วัดมงคลชัยพัฒนา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วัดมงคลชัยพัฒนา
แผนที่
ที่ตั้งเลขที่ 45 หมู่ที่ 5 ตำบลห้วยบง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี
ประเภทพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ
นิกายเถรวาท มหานิกาย
พระประธานพระพุทธนิโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ จำลอง
เจ้าอาวาสพระราชวชิรมงคลวิสิฐ (อาทิตย์ สิริวฑฺฒโน)
พระพุทธศาสนา ส่วนหนึ่งของสารานุกรมพระพุทธศาสนา

วัดมงคลชัยพัฒนา เป็นพระอารามหลวง ชั้นตรีชนิดสามัญ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่ 45 หมู่ที่ 5 ตำบลห้วยบง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี โดยได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2475 และครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2528 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ยกขึ้นเป็นพระอารามหลวง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2565 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ยก วัดมงคลชัยพัฒนา เป็น พระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิดสามัญ [1] นับเป็นพระอารามหลวงแห่งแรกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

ประวัติ[แก้]

วัดมงคลชัยพัฒนา เดิมชื่อ วัดมงคล สร้างขึ้นมาแต่ปลายรัชกาลที่ 4 นับแต่สร้างเป็นวัดแล้ว ชาวบ้าน ชาววัด ได้ร่วมมือกันทะนุบำรุงวัดมงคลชัยพัฒนาด้วยดีตลอดมา จนเมื่อ พ.ศ. 2524 วัดมงคลชัยพัฒนา ได้สร้างพระอุโบสถใหม่ขึ้นแทนหลังเดิมที่ทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา เมื่อได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาครั้งที่สองแล้ว วัดมงคลชัยพัฒนา ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จมาทรงตัดหวายลูกนิมิตในพระอุโบสถ ในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2533

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ได้พระราชทานแนวพระราชดำริ "บ้าน วัด โรงเรียน" หรือ "บวร" เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2524 ให้แก่ส่วนราชการ และภาครัฐต่าง ๆ นำไปแก้ไขปัญหาสังคมในปัจจุบัน และในอนาคต ให้เกิดความสุขสงบตลอดไป อีกทั้งยังถือว่าเป็นแนวทางในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้วัดเป็นศูนย์รวมจิตใจ และศรัทธาในการประสานงานพัฒนา ทั้งทางด้านวัตถุ และจิตใจ พร้อมกับเป็นสถานที่ให้ความรู้ อบรม แลกเปลี่ยนทางวิทยาการด้านเกษตรกรรม เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพียบพร้อมด้วยความขยัน และชื่อสัตย์ มีความจงรักภักตีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จึงมีพระราชดำรัสให้จัดตั้ง "โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณวัดมงคลชัยพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดำริ" ขึ้น ณ บริเวณวัดมงคลชัยพัฒนา จังหวัดสระบุรี[2]

ดังนั้นการพัฒนาอาชีพด้านเกษตรกรรม จึงได้กำเนิดขึ้น ณ สถานที่บริเวณวัดมงคลชัยพัฒนา ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช ทรงมีจินตนาการเกี่ยวกับการพัฒนาวัด และสภาพที่ดินทำกินที่แห้งแล้ง ราษฎรมีฐานะยากจน ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตร ต่อจากนั้นทรงพบว่ามีวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี ที่มีความยากจนดั่งที่ทรงจินตนาการไว้ จึงมีพระราชดำริเมื่อปี พ.ศ. 2531 ให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิชัยพัฒนาไปจัดหา และซื้อที่ดินติดกับวัดมงคลชัยพัฒนา ตำบลห้วยบง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี เพื่อดำเนินการพัฒนาด้านการเกษตรตามแนว "ทฤษฎีใหม่" ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ รัชกาลที่ 9 พระราชทานให้แก่เกษตรกรในการทดลองทำเป็นตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม เป็นแห่งแรกของประเทศไทย ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานนามจากวัดมงคล เป็น วัดมงคลชัยพัฒนา เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2534 ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส กับนายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา นับจากนั้นมาถึงปัจจุบัน

เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2536 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการดำเนินงาน "โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณวัดมงคลชัยพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดำริ" ได้บำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ พระอุโบสถวัดมงคลชัยพัฒนา และได้พระราชทานพระบรมรูปหล่อโลหะสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีลักษณะเต็มพระองค์ ประทับนั่งบัลลังก์ แก่ พระศรีญาณวงศ์ เจ้าอาวาสวัดมงคลชัยพัฒนาในขณะนั้นเก็บรักษาไว้[3]

