อะฮ์หมัด อิบน์ ฮัมบัล
อะบูอับดิลลาฮ์ อะฮ์หมัด อิบน์ มุฮัมมัด อิบน์ ฮัมบัล อัซซุฮ์ลี أَبُو عَبْد ٱلله أَحْمَد بْن مُحَمَّد بْن حَنْبَل الذهلي | |
---|---|
คำนำหน้าชื่อ | ชัยคุลอิสลาม, อิมาม |
ส่วนบุคคล | |
เกิด | พฤศจิกายน ค.ศ. 780 เราะบีอุลเอาวัล ฮ.ศ. 164[1] แบกแดด, รัฐเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์[2] [3] |
มรณภาพ | 2 สิงหาคม ค.ศ. 855 12 เราะบีอุลเอาวัล ฮ.ศ. 241 (อายุ 74–75)[1] แบกแดด, รัฐเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์[4] |
ศาสนา | ศาสนาอิสลาม |
ยุค | ยุคทองของอิสลาม |
ภูมิภาค | อิรัก |
สำนักคิด | อิจญ์ติฮาด |
ลัทธิ | อะษะรี |
ความสนใจหลัก | ฟิกฮ์, อุศูลุลฟิกฮ์, หะดีษ, อะกีดะฮ์[4] |
แนวคิดโดดเด่น | มัซฮับฮัมบะลี |
ผลงานโดดเด่น | มุสนัด อะฮ์หมัด อิบน์ ฮัมบัล ร็อดดุ อะลัลญะฮ์มียะฮ์ วัซซะนาดิเกาะฮ์ กิตาบุสซุนนะฮ์ อุศูลุสซุนนะฮ์ |
อาชีพ | นักวิชาการอิสลาม, มุฮัดดิษ |
ตำแหน่งชั้นสูง | |
ได้รับอิทธิจาก | |
มีอิทธิพลต่อ
|
อะฮ์หมัด อิบน์ ฮัมบัล อัซซุฮ์ลี (อาหรับ: أحمد بن حنبل الذهلي, อักษรโรมัน: Aḥmad ibn Ḥanbal al-Dhuhlī; พฤศจิกายน ค.ศ. 780 – 2 สิงหาคม ค.ศ. 855/ฮ.ศ. 164–241)[5] เป็นนักนิติศาสตร์, นักเทววิทยา, นักพรต, นักหะดีษ และผู้ก่อตั้งมัซฮับฮัมบะลีของมัซฮับฟิกฮ์ของซุนนะฮ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่โรงเรียนกฎหมายหลักออร์โธดอกซ์ของศาสนาอิสลามกลุ่มซุนนะฮ์[6]
นักวิชาการที่มีอิทธิพลและกระตือรือร้นอย่างมากในช่วงชีวิตของเขา[7] อิบน์ ฮัมบัล ได้กลายเป็นบุคคลทางปัญญาที่ "เคารพนับถือมากที่สุดคนหนึ่ง" ในประวัติศาสตร์อิสลาม[8] ผู้มี "อิทธิพลอย่างลึกซึ้งที่ส่งผลกระทบต่อเกือบทุกด้าน" ของแนวคิดอะษะรีย์ (อนุรักษ์นิยม) มุมมองภายในศาสนาอิสลามซุนนะฮ์[9] อิบน์ ฮัมบัล หนึ่งในผู้เสนอแนวทางคลาสสิกที่สำคัญที่สุดในการอาศัยแหล่งข้อมูลจากคัมภีร์เป็นพื้นฐานสำหรับกฎหมายอิสลามและวิถีชีวิตของชาวซุนนะฮ์ อิบน์ ฮัมบัล ได้รวบรวมรวบรวมหะดีษซุนนะฮ์ที่สำคัญที่สุดชุดหนึ่ง นั่นคือ อัลมุสนัด[10] ซึ่งยังคงใช้อิทธิพลอย่างมากใน สาขาวิชาหะดีษ จนถึงปัจจุบัน[11]
