ข้ามไปเนื้อหา

อาคารรัฐสภาไทย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
รัฐสภาถนนอู่ทองใน
อาคารรัฐสภาไทยตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร
อาคารรัฐสภาไทย
อาคารรัฐสภาไทย
ข้อมูลทั่วไป
สถาปัตยกรรมโมเดิร์น
เมือง2 ถนนอู่ทองใน แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300
ประเทศประเทศไทย
พิกัด 13°46′28″N 100°30′50″E / 13.7744°N 100.5140°E / 13.7744; 100.5140
เริ่มสร้าง5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513
แล้วเสร็จ19 กันยายน พ.ศ. 2517
ปิดใช้งาน28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562[1]
ลูกค้ารัฐสภาไทย (2517–2561)

อาคารรัฐสภาแห่งที่ 2 หรือ อาคารรัฐสภาถนนอู่ทองใน เป็นสถานที่ทำงานของสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติของประเทศไทย หรือเรียกว่ารัฐสภาไทย ใช้เป็นที่ประชุมร่วมกันหรือแยกกันของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยและวุฒิสภาไทย ทั้งยังใช้เป็นสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา รวมตลอดถึงหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐสภาด้วย เดิมตั้งอยู่ที่ถนนอู่ทองใน สื่อมวลชนเรียกอาคารรัฐสภาแห่งนี้ว่า สภาหินอ่อน เนื่องจากอาคารรัฐสภาแห่งนี้สร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลัง อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดใช้งานสัปปายะสภาสถานเป็นอาคารรัฐสภาแห่งใหม่แล้ว อาคารรัฐสภาเดิมจึงถูกรื้อถอนออกเพื่อส่งคืนพื้นที่ให้กับสำนักพระราชวัง

ประวัติ

[แก้]

เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 หลังการปฏิวัติสยามและประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับแรก ผู้แทนราษฎรจำนวน 70 คนซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ได้ประกอบกันเป็นสภาผู้แทนราษฎรและประชุมกันเป็นครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรทั่วประเทศได้สำเร็จลง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดให้สภาผู้แทนราษฎรประชุมกันที่พระที่นั่งนี้ได้ต่อไป

ครั้นจำนวนสมาชิกรัฐสภาเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนของจำนวนประชากร และต้องมีที่ทำการของข้าราชการฝ่ายรัฐสภา จึงมีความจำเป็นในการสร้างอาคารรัฐสภาที่รับความต้องการดังกล่าวได้ ในปีพ.ศ. 2512 ประเสริฐ ปัทมสุคนธ์ เลขาธิการรัฐสภา ได้เสนอความเห็นต่อประธานวุฒิสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร ถึงความจำเป็นที่ต้องมีที่ประชุมสภา ที่ประชุมกรรมาธิการ และสำนักงานของเจ้าหน้าที่ของสภานิติบัญญัติ เพราะสถานที่ที่ใช้ทำงานแยกกันอยู่และไม่เพียงพอแก่การปฏิบัติงาน ซึ่งประธานสภาทั้งสองได้เห็นชอบอนุมัติ และให้เร่งรัดไปทางคณะรัฐมนตรีขอให้พิจารณาอนุมัติจัดสร้างอาคารรัฐสภาโดยด่วน คณะรัฐมนตรี จอมพล ถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีได้ลงมติเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2512 อนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้าง ภายในวงเงิน 78,112,628 บาท[2] ในการนี้มีการวางโครงการสร้างอาคารรัฐสภาใหม่ถึงสี่ครั้ง แต่สามครั้งแรกไปไม่ตลอดรอดฝั่งเพราะคณะรัฐมนตรีซึ่งริเริ่มโครงการต้องพ้นจากตำแหน่งไปเสียก่อน ในครั้งที่สี่ เริ่มโครงการก่อสร้างเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 มีกำหนดสร้างเสร็จภายใน 850 วัน มีบริษัทพระนครก่อสร้างจำกัดเสนอราคาก่อสร้าง เฉพาะอาคาร 3 หลัง ต่ำที่สุด 51,027,360 บาท[3] ในภายหลังใช้งบประมาณอาคารทั้งหมดและครุภัณฑ์ตลอดจนอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งการตกแต่งบริเวณโดยรอบอาคารคิดเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 100 ล้านบาท[2] ประกอบด้วยอาคารหลัก 3 หลัง คือ

