ข้ามไปเนื้อหา

ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อาณาจักรอยุธยา"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ถูกละ
ป้ายระบุ: ถูกแทน ถูกย้อนกลับแล้ว การแก้ไขแบบเห็นภาพ
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
{{ความหมายอื่น|เปลี่ยนทาง=กรุงศรีอยุธยา|สำหรับ=ธนาคาร|ดูที่=ธนาคารกรุงศรีอยุธยา}}
{{ความหมายอื่น|เปลี่ยนทาง=กรุงศรีอยุธยา|สำหรับ=ธนาคาร|ดูที่=ธนาคารกรุงศรีอยุธยา}}ไม่จริง
{{ระวังสับสน|อโยธยา}}
{{กล่องข้อมูล อดีตประเทศ
| native_name = อาณาจักรอยุธยา
| conventional_long_name =
| common_name =
| continent = เอเชีย
| region = [[เอเชียตะวันออกเฉียงใต้]]
| country = ไทย
| era = [[สมัยกลาง]]และ[[สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา]]
| status = ราชอาณาจักร
| government_type = [[ราชาธิปไตย]]แบบ[[ศักดินา]]
| year_start = พ.ศ. 1893
| year_end = 2310
| event_start = สถาปนา
| date_start =
| event_end = [[การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง|เสียกรุงครั้งที่สอง]]
| date_end = 7 เมษายน พ.ศ.
| event1 = รัฐร่วมประมุขกับ[[อาณาจักรสุโขทัย]]
| date_event1 = พ.ศ. 2011
| event2 = เริ่มติดต่อกับโปรตุเกส
| date_event2 = พ.ศ. 2054
| event3 = [[การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่ง|เสียกรุงครั้งที่หนึ่ง]]
| date_event3 = พ.ศ. 2112
| event4 = [[สมเด็จพระนเรศวร]]ประกาศอิสรภาพ
| date_event4 = พ.ศ. 2127
| event5 = [[การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2231|การแย่งราชสมบัติของพระเพทราชา]]
| date_event5 = พ.ศ. 2231
| event_pre =
| date_pre =
| p1 = อาณาจักรละโว้
| flag_p1 =
| p2 = อาณาจักรสุโขทัย
| flag_p2 =
| p3 = อาณาจักรนครศรีธรรมราช
| flag_p3 =
| s1 = อาณาจักรธนบุรี
| flag_s1 = Flag of Thailand (Ayutthaya period).svg
| s2 =
| flag_s2 =
| image_flag = Flag of Thailand (Ayutthaya period).svg
| flag = ธงในประเทศไทย
| flag_type = ธงค้าขาย (พ.ศ. 2223–2310)
| image_coat = Seal_of_Ayutthaya_ (King_Narai) _goldStamp_bgred.png
| symbol_type = ตราประจำพระองค์สมัย[[สมเด็จพระนารายณ์มหาราช]]
| image_map = Map-of-southeast-asia 1400 CE.png
| image_map_caption = แผนที่อุษาคเนย์ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15:<br /> '''สีม่วงน้ำเงิน:''' อยุธยา<br />'''สีเขียวเข้ม:''' [[อาณาจักรล้านช้าง|ล้านช้าง]]<br />'''สีม่วง:''' [[อาณาจักรล้านนา|ล้านนา]]<br />'''สีส้ม:''' [[อาณาจักรสุโขทัย|สุโขทัย]]<br />'''สีชมพู:''' [[อาณาจักรหงสาวดี|หงสาวดี]]<br />'''สีม่วงอ่อน:''' [[อาณาจักรอังวะ|อังวะ]]<br />'''สีแดง:''' [[จักรวรรดิขะแมร์]]<br />'''สีเหลือง:''' [[อาณาจักรจามปา|จามปา]]<br />'''สีน้ำเงิน:''' [[ได่เวียด]]<br />'''สีเขียวอ่อน:''' [[อาณาจักรมัชปาหิต|มัชปาหิต]]
| capital = อยุธยา <small> (1893–2006, 2031–2209, 2231–2310)<br>พิษณุโลก <small> (2006–2031) <ref>ดนัย ไชยโยธา. (2543). '''พัฒนาการของมนุษย์กับอารยธรรมในราชอาณาจักรไทย เล่ม ๑'''. โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮ้าส์. หน้า 305.</ref></small><br>ลพบุรี <small> (2209–2231) </small>
| national_motto =
| national_anthem =
| common_languages = [[ภาษาไทย|ไทย]]
| currency =
| leader1 = [[ราชวงศ์อู่ทอง]]
| leader2 = [[ราชวงศ์สุพรรณภูมิ]]
| leader3 = [[ราชวงศ์สุโขทัย]]
| leader4 = [[ราชวงศ์ปราสาททอง]]
| leader5 = [[ราชวงศ์บ้านพลูหลวง]]
| leader6 =
| leader7 =
| year_leader1 = 1893–1913<br>1931–1952
| year_leader2 = 1913–1931<br>1952–2112
| year_leader3 = 2112–2172
| year_leader4 = 2172–2231
| year_leader5 = 2231–2310
| year_leader6 =
| year_leader7 =
| title_leader = พระมหากษัตริย์
| stat_year1 =
| stat_area1 =
| stat_pop1 =
| footnotes =
| utc_offset =
| cctld =
| today = {{flagcountry|Thailand}}<br />{{flagcountry|Cambodia}}<br />{{flagcountry|Malaysia}}<br />{{flagcountry|Myanmar}}
}}


วิกิมั่ว
'''อาณาจักรอยุธยา''' เป็นอาณาจักรของชนชาติไทยในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วง พ.ศ. 1893 ถึง [[การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง|พ.ศ. 2310]] มีกรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางอำนาจหรือราชธานี ทั้งยังมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับหลายชาติ จนถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางการค้าในระดับนานาชาติ<ref>ชนิดา ศักดิ์ศิริสัมพันธ์. (2542). '''ท่องเที่ยวไทย'''. บริษัท สำนักพิมพ์หน้าต่างสู่โลกกว้าง จำกัด. ISBN 974-86261-9-9. หน้า 40.</ref> เช่น [[จีน]] [[เวียดนาม]] [[อินเดีย]] [[ญี่ปุ่น]] [[เปอร์เซีย]] รวมทั้งชาติตะวันตก เช่น [[โปรตุเกส]] [[สเปน]] [[เนเธอร์แลนด์]] (ฮอลันดา) [[อังกฤษ]] และ[[ฝรั่งเศส]] ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่งเคยสามารถขยายอาณาเขตประเทศราชถึง[[รัฐชาน]]ของ[[พม่า]] [[อาณาจักรล้านนา]] [[มณฑลยูนนาน]] [[อาณาจักรล้านช้าง]] [[อาณาจักรขอม]] และ[[คาบสมุทรมลายู]]ในปัจจุบัน<ref name="malaystates">{{cite book|last=Hooker|first=Virginia Matheson|title=A Short History of Malaysia: Linking East and West|publisher=Allen and Unwin|location=St Leonards, New South Wales, Australia|date=2003|pages=72|isbn=1864489553|url=http://books.google.com/books?id=6F7xthSLFNEC&pg=PA72&lpg=PA72&dq=Ayutthaya++malay&source=bl&ots=IWjog_W6PG&sig=NKxfDLm13dLnJ6Si72q-F744g5A&hl=en&ei=u7lQSsrsDou4M-2T8e0D&sa=X&oi=book_result&ct=result&resnum=6|accessdate=2009-07-05}}</ref>


เรามาแก้
== ที่ตั้ง ==
กรุงศรีอยุธยาเป็นเกาะซึ่งมีแม่น้ำสามสายล้อมรอบ ได้แก่ [[แม่น้ำป่าสัก]]ทางทิศตะวันออก, [[แม่น้ำเจ้าพระยา]]ทางทิศตะวันตกและทิศใต้ และ[[แม่น้ำลพบุรี]]ทางทิศเหนือ เดิมทีบริเวณนี้ไม่ได้มีสภาพเป็นเกาะ แต่[[สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง]]ทรงดำริให้ขุดคูเชื่อมแม่น้ำทั้งสามสาย เพื่อให้เป็นปราการธรรมชาติป้องกันข้าศึก ที่ตั้งกรุงศรีอยุธยายังอยู่ห่างจาก[[อ่าวไทย]]ไม่มากนัก ทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางการค้ากับชาวต่างประเทศ และอาจถือว่าเป็น "เมืองท่าตอนใน" เนื่องจากเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาค มีสินค้ากว่า 40 ชนิดจากสงครามและรัฐบรรณาการ แม้ว่าตัวเมืองจะไม่ติดทะเลก็ตาม


คือ
มีการประเมินว่า ราว พ.ศ. 2143 กรุงศรีอยุธยามีประชากรประมาณ 300,000 คน และอาจสูงถึง 1,000,000 คน ราว พ.ศ. 2243 <ref>[[George Modelski]], ''World Cities: –3000 to 2000'', Washington DC: FAROS 2000, 2003. ISBN 978-0-9676230-1-6. See also [http://faculty.washington.edu/modelski/ Evolutionary World Politics Homepage].</ref> บางครั้งมีผู้เรียกกรุงศรีอยุธยาว่า "เวนิสแห่งตะวันออก"<ref>{{cite news| url=http://economictimes.indiatimes.com/features/et-travel/Ayutthaya-Thailands-historic-city/articleshow/3307967.cms | work=The Times Of India | title=Ayutthaya, Thailand's historic city | date=2008-07-31}}</ref><ref name="Ayutthaya:
Venice of the East">{{cite book |isbn=974-8225-60-7 |title=Ayutthaya: Venice of the East |author=Derick Garnier |publisher=River books |year=2004}}</ref>


เอแหเอ ิ่้เ่ีั้ะ่ะเ้่
ปัจจุบันบริเวณนี้เป็นส่วนหนึ่งของ[[อำเภอพระนครศรีอยุธยา]] [[จังหวัดพระนครศรีอยุธยา]] พื้นที่ที่เคยเป็นเมืองหลวงของไทยนั้น คือ [[อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา]]<ref name='Thailands World.com-2011-09-22'>{{cite web | url = http://www.thailandsworld.com/ayutthaya/index.cfm | title = Ayutthaya Historical Park | accessdate = 2011-09-22 | publisher = Asia's World Publishing Limited}}</ref>ตัวนครปัจจุบันถูกตั้งขึ้นใหม่ห่างจากกรุงเก่าไปเพียงไม่กี่กิโลเมตร


เสร็จ{{กรุงศรีอยุธยา}}
== ประวัติ ==
=== การกำเนิด ===
การกำเนิดอาณาจักรอยุธยาที่ได้รับการยอมรับกว้างขวางที่สุดนั้น อธิบายว่า รัฐไทยซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เจริญขึ้นมาจากราช[[อาณาจักรละโว้]] และ[[แคว้นสุพรรณภูมิ|อาณาจักรสุพรรณภูมิ]] แหล่งข้อมูลหนึ่งระบุว่า กลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 เพราะภัยโรคระบาดคุกคาม [[สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง]]จึงทรงย้ายราชสำนักลงไปทางใต้ ยังที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงอันอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำเจ้าพระยา บนเกาะที่ล้อมรอบด้วยแม่น้ำ ซึ่งในอดีตเคยเป็นนครท่าเรือเดินทะเล ชื่อ ''อโยธยา'' (Ayothaya) หรือ อโยธยาศรีรามเทพนคร นครใหม่นี้ถูกขนานนามว่า ''กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา'' ซึ่งภายหลังมักเรียกว่า กรุงศรีอยุธยา แปลว่า นครที่ไม่อาจทำลายได้<ref name="history">{{cite web|url=http://www.thailandsworld.com/index.cfm?p=213|title=The Tai Kingdom of Ayutthaya |year=2009|publisher=The Nation: Thailand's World|accessdate=2009-06-28}}</ref>

