ระเบิดสุญญากาศ

อาวุธเทอร์โมบาริก, ระเบิดสุญญากาศ หรือ ระเบิดละอองลอย (อังกฤษ: thermobaric weapon, vacuum bomb หรือ aerosol bomb) เป็นอาวุธระเบิดที่มีผลจากการจุดระเบิดของเชื้อเพลิงที่กระจายตัวเป็นละอองลอยซึ่งไม่อาศัยตัวออกซิไดซ์แบบระเบิดควบแน่นทั่วไป โดยจะดูดออกซิเจนจากบรรยากาศรอบข้างเพื่อสร้างการระเบิดที่อุณหภูมิสูง ทำให้สามารถแผ่คลื่นอัดอากาศที่เกิดขึ้นในปริมาตรมหาศาลและมีความรุนแรงอย่างมาก ออกไปในวงกว้างโดยรอบ[1]
อาวุธนี้ได้รับการพัฒนาในปี 1960 ในสหรัฐอเมริกาและขณะเดียวกันในสหภาพโซเวียต แต่กองทัพอากาศเยอรมันได้ทำการทดสอบครั้งแรกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ตามพิธีสารฉบับที่ 3: ควบคุมการใช้อาวุธเพลิง (Protocol on Prohibitions or Restrictions on the Use of Incendiary Weapons หรือ Protocol III: Incendiary Weapons) ของอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้อาวุธตามแบบบางชนิด (CCW; อนุสัญญาเจนีวา[2]) ปี 1980 ระเบิดสุญญากาศเป็นอาวุธต้องห้าม ซึ่งห้ามใช้ในบริเวณใกล้เคียงกับโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนหรือแม้แต่พลเรือน[3]
ศัพทมูลวิทยา
[แก้]คำว่า thermobaric มาจากคำภาษากรีกที่มีความหมายถึง 'ความร้อน' (heat) และ 'แรงอัด' (pressure) คือ thermobarikos (θερμοβαρικός) โดย thermos (θερμός) หมายถึง 'ร้อน' + baros (βάρος) หมายถึง 'น้ำหนัก, แรงดัน หรือ แรงอัด' และต่อท้ายด้วยวิเศษณ์ -ikos (-ικός)
คำศัพท์อื่น ๆ ที่ใช้สำหรับอาวุธกลุ่มนี้ ได้แก่ อาวุธเทอร์โมบาริกแรงกระตุ้นสูง (high-impulse thermobaric weapon), อาวุธความร้อนและแรงดัน (heat and pressure weapon), ระเบิดสุญญากาศ (vacuum bomb), และระเบิดเชื้อเพลิง-อากาศ (fuel-air explosive หรือ FAE)
กลไกการทำงาน
[แก้]ระเบิดสุญญากาศทำงานตรงกันข้ามกับระเบิดควบแน่นทั่วไปซึ่งใช้การเกิดออกซิเดชันในพื้นที่จำกัดเพื่อสร้างแนวคลื่นแรงดันระเบิด (blast front) และกระจายออกมาจากแหล่งกำเนิดเดียว ในขณะที่คลื่นแรงดันระเบิดของเทอร์โมบาริกถูกเร่งให้เกิดเป็นปริมาตรที่มากในระยะประจุระเบิดแรก ซึ่งสร้างแนวคลื่นแรงดันอากาศโดยภายในเป็นส่วนผสมของเชื้อเพลิงและตัวออกซิไดซ์ จากนั้นแนวคลื่นแรงดันอากาศย้อนกลับจากบรรยากาศโดยรอบดูดแก๊สออกซิเจน ซึ่งเป็นการก่อให้เกิดการประจุระเบิดครั้งที่สอง[4]
วัตถุระเบิดเทอร์โมบาริกใช้หลักการพื้นฐานของการระเบิดของไอระเหย (ละอองลอย) ที่เป็นอิสระโดยบังเอิญ ได้แก่ การระเบิดของฝุ่นและละอองของเหลวที่ติดไฟได้[5] ซึ่งในอดีตการระเบิดฝุ่นมักเกิดขึ้นบ่อยในโรงโม่แป้ง ในถังเก็บแป้ง และในเหมืองถ่านหิน ปัจจุบันการระเบิดของไอระเหยที่เป็นอิสระโดยบังเอิญนี้เกิดขึ้นบ่อยในเรือบรรทุกน้ำมันและถังโรงกลั่นที่ว่างเปล่าบางส่วนหรือทั้งหมด เช่น เหตุการณ์ที่ Buncefield ในสหราชอาณาจักรในปี 2003 ซึ่งคลื่นระเบิดได้ยินไปไกลถึง 150 กิโลเมตรจากจุดศูนย์กลางการระเบิด[6]