  • อาคารห้องประชุมรัฐสภา (หลังที่ 1) เป็นตึก 3 ชั้น ใช้เป็นที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ประชุมวุฒิสภา และที่ประชุมร่วมกันของสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติ และส่วนอื่นๆ เป็นที่ทำการของสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา ประธาน และรองประธานของสภาทั้งสอง
  • อาคารสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (หลังที่ 2) เป็นตึก 7 ชั้น ใช้เป็นสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาและโรงพิมพ์รัฐสภา
  • อาคารสโมสรรัฐสภา (หลังที่ 3) เป็นตึก 2 ชั้น

อาคารรัฐสภาแห่งที่ 2 นี้ใช้ประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2517 สมัยรัฐบาล สัญญา ธรรมศักดิ์ โดยมี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนแรกที่ได้ทำหน้าที่อาคารรัฐสภาแห่งที่ 2 นี้ ส่วนพระที่นั่งอนันตสมาคมจะถูกใช้แต่ในทางรัฐพิธีเกี่ยวกับรัฐสภา เช่น รัฐพิธีเปิดสมัยประชุม รัฐพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ และใช้ชั้นล่างของพระที่นั่งเป็นพิพิธภัณฑ์รัฐสภา[4]

ต่อมา ภายหลังมีการก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมอีกจำนวน 3 หลัง คืออาคารที่ทำการรัฐสภาและห้องประชุมกรรมาธิการ อาคารจอดรถ และอาคารกองรักษาการณ์ และฝ่ายอาคารสถานที่ ตามลำดับ[5]

อาคารรัฐสภาแห่งที่ 2 ให้บริการสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มาจากการเลือกตั้ง 12 ชุด โดยชุดสุดท้ายคือ สภาผู้แทนราษฎร ลำดับที่ 24 ผ่านการทำหน้าที่ของประธานรัฐสภามาแล้ว 17 คน จากทั้งหมด 30 คน[3] (ก่อนการย้ายไปยังอาคารใหม่ที่ย่านถนนเกียกกาย)

ในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2561 สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ คนที่ 1 ได้จัดประชุมเพื่อเลือกสถานที่ในการเป็นรัฐสภาชั่วคราวในระหว่างที่ สัปปายะสภาสถาน หรือรัฐสภาแห่งใหม่ที่ยังสร้างไม่แล้วเสร็จในขณะนั้น โดยคาดหมายว่าหอประชุมของบริษัท ทีโอที ถนนแจ้งวัฒนะ จะถูกใช้เป็นห้องประชุมรัฐสภาชั่วคราวในระหว่างเดือนมีนาคมจนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2562[6] อาคารรัฐสภาแห่งที่ 2 ถนนอู่ทองใน ใช้ประชุมครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2562[7] และในวันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 พื้นที่รัฐสภาถูกส่งคืนให้ สำนักพระราชวัง ซึ่งมีอายุการใช้งานของอาคารรัฐสภาแห่งที่ 2 นาน 44 ปี[8]

ในวันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรซึ่งกำหนดให้หอประชุมของบริษัท ทีโอที เป็นอาคารรัฐสภาชั่วคราวโดยให้มีผลตั้งแต่วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 [9] ปัจจุบันได้ย้ายสถานที่ประชุมของสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติ และสำนักงานเลขาธิการไปยัง สัปปายะสภาสถาน เป็นการถาวร

ความสำคัญทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม

[แก้]

ตัวอาคารรัฐสภาแห่งที่ 2 ออกแบบโดย พล จุลเสวก นายช่างสถาปนิกเอกของกรมโยธาธิการ เป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ โดยอาจได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากอาคารรัฐสภาบราซิลที่ออกแบบโดยออสการ์ นีเอไมเยร์ หรือ อาคารหลายแห่งที่ออกแบบโดยเลอกอร์บูซีเย มีโครงสร้างแบบ "เปลือกบาง" ไม่มีเสากลาง ครอบคลุมพื้นที่ราว 11,000 ตารางเมตร สร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลังจึงมีชื่อเล่นว่า "สภาหินอ่อน" พื้นที่ทั้งหมดของอาคารรัฐสภาและอาคารบริวาร ราว 20 ไร่ มีบริษัทพระนครก่อสร้างจำกัด เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง[3][5]