พระบริหารเทพธานี อธิบายว่า ชาวไทยเริ่มตั้งถิ่นฐานบริเวณตอนกลาง และตอนล่างของลุ่ม[[แม่น้ำเจ้าพระยา]]มาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18 แล้ว ทั้งยังเคยเป็นที่ตั้งของเมืองสังขบุรี อโยธยา เสนาราชนคร และกัมโพชนคร<ref>พระบริหารเทพธานี. (2541). '''ประวัติศาสตร์ไทย เล่ม ๒'''. โสภณการพิมพ์. หน้า 67.</ref> ต่อมา ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 19 [[อาณาจักรขอม]]และ[[อาณาจักรสุโขทัย|สุโขทัย]]เริ่มเสื่อมอำนาจลง พระเจ้าอู่ทองทรงดำริจะย้ายเมืองและก่อสร้างเมืองขึ้นมาใหม่โดยส่งคณะช่างก่อสร้างไปยัง[[อินเดีย]]และได้ลอกเลียนแบบผังเมือง[[อโยธยา]]มาสร้างและสถาปนาให้มีชื่อว่า กรุงศรีอยุธยา{{อ้างอิง}}

=== การขยายอาณาเขต ===
[[ไฟล์:Gezicht op Judea, de hoofdstad van Siam Rijksmuseum SK-A-4477.jpeg|thumb|250px|กรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 2209) วาดโดยบริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์]]
เมื่อถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 อยุธยาก็ถูกพิจารณาว่าเป็น ชาติมหาอำนาจแข็งแกร่งที่สุดในอุษาคเนย์แผ่นดินใหญ่ และได้เริ่มครองความเป็นใหญ่โดยเริ่มจากการพิชิตราชอาณาจักรและ[[นครรัฐ]]ทางเหนือ อย่างสุโขทัย [[กำแพงเพชร]]และ[[พิษณุโลก]] ก่อนสิ้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 15 อยุธยาโจมตี[[เมืองพระนคร]] (อังกอร์) ซึ่งเป็นมหาอำนาจของภูมิภาคในอดีต อิทธิพลของอังกอร์ค่อย ๆ จางหายไปจากลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และอยุธยากลายมาเป็นมหาอำนาจใหม่แทน

อย่างไรก็ดี ราชอาณาจักรอยุธยามิได้เป็นรัฐที่รวมเป็นหน่วยเดียวกัน หากเป็นการปะติดปะต่อกันของอาณาเขต (principality) ที่ปกครองตนเอง และประเทศราชที่สวามิภักดิ์ต่อพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาภายใต้ปริมณฑลแห่งอำนาจ (Circle of Power) หรือระบบมณฑล (mandala) ดังที่นักวิชาการบางฝ่ายเสนอ<ref name="higham">{{harvnb|Higham|1989|p=355}}</ref> อาณาเขตเหล่านี้อาจปกครองโดยพระบรมวงศานุวงศ์กรุงศรีอยุธยา หรือผู้ปกครองท้องถิ่นที่มีกองทัพอิสระของตนเอง ที่มีหน้าที่ให้การสนับสนุนแก่เมืองหลวงยามสงคราม ก็ได้ อย่างไรก็ดี มีหลักฐานว่า บางครั้งที่เกิดการกบฏท้องถิ่นที่นำโดยเจ้าหรือพระมหากษัตริย์ท้องถิ่นขึ้นเพื่อตั้งตนเป็นเอกราช อยุธยาก็จำต้องปราบปราม

ด้วยไร้ซึ่งกฎการสืบราชสันติวงศ์และมโนทัศน์[[คุณธรรมนิยม]](ในบางสมัย) (meritocracy) อันรุนแรง ทำให้เมื่อใดก็ตามที่การสืบราชสันติวงศ์เป็นที่พิพาท เจ้าปกครองหัวเมืองหรือผู้สูงศักดิ์ (dignitary) ที่ทรงอำนาจจะอ้างคุณความดีของตนรวบรวมไพร่พลและยกทัพมายังเมืองหลวงเพื่อกดดันตามข้อเรียกร้อง จนลงเอยด้วย[[รัฐประหาร]]อันนองเลือดหลายครั้ง<ref name="succ">{{cite web|url=http://countrystudies.us/thailand/7.htm|title=The Aytthaya Era, 1350–1767|publisher=U. S. Library of Congress|accessdate=2009-07-25}}</ref>

ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 อยุธยาแสดงความสนใจในคาบสมุทรมลายู ที่ซึ่ง[[มะละกา]]เมืองท่าสำคัญ ประชันความเป็นใหญ่ อยุธยาพยายามยกทัพไปตีมะละกาหลายครั้ง แต่ไร้ผล มะละกามีความเข้มแข็งทั้งทางการทูตและทางเศรษฐกิจ ด้วยได้รับการสนับสนุนทางทหารจาก[[ราชวงศ์หมิง]]ของจีน ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 แม่ทัพเรือ[[เจิ้งเหอ]]แห่งราชวงศ์หมิง ได้สถาปนาฐานปฏิบัติการแห่งหนึ่งของเขาขึ้นที่มะละกา เป็นเหตุให้จีนไม่อาจยอมสูญเสียตำแหน่งยุทธศาสตร์นี้แก่รัฐอื่น ๆ ภายใต้การคุ้มครองนี้ มะละกาจึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นหนึ่งในคู่แข่งทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ของอยุธยา กระทั่งถูกโปรตุเกสพิชิตเมื่อ พ.ศ. 2054<ref name="malacca">{{cite book|last=Jin|first=Shaoqing|title=Zheng He's voyages down the western seas|editor=Office of the People's Goverernment of Fujian Province|publisher=China Intercontinental Press|location=Fujian, China|year=2005|page=58|url=http://books.google.com/books?id=QmpkR6l5MaMC&pg=PA58&lpg=PA58&dq=zheng+he+mansur+shah&source=bl&ots=IqDNCCxZKu&sig=HEX0vPAjTRnSNZGXuIOt_8gCkzY&hl=en&ei=LsF1SrL5Fo78MeGx-bAM&sa=X&oi=book_result&ct=result&resnum=1#v=onepage&q=zheng%20he%20mansur%20shah&f=false|accessdate=2009-08-02}}</ref>

=== [[การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่ง]] ===
เริ่มตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 ราชอาณาจักรอยุธยาถูก[[ราชวงศ์ตองอู]]โจมตีหลายครั้ง สงครามครั้งแรกคือ [[สงครามพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้]] เมื่อ พ.ศ. 2091-92 แต่ล้มเหลว การรุกรานครั้งที่สองของราชวงศ์ตองอู หรือเรียกว่า "[[สงครามช้างเผือก]]"สมัย[[พระมหาจักรพรรดิ]] เมื่อ พ.ศ. 2106 [[พระเจ้าบุเรงนอง]]ทรงให้[[สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ]]ยอมจำนน พระบรมวงศานุวงศ์บางส่วนถูกพาไปยังกรุงหงสาวดี และ[[สมเด็จพระมหินทราธิราช]] พระราชโอรสองค์โต ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าประเทศราช<ref name=app-111>{{cite book | title=History of Burma | author=Lt. Gen. Sir Arthur P. Phayre | year=1883 | page=111 | edition=1967 | publisher=Susil Gupta | location=London}}</ref><ref name=geh-167>{{cite book | author=GE Harvey | title=History of Burma | pages=167–170 | publisher=Frank Cass & Co. Ltd. | year=1925 | location=London}}</ref> เมื่อ พ.ศ. 2112 ราชวงศ์ตองอูรุกรานอีกเป็นครั้งที่สาม และสามารถ[[การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่ง|ยึดกรุงศรีอยุธยา]]ได้ในปีต่อมา หนนี้พระเจ้าบุเรงนองทรงแต่งตั้ง[[สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช]]เป็นเจ้าประเทศราช<ref name=geh-167/>

=== การฟื้นตัว ===
หลังพระเจ้าบุเรงนองเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2124 [[สมเด็จพระนเรศวรมหาราช]]ทรงประกาศเอกราชแก่กรุงศรีอยุธยาอีกสามปีให้หลัง อยุธยาต่อสู้ป้องกันการรุกรานของรัฐหงสาวดีหลายครั้ง จนในครั้งสุดท้าย [[สมเด็จพระนเรศวรมหาราช]]ทรงปลงพระชนม์เมงจีสวา (Mingyi Swa) อุปราชาของราชวงศ์ตองอูได้ใน[[สงครามยุทธหัตถี]]เมื่อ พ.ศ. 2135 จากนั้น อยุธยากลับเป็นฝ่ายบุกบ้าง โดยยึดชายฝั่ง[[ตะนาวศรี]]ทั้งหมดขึ้นไปจนถึง[[เมาะตะมะ]]ใน พ.ศ. 2138 และ[[ล้านนา]]ใน พ.ศ. 2145 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงถึงกับรุกรานเข้าไปในพม่าลึกถึง[[ตองอู]]ใน พ.ศ. 2143 แต่ทรงถูกขับกลับมา หลังสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2148 ตะนาวศรีตอนเหนือและล้านนาก็ตกเป็นของรัฐอังวะ อีกใน พ.ศ. 2157<ref>Phayre, pp. 127–130</ref> อยุธยาพยายามยึดรัฐล้านนาและตะนาวศรีตอนเหนือกลับคืนระหว่าง พ.ศ. 2205-07 แต่ล้มเหลว<ref>Phayre, p. 139</ref>

การค้าขายกับต่างชาติไม่เพียงแต่ให้อยุธยามีสินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้น แต่ยังได้รับอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ ๆ ด้วย กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 ระหว่างรัชสมัย[[สมเด็จพระนารายณ์มหาราช]] อยุธยามีความเจริญรุ่งเรืองมาก<ref name="wyatt2">{{harvnb|Wyatt|2003|pp=90–121}}</ref> แต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 อยุธยาค่อย ๆ สูญเสียการควบคุมเหนือหัวเมืองรอบนอก ผู้ว่าราชการท้องถิ่นใช้อำนาจของตนอย่างอิสระ และเริ่มเกิดการกบฏต่อเมืองหลวงขึ้น

=== การล่มสลาย ===
หลังจากยุคสมัยอันนองเลือดแห่งการต่อสู้ของราชวงศ์ กรุงศรีอยุธยาเข้าสู่ "ยุคทอง" สมัยที่ค่อนข้างสงบในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 18 เมื่อศิลปะ วรรณกรรมและการเรียนรู้เฟื่องฟู ยังมีสงครามกับต่างชาติ กรุงศรีอยุธยาสู้รบกับเจ้าเหงียน (Nguyễn Lords) ซึ่งเป็นผู้ปกครองเวียดนามใต้ เพื่อการควบคุมกัมพูชา เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2258 แต่ภัยคุกคามที่ใหญ่กว่ามาจาก[[ราชวงศ์อลองพญา]]ซึ่งได้ผนวก[[รัฐชาน]]เข้ามาอยู่ในอำนาจ