หลังจากศึกษาฟิกฮ์ และ หะดีษ กับอาจารย์หลายคนในช่วงวัยหนุ่ม[12] อิบน์ ฮัมบัล มีชื่อเสียงในชีวิตต่อมาจากบทบาทที่เขาในมิห์นะฮ์ คือ การสอบสวนของเคาลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์คือ อัลมะอ์มูน รัชกาลซึ่งผู้ปกครองให้การสนับสนุนอย่างเป็นทางการต่อหลักคำสอนที่ว่า อัลกุรอานถูกสร้างขึ้น โดยมาจาก กลุ่มมุอ์ตะซิละฮ์ ซึ่งเป็นมุมมองที่ขัดแย้งกับหลักคำสอนดั้งเดิมของคัมภีร์กุรอานว่าเป็นพระวจนะของอัลลอฮ์ที่ไม่ได้สร้างขึ้นชั่วนิรันดร์[13] ความทุกข์ทรมานจากการประหัตประหารทางร่างกายภายใต้เคาะลีฟฟะฮ์เหนื่องจากการยึดมั่นในหลักคำสอนดั้งเดิมอย่างไม่ท้อถอย ความอดทนของอิบน์ ฮัมบัล ในเหตุการณ์นี้เป็นการเสริม "ชื่อเสียงที่ดังก้อง" ของเขาเท่านั้น ในพงศาวดารของประวัติศาสตร์ซุนนะฮ์
อัซซะฮะบี ปรมาจารย์ด้านหะดีษ ในศตวรรษที่ 14 กล่าวถึงอิบน์ ฮัมบัลว่าเป็น "ชัยคุลอิสลามที่แท้จริงและเป็นผู้นำของชาวมุสลิมในยุคของเขา ปรมาจารย์ด้านฮะดีษและฮุจญะตุลอิสลาม"[14]
ในยุคสมัยใหม่ ชื่อของอิบน์ ฮัมบัลได้กลายเป็นที่ถกเถียงกันในบางพื้นที่ของโลกอิสลาม เนื่องจากขบวนการปฏิรูปฮัมบะลีที่รู้จักกันในชื่อ วะฮาบีย์[15] ได้อ้างถึงเขาเป็นอิทธิพลหลักร่วมกับอิบน์ ตัยมียะฮ์ นักปฏิรูปชาวฮัมบะลี ในศตวรรษที่ 13 นักวิชาการคนอื่นๆ ยืนยันว่า อะฮ์หมัด อิบน์ ฮัมบัล เป็น "บรรพบุรุษอันไกลโพ้นของวะฮาบีย์" ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจอย่างมากในขบวนการปฏิรูปอนุรักษ์นิยมของสะละฟียะฮ์[16]
ชีวประวัติ
[แก้]ชีวิตในวัยเด็กและครอบครัว
[แก้]ครอบครัวของอะฮ์หมัด อิบน์ ฮัมบัล มีพื้นเพมาจากเมืองอัลบัศเราะฮ์, ประเทศอิรัก และเป็นของชนเผ่าอาหรับ จากเผ่าบะนูซุฮ์ล[17] บิดาของเขาเป็นนายทหารในกองทัพของอับบาซียะฮ์ ในมหานครโคราซาน และต่อมาได้ตั้งรกรากอยู่กับครอบครัวของเขาในแบกแดด ที่ซึ่ง อะฮ์หมัด เกิดในปี ค.ศ. 780[2]
อิบน์ ฮัมบัล มีภรรยาสองคนและลูกหลายคน รวมทั้งลูกชายคนโตซึ่งต่อมาได้เป็นผู้พิพากษาในเมืองอิสฟาฮาน[18]
การศึกษาและการทำงาน
[แก้]อะฮ์หมัด ศึกษาอย่างกว้างขวางในกรุงแบกแดดและเดินทางไปศึกษาต่อในภายหลัง เขาเริ่มเรียนหลักนิติศาสตร์ (ฟิกฮ์) ภายใต้ผู้พิพากษาฮะนะฟีคือ อะบูยูซุฟ ลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงและเป็นสหายของอิหม่ามอะบูฮะนีฟะฮ์ หลังจากจบการศึกษากับอะบูยูซุฟแล้ว อิบน์ ฮัมบัลเริ่มเดินทางผ่านอิรัก, ซีเรีย และ อาระเบีย เพื่อรวบรวมหะดีษหรือการกระทำของท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) อิบน์ อัลเญาซี กล่าวว่า อิหม่ามอะฮ์หมัด มีปรมาจารย์หะดีษ 414 คนซึ่งเขาเป็นผู้รายงาน ด้วยความรู้นี้ เขากลายเป็นผู้นำด้านหะดีษ โดยทิ้งสารานุกรมหะดีษขนาดใหญ่ชื่อ มุสนัด อะฮ์หมัด อิบน์ ฮัมบัล หลังจากเดินทางหลายปี เขากลับมาที่กรุงแบกแดดเพื่อศึกษากฎหมายอิสลามกับอัชชาฟิอี[ต้องการอ้างอิง] [ จำเป็นต้องอ้างอิง ]