ภูมิสถาปัตยกรรมรอบอาคารรัฐสภา อู่ทองใน ถูกออกแบบโดยสถาปนิก แสงอรุณ รัตกสิกร ประกอบด้วยประติมากรรมลอยตัว ตั้งอยู่ด้านซ้ายของหน้าอาคารหลัก 'ดอกไม้ทอง' ทำด้วยเหล็ก ซ่อนนัยยะผ่านกลีบที่เบ่งบานลดหลั่นกันไป มีเพียงหนึ่งกลีบที่ผลิแย้มชูชันเด่น เป็นสัญลักษณ์ความงอกงามของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ส่วนกลีบที่ลดหลั่นกันไปบ่งบอกถึงอุปสรรคการพัฒนาระบบการปกครองของวันวาน ซึ่งแต่เดิมตั้งอยู่ที่ลานด้านหน้าอาคารหลัก ต่อมาเมื่อประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงย้ายประติมากรรมนี้ไปไว้ที่บ่อน้ำด้านข้างแทน

รอบด้านหน้าและหลังอาคารหลัก ทั้ง 4 มุม เป็นประติมากรรมหินอัด ไล่เรียงตามลำดับจากด้านหน้า คือ ประติมากรรมรูปหญิง สีขาว 'หญิงยืนแบกหม้อน้ำไว้บนไหล่' สื่อถึงน้ำ 'หญิงยืนแบกท่อนไม้' สื่อถึงดิน และประติมากรรมหินอัดด้านหลังอาคาร เป็น "รูปปั้นนก" สื่อถึงลม ความเย็น ความสงบ และสันติสุข และ "รูปปั้นไฟ" สื่อถึงพลังงาน ทั้ง 4 ด้านจึงสื่อความหมายถึง "ความแข็งแกร่ง ความเจริญรุ่งเรือง ความสงบสุข และความมั่นคงของรัฐสภา" [10]

นอกจากนี้ยังมีศิลปกรรมกระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณของทั้ง 3 อาคาร ที่สะท้อนถึงพัฒนาการทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย จำนวน 50 ภาพ เช่น อาคารแรก มีภาพวาดติดผนังบันไดทางขึ้นชั้น 3 ช่วงทางเชื่อมไปอาคารรัฐสภา 2 "รูปเด็กในไข่ทอง" หมายถึง ประชาชนรุ่นใหม่ของประเทศ พร้อมพันธุ์ไม้ผลิดอกรับแสง และรังผึ้ง สะท้อนถึงความสมบูรณ์ และ ภาพติดผนังทางเข้าห้องฟังการประชุม เช่น "ภาพบ้านเมือง" มีพื้นสีแดงเรื่อ หมายถึง ความรุนแรงก่อนที่จะใช้ตึกแห่งนี้เป็นที่ประชุม เมื่อปลายปี 2517 "ภาพรัฐธรรมนูญ" อันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ วางอยู่บนมัดของธัญพืชเป็นสัญลักษณ์ของสังคมและการกสิกรรมของประเทศไทย[10]

พระบรมราชานุสาวรีย์

[แก้]
พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 7 ขณะประดิษฐานด้านหน้าอาคารรัฐสภาหลังเก่า

ด้านหน้าอาคารรัฐสภา มีการประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ซึ่งมีขนาด 1.5 เท่าของพระองค์จริง ทรงฉลองพระองค์บรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ สวมพระชฎามหากฐิน ปักขนนกการเวก ประทับเหนือพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ พระหัตถ์วางเหนือพระเพลาทั้งสองข้าง[11]

ก่อนหน้านี้เคยมีการวางแผนไว้ว่าจะก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 7 แทนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่ถูกพับโครงการไปเนื่องจากขาดแคลนงบประมาณ ก่อนจะนำกลับมาหารืออีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2517 ในสมัยรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์[12] จนกระทั่งสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินริเริ่มโครงการขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2519 โดยแต่งตั้งคณะกรรมการก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ มอบหมายให้กรมศิลปากรออกแบบและหล่อพระบรมรูป และกรมโยธาธิการสร้างแท่นฐานและตกแต่งบริเวณโดยรอบ[13] เริ่มก่อสร้างในส่วนพระบรมรูปตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2520 โดยมีการสร้างโรงงานชั่วคราวขึ้นใกล้กับอาคารรัฐสภาเพื่อดำเนินการปั้นหล่อพระบรมราชานุสาวรีย์พระองค์นี้โดยเฉพาะ ต่อมาเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2521 สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรการขึ้นพระบรมรูปต้นแบบ[11]