ช่วง 50 ปีสุดท้ายของราชอาณาจักรมีการสู้รบอันนองเลือดระหว่างเจ้านาย โดยมีพระราชบัลลังก์เป็นเป้าหมายหลัก เกิดการกวาดล้างข้าราชสำนักและแม่ทัพนายกองที่มีความสามารถตามมา [[สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์]] (พระเจ้าเอกทัศ) พระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้าย บังคับให้[[สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร]] พระอนุชา ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ขณะนั้น สละราชสมบัติและขึ้นครองราชย์แทน

พ.ศ. 2303 [[พระเจ้าอลองพญา]]ทรงยกทัพ[[สงครามพระเจ้าอลองพญา|รุกรานอาณาจักรอยุธยา]] หลังจากอยุธยาว่างเว้นศึกภายนอกมานานกว่า 150 ปี จะมีก็เพียงการนำไพร่พลเข้าต่อตีกันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจเท่านั้น<ref>Christopher John Baker, Pasuk Phongpaichit[http://books.google.com/booksid=oFGwJJ21zx8C&pg=PA21&dq=fall+of+ayutthaya&as_brr=3&cd=3#v=onepage&q=fall%20of%20ayutthaya&f=false A history of Thailand]. Cambridge University Press. สืบค้นเมื่อ 13-12-2552. p. 22</ref> ซึ่งในขณะนั้น อยุธยาเกิดการแย่งชิงบัลลังก์ระหว่าง[[สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ|เจ้าฟ้าเอกทัศ]]กับ[[สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร|เจ้าฟ้าอุทุมพร]] อย่างไรก็ดี พระเจ้าอลองพญาไม่อาจหักเอากรุงศรีอยุธยาได้ในการทัพครั้งนั้น

แต่ใน พ.ศ. 2308 [[พระเจ้ามังระ]] พระราชโอรสแห่งพระเจ้าอลองพญา ทรงแบ่งกำลังออกเป็นสองส่วน และเตรียมการกว่าสามปี มุ่งเข้าตีอาณาจักรอยุธยาพร้อมกันทั้งสองด้าน ฝ่ายอยุธยาต้านทาน[[การล้อมอยุธยา (2309–2310)|การล้อมของทัพพม่า]]ไว้ได้ 14 เดือน แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งการกองทัพรัฐอังวะได้ เนื่องจากมีกำลังมาก และต้องการทำลายศูนย์อำนาจอย่างอยุธยาลงเพื่อป้องกันการกลับมามีอำนาจ อีกทั้งกองทัพอังวะยังติดศึกกับจีนราชวงศ์ชิงอยู่เนือง ๆ หากปล่อยให้เกิดการสู้รบยืดเยื้อต่อไปอีก ก็จะเป็นภัยแก่อังวะ และมีสงครามไม่จบสิ้น ในที่สุดกองทัพอังวะสามารถเข้าพระนครได้ในวันที่[[ 7 เมษายน ]] [[พ.ศ. 2310]]

== พระมหากษัตริย์ ==
พระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา มี 5 ราชวงศ์ คือ
# ราชวงศ์อู่ทอง มีกษัตริย์ 3 พระองค์
# ราชวงศ์สุพรรณภูมิ มีกษัตริย์ 13 พระองค์
# ราชวงศ์สุโขทัย มีกษัตริย์ 7 พระองค์
# ราชวงศ์ปราสาททอง มีกษัตริย์ 4 พระองค์
# ราชวงศ์บ้านพลูหลวง มีกษัตริย์ 6 พระองค์
รวมมีพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น 33 พระองค์

=== รายพระนาม ===
{| width=100% class="wikitable"
! width=3%|ลำดับ
! width=37% | พระนาม
! width=9% | พระราชสมภพ
! width=9% | เริ่มครองราชย์
! width=9% | สิ้นรัชกาล
! width=9% | สวรรคต
! width=20% | รวมปีครองราชย์
|-
| colspan="7" align="center" style="background-color:#F0DC82"|[[ราชวงศ์อู่ทอง]] (ครั้งที่ 1)
|-
| align="center"|1
| align="center"| [[สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1]]<br><small> (พระเจ้าอู่ทอง)
| align="center"|[[ พ.ศ. 1855 ]]
| align="center"| [[พ.ศ. 1893]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 1912]]
| align="center"|20 ปี
|-
| align="center"|2<br><small> (1)
| align="center"|[[สมเด็จพระราเมศวร]]
| align="center"|[[พ.ศ. 1885]]
| align="center"|[[พ.ศ. 1912]]
| align="center"|[[พ.ศ. 1913]]
| align="center"|[[พ.ศ. 1938]]
| align="center"|ไม่ถึง 1 ปี
|-
| colspan="7" align="center" style="background-color:#F0DC82"|[[ราชวงศ์สุพรรณภูมิ]] (ครั้งที่ 1)
|-
| align="center"|3
| align="center"| [[สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1]]<br><small> (ขุนหลวงพะงั่ว)
| align="center"|[[พ.ศ. 1853]]
| align="center"|[[พ.ศ. 1913]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 1931]]
| align="center"|18 ปี
|-
| align="center"|4
| align="center"|[[สมเด็จพระเจ้าทองลัน]]<br><small> (เจ้าทองจันทร์)
| align="center"|[[พ.ศ. 1917]]
| align="center" colspan=3|[[พ.ศ. 1931]]
| align="center"| 7 วัน
|-
| colspan="7" align="center" style="background-color:#F0DC82"|[[ราชวงศ์อู่ทอง]] (ครั้งที่ 2)
|-
| align="center"|2<br><small> (2)
| align="center"|[[สมเด็จพระราเมศวร]]
| align="center"|[[พ.ศ. 1885]]
| align="center"| [[พ.ศ. 1931]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 1938]]
| align="center"|7 ปี
|-
| align="center"|5
| align="center"|[[สมเด็จพระรามราชาธิราช]]
| align="center"|[[พ.ศ. 1899]]
| align="center"|[[พ.ศ. 1938]]
| align="center"|[[พ.ศ. 1952]]
| align="center"|?
| align="center"|14 ปี
|-
| colspan="7" align="center" style="background-color:#F0DC82"|[[ราชวงศ์สุพรรณภูมิ]] (ครั้งที่ 2)
|-
| align="center"|6
| align="center"| [[สมเด็จพระอินทราชา]]<br><small> (เจ้านครอินทร์)
| align="center"|[[พ.ศ. 1902]]
| align="center"|[[พ.ศ. 1952]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 1967]]
| align="center"|15 ปี
|-
| align="center"|7
| align="center"| [[สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2]]<br><small> (เจ้าสามพระยา)
| align="center"| [[พ.ศ. 1929]]
| align="center"|[[พ.ศ. 1967]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 1991]]
| align="center"|24 ปี
|-
| align="center"|8
| align="center"| [[สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ]]
| align="center"|[[พ.ศ. 1974]]
| align="center"|[[พ.ศ. 1991]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 2031]]
| align="center"|40 ปี
|-
| align="center"|9
| align="center"|[[สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2005]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2031]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 2034]]
| align="center"|3 ปี
|-
| align="center"|10
| align="center"| [[สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2015]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2034]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 2072]]
| align="center"|38 ปี
|-
| align="center"|11
| align="center"|[[สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4]] <br><small> (หน่อพุทธางกูร)
| align="center"|[[พ.ศ. 2040]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2072]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 2076]]
| align="center"|4 ปี
|-
| align="center"|12
| align="center"| [[พระรัษฎาธิราช]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2072]]
| align="center" colspan=3|[[พ.ศ. 2077]]
| align="center"|5 เดือน
|-
| align="center"|13
| align="center"| [[สมเด็จพระไชยราชาธิราช]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2045]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2077]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 2089]]
| align="center"|12 ปี
|-
| align="center"|14
| align="center"| [[พระยอดฟ้า]] <br><small> (พระแก้วฟ้า)
| align="center"|[[พ.ศ. 2078]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2089]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 2091]]
| align="center"|2 ปี
|-
| align="center"|-
| align="center"| [[ขุนวรวงศาธิราช]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2049]]
| align="center" colspan=3|[[พ.ศ. 2091]]
| align="center"|42 วัน <br><small> (ไม่ได้รับการยกย่อง แต่ผ่าน[[พระราชพิธีบรมราชาภิเษก]])
|-
| align="center"|15
| align="center"|[[สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ]]<br><small> (พระเจ้าช้างเผือก)
| align="center"|[[พ.ศ. 2048]]
| align="center"| [[พ.ศ. 2091]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 2111]]
| align="center"|20 ปี
|-
| align="center"|16
| align="center"|[[สมเด็จพระมหินทราธิราช]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2082]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2111]]
| align="center" colspan=2| [[7 สิงหาคม]] [[พ.ศ. 2112]]
| align="center"|1 ปี
|-
| align="center" colspan=8 style="background-color:#FFC0CB"|''[[การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่ง|เสียกรุงครั้งที่ 1]]''
|-
| colspan="7" align="center" style="background-color:#F0DC82"|[[ราชวงศ์สุโขทัย]]
|-
| align="center"|17
| align="center"|[[สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช]]<br><small> (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 1)
| align="center"|[[พ.ศ. 2059]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2112]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 2133]]
| align="center"|21 ปี
|-
| align="center"|18
| align="center"| [[สมเด็จพระนเรศวรมหาราช]] <br><small> (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 2)
| align="center"|[[พ.ศ. 2098]]
| align="center"| [[29 กรกฎาคม]] [[พ.ศ. 2133]]
| align="center" colspan=2|[[25 เมษายน]] [[พ.ศ. 2148]]
| align="center"|15 ปี
|-
| align="center"|19
| align="center"| [[สมเด็จพระเอกาทศรถ]] <br><small> (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 3)
| align="center"|[[พ.ศ. 2104]]
| align="center"|[[25 เมษายน]] [[พ.ศ. 2148]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 2153]]
| align="center"|5 ปี
|-
| align="center"|20
| align="center"| [[พระศรีเสาวภาคย์]]<br><small> (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 4)
| align="center"|?
| align="center" colspan=3|[[พ.ศ. 2153]]
| align="center"|2 เดือน
|-
| align="center"|21
| align="center"|[[สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม]]<br><small> (สมเด็จพระบรมราชาที่ 1)
| align="center"|[[พ.ศ. 2125]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2154]]
| align="center" colspan=2|[[12 ธันวาคม]] [[พ.ศ. 2171]]
| align="center"|17 ปี
|-
| align="center"|22
| align="center"|[[สมเด็จพระเชษฐาธิราช]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2156]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2171]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 2173]]
| align="center"|1 ปี 8 เดือน
|-
| align="center"|23
| align="center"|[[พระอาทิตยวงศ์]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2161]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2173]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2173]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2178]]
| align="center" colspan=2 |36 วัน
|-
| colspan="7" align="center" style="background-color:#F0DC82"|[[ราชวงศ์ปราสาททอง]]
|-
| align="center"|24
| align="center"|[[สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง]]<br><small> (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 5) </small>
| align="center"|[[พ.ศ. 2143]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2173]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 2199]]
| align="center"|25 ปี
|-
| align="center"|25
| align="center"|[[สมเด็จเจ้าฟ้าไชย]]<br><small> (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 6)
| align="center"|?
| align="center" colspan=3|[[พ.ศ. 2199]]
| align="center"|9 เดือน
|-
| align="center"|26
| align="center"|[[สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา]]<br><small> (พระสรรเพชญ์ที่ 7) </small>
| align="center"|?
| align="center" colspan=3|[[พ.ศ. 2199]]
| align="center"|2 เดือน 17 วัน
|-
| align="center"|27
| align="center"|[[สมเด็จพระนารายณ์มหาราช]] <br><small> (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3) </small>
| align="center"|[[พ.ศ. 2175]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2199]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2231]]
| align="center"|[[11 กรกฎาคม]] [[พ.ศ. 2231]]
| align="center"|32 ปี
|-
| colspan="7" align="center" style="background-color:#F0DC82"|[[ราชวงศ์บ้านพลูหลวง]]
|-
| align="center"|28
| align="center"|[[สมเด็จพระเพทราชา]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2175]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2231]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 2246]]
| align="center"|15 ปี
|-
| align="center"|29
| align="center"|[[สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8]]<br><small> (สมเด็จพระสุริเยนทราธิบดี) <br> (พระเจ้าเสือ) </small>
| align="center"|[[พ.ศ. 2204]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2246]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 2251]]
| align="center"|5 ปี
|-
| align="center"|30
| align="center"|[[สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9]]<br><small> (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ)
| align="center"|[[พ.ศ. 2221]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2251]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 2275]]
| align="center"|24 ปี
|-
| align="center"|31
| align="center"|[[สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2223]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2275]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 2301]]
| align="center"|26 ปี
|-
| align="center"|32
| align="center"|[[สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร]]<br><small> (ขุนหลวงหาวัด)
| align="center"|[[พ.ศ. 2265]]
| align="center" colspan=2|[[พ.ศ. 2301]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2339]]
| align="center"|2 เดือน
|-
| align="center"|33
| align="center"|[[สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์]]<br><small> ([[พระเจ้าเอกทัศ]]) </small>
| align="center"|[[พ.ศ. 2252]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2301]]
| align="center"|[[7 เมษายน]] [[พ.ศ. 2310]]
| align="center"|[[พ.ศ. 2310]]
| align="center"|9 ปี