อะฮ์หมัดกลายเป็นมุฟตีย์ในวัยชรา และก่อตั้งมัซฮับฮัมบะลี หรือสำนักสอนนิติศาสตร์อิสลาม ซึ่งปัจจุบันมีอำนาจมากที่สุดในซาอูดิอาระเบีย กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์[ต้องการอ้างอิง] [ ต้องการอ้างอิง ] ไม่เหมือนกับอีกสามสำนักของนิติศาสตร์อิสลาม (ฮะนะฟี, มาลิกี และ ชาฟิอี) มัซฮับฮัมบะลี ยังคงเป็นนักอนุรักษนิยมหรืออะษะรีย์ ในเทววิทยาเป็นส่วนใหญ่
นอกจากกิจการด้านวิชาการแล้ว อิบน์ ฮัมบัลยังเป็นทหารที่ชายแดนอิสลาม (ริบาต) และทำฮัจญ์ถึง 5 ครั้งในชีวิตของเขา โดยเดินเท้า 2 ครั้ง[19]
ความตาย
[แก้]อิบน์ ฮัมบัล เสียชีวิตเมื่อวันศุกร์ที่ 12 เราะบีอุลเอาวัล ฮ.ศ. 241/ 2 สิงหาคม ค.ศ. 855 ขณะอายุ 74–75 ปีในกรุงแบกแดด, ประเทศอิรัก นักประวัติศาสตร์เล่าว่าการละหมาดญะนาซะฮฺของเขามีผู้ชาย 800,000 คนและผู้หญิง 60,000 คนเข้าร่วม และมีคริสเตียนและยิว 20,000 คนเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามในวันนั้น กุโบร์ (หลุมฝังศพ) ของเขาตั้งอยู่ในสถานที่ของมะกอม อะฮ์หมัด บิน ฮัมบัล ในอัรรุศอฟะฮ์[20][21][22][23]
อัลมิห์นะฮ์
[แก้]เป็นที่ทราบกันดีว่าอิบน์ ฮัมบัลถูกเรียกตัวก่อนการไต่สวนหรือมิห์นะฮ์ของเคาะลีฟะฮ์แห่งอับบาซียะฮ์คือ อัลมะอ์มูน อัลมะอ์มูน ต้องการยืนยันอำนาจทางศาสนาของเคาะลีฟะฮ์ โดยกดดันให้บรรดานักวิชาการยอมรับมุมมองของมุอ์ตะซิละฮ์ ว่าอัลกุรอานถูกสร้างขึ้นมากกว่าไม่ได้สร้างขึ้น ตามประเพณีของซุนนะฮ์ อิบน์ ฮัมบัลเป็นหนึ่งในนักวิชาการที่ต่อต้านการแทรกแซงของเคาะลีฟะฮ์และหลักคำสอนของมุอ์ตะซิละฮ์ที่ว่าอัลกุรอานเป็นมัคลูก (สิ่งถูกสร้าง) จุดยืนของอิบน์ ฮัมบัล ต่อต้านการสืบสวนของมุอ์ตะซิละฮ์ (ซึ่งเคยเป็นผู้มีอำนาจปกครองในขณะนั้น) ทำให้มัซฮับฮัมบะลี สถาปนาตนเองอย่างมั่นคงว่าไม่เพียงแต่เป็นสำนักของฟิกฮ์ (นิติศาสตร์) เท่านั้น แต่ยังเป็นอะษะรีย์ด้วย[24]