คลื่นแรงดันที่เกิดจากการลุกไหม้ที่ตามมาภายหลังการจุดระเบิดของระเบิดสุญญากาศอ่อนกว่าคลื่นแรงดันของระเบิดทั่วไปมาก เช่น ทีเอ็นที แต่การยุบตัวของอากาศเกิดขึ้นเกือบพร้อมกันในทรงกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 ถึง 40 เมตร ทำให้ละอองเชื้อเพลิงสามารถเจาะเข้าในระบบถ้ำ บังเกอร์ ฯลฯ ได้ ซึ่งทำให้อาวุธเหล่านี้มีประสิทธิภาพต่อเป้าหมายที่ตายตัว ซึ่งอุปกรณ์ระเบิดแบบธรรมดาจะมีประสิทธิภาพเพียงบางส่วนเท่านั้นเนื่องจากขาดแรงกด นอกจากนี้ผลของแรงดันอากาศของระเบิดสุญญากาศจะคงอยู่นานกว่าการระเบิดทั่วไป และระเบิดสุญญากาศยังมีผลด้านความร้อนที่แรงกว่าระเบิดทั่วไป ทำให้ระเบิดนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในกาสังหารคนหรือทำลายยานเกราะ
ผลจากการยุบตัวของอากาศจาก "เอฟเฟกต์สูญญากาศ" เกิดขึ้นหลังจากคลื่นแรงดัน เช่นเดียวกับกรณีของอุปกรณ์ระเบิดเคมีและนิวเคลียร์แบบธรรมดา เอฟเฟกต์นี้เป็นที่มาของชื่ออาวุธ อย่างไรก็ตามเนื่องจากลูกไฟที่ค่อนข้างใหญ่ เอฟเฟกต์การดูดอากาศนั้นมีพลังมากกว่าเมื่อเทียบกับประจุระเบิดทั่วไปที่มีกำลังเท่ากัน ซึ่งแม้ไม่ใช่สุญญากาศในความหมายที่แท้จริง แต่เป็นช่วงของแรงกดดันย้อนกลับ (แรงดันลบ) โดยการระเบิดจะดึงออกซิเจนออกจากอากาศรอบข้างเนื่องจากอุปกรณ์ระเบิดเองไม่มีตัวออกซิไดซ์ของตัว แต่ใช้ออกซิเจนในอากาศแทน การสร้างก๊าซปฏิกิริยามากกว่าหนึ่งหน่วยต่อการใช้ออกซิเจนหนึ่งหน่วย
ภาวะขาดอากาศซึ่งเหยื่อระเบิดได้รับผลจากการระเบิดสุญญากาศ โดยแท้จริงแล้วไม่ใช่การขาดออกซิเจนโดยตรง แต่เป็นอาการบาดเจ็บที่ปอดซึ่งเรียกว่า barotrauma ช่วงระยะของแรงดันลบภายในขอบเขตของการระเบิดทำให้อากาศในปอดขยายตัว ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหาย
ลักษณะเฉพาะของระเบิดสุญญากาศคือ สามารถคงคลื่นแรงดันได้ค่อนข้างยาวและค่อนข้างแบน รวมทั้งยังสามารถสังเกตขอบเขตของแรงดันระเบิดได้อย่างชัดเจน (คล้ายฟองขนาดใหญ่)
ประสิทธิผลของระเบิดสุญญากาศขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการร่วมกัน เช่น การกระจายเชื้อเพลิงได้ดีเพียงใด การผสมเข้ากับบรรยากาศโดยรอบได้เร็วเพียงใด การจุดระเบิดและตำแหน่งของเพลิงที่สัมพันธ์กับภาชนะบรรจุเชื้อเพลิง ในระเบิดสุญญากาศบางแบบ ภาชนะบรรจุระเบิดที่แข็งแรงทำให้แรงดันระเบิดสามารถกักเก็บได้นานพอที่เชื้อเพลิงจะได้รับความร้อนสูงกว่าอุณหภูมิที่จุดติดไฟเองได้ ดังนั้นเมื่อภาชนะระเบิด