|-
| align="center" colspan=8 style="background-color:#FFC0CB"|''[[การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง|เสียกรุงครั้งที่ 2]]''
|-
|}

== การปกครอง ==
{{ประวัติศาสตร์ไทย}}
ช่วงแรกมีการปกครองคล้ายคลึงกับในสมัยสุโขทัย พระมหากษัตริย์มีสิทธิ์ปกครองโดยตรงในราชธานี หากทรงใช้อำนาจผ่านข้าราชการและขุนนางเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีระบบการปกครองภายในราชธานีที่เรียกว่า [[จตุสดมภ์]] ตามการเรียกของ[[สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ|สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ]]<ref>โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. หน้า 5.</ref> อันได้แก่ กรมเวียง กรมวัง กรมคลัง และกรมนา

การปกครองนอกราชธานี ประกอบด้วย เมืองหน้าด่าน เมืองชั้นใน เมืองพระยามหานคร และเมืองประเทศราช โดยมีรูปแบบกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลางค่อนข้างมาก<ref name="โกวิท6"/> เมืองหน้าด่าน ได้แก่ ลพบุรี นครนายก พระประแดง และสุพรรณบุรี ตั้งอยู่รอบราชธานีทั้งสี่ทิศ ระยะเดินทางจากราชธานีสองวัน พระมหากษัตริย์ทรงส่งเชื้อพระวงศ์ที่ไว้วางพระทัยไปปกครอง แต่รูปแบบนี้นำมาซึ่งปัญหาการแย่งชิงราชสมบัติอยู่บ่อยครั้ง เมืองชั้นในทรงปกครองโดยผู้รั้ง ถัดออกไปเป็นเมืองพระยามหานครหรือหัวเมืองชั้นนอก ปกครองโดยเจ้าเมืองที่สืบเชื้อสายมาแต่เดิม มีหน้าที่จ่ายภาษีและเกณฑ์ผู้คนในราชการสงคราม<ref name="โกวิท6">โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. หน้า 6.</ref> และสุดท้ายคือเมืองประเทศราช พระมหากษัตริย์ปล่อยให้ปกครองกันเอง เพียงแต่ต้องส่งเครื่องบรรณาการมาให้ราชธานีทุกปี

ต่อมา [[สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ]] (ครองราชย์ พ.ศ. 1991-2031) ทรงยกเลิกระบบเมืองหน้าด่านเพื่อขจัดปัญหาการแย่งชิงราชสมบัติ และขยายอำนาจของราชธานีโดยการกลืนเมืองรอบข้างเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชธานี<ref>โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. หน้า 7.</ref> สำหรับระบบจตุสดมภ์ ทรงแยกกิจการพลเรือนออกจากกิจการทหารอย่างชัดเจน ให้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของสมุหนายกและสมุหกลาโหมตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนชื่อกรมและชื่อตำแหน่งเสนาบดี แต่ยังคงไว้ซึ่งหน้าที่ความรับผิดชอบเดิม

ส่วนการปกครองส่วนภูมิภาคมีลักษณะเปลี่ยนไปในทางการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางให้มากที่สุด โดยให้เมืองชั้นนอกเข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจของราชธานี มีระบบการปกครองที่ลอกมาจากราชธานี<ref>โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. หน้า 9.</ref> มีการลำดับความสำคัญของหัวเมืองออกเป็นชั้นเอก โท ตรี สำหรับหัวเมืองประเทศราชนั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมากนัก หากแต่พระมหากษัตริย์จะมีวิธีการควบคุมความจงรักภักดีต่อราชธานีหลายวิธี เช่น การเรียกเจ้าเมืองประเทศราชมาปรึกษาราชการ หรือมาร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกหรือถวายพระเพลิงพระบรมศพในราชธานี การอภิเษกสมรสโดยการให้ส่งราชธิดามาเป็นสนม และการส่งข้าราชการไปปกครองเมืองใกล้เคียงกับเมืองประเทศราชเพื่อคอยส่งข่าว ซึ่งเมืองที่มีหน้าที่ดังกล่าว เช่น พิษณุโลกและนครศรีธรรมราช<ref>โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. หน้า 10.</ref>

ในรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา (ครองราชย์ พ.ศ. 2231-2246) ทรงกระจายอำนาจทางทหารซึ่งเดิมขึ้นอยู่กับสมุหกลาโหมแต่ผู้เดียวออกเป็นสามส่วน โดยให้สมุหกลาโหมเปลี่ยนไปควบคุมกิจการทหารในราชธานี กิจการทหารและพลเรือนของหัวเมืองทางใต้ ให้สมุหนายกควบคุมกิจการพลเรือนในราชธานี กิจการทหารและพลเรือนของหัวเมืองทางเหนือ และพระโกษาธิบดี ให้ดูแลกิจการทหารและพลเรือนของหัวเมืองตะวันออก ต่อมา สมัย[[สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ]] (2275-2301) ทรงลดอำนาจของสมุหกลาโหมเหลือเพียงที่ปรึกษาราชการ และให้หัวเมืองทางใต้ไปขึ้นกับพระโกษาธิบดีด้วย<ref name="โกวิท11">โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. หน้า 11.</ref>

นอกจากนี้ ในสมัย[[สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช]] (ครองราชย์ พ.ศ. 2112-2133) ยังได้จัดกำลังป้องกันราชธานีออกเป็นสามวัง ได้แก่ วังหลวง มีหน้าที่ป้องกันพระนครทางเหนือ วังหน้า มีหน้าที่ป้องกันพระนครทางตะวันออก และวังหลัง มีหน้าที่ป้องกันพระนครทางตะวันตก ระบบดังกล่าวใช้มาจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<ref name="โกวิท11"/>

== พัฒนาการ ==
คนไทยไม่เคยขาดแคลนเสบียงอาหารอันอุดมสมบูรณ์ ชาวนาปลูกข้าวเพื่อการบริโภคของตนเองและเพื่อจ่ายภาษี ผลผลิตส่วนที่เหลืออยู่ใช้สนับสนุนสถาบันศาสนา อย่างไรก็ดี ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 ถึง 15 มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสังเกตในการปลูกข้าวของไทย บนที่สูง ซึ่งปริมาณฝนไม่เพียงพอ ต้องได้รับน้ำเพิ่มจากระบบชลประทานที่ควบคุมระดับน้ำในที่นาน้ำท่วม คนไทยหว่านเมล็ดข้าวเหนียวที่ยังเป็นสินค้าโภคภัณฑ์หลักในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือปัจจุบัน แต่ในที่ราบน้ำท่วมถึงเจ้าพระยา ชาวนาหันมาปลูกข้าวหลายชนิด ที่เรียกว่า [[ข้าวขึ้นน้ำ]]หรือข้าวนาเมือง (floating rice) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ยาวเรียว ไม่เหนียวที่รับมาจาก[[ประเทศบังกลาเทศ|เบงกอล]] ซึ่งจะเติบโตอย่างรวดเร็วทันพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำในที่ลุ่ม<ref name="dopa">{{cite web|url=http://www.dopa.go.th/English/history/econ2.htm|title=The Economy and Economic Changes|work=The Ayutthaya Administration|publisher=Department of Provincial Administration|accessdate=2010-01-30}}</ref>

สายพันธุ์ใหม่นี้เติบโตอย่างง่ายดายและอุดมสมบูรณ์ ทำให้มีผลผลิตส่วนเกินที่สามารถขายต่างประเทศได้ในราคาถูก ฉะนั้น กรุงศรีอยุธยา ซึ่งตั้งอยู่ใต้สุดของที่ราบน้ำท่วมถึง จึงกลายเป็นศูนย์กลางกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ภายใต้การอุปถัมภ์ของพระมหากษัตริย์ แรงงานกอร์เวขุดคลองซึ่งจะมีการนำข้าวจากนาไปยังเรือของหลวงเพื่อส่งออกไปยังจีน ในขบวนการนี้ [[สามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยา]] หาดโคลนระหว่างทะเลและดินแน่นซึ่งถูกมองว่าไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัย ถูกถมและเตรียมดินสำหรับเพาะปลูก ตามประเพณี พระมหากษัตริย์มีหน้าที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อประสาทพรการปลูกข้าว<ref name="dopa"/>

