แก่นตะวัน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แก่นตะวัน
Sunroot top.jpg
Stem with flowers
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Plantae
หมวด: Magnoliophyta
ชั้น: Magnoliopsida
อันดับ: Asterales
วงศ์: Asteraceae
เผ่า: Heliantheae
สกุล: Helianthus
สปีชีส์: H.  tuberosus
ชื่อทวินาม
Helianthus tuberosus
L.

แก่นตะวัน [1] หรือ ทานตะวันหัว (อังกฤษ: Jerusalem artichoke หรือ sunchoke) [2] เป็นพืชดอกในตระกูลทานตะวัน มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาเหนือ ชาวอินเดียนแดงปลูกไว้รับประทานหัว โดยเชื่อว่ามีสรรพคุณช่วยทำให้เจริญอาหาร ต่อมาจึงแพร่หลายไปในสหรัฐอเมริกาและยุโรป [3]

ลักษณะ[แก้]

แก่นตะวัน เป็นพืชล้มลุก มีหัวสะสมอาหาร หัวเป็นตะปุ่มตะป่ำ ไม่เรียบ คล้ายหัวของขิงและข่า มีสีหลายสี เช่น สีขาว สีเหลือง สีแดง สีม่วง[4]รับประทานได้ ผิวใบสาก [3] ใบรีรูปไข่ บางพันธุ์มีขอบใบหยักลักษณะต้น สูง 1.5-2.0 ม. มีขนตามกิ่งและใบ ดอก เป็นทรงกลมแบน สีเหลือง คล้ายดอกทานตะวัน หรือบัวตอง ออกดอกเป็นช่อ สีเหลืองคล้ายดอกทานตะวัน มีโครโมโซมเป็น hexaploid เป็นพืชวันสั้น ช่วงแสงวิกฤตน้อยกว่า 14 ชั่วโมง การเจริญเติบโตของแก่นตะวันมีสองช่วง ช่วงแรกนับตั้งแต่ปลูกจนถึงออกดอกครั้งแรก แก่นตะวันจะสะสมอาหารในใบและลำต้น ช่วงที่สองหลังจากดอกแรกบานจนถึงระยะเก็บเกี่ยว ใบจะหลุดร่วง อาหารสะสมที่ใบถูกส่งไปที่หัว [5]

การเพาะปลูกและดูแล[แก้]

สมุนไพรแก่นตะวัน[6] เป็นพืชที่ปลูกง่าย ลักษณะปลูกคล้ายกับ ขมิ้นชัน เติบโตในดินร่วนปนทรายได้ดี และให้ผลผลิตดีด้วยดินร่วนปนทรายสามารถปลูกได้ทุกฤดู โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนจะดีที่สุด แต่ระวังอย่าให้น้ำขัง เพราะจะทำให้หัวแก่นตะวันเน่าได้

การใช้ประโยชน์[แก้]

หัวแก่นตะวัน

หัวใช้รับประทานสดเป็นผัก ใช้ทำขนมหรือต้มรับประทาน[5] ภายในหัวมีน้ำ 80% และคาร์โบไฮเดรต ประมาณ 18% โดยคาร์โบไฮเดรตส่วนใหญ่เป็นอินนูลิน (Inulin) เป็นสารเยื่อใยอาหารที่ให้ความหวาน จะไม่ถูกย่อยในกระเพาะ และลำไส้เล็ก อยู่ในระบบทางเดินอาหารเป็นเวลานาน [7]ทำให้ไม่รู้สึกหิว กินอาหารได้น้อย ช่วยลดความอ้วนและป้องกันโรคเบาหวาน ในเชิงอุตสาหกรรมใช้หัวแก่นตะวันเป็นวัตถุดิบสำหรับสกัดน้ำตาลอินนูลินได้[5]

หัวแก่นตะวันใช้ปรุงอาหารแทนมันฝรั่งได้ [8] โดยให้เนื้อสัมผัสเช่นเดียวกันแต่รสหวานกว่า เหมาะสำหรับใส่ในสลัด คาร์โบไฮเดรตในหัวจะนุ่มถ้าต้มสุก แต่จะคงสภาพได้ดีกว่านึ่ง แก่นตะวันมี โพแทสเซียม 650 mg ต่อ 150g มีเหล็กสูง และมีเส้นใย ไนอาซิน ไทอามีน ฟอสฟอรัส และทองแดง [9]

