เรือพระที่นั่งบริแทนเนีย
เรือพระที่นั่งบริแทนเนีย เดินทางออกจากคาร์ดิฟฟ์เป็นครั้งสุดท้าย
| |
ประวัติ | |
---|---|
สหราชอาณาจักร | |
ชื่อ | เอชเอ็มวาย บริแทนเนีย (HMY Britannia) |
เจ้าของ | The Royal Yacht Britannia Trust[1] |
Ordered | 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1952 |
อู่เรือ | จอห์น บราวน์ แอนด์ คอมพานี |
Yard number | 691 |
ปล่อยเรือ | 16 มิถุนายน ค.ศ. 1952 |
เดินเรือแรก | 16 เมษายน ค.ศ. 1953 |
เข้าประจำการ | 11 มกราคม ค.ศ. 1954 |
ปลดระวาง | 11 ธันวาคม ค.ศ. 1997 |
รหัสระบุ | หมายเลข IMO: 8635306 |
สถานะ | พิพิธภัณฑ์เรือ เปิดให้สาธารณชนเข้าชม |
ลักษณะเฉพาะ | |
ขนาด (ตัน): | 5,769 ตันกรอส (GT) |
ความยาว: | 126 เมตร (412 ฟุต) |
ความกว้าง: | 17 เมตร (55 ฟุต) |
ความสูง: | 37 เมตร (123 ฟุต) |
กินน้ำลึก: | 4.6 เมตร (15 ฟุต) |
ระบบขับเคลื่อน: | กังหันไอน้ำ Pametrada จำนวน 2 เครื่อง, กำลัง 12,000 แรงม้า (8,900 กิโลวัตต์) |
ความเร็ว: | 21.5 นอต (39.8 กม./ชม. 24.7 ไมล์/ชม.) |
พิสัยเชื้อเพลิง: | 2,400 ไมล์ทะเล (4,400 กม.) |
ความจุ: | 250 คน |
ลูกเรือ: |
|
เอชเอ็มวาย บริแทนเนีย (อังกฤษ: HMY Britannia) หรือชื่อเต็มคือ เรือพระที่นั่งบริแทนเนีย (อังกฤษ: Her Majesty's Yacht Britannia) เป็นอดีตเรือพระที่นั่งประจำราชวงศ์อังกฤษ ประจำการตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954–1997 เป็นเรือพระที่นั่งลำที่ 83 นับตั้งแต่พระเจ้าชาลส์ที่ 2 เสด็จเถลิงราชย์ในปี ค.ศ. 1660 และเป็นเรือพระที่นั่งของราชวงศ์ลำที่สองที่ใช้ชื่อนี้ โดยลำแรกเป็นเรือแข่งที่สร้างขึ้นสำหรับเจ้าชายแห่งเวลส์ในปี ค.ศ. 1893 ตลอดระยะเวลาการประจำการ 43 ปี เรือลำนี้ได้เดินทางไปทั่วโลกกว่าหนึ่งล้านไมล์ทะเล เยือนท่าเรือต่าง ๆ มากกว่า 600 แห่งใน 135 ประเทศ ปัจจุบัน เรือบริแทนเนียได้ถูกปลดประจำการแล้ว และถูกจัดแสดงอย่างถาวรที่โอเชียนเทอร์มินอล ในเมืองลีธ เอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ โดยกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ มีผู้เข้าชมมากกว่า 300,000 คนต่อปี
การก่อสร้าง
[แก้]เอชเอ็มวาย บริแทนเนีย ถูกสร้างขึ้นที่อู่ต่อเรือจอห์น บราวน์ แอนด์ คอมพานี (John Brown & Company) ใน ไคลด์แบงค์, ดันบาร์ตันเชียร์ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จมาทรงปล่อยเรือลงน้ำ เมื่อวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1953 และเข้าประจำการเมื่อวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1954 เรือได้รับการออกแบบให้มีเสากระโดงทั้งหมดสามเสา: เสาหน้าสูง 41 เมตร (133 ฟุต), เสากลางสูง 42 เมตร (139 ฟุต), และเสาท้ายสูง 36 เมตร (118 ฟุต) เสาอากาศของเสากระโดงหน้าและกลาง สูง 6.1 เมตร (20 ฟุต) ถูกออกแบบมาให้สามารถพับเพื่อให้เรือลอดใต้สะพานได้
