เบเรงเกลาแห่งนาวาร์
เบเรงเกลาแห่งนาวาร์ | |
---|---|
![]() | |
สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ | |
ครองราชย์ | 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1191 - 6 เมษายน ค.ศ. 1199 |
ราชาภิเษก | 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1191 |
พระราชสมภพ | ประมาณ ค.ศ 1165 - ค.ศ 1170 |
สวรรคต | 23 ธันวาคม ค.ศ 1230 (ประมาณ 60 - 65 พรรษา ) |
พระราชสวามี | พระเจ้าริชาร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ |
ราชวงศ์ | ฆีเมเนซ |
พระราชบิดา | พระเจ้าอันต์โชที่ 6 แห่งนาวาร์ |
พระราชมารดา | ซันชาแห่งกัสติยา |
เบเรงกาเรียแห่งนาวาร์ (อังกฤษ: Berengaria of Navarre; ฝรั่งเศส: Bérengère de Navarre; สเปน: Berenguela de Navarra; ประสูติราว ค.ศ.1165 -1170 - สิ้นพระชนม์ 23 ธันวาคม ค.ศ.1230) ทรงเป็นพระธิดาองค์โตของ พระเจ้าซันโชที่ 6 แห่งนาวาร์ (Sancho VI of Navarre) และ พระนางซันชาแห่งกัสติยา (Sancha of Castile) พระองค์ทรงเป็นพระมเหสีของ พระเจ้าริชาร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ และ เป็นสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษตั้งแต่ปี ค.ศ.1191 จนถึงการสิ้นพระชนม์ของพระสวามีในปี ค.ศ.1199
ชีวิตของเบเรงกาเรียโดดเด่นด้วยความจริงที่ว่า แม้จะเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ แต่พระองค์กลับไม่เคยเหยียบย่างสู่แผ่นดินอังกฤษเลยตลอดรัชสมัยของพระสวามี และ ทรงใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในต่างแดน เรื่องราวของพระองค์มักถูกบดบังด้วยชื่อเสียงอันโด่งดังของพระสวามี แต่พระองค์ก็ทรงเป็นสตรีผู้เข้มแข็งและมีบทบาทสำคัญในยุคสมัยของพระองค์
ชีวิตช่วงต้นและภูมิหลัง
[แก้]เบเรงกาเรีย ประสูติราวปี ค.ศ.1165 - 1170 ณ ราชอาณาจักรนาวาร์ (ปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของสเปนและฝรั่งเศส) พระองค์เป็นพระธิดาของพระเจ้าซันโชที่ 6 แห่งนาวาร์ หรือ ที่รู้จักกันในพระนาม "ซันโชผู้ทรงปัญญา" (Sancho the Wise) และ สมเด็จพระราชินีซันชาแห่งกัสติยา (พระธิดาของพระเจ้าอัลฟองโซที่ 7 แห่งเลออนและกัสติยา) ราชอาณาจักรนาวาร์ในยุคนั้นเป็นรัฐเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาพิเรนีส มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในฐานะกันชนระหว่างอาณาจักรฝรั่งเศสและสเปน
เบเรงกาเรียทรงได้รับการเลี้ยงดูตามแบบฉบับของเจ้าหญิงในยุคนั้น ทรงได้รับการศึกษาที่ดี มีความรู้ด้านภาษา การอ่าน และการเขียน พระนางเป็นที่รู้จักในเรื่องความงามและความฉลาด ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทำให้พระองค์เป็นที่ต้องการของราชวงศ์ยุโรป
การอภิเษกสมรสกับพระเจ้าริชาร์ดที่ 1
[แก้]การอภิเษกสมรสระหว่างเบเรงกาเรียกับพระเจ้าริชาร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ เป็นผลมาจากการเจรจาทางการเมืองที่ซับซ้อน พระเจ้าริชาร์ดทรงหมั้นหมายกับเจ้าหญิงอาลิสแห่งฝรั่งเศสมาเป็นเวลานาน แต่อลิสไม่ต้องการสมรสกับพระองค์ เนื่องจาก มีข่าวลือว่าอาลิสเป็นสนมของพระเจ้าเฮนรีที่ 2 แห่งอังกฤษ พระบิดาของริชาร์ด สมเด็จพระราชินีเอลีนอร์แห่งอากีแตน (Eleanor of Aquitaine) พระมารดาของริชาร์ด เป็นผู้ริเริ่มการเจรจาการสมรสกับเบเรงกาเรีย เพื่อสร้างพันธมิตรกับนาวาร์และเพื่อหาพระมเหสีที่เหมาะสมกับพระโอรสของพระองค์
การอภิเษกสมรสไม่ได้เกิดขึ้นในอังกฤษหรือนาวาร์ แต่เกิดขึ้นระหว่างทางที่พระเจ้าริชาร์ดกำลังเสด็จไปร่วมสงครามครูเสดครั้งที่สาม ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1191 เบเรงกาเรียพร้อมด้วยสมเด็จพระราชินีเอลีนอร์แห่งอากีแตน ได้เสด็จไปพบพระเจ้าริชาร์ดที่เมืองเมสซีนา (Messina) เกาะซิซิลี ซึ่งเป็นจุดพักระหว่างทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์
การเดินทางสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าริชาร์ดถูกขัดจังหวะด้วยพายุ ทำให้เรือของพระองค์ต้องแวะที่เกาะไซปรัส ซึ่งพระเจ้าริชาร์ดได้เข้ายึดครองเกาะนี้จากไอแซก คอมเนนัส (Isaac Komnenos) ผู้ปกครองไซปรัส ในระหว่างที่ประทับอยู่ที่ไซปรัส พิธีอภิเษกสมรสระหว่างเบเรงกาเรียและพระเจ้าริชาร์ดจึงได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ.1191 ณ โบสถ์เซนต์จอร์จ เมืองลิมาซอล (Limassol) เกาะไซปรัส โดยมีพระราชินีเอลีนอร์เป็นสักขีพยาน การสมรสนี้เกิดขึ้นในวันอาทิตย์อีสเตอร์ ซึ่งถือเป็นฤกษ์ที่ดี
หลังการอภิเษกสมรส เบเรงกาเรียไม่ได้กลับอังกฤษ แต่ทรงติดตามพระสวามีไปร่วมสงครามครูเสดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ประทับอยู่ที่เมืองเอเคอร์ (Acre) และเมืองอื่นๆ ในราชอาณาจักรเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นศูนย์กลางของสงครามครูเสด แม้จะไม่ได้มีบทบาทโดยตรง แต่การปรากฏตัวของพระองค์ในฐานะพระมเหสีของกษัตริย์ผู้ทำสงครามครูเสดก็มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์
ชีวิตหลังสงครามครูเสด
[แก้]หลังจากการสิ้นสุดสงครามครูเสดครั้งที่สามในปี ค.ศ.1192 พระเจ้าริชาร์ดถูกจับเป็นเชลยระหว่างทางกลับยุโรป ส่วนเบเรงกาเรียเดินทางกลับยุโรปอย่างปลอดภัย และประทับอยู่ที่กรุงโรมช่วงหนึ่ง ก่อนที่จะเดินทางกลับนาวาร์
แม้จะทรงอภิเษกสมรสกัน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเบเรงกาเรียกับพระเจ้าริชาร์ดกลับไม่ใกล้ชิดนัก พระเจ้าริชาร์ดทรงเป็นที่รู้จักกันดีว่าทรงมีความสนใจในสงคราม การผจญภัย และความสัมพันธ์กับผู้ชายมากกว่าสตรี ทำให้พระองค์ใช้เวลาอยู่กับพระมเหสีน้อยมาก และทั้งคู่ก็ไม่มีพระโอรสหรือ ธิดาร่วมกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับราชวงศ์อังกฤษ
หลังจากการปล่อยตัวของพระเจ้าริชาร์ดในปี ค.ศ.1194 เบเรงกาเรียทรงย้ายไปประทับที่เมืองเลอ มองส์ (Le Mans) ในฝรั่งเศส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนอองชูของอังกฤษ พระองค์ทรงใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่นั่นอย่างสงบเงียบ และทรงดูแลทรัพย์สินส่วนพระองค์
ในปี ค.ศ.1199 พระเจ้าริชาร์ดที่ 1 เสด็จสวรรคตจากการบาดเจ็บในการรบ ทำให้เบเรงกาเรียทรงเป็นม่าย พระองค์ไม่ได้รับเงินบำนาญในฐานะพระราชินีม่ายตามที่ควรจะเป็นในทันที และ ต้องต่อสู้เรียกร้องสิทธิ์ของพระองค์จากพระเจ้าจอห์นแห่งอังกฤษ พระอนุชาของริชาร์ดผู้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเชษฐา ซึ่งทรงไม่เต็มใจที่จะจ่ายเงินให้แก่พระองค์ การต่อสู้เพื่อสิทธิ์นี้ดำเนินไปเป็นเวลานานหลายปี โดยได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 (Pope Innocent III) ซึ่งทรงกดดันพระเจ้าจอห์นให้ปฏิบัติตาม
บั้นปลายชีวิตและมรดก
[แก้]หลังจากได้รับเงินบำนาญแล้ว เบเรงกาเรียทรงย้ายไปประทับที่ อารามเอปัว (Abbaye de l'Épau) ใกล้เมืองเลอ มองส์ ซึ่งเป็นอารามที่พระองค์ทรงก่อตั้งขึ้นเอง พระองค์ทรงใช้ชีวิตที่เหลือในฐานะแม่ชี และ ทรงอุทิศตนให้กับศาสนาและงานกุศล ทรงเป็นที่เคารพรักของประชาชนในท้องถิ่น และ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขจนกระทั่งสิ้นพระชนม์
เบเรงกาเรียสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ.1230 ด้วยพระชนมายุประมาณ 60-65 พรรษา พระศพของพระองค์ถูกฝังไว้ที่อารามเอปัว ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น
แม้จะทรงเป็นพระราชินีแห่งอังกฤษที่ไม่เคยเหยียบย่างสู่แผ่นดินอังกฤษ และ ชีวิตสมรสกับพระเจ้าริชาร์ดก็ไม่ประสบความสำเร็จในแง่ของการมีทายาท แต่เบเรงกาเรียแห่งนาวาร์ก็ทรงเป็นสตรีผู้เข้มแข็ง มีความอดทน และ มีศรัทธาในศาสนาอย่างแรงกล้า พระองค์ทรงเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นในการต่อสู้เพื่อสิทธิ์อันชอบธรรมของตนเองในยุคที่สตรีมีบทบาทจำกัด เรื่องราวของพระองค์ยังคงเป็นที่สนใจของนักประวัติศาสตร์ และ ผู้คนทั่วไปในฐานะพระราชินีผู้โดดเด่นในประวัติศาสตร์ยุคกลาง
อ้างอิง
[แก้]- Berengaria of Navarre – The only English Queen never to set foot on English soil: History of Royal Women
- Gillingham, John. Richard I. Yale University Press, 1999.
- Turner, Ralph V. and Heiser, Richard R. The Reign of Richard Lionheart: Ruler of the Angevin Empire, 1189–1199. Routledge, 2013.