ในเมนูอาหารไทย แก่นตะวันสามารถปรุงเป็นส้มตำได้[10]

หัวแก่นตะวัน เป็นวัตถุดิบแปรรูปเป็นเอทานอลและสุราได้[11] ใน Baden-Württemberg ประเทศเยอรมัน หัวแก่นตะวันมากกว่า 90% ใช้ในการผลิตสุราเรียกว่า "Topi" หรือ "Rossler"[12]

ลำต้นและใบใช้เป็นอาหารสัตว์ โดยมีสารอาหารที่ย่อยได้ทั้งหมดมากกว่าถั่วอัลฟัลฟา แต่มีโปรตีนน้อยกว่า [3] ลำต้นนำไปหมักทำเอทานอลได้เช่นเดียวกัน[5]

แก่นตะวันดิบ
คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม (3.5 ออนซ์)
พลังงาน73 กิโลแคลอรี (310 กิโลจูล)
17.44 g
น้ำตาล9.6 g
ใยอาหาร1.6 g
0.01 g
2.0 g
วิตามิน
วิตามินเอ
(0%)
1 μg
ไทอามีน (บี1)
(17%)
0.2 มก.
ไรโบเฟลวิน (บี2)
(5%)
0.06 มก.
ไนอาซิน (บี3)
(9%)
1.3 มก.
วิตามินบี6
(6%)
0.077 มก.
โฟเลต (บี9)
(3%)
13 μg
วิตามินซี
(5%)
4.0 มก.
แร่ธาตุ
แคลเซียม
(1%)
14 มก.
เหล็ก
(26%)
3.4 มก.
แมกนีเซียม
(5%)
17 มก.
ฟอสฟอรัส
(11%)
78 มก.
โพแทสเซียม
(9%)
429 มก.
สังกะสี
(1%)
0.12 มก.
ประมาณร้อยละคร่าว ๆ โดยใช้การแนะนำของสหรัฐสำหรับผู้ใหญ่
แหล่งที่มา: USDA FoodData Central


อ้างอิง[แก้]

  1. รศ. สนั่น จอกลอย จากภาควิชาพืชไร่ มหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นผู้ตั้งชื่อภาษาไทย
  2. http://www.balavi.com/content_th/nanasara/Con00223.asp
  3. 3.0 3.1 3.2 สนั่น จอกลอย วีรยา ลาดบัวขาว รัชนก มีแก้ว. แก่นตะวัน: พืชชนิดใหม่ใช้เป็นพลังงานทดแทน. แก่นเกษตร. 34 (2): 104 - 111
  4. Huxley, Anthony Julian (1992). The New Royal Horticultural Society dictionary of gardening. London: Macmillan Publishers. ISBN 0-333-47494-5. OCLC 29360744. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |coauthors= ถูกละเว้น แนะนำ (|author=) (help)
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 นิมิต วรสูต และ สนั่น จอกลอย. 2549. อินนูลิน: สาระสำคัญสำหรับสุขภาพในแก่นตะวัน. แก่นเกษตร. 34 (2): 85 - 91
  6. สมุนไพรแก่นตะวัน
  7. Peter Barham. The Science of Cooking. p. 14.
  8. public domain Reynolds, Francis J., บ.ก. (1921). "Artichoke" . Collier's New Encyclopedia. New York: P. F. Collier & Son Company.
  9. USDA Agricultural Research Service, http://www.nal.usda.gov/fnic/foodcomp/Data//SR20/reports/sr20fg11.pdf เก็บถาวร 2012-02-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  10. "ส้มตำแก่นตะวัน". healthandcuisine.com. 5 March 2014. สืบค้นเมื่อ 14 November 2014.
  11. http://www.thaienergynews.com/ArticleShowDetail.asp?ObjectID=168
  12. C.A.R.M.E.N. e.V.: Topinambur - Energiepflanze für Biogasanlagen. In: Newsletter "nawaros" 11/2007, Straubing.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Helianthus tuberosus ที่วิกิสปีชีส์