เชื้อเพลิงที่ร้อนยิ่งยวดจะจุดไฟโดยอัตโนมัติเมื่อสัมผัสกับออกซิเจนในบรรยากาศ[7] ขีดจำกัดบนและล่างของการติดไฟแบบธรรมดามีผลกับอาวุธดังกล่าว การระเบิดในระยะใกล้ การระเบิดจากประจุที่กระจายตัว การอัดและทำให้บรรยากาศโดยรอบร้อนมีอิทธิพลต่อขีดจำกัดล่าง ขีดจำกัดบนได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีอิทธิพลต่อการจุดไฟของหมอกเหนือแอ่งน้ำมันอย่างแรง[8] จุดอ่อนนั้นอาจถูกกำจัดโดยการออกแบบที่อุ่นเชื้อเพลิงให้สูงกว่าอุณหภูมิจุดติดไฟ เพื่อให้การระบายความร้อนระหว่างการกระจายยังคงส่งผลให้มีความล่าช้าในการจุดระเบิดน้อยที่สุดเมื่อผสม การเผาไหม้อย่างต่อเนื่องของชั้นนอกของโมเลกุลเชื้อเพลิง เมื่อมันสัมผัสกับอากาศ จะทำให้เกิดความร้อนเพิ่มเติมซึ่งจะรักษาอุณหภูมิภายในของลูกไฟ และด้วยเหตุนี้จึงคงการลุกไหม้ไว้ได้[9]
ในที่ปิด จะเกิดชุดคลื่นแรงดันกระแทกสะท้อน[10][11] ซึ่งคงสภาพลูกไฟและสามารถขยายระยะเป็นระหว่าง 10 ถึง 50 เมตร เมื่อเกิดปฏิกิริยาการรวมตัวแบบคายความร้อน[12] ความเสียหายเพิ่มเติมอาจส่งผลให้ก๊าซเย็นลงและความดันลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งนำไปสู่สุญญากาศบางส่วน เอฟเฟกต์สุญญากาศที่เกิดได้ยากนี้ทำให้เกิด "ระเบิดสูญญากาศ" ซึ่งเป็นที่มาของการเรียกชื่อผิด การเผาไหม้ภายหลังแบบลูกสูบเชื่อกันว่าเกิดขึ้นในโครงสร้างดังกล่าวเนื่องจากเปลวไฟจะเร่งความเร็วผ่านเข้าไป[13]
ระเบิดเชื้อเพลิง-อากาศ
[แก้]อุปกรณ์ระเบิดเชื้อเพลิง-อากาศ (fuel-air explosive; FAE) ประกอบด้วยถังเชื้อเพลิงและประจุระเบิดแยกกันสองก้อน หลังจากที่ทิ้งหรือยิงอาวุธ ประจุระเบิดครั้งแรกจะระเบิดเปิดภาชนะที่ความสูงที่กำหนดไว้และกระจายเชื้อเพลิง (และอาจแตกตัวเป็นไอออน ขึ้นอยู่กับว่ามีการใช้ภาชนะเก็บประจุควอตซ์แบบหลอมรวมหรือไม่) เป็นกลุ่มหมอกที่ผสมกับออกซิเจนในบรรยากาศ (ขนาดของกลุ่มหมอกจะแปรผันตามขนาดของอาวุธ) กลุ่มหมอกของเชื้อเพลิงจะไหลไปรอบ ๆ วัตถุและเข้าสู่โครงสร้างแบบฟอง ประจุครั้งที่สองจะทำให้เกิดการระเบิดละอองลอยและสร้างคลื่นระเบิดขนาดมหึมา คลื่นระเบิดสามารถทำลายอาคารเสริม อุปกรณ์ และสังหารหรือทำร้ายผู้คนได้ ผลกระทบต่อบุคคลของคลื่นระเบิดจะรุนแรงกว่าโดยเฉพาะในหลุมเพลาะที่แคบ อุโมงค์ และในพื้นที่ปิด เช่น บังเกอร์และถ้ำ
ผลกระทบ
[แก้]รายงานฮิวแมนไรตส์วอตช์ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543[14] กล่าวถึงการศึกษาของสำนักงานข่าวกรองกลาโหมสหรัฐ:
กลไกการสังหาร [ระเบิด] กับเป้าหมายที่มีชีวิตนั้นมีเอกลักษณ์—และไม่เป็นที่พอใจของประชาชน... สิ่งที่คร่าชีวิตคือ คลื่นแรงดัน และที่สำคัญกว่านั้นคือ สิ่งที่ตามมา [ภาวะสูญญากาศ] ซึ่งทำให้ปอดแตก ... หากน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ระเบิด เหยื่อจะถูกเผาอย่างรุนแรงและอาจจะสูดดมน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลุกไหม้ไปด้วย เนื่องจากเชื้อเพลิง FAE ที่พบบ่อยที่สุด เอทิลีนออกไซด์ และโพรพิลีนออกไซด์ มีความเป็นพิษสูง FAE ที่ระเบิดได้จึงควรพิสูจน์ได้ว่าเป็นอันตรายต่อบุคลากรที่ติดอยู่ภายในกลุ่มควันเช่นเดียวกับสารเคมีส่วนใหญ่
จากการศึกษาของสำนักข่าวกรองกลางแห่งสหรัฐอเมริกา[14] "ผลกระทบของการระเบิดเชื้อเพลิง-อากาศภายในพื้นที่จำกัดนั้นยิ่งรุนแรง ผู้ที่อยู่ใกล้จุดระเบิดจะถูกเผาไหม้หายไปอย่างรวดเร็ว ผู้ที่อยู่บริเวณชายขอบมีแนวโน้มที่อวัยวะภายในจะได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เป็นการบาดเจ็บที่มองไม่เห็น ได้แก่ แก้วหูแตกและอวัยวะในหูชั้นในเสียหายจากแรงดัน, การถูกกระแทกอย่างรุนแรง, ปอดและอวัยวะภายในแตก, และอาจทำให้ตาบอดได้” เอกสารของสำนักงานข่าวกรองกลาโหมสหรัฐอีกฉบับคาดการณ์ว่าเนื่องจาก "คลื่นกระแทกและแรงกดทำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุดต่อเนื้อเยื่อสมอง... เป็นไปได้ว่าผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของระเบิดเชื้อเพลิง-อากาศ (FAE) จะไม่หมดสติจากการระเบิด แต่จะทนทุกข์เป็นเวลาหลายวินาทีหรือหลายนาทีจากการหายใจไม่ออก"[15]
ประวัติการใช้งาน
[แก้]ทางทหาร
[แก้]

ระเบิดเชื้อเพลิง-อากาศ เช่น CBU-55 ได้รับการพัฒนาครั้งแรกโดยสหรัฐอเมริกาเพื่อใช้ในสงครามเวียดนาม ซึ่งบางรุ่นได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อใช้ระหว่างปฏิบัติการพายุทะเลทราย
ระบบ TOS-1 ได้รับการทดสอบในหุบเขาปัญจชีร์ ระหว่างสงครามโซเวียต-อัฟกานิสถานในช่วงปลายทศวรรษ 1980[16] เครื่องบินโจมตี มิก-27 ของ APIB ที่ 134 ยังใช้ระเบิดเชื้อเพลิง-อากาศ ODAB-500S/P กับกองกำลังมูจาฮีดีนในอัฟกานิสถาน แต่พบว่าไม่น่าเชื่อถือและเป็นอันตรายต่อลูกเรือภาคพื้นดิน[17]
รายงานที่ไม่ได้รับการยืนยันระบุว่ากองกำลังทหารของรัสเซียใช้อาวุธเทอร์โมบาริกจากภาคพื้นดินในการบุกโจมตีอาคารรัฐสภารัสเซียในช่วงวิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญรัสเซียปี 1993 และระหว่างยุทธการที่กรอซนีย์ (สงครามเชเชนครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง) เพื่อโจมตีนักสู้ชาวเชเชนที่เกณฑ์ขึ้นมา มีรายงานว่ามีการใช้ MLRS หนัก TOS-1 และ "RPO-A Shmel" ระบบจรวดยิงประทับบ่าระหว่างสงครามเชเชน[18]