จากนั้นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงมีแนวพระราชดำริในการพัฒนาเด็กเล็ก ให้มีความพร้อมทุกด้านในการศึกษาสำหรับอนาคต "ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสิรินธร วัดมงคลชัยพัฒนา" จึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจัดตั้งขึ้น โดยได้รับพระราชทานพระนามาภิไธย "สิรินธร" เป็นชื่อของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก นับเป็นมงคลนามสูงสุดอีกด้วย พร้อมทั้งพระองค์ยังได้เสด็จมาเปิดการดำเนินการในวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2538 และได้ดำเนินการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

และในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2563 สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ ไปทอดพระเนตรการดำเนินงาน “โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณวัดมงคลชัยพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” จังหวัดสระบุรี

วัดมงคลชัยพัฒนาได้ทำการก่อสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ ตามที่ปรากฎในปัจจุบัน คือ[แก้]

พ.ศ. 2537 นายวิสุทธิ์ นางสมจิตร อัศววัลลภ ได้สร้างกุฏิเจ้าอาวาส น้อมถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช และมูลนิธิชัยพัฒนาได้ก่อสร้างอาคารเอนกประสงค์ "มูลนิธิชัยพัฒนา" ถวายวัดมงคลชัยพัฒนาไว้ ซึ่งใช้เป็นประโยชน์มากมาย ทั้งทางวัดเอง ชาวบ้าน ประชาชนโดยทั่วไป โรงเรียน และส่วนราชการ เช่น ใช้เป็นที่อบรมปฏิบัติธรรม ปฏิบัติศาสนกิจ บำเพ็ญกุศล ประชุม สัมมนา จัดนิทรรศการ และเป็นที่ทำการของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสิรินธร วัดมงคลชัยพัฒนา หรือแม้กระทั่งให้ทางราชการใช้เป็นที่ทำการชั่วคราว ของที่ว่าการอำเภอเฉลิมพระเกียรติ เมื่อครั้งที่ตั้งขึ้นเป็นอำเภอใหม่ และยังไม่มีที่ว่าการอำเภอ ในปี พ.ศ. 2539

พ.ศ. 2539 นายวิชิต นางวัชรี ดุรงคพิทยา ได้สร้างอาคารเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช ซึ่งอาคารหลังนี้ได้ใช้ประโยชน์มากมาย โดยใช้เป็นที่พักของพระภิกษุ สามเณรได้เป็นจำนวนมาก ใช้เป็นที่บำเพ็ญกุศล ปฏิบัติธรรม รักษาศีลของอุบาสก อุบาสิกา ใช้เป็นที่ประชุม สัมมนา ตลอดจนเป็นที่ตั้งของห้องสมุด "พระศรีญาณวงศ์" อีกด้วย

ซึ่งจะเห็นได้ว่า การก่อสร้างถาวรวัตถุภายในวัดมงคลชัยพัฒนา เป็นประโยชน์สูงสุดต่อหลายฝ่าย สมดังพระราชประสงค์ตามกระแสพระราชดำริเรื่อง "บวร" โดยให้วัดเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ทั้งทางด้านจิตใจ ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรมนุษย์ พัฒนาอาชีพทางด้านเกษตรกรรม และพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยการร่วมมือกับทางราชการ นอกจากนี้วัดมงคลชัยพัฒนายังมีประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในหลาย ๆ เหตุการณ์ ดังกล่าวมาแล้ว

อาณาเขตติดต่อ[แก้]

ทิศเหนือ : ติดต่อกับที่ดินของนางจันทร์ โล่เงิน และทางสาธารณะ

ทิศใต้ : ติดต่อกับเขตที่ดินของนางศรีวภา แม้นบุตร

ทิศตะวันออก : ติดต่อที่ดินของนายเนย สาบุตร และทางสาธารณะ

ทิศตะวันออก : ติดต่อกับเขตที่ดินของนายสมจิตร ท้าวครุฑ และเขตที่ดินแปลงทฤษฎีใหม่พระราชทาน

ปูชนียวัตถุที่สำคัญ[แก้]

พระประธานในพระอุโบสถ[แก้]

เป็นพระพุทธชินราช จำลอง ปางมารวิชัย ได้ทำการสร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างอุโบสถหลังใหม่

พระพุทธนิโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ จำลอง[แก้]

เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ได้ทำการสร้างพร้อมกับการสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ มีประวัติความเป็นมาคือ องค์จริงประดิษฐานที่วัดศาลาแดง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปพระราชทานคู่เมืองสระบุรี เป็นพระพุทธรูปหนึ่งในสี่องค์ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช โปรดเกล้า ฯ พระราชทาน ให้แก่ชาวสระบุรี เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2511 ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เพื่อเป็นพระพุทธรูปประจำทิศตะวันออก โดยพระราชทานแก่จังหวัดต่าง ๆ ทั้งสี่ทิศ ได้แก่ ทิศเหนือ ที่จังหวัดลำปาง ทิศใต้ ที่จังหวัดพัทลุง ทิศตะวันตก ที่จังหวัดราชบุรี และทิศตะวันออก ที่จังหวัดสระบุรี ซึ่งในเวลาต่อมามูลนิธิชัยพัฒนาร่วมกับวัดมงคลชัยพัฒนา ได้ขอพระบรมราชานุญาตจัดสร้างพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ จำลอง เท่าองค์จริง ขนาดหน้าตัก 49 นิ้ว จำนวน 3 องค์ หน้าตัก 29 นิ้ว จำนวน 2 องค์ เพื่อหาทุนสมทบทุนมูลนิธิชัยพัฒนา

พระบรมรูปหล่อโลหะสมเด็จพระนเรศวรมหาราช[แก้]

มีประวัติความเป็นมาคือ เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2536 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการดำเนินงาน "โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณวัดมงคลชัยพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดำริ" และได้บำเพ็ญพระราชกุศล ถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ พระอุโบสถวัดมงคลชัยพัฒนา และได้พระราชทานพระบรมรูปหล่อโลหะสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีลักษณะเต็มพระองค์ประทับนั่งบัลลังก์ แก่ พระศรีญาณวงศ์ เจ้าอาวาสวัดมงคลชัยพัฒนาในขณะนั้นเก็บรักษาไว้ และมีพระราชกระแสรับสั่งว่า

"วันนี้ได้นำพระบุญญาธิการของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไว้ที่นี้ เพื่อความเป็นสิริมงคล และความเจริญรุ่งเรืองของสถานที่นี้"

นับเป็นนิมิตหมายอันดี แสดงถึงวีรกรรมที่กล้าหาญของบรรพบุรุษชาติ ที่มีพระมหากษัตริย์นักรบที่ทรงพระปรีชาสามารถยิ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย ได้ทรงต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรค เพื่อปกป้องประเทศชาติให้พ้นภัยจากข้าศึก เฉกเช่นเดียวกับ "ชัยชนะแห่งการพัฒนา" อันเป็นความหมายของมูลนิธิชัยพัฒนา ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช ได้พระราชทานขึ้นเพื่อช่วยเหลือประชาชน ให้มีความร่มเย็นเป็นสุข และอยู่ดีกินดี อันจะนำไปสู่ความมั่นคงของประเทศ สมดังที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช ทรงพยายามต่อสู้ และคิดค้นหาแนวทางแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากให้แก่ราษฎรของพระองค์ เพียงเพื่อต้องการให้พวกเขาเหล่านั้นมีความสุข มีความพออยู่พอกิน อันยั่งยืนตลอดมา

ลำดับเจ้าอาวาส[แก้]

ลำดับเจ้าอาวาส เท่าที่พอบันทึกไว้ มี 13 รูป ตามลำดับ ดังนี้[4]

ลำดับ รายนาม ปีที่ดำรงตำแหน่ง
1 พระจอน ไม่ทราบปี
2 พระมหาสุวรรณ ไม่ทราบปี
3 พระอ๋อง ไม่ทราบปี
4 พระปลิว ไม่ทราบปี
5 พระเหลิม ไม่ทราบปี
6 พระอ่อน ไม่ทราบปี
7 พระอธิการบุญมี ไม่ทราบปี
8 พระอ่อน กาญจโน ไม่ทราบปี
9 พระกาลืม ไม่ทราบปี
10 พระทองคำ ไม่ทราบปี
11 พระอธิการสมพร ไม่ทราบปี
12 พระศรีญาณวงศ์ (จำลอง ธมฺมโชติ) พ.ศ. 2534 - 2551
13 พระราชวชิรมงคลวิสิฐ (อาทิตย์ สิริวฑฺฒโน) พ.ศ. 2551 - ปัจจุบัน

อ้างอิง[แก้]