แม้ข้าวจะอุดมสมบูรณ์ในกรุงศรีอยุธยา แต่การส่งออกข้าวก็ถูกห้ามเป็นบางครั้งเมื่อเกิด[[ทุพภิกขภัย]] เพราะภัยพิบัติธรรมชาติหรือสงคราม โดยปกติขาวถูกแลกเปลี่ยนกับสินค้าฟุ่มเฟือยและอาวุธยุทธภัณฑ์จากชาวตะวันตก แต่การปลูกข้าวนั้นมีเพื่อตลาดภายในประเทศเป็นหลัก และการส่งออกข้าวนั้นเชื่อถือไม่ได้อย่างชัดเจน การค้ากับชาวยุโรปคึกคักในคริสต์ศตวรรษที่ 17 อันที่จริง พ่อค้ายุโรปขายสินค้าของตน ซึ่งเป็นอาวุธสมัยใหม่ เช่น [[ปืนเล็กยาว|ไรเฟิล]]และปืนใหญ่ เป็นหลัก กับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นจากป่าในแผ่นดิน เช่น ไม้สะพาน หนังกวางและข้าว [[โทเม ปิเรส]] นักเดินเรือชาวโปรตุเกส กล่าวถึงในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ว่า กรุงศรีอยุธยานั้น "อุดมไปด้วยสินค้าดี ๆ" พ่อค้าต่างชาติส่วนมากที่มายังกรุงศรีอยุธยาเป็นชาวยุโรปและชาวจีน และถูกทางการเก็บภาษี ราชอาณาจักรมีข้าว เกลือ ปลาแห้ง เหล้าโรง (arrack) และพืชผักอยู่ดาษดื่น<ref>Tome Pires. The Suma Oriental of Tome Pires. London, The Hakluyt Society,1944, p.107</ref>

การค้ากับชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นชาวฮอลันดาเป็นหลัก ถึงระดับสูงสุดในคริสต์ศตวรรษที่ 17 กรุงศรีอยุธยากลายมาเป็นจุดหมายปลายทางหลักสำหรับพ่อค้าจากจีนและญี่ปุ่น ชัดเจนว่า ชาวต่างชาติเริ่มเข้ามามีส่วนในการเมืองของราชอาณาจักร พระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาวางกำลังทหารรับจ้างต่างด้าวซึ่งบางครั้งก็เข้าร่วมรบกับอริราชศัตรูในศึกสงคราม อย่างไรก็ดี หลังจากการกวาดล้างชาวฝรั่งเศสในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ผู้ค้าหลักของกรุงศรีอยุธยาเป็นชาวจีน ฮอลันดาจาก[[บริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์]]ยังมีการค้าขายอยู่ เศรษฐกิจของอาณาจักรเสื่อมลงอย่างรวดเร็วในคริสต์ศตวรรษที่ 18
<ref name="dopa"/>

== พัฒนาการทางสังคมและการเมือง ==
[[ไฟล์:KosapanPortrait.jpg|thumb|170px|ขุนนางสมัยอยุธยาสวม[[ลอมพอก]]]]
นับแต่การปฏิรูปของ[[สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ]] พระมหากษัตริย์อยุธยาทรงอยู่ ณ ศูนย์กลางแห่งลำดับชั้นทางสังคมและการเมืองที่จัดช่วงชั้นอย่างสูง ซึ่งแผ่ไปทั่ว[[ราชอาณาจักร]] ด้วยขาดหลักฐาน จึงเชื่อกันว่า หน่วยพื้นฐานของการจัดระเบียบสังคมในราชอาณาจักรอยุธยา คือ ชุมชนหมู่บ้าน ที่ประกอบด้วยครัวเรือนครอบครัวขยาย กรรมสิทธิ์ในที่ดินอยู่กับผู้นำ ที่ถือไว้ในนามของชุมชน แม้ชาวนาเจ้าของทรัพย์สินจะพอใจการใช้ที่ดินเฉพาะเท่าที่ใช้เพาะปลูกเท่านั้น<ref name="apex">{{cite web|url=http://www.mahidol.ac.th/thailand/ayutthaya.html|title=Ayutthaya|date=November 1, 2002|publisher=Mahidol University|accessdate=2009-11-01}}</ref> ขุนนางค่อย ๆ กลายไปเป็น[[ข้าราชสำนัก]] (หรืออำมาตย์) และผู้ปกครองบรรณาการ (tributary ruler) ในนครที่สำคัญรองลงมา ท้ายที่สุด พระมหากษัตริย์ทรงได้รับการยอมรับว่าเป็น[[พระศิวะ]] (หรือ[[พระวิษณุ]]) ลงมาจุติบนโลก และทรงกลายมาเป็นสิ่งมงคลแก่พิธีปฏิบัติในทางการเมือง-ศาสนา ที่มี[[พราหมณ์]]เป็นผู้ประกอบพิธี ซึ่งเป็นข้าราชบริพารในราชสำนัก ในบริบทศาสนาพุทธ เทวราชาเป็น[[พระโพธิสัตว์]] ความเชื่อในเทวราชย์ (divine kingship) คงอยู่ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 แม้ถึงขณะนั้น นัยทางศาสนาของมันจะมีผลกระทบจำกัดก็ตาม

เมื่อมีที่ดินสำรองเพียงพอสำหรับการกสิกรรม ราชอาณาจักรจึงอาศัยการได้มาและการควบคุมกำลังคนอย่างพอเพียงเพื่อเป็นผู้ใช้แรงงานในไร่นาและการป้องกันประเทศ การเติบโตอย่างรวดเร็วของอยุธยานำมาซึ่งการสงครามอย่างต่อเนื่อง และเนื่องจากไม่มีแว่นแคว้นใดในภูมิภาคมีความได้เปรียบทางเทคโนโลยี ผลแห่งยุทธการจึงมักตัดสินด้วยขนาดของกองทัพ หลังจากการทัพที่ได้รับชัยชนะในแต่ละครั้ง อยุธยาได้กวาดต้อนผู้คนที่ถูกพิชิตกลับมายังราชอาณาจักรจำนวนหนึ่ง ที่ซึ่งพวกเขาจะถูกกลืนและเพิ่มเข้าไปในกำลังแรงงาน [[สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2]] ทรงสถาปนาระบบ[[กอร์เว]] (Corvée) แบบไทยขึ้น ซึ่งเสรีชนทุกคนจำต้องขึ้นทะเบียนเป็นข้า (หรือ[[ไพร่]]) กับเจ้านายท้องถิ่น เป็นการใช้แรงงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนใด ๆ ไพร่ชายต้องถูกเกณฑ์ในยามเกิดศึกสงคราม เหนือกว่าไพร่คือนาย ผู้รับผิดชอบต่อราชการทหาร แรงงานกอร์เวในการโยธาสาธารณะ และบนที่ดินของข้าราชการที่เขาสังกัด ไพร่ส่วยจ่ายภาษีแทนการใช้แรงงาน หากเขาเกลียดการใช้แรงงานแบบบังคับภายใต้นาย เขาสามารถขายตัวเป็นทาสแก่นายหรือเจ้าที่น่าดึงดูดกว่า ผู้จะจ่ายค่าตอบแทนแก่การสูญเสียแรงงานกอร์เว จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 กำลังคนกว่าหนึ่งในสามเป็นไพร่<ref name="apex"/>

ระบบไพร่เป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างมากเมื่อเทียบกับสมัยสุโขทัย<ref name="โกวิท12">โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. หน้า 12.</ref> โดยกำหนดให้ชายทุกคนที่สูงตั้งแต่ 1.25 เมตรขึ้นไปต้องลงทะเบียนไพร่<ref name="โกวิท12"/> ระบบไพร่มีความสำคัญต่อการรักษาอำนาจทางการเมืองของพระมหากษัตริย์ เพราะหากเจ้านายหรือขุนนางเบียดบังไพร่ไว้เป็นจำนวนมากแล้ว ย่อมส่งผลต่อเสถียรภาพของราชบัลลังก์ ตลอดจนส่งผลให้กำลังในการป้องกันอาณาจักรอ่อนแอ ไม่เป็นปึกแผ่น นอกจากนี้ ระบบไพร่ยังเป็นการเกณฑ์แรงงานเพื่อใช้ประโยชน์ในโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งล้วนแต่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานชีวิตและความมั่นคงของอาณาจักร<ref>โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. หน้า 13.</ref>

ความมั่งคั่ง สถานภาพ และอิทธิพลทางการเมืองสัมพันธ์ร่วมกัน พระมหากษัตริย์ทรงแบ่งสรรนาข้าวให้แก่ข้าราชสำนัก ผู้ว่าราชการท้องถิ่น ผู้บัญชาการทหาร เป็นการตอบแทนความดีความชอบที่มีต่อพระองค์ ตามระบบ[[ศักดินา]] ขนาดของการแบ่งสรรแก่ข้าราชการแต่ละคนนั้นตัดสินจากจำนวนไพร่หรือสามัญชนที่เขาสามารถบัญชาให้ทำงานได้ จำนวนกำลังคนที่ผู้นำหรือข้าราชการสามารถบัญชาได้นั้น ขึ้นอยู่กับสถานภาพของผู้นั้นเทียบกับผู้อื่นในลำดับขั้นและความมั่งคั่งของเขา ที่ยอดของลำดับขั้น พระมหากษัตริย์เป็นเสมือนผู้ถือครองที่ดินรายใหญ่ที่สุดในราชอาณาจักร ตามทฤษฎีแล้วทรงบัญชาไพร่จำนวนมากที่สุด เรียกว่า ไพร่หลวง ที่มีหน้าที่จ่ายภาษี รับราชการในกองทัพ และทำงานบนที่ดินของพระมหากษัตริย์<ref name="apex"/>

อย่างไรก็ดี การเกณฑ์กองทัพขึ้นอยู่กับมูลนาย ที่บังคับบัญชาไพร่สมของตนเอง มูลนายเหล่านี้จำต้องส่งไพร่สมให้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของพระมหากษัตริย์ในยามศึกสงคราม ฉะนั้น มูลนายจึงเป็นบุคคลสำคัญในการเมืองของอยุธยา มีมูลนายอย่างน้อยสองคนก่อรัฐประหารยึดราชบัลลังก์มาเป็นของตน ขณะที่การสู้รบนองเลือดระหว่างพระมหากษัตริย์กับมูลนายหลังจากการกวาดล้างข้าราชสำนัก พบเห็นได้บ่อยครั้ง<ref name="apex"/>

สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงกำหนดการแบ่งสรรที่ดินและไพร่ที่แน่นอนให้แก่ข้าราชการแต่ละขั้นในลำดับชั้นบังคับบัญชา ซึ่งกำหนดโครงสร้างสังคมของประเทศกระทั่งมีการนำระบบเงินเดือนมาใช้แก่ข้าราชการในสมัยรัตนโกสินทร์<ref name="apex"/>

[[พระสงฆ์]]อยู่นอกระบบนี้ ซึ่งชายไทยทุกชนชั้นสามารถเข้าสู่ชนชั้นนี้ได้ รวมถึงชาวจีนด้วย [[วัด]]กลายมาเป็นศูนย์กลางการศึกษาและวัฒนธรรม ระหว่างช่วงนี้ ชาวจีนเริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอยุธยา และไม่นานก็เริ่มควบคุมชีวิตเศรษฐกิจของประเทศ อันเป็นปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นช้านานอีกประการหนึ่ง<ref name="apex"/>

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงเป็นผู้รวบรวม[[ธรรมศาสตร์ (อินเดีย)|ธรรมศาสตร์]] (Dharmashastra) ประมวลกฎหมายที่อิงที่มาในภาษาฮินดูและธรรมเนียมไทยแต่โบราณ ธรรมศาสตรายังเป็นเครื่องมือสำหรับกฎหมายไทยกระทั่งปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีการนำระบบข้าราชการประจำที่อิงลำดับชั้นบังคับบัญชาของข้าราชการที่มีชั้นยศและบรรดาศักดิ์มาใช้ และมีการจัดระเบียบสังคมในแบบที่สอดคล้องกัน แต่ไม่มีการนำ[[ระบบวรรณะในศาสนาฮินดู]]มาใช้<ref name="usstate">{{cite web|url=http://www.state.gov/r/pa/ei/bgn/2814.htm|title=Background Note: Thailand|month=July | year=2009|publisher=U.S. Department of State|accessdate=2009-11-08| archiveurl= http://web.archive.org/web/20091104165710/http://www.state.gov/r/pa/ei/bgn/2814.htm| archivedate= 4 November 2009 <!--DASHBot-->| deadurl= no}}</ref>

หลังสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพจากราชวงศ์ตองอู พระองค์ทรงจัดการรวมการปกครองประเทศอยู่ใต้ราชสำนักที่กรุงศรีอยุธยาโดยตรง เพื่อป้องกันมิให้ซ้ำรอย[[สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช|พระราชบิดา]]ที่แปรพักตร์เข้ากับฝ่ายราชวงศ์ตองอูเมื่อครั้ง[[การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่ง]] พระองค์ทรงยุติการเสนอชื่อเจ้านายไปปกครองหัวเมืองของราชอาณาจักร แต่แต่งตั้งข้าราชสำนักที่คาดว่าจะดำเนินนโยบายที่พระมหากษัตริย์ส่งไป ฉะนั้น เจ้านายทั้งหลายจึงถูกจำกัดอยู่ในพระนคร การช่วงชิงอำนาจยังคงมีต่อไป แต่อยู่ใต้สายพระเนตรที่คอยระวังของพระมหากษัตริย์<ref name="tring">{{cite book|last=Ring|first=Trudy|coauthors=Robert M. Salkin|others=Sharon La Boda|title=International Dictionary of Historic Places: Asia and Oceania|publisher=Fitzroy Dearborn Publishers|location=Chicago|year=1995|volume=5|pages=56|isbn=18844964044{{Please check ISBN|reason=Invalid length.}}|url=http://books.google.com/books?id=vWLRxJEU49EC&pg=PA56&lpg=PA56&dq=Naresuan++freemen&source=bl&ots=REatqifhlS&sig=rBQpvLxkkyykDwU3qjfHTbHOHgw&hl=en&ei=flIgS_fHB4OysgPR8ImACg&sa=X&oi=book_result&ct=result&resnum=1&ved=0CAgQ6AEwAA#v=onepage&q=Naresuan%20%20freemen&f=false|accessdate=2009-12-10}}</ref>

เพื่อประกันการควบคุมของพระองค์เหนือชนชั้นผู้ว่าราชการใหม่นี้ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชมีกฤษฎีกาให้เสรีชนทุกคนที่อยู่ในระบบไพร่มาเป็นไพร่หลวง ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์โดยตรง ซึ่งจะเป็นผู้แจกจ่ายการใช้งานแก่ข้าราชการ วิธีการนี้ให้พระมหากษัตริย์ผู้ขาดแรงงานทั้งหมดในทางทฤษฎี และเนื่องจากพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าของกำลังของทุกคน พระองค์ก็ทรงครอบครองที่ดินทั้งหมดด้วย ตำแหน่งรัฐมนตรีและผู้ว่าราชการ และศักดินาที่อยู่กับพวกเขา โดยปกติเป็นตำแหน่งที่ตกทอดถึงทายาทในไม่กี่ตระกูลที่มักมีความสัมพันธ์กับพระมหากษัตริย์โดยการแต่งงาน อันที่จริง พระมหากษัตริย์ไทยใช้การแต่งงานบ่อยครั้งเพื่อเชื่อมพันธมิตรระหว่างพระองค์กับตระกูลที่ทรงอำนาจ ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ผลของนโยบายนี้ทำให้พระมเหสีในพระมหากษัตริย์มักมีหลายสิบพระองค์<ref name="tring"/>

หากแม้จะมีการปฏิรูปโดยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ตาม ประสิทธิภาพของรัฐบาลอีก 150 ปีถัดมาก็ยังไม่มั่นคง พระราชอำนาจนอกที่ดินของพระมหากษัตริย์ แม้จะเด็ดขาดในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติถูกจำกัดโดยความหละหลวมของการปกครองพลเรือน อิทธิพลของรัฐบาลกลางและพระมหากษัตริย์อยู่ไม่เกินพระนคร เมื่อเกิดสงครามกับพม่า หัวเมืองต่าง ๆ ทิ้งพระนครอย่างง่ายดาย เนื่องจากกำลังที่บังคับใช้ไม่สามารถเกณฑ์มาป้องกันพระนครได้โดยง่าย กรุงศรีอยุธยาจึงไม่อาจต้านทานผู้รุกรานได้<ref name="tring"/>

== ศิลปะและวัฒนธรรม ==
การแสดง[[โขน]] และศิลปะนาฏศิลป์สยามประเภทต่างๆนั้นมีหลักฐานอย่างชัดเจนว่า มีการให้จัดแสดงขึ้นในพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยาในลักษณะที่กล่าวได้ว่าเกือบจะเหมือนกับรูปแบบของ[[นาฏศิลป์ไทย]]ที่ปรากฏอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน และที่แพร่หลายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้สันนิษฐานได้ว่าศิลปะการ[[ละคร]]ของไทยน่าจะต้องถูกพัฒนาขึ้นจนสมบูรณ์ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ตามสมัยคริสตกาลเป็นอย่างน้อย โดยในระหว่างที่ราชอาณาจักรอยุธยายังมีสัมพันธ์ทางการทูตโดยตรงกับฝรั่งเศส [[พระเจ้าหลุยส์ที่ 14]] สุริยะกษัตริย์ (Sun King) แห่ง[[ราชอาณาจักรฝรั่งเศส]] ได้ส่งราชทูต ชื่อ [[ซีมง เดอ ลาลูแบร์]] มายังประเทศสยาม ในปี ค.ศ. 1687 และพำนักอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อให้จดบันทึกทุกอย่างเกี่ยวกับประเทศสยาม ตั้งแต่การปกครอง ภาษา ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณี โดย ลา ลูแบร์ ได้มีโอกาสได้สังเกตการแสดงนาฏศิลป์ประเภทต่างๆในราชสำนักไทย และจดบันทึกไว้โดยละเอียดดังนี้:
{{คำพูด|"ชาวสยามมีศิลปะการเวทีอยู่สามประเภท: ประเภทที่เรียกว่า "'''[[โขน]]"''' นั้น เป็นการร่ายรำเข้า ๆ ออก ๆ หลายคำรบ ตามจังหวะซอและเครื่องดนตรีอย่างอื่นอีก ผู้แสดงนั้นสวมหน้ากาก และถืออาวุธ แสดงบทหนักไปในทางสู้รบกันมากกว่าจะเป็นการร่ายรำ และมาตรว่าการแสดงส่วนใหญ่จะหนักไปในทางโลดเต้นเผ่นโผนโจนทะยาน และวางท่าอย่างเกินสมควร แต่ก็มีการหยุดเจรจาออกมาสักคำสองคำอยู่ไม่ได้ขาด หน้ากาก (หัวโขน) ส่วนใหญ่นั้นน่าเกลียด เป็นหน้าสัตว์ที่มีรูปพรรณวิตถาร หรือไม่เป็นหน้าอสูร[[ปีศาจ]] " ส่วนการแสดงประเภทที่เรียกว่า "'''[[ละคร]]"''' นั้นเป็นบทกวีที่ผสมผสานกัน ระหว่างมหากาพย์ และบทละครพูด ซึ่งแสดงกันยืดยาวไปสามวันเต็มๆ ตั้งแต่ ๘ โมงเช้า จนถึง ๑ ทุ่ม ละครเหล่านี้เป็น ประวัติศาสตร์ที่ร้อยเรียงเป็นบทกลอนที่เคร่งครึม และขับร้องโดยผู้แสดงหลายคนที่อยู่ในฉากพร้อมๆกัน และเพียงแต่ร้องโต้ตอบกันเท่านั้น โดยมีคนหนึ่งขับร้องในส่วนเนื้อเรื่อง ส่วนที่เหลือจะกล่าวบทพูด แต่ทั้งหมดที่ขับร้องล้วนเป็นผู้ชาย ไม่มีผู้หญิงเลย ... ส่วน '''"ระบำ"''' นั้นเป็นการรำคู่ของหญิงชาย ซึ่งแสดงออกอย่างอาจหาญ ... นักเต้นทั้งหญิงและชายจะสวมเล็บปลอมซึ่งยาวมาก และทำจากทองแดง นักแสดงจะขับร้องไปด้วยรำไปด้วย พวกเขาสามารถรำได้โดยไม่เข้าพัวพันกัน เพราะลักษณะการเต้นเป็นการเดินไปรอบๆ อย่างช้าๆ โดยไม่มีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว แต่เต็มไปด้วยการบิดและดัดลำตัว และท่อนแขน"|ซีมง เดอ ลาลูแบร์,
จดหมายเหตุว่าด้วยราชอาณาจักรสยาม (ค.ศ.1693), หน้า 49<ref>Simon de La Loubère, "The Kingdom of Siam" (Oxford Univ Press, 1986) (1693), p. 49</ref>}}

ในส่วนที่เกี่ยวกับการแต่งกายของนักแสดงโขน ลา ลูแบร์ ได้บันทึกไว้ว่า: "นักเต้นใน "'''ระบำ'''" และ "'''โขน'''" จะสวม[[ชฎา]]ปลายแหลมทำด้วยกระดาษมีลวดลายสีทอง ซึ่งดูคล้ายๆหมวกของพวกข้าราชการสยามที่ใส่ในงานพิธี แต่จะหุ้มตลอดศีรษะด้านข้างไปจนถึงใต้หู และตกแต่งด้วยหินอัญมณีเลียนแบบ โดยมีห้อยพู่สองข้างเป็นไม้ฉาบสีทอง"<ref name="La Loubère 1693, at 49">La Loubère (1693), at 49</ref>

เนื่องจากในสมัยอยุธยามีการสร้างสรรค์วรรณคดีไว้มาก วัตถุดิบวรรณคดีเหล่านั้นส่งผลให้การนาฏศิลป์ และการละครของสยาม ได้รับพัฒนาขึ้นจนมีความสมบูรณ์แบบทั้งในการแต่งกาย และการแสดงออกในระดับสูง และมีอิทธิพลต่ออาณาจักรข้างเคียงมาก ดังที่ กัปตันเจมส์ โลว์ นักวิชาการอังกฤษผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้บันทึกไว้ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์:

"พวกชาวสยามได้พัฒนาศิลปะการแสดงละครของตนจนเข้าถึงความสมบูรณ์แบบในระดับสูง -- และในแง่นี้ศิลปะของสยามจึงเผยแพร่ไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในพม่า ลาว และกัมพูชา ซึ่งล้วนแต่เสาะหานักรำละครของสยามทั้งสิ้น"<ref>James Low, "On Siamese Literature" (1839), p. 177|url=http://www.siamese-heritage.org/jsspdf/2001/JSS_095_0i_Smyth_JamesLowOnSiameseLiterature.pdf</ref>