ต่อมาเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2522 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาทรงเททองหล่อพระบรมรูปรัชกาลที่ 7 บริเวณหน้าอาคารรัฐสภา และเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2523 ซึ่งตรงกับวันรัฐธรรมนูญ[11]

อย่างไรก็ตาม จากการที่มีโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่หรือสัปปายะสภาสถาน และจะต้องมีการส่งมอบพื้นที่อาคารรัฐสภาไทยหลังเดิมคืนให้สำนักพระราชวัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติในขณะนั้นจึงทำพิธีบวงสรวงอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 7 ลงจากแท่นฐานด้านหน้าอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2562 และอัญเชิญไปบูรณะ ณ สำนักช่างสิบหมู่ อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม[11] ปัจจุบันได้อัญเชิญกลับไปประดิษฐานด้านในพิพิธภัณฑ์รัฐสภา ภายในสัปปายะสภาสถาน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566[14]

ระเบียงภาพ

[แก้]

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. ตรีสุวรรณ, หทัยกาญจน์ (2018-12-26). "44 ปี รัฐสภา ประวัติศาสตร์-ภาพจำก่อนปิดฉาก ก.พ. 2562". BBC News บีบีซีไทย. สืบค้นเมื่อ 2020-03-18.
  2. 1 2 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ประวัติความเป็นมา สืบค้นเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2563.
  3. 1 2 3 วอยส์ออนไลน์ ดูสถิติน่าจดจำอำลา 44 ปี รัฐสภาอู่ทองใน - สถาปัตยกรรมรับใช้ 'เลือกตั้ง - ลากตั้ง' สืบค้นเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2563.
  4. พระที่นั่งอนันตสมาคมและรัฐสภา, รัฐสภาไทย .สืบค้นเมื่อ 20/05/2559
  5. 1 2 มติชน (7 ธันวาคม 2561) ย้อนตำนาน 44ปี รัฐสภาอู่ทองใน นับถอยหลังสู่สัปปายะสภาสถาน สืบค้นเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2563.
  6. โพสต์ทูเดย์ (5 ธันวาคม 2561). "สนช.เตรียมหาที่ประชุมสภาชั่วคราวระหว่างรอสภาใหม่สร้างเสร็จ". www.posttoday.com. สืบค้นเมื่อ 13 มกราคม 2562. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  7. หอสมุดรัฐสภา อาคารรัฐสภา ถนนอู่ทองใน สืบค้นเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2563.
  8. เดลินิวส์ (2 มกราคม 2562). "แจ้งสนช.ใช้ห้องประชุมรัฐสภา-กรรมาธิการฯได้ถึง28ก.พ.นี้". www.dailynews.co.th. สืบค้นเมื่อ 13 มกราคม 2562. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  9. ประกาศสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง กำหนดสถานที่สำหรับใช้เป็นที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นการชั่วคราว
  10. 1 2 หอสมุดรัฐสภา จิตรกรรมและประติมากรรมบริเวณอาคารรัฐสภา สืบค้นเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2563.
  11. 1 2 3 4 "พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว". สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา. 2 เมษายน 2024. สืบค้นเมื่อ 23 เมษายน 2025.
  12. ""พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 7" เคยเกือบถูกสร้างแทนที่ "อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย"". ศิลปวัฒนธรรม. 13 กุมภาพันธ์ 2023. สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2025.
  13. "90 ปี รัฐสภา การเดินทางและความหวัง". พิพิธภัณฑ์รัฐสภา. สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2025.
  14. ""ชวน" ร่วม "พรเพชร" ทำพิธีอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.7 ประดิษฐาน สภาใหม่". ไทยรัฐ. 8 กุมภาพันธ์ 2023. สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2025.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]