เรือบริแทนเนีย ได้รับการออกแบบให้สามารถดัดแปลงเป็นเรือพยาบาลในยามสงคราม [2] แม้ว่าการออกแบบนี้จะไม่เคยถูกใช้ก็ตาม ในกรณีถ้าเกิดสงครามนิวเคลียร์ สมเด็จพระราชินีและเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ ทรงมีพระประสงค์ให้ลี้ภัยบนเรือบริแทนนีย ที่นอกชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของสกอตแลนด์ [3]
บุคลากร
[แก้]นายทหารราชนาวี ได้รับการแต่งตั้งให้ประจำการบนเรือเป็นเวลาถึงสองปี ลูกเรือเป็นอาสาสมัครจากบริการทั่วไปของกองทัพเรือ หลังจากประจำการครบ 365 วัน พวกเขาสามารถเข้าประจำการถาวรใน Royal Yacht Service ในฐานะ Royal Yachtsmen และให้บริการจนกว่าพวกเขาจะเลือกออกจากบริการหรือถูกไล่ออกด้วยเหตุผลทางการแพทย์หรือทางวินัย เป็นผลให้บางคนทำหน้าที่เป็นเวลา 20 ปีขึ้นไป ลูกเรือยังรวมถึงกองนาวิกโยธิน [4] สมาชิกของ วงดุริยางค์นาวิกโยธิน จะออกเดินทางไปด้วย ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เรือบริแทนเนีย ปฏิบัติหน้าที่ห่างจากท่าเรือบ้านเกิด [5]
ประวัติ
[แก้]เอชเอ็มวาย บริแทนเนีย ออกเดินทางครั้งแรกจากพอร์ตสมัท ไปยังแกรนด์ฮาร์เบอร์ ประเทศมอลตา เมื่อวันที่ 14–22 เมษายน ค.ศ. 1954 และได้นำเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และเจ้าหญิงแอนน์ ไปยังมอลตาเพื่อไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีนาถและดยุคแห่งเอดินบะระเมื่อสิ้นสุดการทัวร์เครือจักรภพ สมเด็จพระราชินีนาถและดยุกแห่งเอดินบะระเสด็จขึ้นเรือบริแทนเนียเป็นครั้งแรกที่เมืองโทบรุค เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1954 [6]
เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1959 บริแทนเนีย ได้ล่องเรือบนเส้นทางเดินเรือเซนต์ลอว์เรนซ์ ที่เพิ่งเปิดใหม่ระหว่างเดินทางไปยังเมืองชิคาโก ซึ่งเมื่อเรือเทียบท่า ทำให้สมเด็จพระราชินีเป็นพระมหากษัตริย์อังกฤษพระองค์แรกที่เสด็จเยือนเมืองนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ อยู่บนเรือบริแทนเนีย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการล่องเรือนี้ ประธานาธิบดีเจอรัลด์ ฟอร์ด, โรนัลด์ เรแกน, และ บิล คลินตัน ได้รับการต้อนรับบนเรือในปีถัดมา เจ้าหญิงแอนน์และมาร์ค ฟิลลิปส์ ฮันนีมูนบนเรือนี้ในปี 1973 ส่วนเจ้าฟ้าชายชาลส์ได้ฮันนีมูนกับเจ้าหญิงไดอาน่าในปี 1981 เรือได้อพยพผู้ลี้ภัยกว่า 1,000 คนจากสงครามกลางเมืองในเอเดน ในปี 1986 [7] เรือลำดังกล่าวแล่นไปยังแคนาดา ในปี 1991 และจอดเทียบท่าในเมืองโตรอนโต และคิงส์ตัน รัฐออนแทรีโอ
เอชเอ็มวาย บริแทนเนีย จะมีเรือรบของราชนาวีคุ้มกัน เมื่อมีพระราชกรณียกิจ เรือลำนี้เป็นที่พบเห็นเป็นประจำที่งาน Cowes Week ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม และโดยปกติแล้วในช่วงที่เหลือของเดือน จะเป็นบ้านของสมเด็จพระราชินีนาถและราชวงศ์สำหรับการล่องเรือประจำปีรอบเกาะต่างๆ ที่นอกชายฝั่งตะวันตกของสกอตแลนด์ (เรียกว่า "ทัวร์เกาะตะวันตก")