เนื่องจากเขาปฏิเสธที่จะยอมรับอำนาจของมุอ์ตะซิละฮ์ อิบน์ ฮัมบัลจึงถูกคุมขังในกรุงแบกแดดตลอดรัชสมัยของอัลมะอ์มูน ในเหตุการณ์ระหว่างการปกครองของผู้สืบทอดอำนาจของอัลมะอ์มูนคือ อัลมุอ์ตะศิม อิบน์ ฮัมบัลถูกเฆี่ยนจนหมดสติ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ทำให้เกิดกลียุคในกรุงแบกแดด และอัลมุอ์ตะศิมถูกบังคับให้ปล่อยตัวอิบน์ ฮัมบัล[25][ลิงก์เสีย] หลังจากการเสียชีวิตของอัลมุอ์ตะศิม แล้วอัลวาษิก กลายเป็นเคาะลีฟะฮ์และสานต่อนโยบายของบรรพบุรุษของเขาในการบังคับใชมุอ์ตะซิละฮ์ และในการติดตามครั้งนี้ เขาได้เนรเทศอิบน์ ฮัมบัล จากแบกแดด หลังจากการเสียชีวิตของอัลวาษิก และการขึ้นครองบัลลังก์ของพี่ชายของเขาคือ อัลมุตะวักกิล ซึ่งเป็นมิตรกับความเชื่อดั้งเดิมของซุนนะฮ์ มากกว่า อิหม่ามอิบน์ ฮัมบัลได้รับการต้อนรับกลับสู่แบกแดด[ต้องการอ้างอิง]
มุมมองทางประวัติศาสตร์
[แก้]อิบน์ ฮัมบัล ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางจากผลงานของเขาทั้งในด้านรายงานของหะดีษ, หลักฟิกฮ์ และการปกป้องอะกีดะฮ์ซุนนะฮ์ดั้งเดิมของเขา อับดุลกอดิร ญัยลานี กล่าวว่าชาวมุสลิมไม่สามารถเป็นวะลีของอัลลอฮ์ ได้อย่างแท้จริง เว้นแต่ว่าพวกเขาจะอยู่ในลัทธิของอิบน์ ฮัมบัล; แม้จะได้รับคำชมจากคนรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ยะห์ยา อิบน์ มะอีน สังเกตว่าอิบัน ฮันบัลไม่เคยโอ้อวดเกี่ยวกับความสำเร็จของเขา[26]
นิติศาสตร์
[แก้]มีบางมุมมองที่ถูกกล่าวหาว่ามุมมองเชิงนิติศาสตร์ของเขาไม่เป็นที่ยอมรับเสมอไป นักตัฟซีรอัลกุรอานคือ มุฮัมมัด อิบน์ ญะรีร อัฏเฏาะบะรี ซึ่งครั้งหนึ่งเคยพยายามศึกษาภายใต้การนำของอิบน์ ฮัมบัล ภายหลังกล่าวว่าเขาไม่ได้ถือว่าอิบน์ ฮัมบัล เป็นนักนิติศาสตร์ และไม่ได้ให้ความเห็นของเขาในสาขานี้ โดยอธิบายว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในหะดีษเท่านั้น[27] อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ต้องดูในบริบทของเวลา เนื่องจากมัซฮับของอิบน์ ฮัมบัล ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและยังไม่ค่อยมีคนติดตามมากนักเมื่อเทียบกับมัซฮับอื่นๆ และนักเรียนก็มีความขัดแย้งกับมัซฮับของอัฏเฏาะบะรีย์[28]
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ยอมรับในความกล้าหาญของอิบน์ ฮัมบัล ในฐานะนักนิติศาสตร์ระดับปรมาจารย์ที่คู่ควรกับผู้ที่ระเบียบวิธีวิทยากลายเป็นรากฐานสำหรับสำนักวิชานิติศาสตร์ของตนเอง อิหม่ามชาฟิอีกล่าวท่ามกลางคำสรรเสริญอื่นๆ อีกมากมายว่า "อะฮ์หมัดเป็นอิหม่ามในแปดสาขา: เขาเป็นอิหม่ามใน หะดีษ, ฟิกฮ์, อัลกุรอาน, อัลลุเฆาะฮ์, อัสซุนนะฮ์, อัซซุฮ์ด, อัวะร็อก, และ อัลฟักร์"[29] อัซซะฮะบี หนึ่งในนักเขียนชีวประวัติอิสลามที่สำคัญที่สุด บันทึกในผลงานชิ้นเอกของเขาคือ ซิยาร อะอ์ลาม อันนนุบะลาอ์ ว่าสถานะของอิบน์ ฮันบัลในทางหะดีษนั้นเหมือนกันกับ อัลลัยษ์ อิบน์ ซะอ์ด, มาลิก อิบน์ อะนัส, อัชชาฟิอี และอะบูยูซุฟ[30]