เป็นที่เชื่อกันว่าอาวุธเทอร์โมบาริกแบบใช้มือถือจำนวนมากถูกใช้โดยกองทัพรัสเซียในความพยายามที่จะยึดโรงเรียนคืนในช่วงวิกฤตการณ์ตัวประกันในโรงเรียนเบสลัน ปี 2004 อาวุธ RPO-A และจรวดเทอร์โมบาริก TGB-7V จากอาร์พีจี-7 หรือจรวดจาก RShG-1 หรือ RShG-2 อ้างว่าถูกใช้โดย Spetsnaz ในระหว่างการบุกโจมตีโรงเรียนครั้งแรก[19][20][21] ในเวลาต่อมาพบปลอก RPO-A อย่างน้อย 3 ตัวหรืออาจมากถึง 9 ตัวที่ตำแหน่งของหน่วยรบพิเศษสเปตซ์นาซ (Spetsnaz)[22][23] ภายหลังรัฐบาลรัสเซียยอมรับว่ามีการใช้ RPO-A ในช่วงวิกฤตจริง[24]
ตามที่กระทรวงกลาโหมอังกฤษระบุ กองทัพอังกฤษยังใช้อาวุธเทอร์โมบาริกในขีปนาวุธเฮลล์ไฟร์ AGM-114N (บรรทุกโดยเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่และ UAV) เพื่อต่อสู้กับกลุ่มตอลิบานในสงครามในอัฟกานิสถาน[25]
กองทัพสหรัฐยังใช้อาวุธเทอร์โมบาริกในอัฟกานิสถาน เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2545 กองทัพอากาศสหรัฐใช้ระเบิดเทอร์โมบาริกแบบนำวิถีด้วยเลเซอร์ขนาด 2,000 ปอนด์ (910 กิโลกรัม) กับถ้ำที่กลุ่มอัลกออิดะห์และกลุ่มตอลิบานลี้ภัยในเขตการ์เดซของอัฟกานิสถาน[26][27] SMAW-NE ถูกใช้โดยนาวิกโยธินสหรัฐในระหว่างการรบครั้งแรกของ Fallujah และยุทธการ Fallujah ครั้งที่สอง
รายงานโดยกลุ่มกบฏของ Free Syrian Army อ้างว่ากองทัพอากาศซีเรียใช้อาวุธดังกล่าวกับเป้าหมายในเขตที่อยู่อาศัยที่กลุ่มกบฏยึดครอง เช่น ระหว่างยุทธการที่อเลปโป[28] และในคาฟาร์บัตนา[29] คณะกรรมการสอบสวนสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติรายงานว่า รัฐบาลซีเรียได้ใช้ระเบิดเทอร์โมบาริกกับเมืองอัล-กุซัยร์ซึ่งเป็นกบฏในเดือนมีนาคม 2013[30]
รัฐบาลรัสเซียและซีเรียได้ใช้ระเบิดเทอร์โมบาริกและอาวุธยุทโธปกรณ์อื่น ๆ ในช่วงสงครามกลางเมืองในซีเรียกับกลุ่มกบฏและในพื้นที่พลเรือนที่กลุ่มกบฏยึดครอง[31][32][33]
ระหว่างการรุกรานยูเครนของรัสเซียปี 2022 ซีเอ็นเอ็นรายงานว่ากองกำลังรัสเซียกำลังเคลื่อนย้ายอาวุธเทอร์โมบาริกไปยังยูเครน[34][35] เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เอกอัครราชทูตยูเครนประจำสหรัฐฯ กล่าวหารัสเซียว่าใช้อาวุธเทอร์โมบาริก[36][37]
การใช้ของผู้ก่อการร้าย
[แก้]ระเบิดเทอร์โมบาริกและระเบิดเชื้อเพลิง-อากาศถูกนำมาใช้ในสงครามกองโจรตั้งแต่การทิ้งระเบิดค่ายทหารในเบรุตปี 1983 ที่เลบานอน ซึ่งใช้กลไกการระเบิดแบบเสริมแก๊สซึ่งอาจเป็นโพรเพน บิวเทน หรืออะเซทิลีน[38] วัตถุระเบิดที่นักลอบวางระเบิดใช้ในเหตุวินาศกรรมการระเบิดตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ของสหรัฐอเมริกาในปี 1993 โดยรวมเอาหลักการของระเบิดเชื้อเพลิง-อากาศ (FAE) ด้วยการใช้ถังก๊าซไฮโดรเจนสามถังเพื่อเพิ่มพลังการระเบิด[39][40] นักลอบวางระเบิดของกลุ่มญะมาอะห์ อิสลามียะห์ ใช้เชื้อเพลิงแข็งที่กระจายตัวด้วยแรงกระแทก[41] ตามหลักการเทอร์โมบาริก [42] เพื่อโจมตีไนท์คลับ Sari ในระหว่างเหตุระเบิดในบาหลี ปี 2002[43]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "รัสเซียถล่มยูเครนด้วยระเบิดสุญญากาศ มันคืออะไรและร้ายแค่ไหน?" (ภาษาอังกฤษ). 2022-03-01.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "รัสเซียส่งขบวนรถหุ้มเกราะเข้าใกล้เคียฟ ไทยยังสงวนท่าที". BBC News ไทย. 2022-03-01.