ในช่วงการประจำการในฐานะ เรือยอทช์หลวง บริแทนเนีย ได้ส่งเสด็จสมเด็จพระราชินี สมาชิกราชวงศ์ และบุคคลสำคัญต่างๆ ในการเยือนต่างประเทศทั้งหมด 696 ครั้ง และ 272 ครั้ง ในน่านน้ำของอังกฤษ และได้ล่องเรือไปเป็นระยะทางทั้งหมด 1,087,623 ไมล์ทะเล (2,014,278 กิโลเมตร)[8]
ปลดประจำการ
[แก้]ในปี ค.ศ. 1994 รัฐบาลอนุรักษ์นิยม ได้ประกาศการปลดประจำการเรือยอทช์หลวง:
เรือยอทช์หลวงได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายในปี 1987 การซ่อมแซมเพิ่มเติมโดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 17 ล้านปอนด์จะมีความจำเป็นในปี 1996–97 แต่จะยืดอายุของเรือไปได้อีกห้าปีเท่านั้น เมื่อพิจารณาจากอายุของเรือแล้ว แม้หลังจากการบูรณะแล้ว เรือก็ยังดูแลรักษายากและมีราคาแพงในการเดินทาง จึงมีการตัดสินใจให้ปลดประจำการเรือยอทช์หลวง "บริแทนเนีย" ในปี 1997 รัฐบาลจะพิจารณาคำถามว่าจะมีเรือที่จะมาแทนที่เรือ "บริแทนเนีย" หรือไม่
— ไวเคานต์แครนบอร์น, สภาขุนนาง Hansard: 23 มิถุนายน 1994
ในเดือนมกราคม 1997 รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนเรือพระที่นั่งหากได้รับเลือกตั้งใหม่ [9] ช่วงเวลาของการประกาศนั้นใกล้กับช่วงของการเลือกตั้งทั่วไป The Guardian Weekly เรียกมันว่า "เป็นส่วนหนึ่งของประชานิยมที่เรียกร้องให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ส.ส. ลังเลใจในช่วงก่อนการเลือกตั้งทั่วไป" และรายงานว่า "สมเด็จพระราชินีทรงโกรธ ที่ราชวงศ์ถูกลากเข้าไปในการหาเสียงเลือกตั้ง เพียงแค่เพื่อกอบกู้ภาพลักษณ์ต่อสาธารณชน" [10] เซอร์เอ็ดเวิร์ด ฮีธ คัดค้านการจัดการปัญหาของรัฐบาลอย่างเปิดเผย โดยระบุว่า "พรรคอนุรักษ์นิยม เหนือสิ่งอื่นใดต้องเป็นพรรคที่มีเกียรติ และฉันไม่เชื่อว่าการกระทำที่ได้ดำเนินการไปแล้วนั้นเป็นสิ่งที่น่ายกย่องและไม่ควรถูกดำเนินการในลักษณะนี้" [11]
รัฐบาลแย้งว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้รับการพิสูจน์โดยบทบาทในนโยบายต่างประเทศและการส่งเสริมผลประโยชน์ของอังกฤษในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการประชุมที่จัดขึ้นโดย British Invisibles ซึ่งเดิมคือคณะกรรมการการส่งออกที่มองไม่เห็น คณะกรรมการการค้าต่างประเทศประเมินว่ากิจกรรมที่จัดขึ้นบนเรือยอทช์หลวงช่วยเพิ่มเงิน 3 พันล้านปอนด์ สำหรับกระทรวงการคลัง ระหว่างปี 1991 ถึง 1995 [12]
ฝ่ายค้านพรรคแรงงาน ประกาศว่าจะไม่ผูกมัดการใช้เงินทุนสาธารณะสำหรับเรือทดแทนเป็นเวลาอย่างน้อยสองปีแรกของรัฐบาลแรงงานชุดใหม่ [13] หลังจากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 1997 รัฐบาลชุดใหม่ได้พิจารณาทางเลือกหลายทางสำหรับอนาคตของเรือยอทช์หลวง แต่ได้ข้อสรุปในเดือนตุลาคมของปีนั้นว่าจะไม่มีการแทนที่เรือบริแทนเนีย:
เราขอประกาศอย่างชัดเจนว่าเราจะไม่ใช้เงินสาธารณะไปกับเรือยอชท์หลวง และเราจะรักษาสัญญานั้น พวกเราในกระทรวงกลาโหมจำเป็นต้องปรับเงินทุกบาททุกสตางค์ของผู้เสียภาษีที่เราใช้ไป และในกรณีนี้ ข้าพเจ้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง - ตามที่สมเด็จพระราชินีทรงตรัสอย่างชัดเจน - เนื่องจากเรือยอทช์ไม่จำเป็นสำหรับการเดินทางของราชวงศ์ เราได้พิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับทางเลือกทางการเงินส่วนบุคคลทั้งหมด แต่สิ่งเหล่านี้จะเป็นไปได้ด้วยเงินอุดหนุนรายปีจำนวนมากจากกองทุนสาธารณะเท่านั้น