หะดีษ
[แก้]มีรายงานว่า อิบน์ ฮัมบัล ได้รับตำแหน่ง อัลฮาฟิซแห่งหะดีษ ตามการจัดหมวดหมู่ของญะมาลุดดีน อัลมิซซี ได้รับการอนุมัติว่า อิบน์ ฮัมบัล ได้จดจำหะดีษอย่างน้อย 750,000 รายการในช่วงชีวิตของเขา มากกว่า มุฮัมมัด อัลบุคอรี และ มุสลิม อิบน์ อัลฮัจญาจญ์ ซึ่งแต่ละคนจดจำหะดีษได้ 300,000 ครั้ง และ อะบูดาวูด อัสซิญิสตานี ซึ่งจดจำหะดีษได้ 500,000 ครั้ง[31] อะบูซุรอะฮ์ กล่าวว่า อิบน์ ฮัมบัล ได้จดจำหะดีษ 1,000,000 หะดีษ 700,000 ในหะดีษเกี่ยวข้องกับหลักนิติศาสตร์[29]
ในขณะที่ตามการจัดประเภทจากหะดีษมัรฟูอ์ของอิบน์ อับบาส ซึ่งบันทึกโดย อัฏเฏาะบะรอนี อิบน์ ฮัมบัลได้เลื่อนขั้นเป็น อะมีรุลมุอ์มินูน ฟิลหะดีษ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีนักวิชาการหะดีษเพียงไม่กี่คนเท่านั้นในประวัติศาสตร์เช่น มาลิก อิบน์ อะนัส, ยะฮ์ยา อิบน์ มะอีน, ฮัมมาด อิบน์ ซะลามะฮ์, อิบน์ อัลมุบาร็อก และ อัสซุยูฏี[32]อย่างไรก็ตาม มุสนัดของอิบน์ ฮัมบัล ไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มกุตุบุสซิตตะฮ์ ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ของหะดีษหกกลุ่ม
ดูเพิ่ม
[แก้]ผลงาน
[แก้]หนังสือต่อไปนี้พบได้ในอัลฟิฮ์ริสต์ของอิบน์ อัลนะดีม:
- อุศูลุสซุนนะฮ์: "รากฐานของซุนนะฮ์นะบี (เกี่ยวกับหลักศรัทธา)"
- อัสซุนนะฮ์: "ซุนนะฮ์นะบี (เกี่ยวกับหลักศรัทธา)"
- กิตาบุลอิลัล วะมะอ์ริฟะตุรเราะญาล: "หนังสือบรรยายที่มีข้อบกพร่องที่ซ่อนอยู่และความรู้ของมนุษย์ (เกี่ยวกับหะดีษ)"
- กิตาบุลมะนาซิก: "หนังสือเกี่ยวกับพิธีกรรมฮัจญ์"
- กิตาบุซซุฮ์ด: "หนังสือแห่งการสมถะ"
- กิตาบุลอีมาน: "หนังสือหลักศรัทธา"
- กิตาบุลมะซาอิล: "ปัญหาเกี่ยวกับฟิกฮ์"
- กิตาบุลอัชริบะฮ์: "หนังสือแห่งการดื่ม"
- กิตาบุลฟะฎออิล อัศเศาะฮาบะฮ์: "คุณธรรมของเศาะฮาบะฮ์"
- กิตาบุฏฏออะฮ์ อัรเราะซูล: "หนังสือแห่งการเชื่อฟังเราะซูล"
- กิตาบุลมันซูค: "คัมภีร์แห่งการละทิ้ง"
- กิตาบุลฟะรออิด: "หนังสือแห่งหน้าที่บังคับ"
- กิตาบุรร็อดดุ อะลัลซะนะดิเกาะฮ์ วัลญะฮ์มียะฮ์: "การปฏิเสธของพวกนอกรีตและชาวญะฮ์มี"
- ตัฟซีร: "อรรถกถา"