== ประชากรศาสตร์ ==
=== กลุ่มชาติพันธุ์ ===
[[ไฟล์:La_Loubere_Kingdom_of_Siam.jpg|thumb|right|225px|ภาพชาวสยามจากจดหมายเหตุลาลูแบร์ พ.ศ. 2236]]
ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 20 อาณาจักรอยุธยามีประชากรประมาณ 1,900,000 คน ซึ่งนับชายหญิงและเด็กอย่างครบถ้วน<ref>มร.เดอะ ลาลูแบรฺ. ''จดหมายเหตุลาลูแบรฺฉบับสมบูรณ์'', เล่มที่ 1, แปล สันต์ ท. โกมลบุตร. พระนคร:ก้าวหน้า. 2510, หน้า 46</ref> แต่ลาลูแบร์กล่าวว่า ตังเลขดังกล่าวน่าจะไม่ถูกต้องเนื่องจากมีผู้หนีการเสียภาษีอากรไปอยู่ตามป่าตามดงอีกมาก<ref>มร.เดอะ ลาลูแบรฺ. ''จดหมายเหตุลาลูแบรฺฉบับสมบูรณ์'', หน้า 47</ref> แอนโธนี เรด นักวิชาการด้านอุษาคเนย์เทียบหลักฐานจากคำบอกเล่าต่างๆ แล้วประมาณว่า กรุงศรีอยุธยามีประชากร ในช่วงคริสต์ศตวรรษ ที่ 17 ราว 200,000 ถึง 240,000 คน<ref>Anthony Reid, South East Asia in the Age of Commerce: Expansion and Crisis (1988), p.71-73</ref> มีกลุ่มชาติพันธุ์หลักคือ[[ไทยสยาม]]ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่ใช้[[ภาษาตระกูลขร้า-ไท]] ซึ่งบรรพบุรุษของไทยสยามปรากฏหลักแหล่งของกลุ่มคนที่ใช้ภาษาตระกูลขร้า-ไทเก่าแก่ที่สุดอายุกว่า 3,000 ปี ซึ่งมีหลักแหล่งแถบ[[เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง|กว่างซี]] คาบเกี่ยวไปถึง[[มณฑลกวางตุ้ง|กวางตุ้ง]]และแถบลุ่มแม่น้ำดำ-แดงใน[[เวียดนาม]]ตอนบน ซึ่งกลุ่มชนนี้มีความเคลื่อนไหวไปมากับดินแดนไทยในปัจจุบันทั้งทางบกและทางทะเลและมีการเคลื่อนไหวไปมาอย่างไม่ขาดสาย<ref name="อัก">สุจิตต์ วงษ์เทศ. ''อักษรไทยมาจากไหน?''. หน้า 128</ref> ในยุค[[อาณาจักรทวารวดี]]ในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงหลังปี [[พ.ศ. 1100]] ก็มีประชากรตระกูลไทย-ลาว เป็นประชากรพื้นฐานรวมอยู่ด้วย<ref name="อัก"/> ซึ่งเป็นกลุ่มชนอพยพลงมาจากบริเวณสองฝั่งโขงลงทางลุ่มน้ำน่านแล้วลงสู่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาฟากตะวันตกแถบ[[สุพรรณบุรี]] [[ราชบุรี]] ถึง[[เพชรบุรี]]และเกี่ยวข้องไปถึง[[นครศรีธรรมราช|เมืองนครศรีธรรมราช]]<ref name="ไทย">สุจิตต์ วงษ์เทศ. ''อักษรไทยมาจากไหน?''. หน้า 130</ref> ซึ่งในส่วนนี้ลาลูแบร์ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ให้ความเห็นส่วนตัวว่า ''ชาวลาวกับชาวสยามเกือบจะเป็นชาติเดียวกัน''<ref>มร.เดอะ ลาลูแบรฺ. จดหมายเหตุลาลูแบรฺฉบับสมบูรณ์, หน้า 45</ref> นอกจากนี้ลาลูแบร์ยังอธิบายเพิ่มว่าตามธรรมเนียมแต่โบราณแล้ว ทั้งสองฝ่ายอ้างว่าตนรับกฎหมายของตนมาจากอีกฝ่าย กล่าวคือฝ่ายสยามเชื่อว่ากฎหมาย และเชื้อสายกษัตริย์ของตนมาจากลาว และฝ่ายลาวก็เชื่อว่ากฎหมาย และกษัตริย์ของตนมาจากสยาม<ref>Simon de La Loubère, The Kingdom of Siam (Oxford Univ. Press 1986) (1693), at 9</ref> นอกจากนี้ลาลูแบร์สังเกตเห็นว่าสังคมอยุธยานั้นมีคนปะปนกันหลายชนชาติ และ "เป็นที่แน่ว่าสายเลือดสยามนั้นผสมกับของชาติอื่น"<ref>La Loubère (1693), p.10</ref> เนื่องจากมีคนต่างชาติต่างภาษาจำนวนมากอพยบเข้ามาอยู่ในอยุธยาเพราะทราบถึงชื่อเสียงเรื่องเสรีภาพทางการค้า<ref>La Loubère (1693), p.10</ref>

เอกสารจีนที่บันทึกโดยหม่าฮวนได้กล่าวไว้ว่า ชาวเมืองพระนครศรีอยุธยาพูดจาด้วยภาษาอย่างเดียวกับกลุ่มชนทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน<ref name="อัก"/> คือพวกที่อยู่ในมณฑลกวางตุ้งกับกว่างซี และด้วยความที่ดินแดนแถบอุษาคเนย์เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์จึงมีกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายตั้งหลักแหล่งอยู่ปะปนกันจึงเกิดการประสมประสานทางเผ่าพันธุ์ วัฒนธรรม และภาษาจนไม่อาจแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน<ref name="ษร">สุจิตต์ วงษ์เทศ. ''อักษรไทยมาจากไหน?''. หน้า 129</ref> และด้วยการผลักดันของ[[ละโว้|รัฐละโว้]] ทำให้เกิดรัฐอโยธยาศรีรามเทพนคร ภายหลังปี [[พ.ศ. 1700]] ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมหลายอย่าง<ref name="ษร"/>

ด้วยเหตุที่กรุงศรีอยุธยาเป็นอาณาจักรที่มีความเจริญรุ่งเรือง กลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มอื่น ๆ ได้อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร เชลยที่ถูกกวาดต้อน ตลอดจนถึงชาวเอเชียและชาวตะวันตกที่เข้ามาเพื่อการค้าขาย ในกฎมนเทียรบาลยุคต้นกรุงศรีอยุธยาได้เรียกชื่อชนพื้นเมืองต่าง ๆ ได้แก่ ''"[[แขก]][[ขอม]][[ชาวลาว|ลาว]][[พม่า]][[ชาวมอญ|เมง]][[ชาวมอญ|มอญ]]มสุมแสง[[ชาวจีน|จีน]][[ชาวจาม|จาม]][[ชาวชวา|ชวา]]..."''<ref name="กรุง"/> ซึ่งมีการเรียกชนพื้นเมืองที่อาศัยปะปนกันโดยไม่จำแนกว่า ''ชาวสยาม''<ref name="กรุง">สุจิตต์ วงษ์เทศ. กรุงเทพฯ มาจากไหน?. หน้า 188</ref> ในจำนวนนี้มี[[ชาวมอญ]]อพยพเข้ามาในสมัย[[สมเด็จพระมหาธรรมราชา]], [[สมเด็จพระนเรศวรมหาราช]], [[สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง]], [[สมเด็จพระนารายณ์มหาราช]] และ[[สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ]] เนื่องจากชาวมอญไม่สามารถทนการบีบคั้นจากการปกครองของพม่าในช่วง[[ราชวงศ์ตองอู]] จนในปี [[พ.ศ. 2295]] พม่าได้ปราบชาวมอญอย่างรุนแรง จึงมีการลี้ภัยเข้ามาในกรุงศรีอยุธยาจำนวนมาก<ref>สุภรณ์ โอเจริญ. ''ชาวมอญในประเทศไทย:วิเคราะห์ฐานะและบทบาทในสังคมไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลางจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น.'' (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พ.ศ. 2519), หน้า 48-68</ref> โดยชาวมอญในกรุงศรีอยุธยาตั้งถิ่นฐานอยู่ริมแม่น้ำ เช่น บ้านขมิ้นริมวัดขุนแสน ตำบลบ้านหลังวัดนก ตำบลสามโคก และวัดท่าหอย<ref>''พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันทานุมาศ (เจิม) กับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) ''. พระนคร:คลังวิทยา, 2507, หน้า 145 และ 403</ref> ชาวเขมรอยู่วัดค้างคาว<ref>''พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันทานุมาศ (เจิม) กับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) '', หน้า 446</ref> ชาวพม่าอยู่ข้างวัดมณเฑียร<ref>''พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันทานุมาศ (เจิม) กับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) '', หน้า 463</ref> ส่วนชาวตังเกี๋ยและชาวโคชินไชน่า (ญวน) ก็มีหมู่บ้านเช่นกัน<ref>นิโกลาส์ แชรแวส. ''ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม (ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ''. แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร. พระนคร:ก้าวหน้า, 2506, หน้า 62</ref> เรียกว่าหมู่บ้านโคชินไชน่า<ref>ประชุมพงศาวดารภาคที่ 36 ฉบับหอสมุดแห่งชาติ, เล่ม 9. พระนคร:ก้าวหน้า, 2507, หน้า 150</ref> นอกจากนี้ชาวลาว หรือไทยวนก็มีจำนวนมากเช่นกัน โดยในรัชสมัยของ[[สมเด็จพระราเมศวร]]ครองราชย์ครั้งที่สอง ได้กวาดต้อนครัว[[ไทยวน]]จากเชียงใหม่ส่งไปไว้ยัง[[จังหวัดพัทลุง]], [[สงขลา]], [[นครศรีธรรมราช]] และ[[จันทบุรี]]<ref>พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันทานุมาศ (เจิม) กับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด), หน้า 507-508</ref> และในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่ทรงยกทัพไปตีล้านนาในปี [[พ.ศ. 2204]] ได้[[ลำปาง|เมืองลำปาง]], [[ลำพูน]], [[เชียงใหม่]], [[เชียงแสน]] และได้กวาดต้อนมาจำนวนหนึ่ง<ref>สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ. ไทยรบพม่า. พระนคร:คลังวิทยา, 2514. หน้า 235-237</ref>เป็นต้น โดยเหตุผลที่กวาดต้อนเข้ามา ก็เพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านเศรษฐกิจและการทหาร<ref>บังอร ปิยะพันธุ์, หน้า 11</ref> และนอกจากกลุ่มประชาชนแล้วกลุ่มเชื้อพระวงศ์ที่เป็นเชลยสงครามและผู้ที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร มีทั้งเชื้อพระวงศ์ลาว, เชื้อพระวงศ์เชียงใหม่ (Chiamay), เชื้อพระวงศ์พะโค (Banca), และเชื้อพระวงศ์กัมพูชา<ref>บาทหลวงตาชารด์, แปล สันต์ ท. โกมลบุตร. ''จดหมายเหตุการเดินทางสู่ประเทศสยามของบาทหลวงตาชาร์ด.'' กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร, 2517, หน้า 46</ref>

