Nirat Hariphunchai [Nirat Hariphunchai]. Bangkok: Bamrung Nukunkit.
- Winai Pongsripian (2019). Ruthirat ramphan (khlong nirat hariphunchai) lae jaruek wat phra yuen morakot khwam songjam haeng aphinawaburi-si hariphunchai [Rudhirāja Ramban (Nirat Hariphunchai). Heritage of Chiang Mai–Lamphun)]. Bangkok: Mulnithi Phrathep Ratthanaratchasuda.