- มุสนัด อะฮ์หมัด อิบน์ ฮัมบัล
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 "مناهج أئمة الجرح والتعديل". Ibnamin.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-01-07. สืบค้นเมื่อ 2010-03-21.
- ↑ 2.0 2.1 Roy Jackson, "Fifty key figures in Islam", Taylor & Francis, 2006. p 44: "Abu Abdallah Ahmad ibn Muhammad ibn Hanbal ibn Hilal al-Shaybani was born in Baghdad in Iraq in 780"
- ↑ The History of Persia by John Malcolm – Page 245
- ↑ 4.0 4.1 4.2 A Literary History of Persia from the Earliest Times Until Firdawsh by Edward Granville Browne – Page 295
- ↑ Abū ʿAbdillāh Aḥmad ibn Muḥammad ibn Ḥanbal al-Thuhli (อาหรับ: أَبُو عَبْدِ ٱلله أَحْمَد بْن مُحَمَّد بْن حَنْبَل الذهلي)
- ↑ H. Laoust, "Ahmad b. Hanbal," in Encyclopedia of Islam, Vol. I, pp. 272-7
- ↑ H. Laoust, "Ahmad b. Hanbal," in Encyclopedia of Islam, Vol. I, pp. 272-7
- ↑ Mohammed M. I. Ghaly, "Writings on Disability in Islam: The 16th Century Polemic on Ibn Fahd's "al-Nukat al-Ziraf"," The Arab Studies Journal, Vol. 13/14, No. 2/1 (Fall 2005/Spring 2006), p. 26, note 98
- ↑ Holtzman, Livnat, “Aḥmad b. Ḥanbal”, in: Encyclopaedia of Islam, THREE, Edited by: Kate Fleet, Gudrun Krämer, Denis Matringe, John Nawas, Everett Rowson.
- ↑ 1st ed., Cairo 1311; new edition by Aḥmad S̲h̲ākir in publ. since 1368/1948
- ↑ H. Laoust, "Ahmad b. Hanbal," in Encyclopedia of Islam, Vol. I, pp. 272-7
- ↑ Manāḳib, pp. 33-6; Tard̲j̲ama, pp. 13-24
- ↑ H. Laoust, "Ahmad b. Hanbal," in Encyclopedia of Islam, Vol. I, pp. 272-7
- ↑ Gibril F. Haddad, The Four Imams and Their Schools (London: Muslim Academic Trust, 2007), p. 301
- ↑ Michael Cook, “On the Origins of Wahhābism,” Journal of the Royal Asiatic Society, Third Series, Vol. 2, No. 2 (Jul., 1992), p. 198
- ↑ Bearman, Bianquis, Bosworth, van Donzel, Heinrichs, P. , Th. , C.E. , E. , W.P. (1960). "Aḥmad b. Ḥanbal". ใน Laoust, Henri (บ.ก.). Encyclopaedia of Islam, Second Edition. Brill. ISBN 9789004161214. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-11-05. สืบค้นเมื่อ 2021-11-05.