— จอร์จ โรเบิร์ตสัน, ปลัดกระทรวงกลาโหม, [14]
ภารกิจครั้งสุดท้ายของเรือยอทช์หลวง คือการนำผู้สำเร็จราชการฮ่องกงคนสุดท้าย คริส แพทเทน และเจ้าชายแห่งเวลส์กลับจากฮ่องกง หลังจากการโอนอำนาจอธิปไตยของฮ่องกงให้กับสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1997 เรือบริแทนเนีย ปลดประจำการเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1997 มีรายงานว่าสมเด็จพระราชินีนาถทรงหลั่งน้ำตาในพิธีปลดประจำการ ซึ่งมีสมาชิกอาวุโสส่วนใหญ่ของราชวงศ์เข้าร่วม [15]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "The Royal Yacht Britannia – The Trust". สืบค้นเมื่อ 7 March 2014.
- ↑ "1953: Queen launches Royal Yacht Britannia". On This Day. BBC. 16 April 1953. สืบค้นเมื่อ 17 August 2011.
- ↑ Simon Johnson (12 July 2010). "Floating bunker plan to help Queen escape nuclear attack". The Telegraph. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 January 2022.
- ↑ "Dedicated Crew". www.royalyachtbritannia.co.uk (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-04-11.
- ↑ Tuohy, William (1993-02-06). "BRITAIN : Finances May Sink the Royal Yacht : The Britannia was used just 31 days in 1991 at a cost of $18 million". Los Angeles Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2021-04-11.
- ↑ Richard Johnstone-Bryden (2003). The Royal Yacht Britannia: The Official History. Conway Maritime. pp. 30–33. ISBN 978-0-85177-937-9.
- ↑ Aden: British Evacuation เก็บถาวร 2021-06-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Hansard HL Deb 21 January 1986 vol 470 cc131-4.
- ↑ Johnstone-Bryden, p. 298.
- ↑ Evans, Michael; Landale, James (23 January 1997). "Taxpayers to fund Pounds 60m replacement for Britannia". The Times. London.
- ↑ "Royal family dragged into yacht row". Guardian Weekly. London. 2 February 1997.
- ↑ Parker, Andrew (28 January 1997). "Public against paying for new Royal yacht". The Scotsman. Edinburgh.
- ↑ "Great British Ambassador". The Royal Yacht Britannia Trust. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-01-30. สืบค้นเมื่อ 23 January 2016.
- ↑ Brown, Colin (28 January 1997). "Poll shows that yacht plan is a vote loser". The Independent. London. สืบค้นเมื่อ 2020-06-08.
- ↑ "BBC News | Special Report | Britannia says goodbye to nation".
- ↑ "Pay for your own yacht, PM tells Queen". The Age. 17 January 2012. สืบค้นเมื่อ 17 January 2012.