- ↑ Protokoll über das Verbot oder die Beschränkung des Einsatzes von Brandwaffen. Der Bundesrat (Schweiz), 31. Mai 2013; „Es ist unter allen Umständen verboten, die Zivilbevölkerung als solche, einzelne Zivilpersonen oder zivile Objekte zum Ziel von Angriffen mit Brandwaffen zu machen.“
- ↑ Nettleton, J. Occ. Accidents, 1, 149 (1976).
- ↑ Strehlow, 14th. Symp. (Int.) Comb. 1189, Comb. Inst. (1973).
- ↑ Health and Safety Environmental Agency, 5th and final report, 2008.
- ↑ Meyer, Rudolf; Josef Köhler; Axel Homburg (2007). Explosives. Weinheim: Wiley-VCH. pp. 312. ISBN 978-3-527-31656-4. OCLC 165404124.
- ↑ Nettleton, arch. combust. 1,131, (1981).
- ↑ Stephen B. Murray Fundamental and Applied Studies of Fuel-Air Detonation เก็บถาวร 2010-01-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน.
- ↑ Nettleton, Comb. and Flame, 24,65 (1975).
- ↑ Fire Prev. Sci. and Tech. No. 19,4 (1976)
- ↑ May L.Chan (2001) Advanced Thermobaric Explosive Compositions.
- ↑ New Thermobaric Materials and Weapon Concepts เก็บถาวร 2014-05-18 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน.
- ↑ 14.0 14.1 "Backgrounder on Russian Fuel Air Explosives ("Vacuum Bombs") | Human Rights Watch". Hrw.org. February 1, 2000. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 10, 2013. สืบค้นเมื่อ April 23, 2013.
- ↑ Defense Intelligence Agency, "Future Threat to the Soldier System, Volume I; Dismounted Soldier – Middle East Threat", September 1993, p. 73.
- ↑ Swearingen, Jake (14 September 2015). "This Russian Tank-Mounted Rocket Launcher Can Incinerate 8 City Blocks". Popularmechanics.com. สืบค้นเมื่อ April 1, 2018.
- ↑ Gordon, E. (2019). Mikoyan MiG-23 and MiG-27. Dmitriĭ Komissarov. Manchester. p. 369. ISBN 978-1-910809-31-0. OCLC 1108690733.
- ↑ "Foreign Military Studies Office Publications - A 'Crushing' Victory: Fuel-Air Explosives and Grozny 2000". Fmso.leavenworth.army.mil. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 8, 2013. สืบค้นเมื่อ April 23, 2013.