Founder of one of the four major Sunnī schools, the Ḥanbalī, he was, through his disciple Ibn Taymiyya [q.v.], the distant progenitor of Wahhābism, and has inspired also in a certain degree the conservative reform movement of the Salafiyya.
{{cite book}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ H. A. R. Gibb; และคณะ, บ.ก. (1986). "Aḥmad B. Ḥanbal". Encyclopaedia of Islam. A-B. Vol. 1 (New ed.). Brill Academic Publishers. p. 272. ISBN 90-04-08114-3.
Aḥmad B. Ḥanbal was an Arab, belonging to the Banū Shaybān, of Rabī’a,...
- ↑ Foundations of the Sunnah, by Ahmad ibn Hanbal, pg 51-173
- ↑ "Imaam Ahmad ibn Hanbal". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 16, 2007.
- ↑ Adamec, Ludwig W. (2009), Historical Dictionary of Islam, Scarecrow Press, pp. 136–137, ISBN 978-0-8108-6161-9
- ↑ "من مراقد بغداد واضرحتها - ملاحق جريدة المدى اليومية" (ภาษาอาหรับ). Al-Mada Supplements. 2012-12-02. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-09-20.
- ↑ دليل الجوامع والمساجد التراثية والأثرية (ภาษาอาหรับ), Sunni Endowment Office, p. 69
- ↑ الدليل السياحي للأضرحة والمراقد في العراق (ภาษาอาหรับ), Sunni Endowment Office, Department of General Sunni Shrines, p. 13
- ↑ Williams, W. Wesley (2008). Tajalli Wa-Ru'ya: A Study of Anthropomorphic Theophany and Visio Dei in the Hebrew Bible, the Qur'an and early Sunni Islam. p. 229. ISBN 978-0549816881.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "Imaam Ahmad ibn Hanbal". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 16, 2007.
- ↑ Foundations of the Sunnah, by Ahmad ibn Hanbal, pg 51-173
- ↑ [./Yaqut_al-Hamawi Yaqut al-Hamawi], Irshad, vol. 18, pg. 57-58.
- ↑ Abu Zayd, Bakr. Al-Madkhal Al-Mufassal. pp. 1/366.
- ↑ 29.0 29.1 Ibn Abī Yaʻlá, Abū al-Ḥusayn Muḥammad ibn Muḥammad. Tabaqat al-Hanabilah. Beirut, Lebanon: Dar al-Ma'rifah. pp. 1/14.
- ↑ al-Dhahabī, Shams ad-Dīn Abū ʿAbdillāh Muḥammad ibn Aḥmad ibn ʿUthmān. Siyar a'lam al-nubala (ภาษาอาหรับ). pp. 21/379.
- ↑ Ibn Abī Yaʻlá, Abū al-Ḥusayn Muḥammad ibn Muḥammad. Tabaqat al-Hanabilah. Beirut, Lebanon: Dar al-Ma'rifah. pp. 1/14.
- ↑ Nahrawi Abdus Salam Al-Indunisi, Ahmad (2008). Ahmad Nahrawi, Amirah (บ.ก.). Ensiklopedia Imam Syafi'i (Dr.) (ภาษาอินโดนีเซีย). แปลโดย Usman Sya'roni. Koja, North Jakarta, Indonesia: Jakarta Islamic Centre. p. 697. ISBN 9789791142199. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 July 2022. สืบค้นเมื่อ 17 December 2021.