- ↑ "Russian forces faulted in Beslan school tragedy". Christian Science Monitor. September 1, 2006. สืบค้นเมื่อ February 14, 2007.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ Russia: Independent Beslan Investigation Sparks Controversy, The Jamestown Foundation, August 29, 2006
- ↑ Beslan still a raw nerve for Russia, BBC News, 1 September 2006
- ↑ ACHING TO KNOW, Los Angeles Times, August 27, 2005
- ↑ Searching for Traces of “Shmel” in Beslan School เก็บถาวร 2009-01-03 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Kommersant, September 12, 2005
- ↑ A Reversal Over Beslan Only Fuels Speculation, The Moscow Times, July 21, 2005
- ↑ "MoD's Controversial Thermobaric Weapons Use in Afghanistan". Armedforces-int.com. June 23, 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 6, 2012. สืบค้นเมื่อ April 23, 2013.
- ↑ "US Uses Bunker-Busting 'Thermobaric' Bomb for First Time". Commondreams.org. March 3, 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 12, 2010. สืบค้นเมื่อ April 23, 2013.
- ↑ Pike, John. "BLU-118/B Thermobaric Weapon Demonstration / Hard Target Defeat Program". Globalsecurity.org. สืบค้นเมื่อ April 23, 2013.
- ↑ "Syria rebels say Assad using 'mass-killing weapons' in Aleppo". Ynetnews. October 10, 2012. สืบค้นเมื่อ November 11, 2012.
- ↑ "Dropping Thermobaric Bombs on Residential Areas in Syria_ Nov. 5. 2012". First Post. November 11, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-02-10. สืบค้นเมื่อ November 11, 2012.
- ↑ Cumming-Bruce, Nick (June 4, 2013). "U.N. Panel Reports Increasing Brutality by Both Sides in Syria". The New York Times.
- ↑ "Eastern Ghouta home of 'Noor and Alaa' destroyed by Syrian bombs". Middle East Eye.
- ↑ "A New Kind of Bomb Is Being Used in Syria and It's a Humanitarian Nightmare". www.vice.com.
- ↑ "Thermobaric Bombs And Other Nightmare Weapons Of The Syrian Civil War". March 18, 2019.
- ↑ Zitser, Joshua. "Russian army deploys its TOS-1 heavy flamethrower capable of vaporizing human bodies near Ukrainian border, footage shows | Business Insider Africa | Ghostarchive". ghostarchive.org. Business Insider Africa. สืบค้นเมื่อ 27 February 2022.
- ↑ "What are thermobaric weapons?". ABC News (ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย). 2022-02-27. สืบค้นเมื่อ 2022-02-27.
- ↑ "Oil depot burns after artillery shelling in Okhtyrka, Sumy Oblast". Twitter. Kyiv Independent. 2022-02-28. สืบค้นเมื่อ 2022-02-28.
Mayor Pavlo Kuzmenko reported that Russian occupiers dropped a vacuum bomb.
- ↑ Zengerle, Patricia (2022-03-01). "Ukraine envoy to U.S. says Russia used a vacuum bomb in its invasion". Reuters (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2022-03-01.
- ↑ Richard J. Grunawalt. Hospital Ships In The War On Terror: Sanctuaries or Targets? เก็บถาวร 2013-04-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (PDF), Naval War College Review, Winter 2005, pp. 110–11.
- ↑ Paul Rogers (2000) "Politics in the Next 50 Years: The Changing Nature of International Conflict"
- ↑ J. Gilmore Childers; Henry J. DePippo (February 24, 1998). "Senate Judiciary Committee, Subcommittee on Technology, Terrorism, and Government Information hearing on "Foreign Terrorists in America: Five Years After the World Trade Center"". Fas. สืบค้นเมื่อ July 12, 2011.
- ↑ P. Neuwald; H. Reichenbach; A. L. Kuhl (2003). "Shock-Dispersed-Fuel Charges-Combustion in Chambers and Tunnels" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2017-02-07. สืบค้นเมื่อ 2008-07-19.
- ↑ David Eshel (2006). "Is the world facing Thermobaric Terrorism?". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 7, 2011.
- ↑ Wayne Turnbull (2003). "Bali:Preparations". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-03-11. สืบค้นเมื่อ 2008-07-19.