นอกจากชุมชนชาวเอเชียที่ถูกกวาดต้อนมาแล้วก็ยังมีชุมชนของกลุ่มผู้ค้าขายและผู้เผยแผ่ศาสนาทั้งชาวเอเชียจากส่วนอื่นและชาวตะวันตก เช่น ชุมชน[[ชาวฝรั่งเศส]]ที่บ้านปลาเห็ด<ref>เซอร์จอห์น เบาริง แปล นันทนา ตันติเวสส์. หน้า 73</ref> ปัจจุบันอยู่ทางทิศใต้นอกเกาะอยุธยาใกล้กับ[[วัดพุทไธสวรรย์]] ซึ่งภายหลังบ้านปลาเห็ตได้เปลี่ยนชื่อเป็นบ้านเซนต์โยเซฟ<ref>พลับพลึง มูลศิลป์. ความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศสสมัยกรุงศรีอยุธยา, กรุงเทพฯ:บรรณกิจ, 2523. หน้า 72</ref> หมู่บ้านญี่ปุ่นอยู่ริมแม่น้ำระหว่างหมู่บ้านชาวมอญและโรงกลั่นสุราของชาวจีน ถัดไปเป็นชุมชนชาวฮอลันดา<ref>เซอร์จอห์น เบาริง แปล นันทนา ตันติเวสส์. หน้า 95-115</ref> ทางใต้ของชุมชนฮอลันดาเป็นถิ่นพำนักของ[[ชาวอังกฤษ]], [[มลายู]] และ[[มอญ]]จาก[[พะโค]]<ref>สุภัตรา ภูมิประภาส. นางออสุต:เมียลับผู้ทรงอิทธิพลแห่งการค้าเมืองสยาม. ในศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 30 ฉบับที่ 11 กันยายน 2552 กรุงเทพ:สำนักพิมพ์มติชน,2552. หน้า 93</ref> นอกจากนี้ก็ยังมีชุมชนของชาวอาหรับ เปอร์เซีย และกลิงก์ (คนจากแคว้นกลิงคราษฎร์จากอินเดีย)<ref>ภาสกร วงศ์ตาวัน. ไพร่ ขุนนาง เจ้า แย่งชิงบัลลังก์สมัยอยุธยา. กรุงเทพฯ:ยิปซี, หน้า 80</ref> ส่วน[[ไทยเชื้อสายโปรตุเกส|ชุมชนชาวโปรตุเกส]]ตั้งอยู่ตรงข้ามชุมชนญี่ปุ่น ชาวโปรตุเกสส่วนใหญ่มักสมรสข้ามชาติพันธุ์กับชาวสยาม จีน และมอญ<ref>ไกรฤกษ์ นานา. ''500 ปี สายสัมพันธ์สองแผ่นดินไทย-โปรตุเกส''. กรุงเทพฯ : มติชน, 2553 หน้า 126</ref> ส่วนชุมชน[[ชาวจาม]] มีหลักแหล่งแถบคลองตะเคียนทางใต้ของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาเรียกว่า ''ปทาคูจาม'' มีบทบาทสำคัญด้านการค้าทางทะเล และตำแหน่งในกองทัพเรือ เรียกว่า '' อาษาจาม'' และเรียกตำแหน่งหัวหน้าว่า [[พระราชวังสัน]]<ref>สุจิตต์ วงษ์เทศ. ''กรุงเทพฯ มาจากไหน?'', หน้า 190</ref>

นักวิชาการด้านอุษาเคนย์ ให้ข้อสังเกตว่า ในขณะที่อยุธยามีความหลายหลายทางเชื้อชาติสูงด้วยเหตุผลทางการค้าขาย และการเทครัวประชากรจากภูมิภาคอื่น แต่ประชากรทั้งในและรอบนอกอยุธยาก็แสดงออกว่ามีใจฝักใฝ่ และสวามิภักดิ์ต่ออยุธยาสูง<ref>Liberman (2003), "Strange Parallel Southeast Asia in Global Context c. 800 - 1830, Vol. 1", at 313-314</ref> อยุธยาจึงมิได้มีปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์เหมือนอย่างในแถบลุ่ม[[แม่น้ำอิรวดี]] เอกสารจากฝั่งพม่าในคริสต์ ศ.ที่ 16 อ้างถึงผู้คนทางตอนใต้ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยารวมๆว่า "ชาวอยุธยา" หรือ "ทหารอยุธยา"<ref>Liberman (2003), Strange Parallel Southeast Asia in Global Context, at 324</ref> นอกจากนี้สำนึกในความเป็นชาติ หรือความเป็นสยาม ก็ได้เริ่มปรากฏรูปร่างแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยา ในบันทึกของ [[วันวลิต]] (ฟาน วลีต) พ่อค้าชาวเนเธอร์แลนด์ ที่เข้ามาค้าขายในรัชกาล[[สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง]]ระบุว่า ชาวสยามมีความโดดเด่นในเรื่องความภาคภูมิใจในชาติของตน โดยชาวสยาม "''เชื่อว่าไม่มีชาติอื่นที่จะเทียบกับตนได้ และเห็นว่ากฎหมาย ขนบธรรมเนียม และความรู้ของตนนั้นดีกว่าที่ไหนทุกแห่งในโลก''"<ref>Van Vliet (1692), "Description of the Kingdom of Siam" (L.F. Van Ravenswaay trans.), at 82</ref> วิกเตอร์ ลีเบอร์แมน เชื่อว่าสาเหตุที่ราชอาณาจักรอยุธยา มีความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ค่อนข้างน้อยนั้น ก็เนื่องมาจากมูลเหตุ 4 ประการ<ref>Liberman (2003), "Strange Parallel Southeast Asia in Global Context", at 329-330</ref> ได้แก่
# สัดส่วนของจำนวนประชากรชาวสยาม ต่อประชากรชาติพันธุ์อื่นนั้นค่อนข้างต่ำ
# ชาวสยามมีชนชาติอื่นที่อพยพเข้ามาเพราะสงครามในพม่า เช่น ชาวมอญ และชาว[[ไทยวน]]ซึ่งมีใจฝักใฝ่สยามมากกว่าพม่า
# ความเป็นนานาชาติพันธุ์ของบรรยากาศการค้าขายในอยุธยา ทำให้การเลือกปฏิบัติทางชาติพันธุ์มีความเบาบางลง นอกจากนี้ยังมีคนต่างชาติรับราชการในกรุงศรีอยุธยาอยู่เป็นจำนวนมาก
# สงครามระหว่างสยามกับชาติเพื่อนบ้าน ไม่ยืดเยื้อยาวนานเท่าฝั่งพม่า ทำให้แนวคิดขัดแย้งทางชาติพันธุ์ไม่ฝังรากลึก ในสมัยพระเจ้าอลองพญาแม้จะตีเอาเมืองท่าสำคัญของมอญ เช่น นครย่างกุ้ง ได้ แต่ก็ปกครองเมืองท่าเหล่านี้อยู่ห่างๆ ไม่ย้ายเมืองหลวงลงมา เนื่องจากอาจเป็นจุดล่อแหลมต่อการถูกโจมตีจากทางทะเล<ref>{{cite web|title=สุเนตร ชุตินธรานนท์: ไขคติ "เบิกยุค" ของพม่า เหตุย้ายเมืองหลวงไป "เนปิดอว์"|website=ประชาไท|url=https://prachatai.com/journal/2012/06/41272}}</ref>

=== ภาษา ===
สำเนียงดั้งเดิมของกรุงศรีอยุธยามีความเชื่อมโยงกับชนพื้นเมืองตั้งแต่ลุ่มน้ำยมที่[[สุโขทัย|เมืองสุโขทัย]]ลงมาทางลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกในแถบ[[สุพรรณบุรี]], [[ราชบุรี]], [[เพชรบุรี]] ซึ่งสำเนียงดังกล่าวมีความใกล้ชิดกับสำเนียงหลวงพระบาง โดยเฉพาะสำเนียงเหน่อของสุพรรณบุรีมีความใกล้เคียงกับสำเนียงหลวงพระบาง<ref name="มา">สุจิตต์ วงษ์เทศ. ''อักษรไทยมาจากไหน?''. หน้า 132</ref> ซึ่งสำเนียงเหน่อดังกล่าวเป็นสำเนียงหลวงของกรุงศรีอยุธยา ประชาชนชาวกรุงศรีอยุธยาทั้งพระเจ้าแผ่นดินจนถึงไพร่ฟ้าราษฏรก็ล้วนตรัสและพูดจาในชีวิตประจำวัน ซึ่งปัจจุบันเป็น[[ขนบ]]อยู่ในการละเล่น[[โขน]]ที่ต้องใช้สำเนียงเหน่อ โดยหากเปรียบเทียบกับสำเนียงกรุงเทพฯ ในปัจจุบันนี้ ที่ในสมัยนั้นถือว่าเป็นสำเนียงบ้านนอกถิ่นเล็ก ๆ ของราชธานีที่แปร่งและเยื้องจากสำเนียงมาตรฐานของกรุงศรีอยุธยา<ref name="จาก">สุจิตต์ วงษ์เทศ. ''อักษรไทยมาจากไหน?''. หน้า 133</ref> และถือว่าผิดขนบ<ref name="มา"/>

ภาษาดั้งเดิมของกรุงศรีอยุธยาปรากฏอยู่ใน[[โองการแช่งน้ำ]] ซึ่งเป็นร้อยกรองที่เต็มไปด้วยฉันทลักษณ์ที่แพร่หลายแถบแว่นแคว้นสองฝั่งลุ่มแม่น้ำโขงมาแต่ดึกดำบรรพ์<ref name="ไหน">สุจิตต์ วงษ์เทศ. ''อักษรไทยมาจากไหน?.'' หน้า 130</ref> และภายหลังได้พากันเรียกว่า [[โคลงมณฑกคติ]] เนื่องจากเข้าใจว่าได้รับแบบแผนมาจากอินเดีย<ref name="ไหน"/> ซึ่งแท้จริงคือโคลงลาว หรือ [[โคลงห้า]] ที่เป็นต้นแบบของ[[โคลงดั้น]]และ[[โคลงสี่สุภาพ]]<ref name="มา"/> โดยในโองการแช่งน้ำเต็มไปด้วยศัพท์แสงพื้นเมืองของ[[ภาษาไทย|ไทย]]-[[ภาษาลาว|ลาว]] ส่วนคำที่มาจาก[[ภาษาบาลี|บาลี]]-[[ภาษาสันสกฤต|สันสกฤต]] และ[[ภาษาเขมร|เขมร]]อยู่น้อย<ref name="มา"/> โดยหากอ่านเปรียบเทียบก็จะพบว่าสำนวนภาษาใกล้เคียงกับข้อความในจารึกสมัยสุโขทัย และ[[พงศาวดารล้านช้าง]]<ref name="มา"/>

ด้วยเหตุที่กรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่ใกล้ทะเลและเป็นศูนย์กลางการค้านานาชาติทำให้สังคมและวัฒนธรรมเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ต่างกับบ้านเมืองแถบสองฝั่งโขงที่ห่างทะเล อันเป็นเหตุที่ทำให้มีลักษณะที่ล้าหลังกว่าจึงสืบทอดสำเนียงและระบบความเชื่อแบบดั้งเดิมไว้ได้เกือบทั้งหมด<ref name="จาก"/> ส่วนภาษาในกรุงศรีอยุธยาก็ได้รับอิทธิพลของภาษาจากต่างประเทศจึงรับคำในภาษาต่าง ๆ มาใช้ เช่นคำว่า [[กุหลาบ]] ที่ยืมมาจากคำว่า ''กุล้อบ'' ใน[[ภาษาเปอร์เซีย]] ที่มีความหมายเดิมว่า ''น้ำดอกไม้''<ref>สุดารา สุจฉายา. ประวัติศาสตร์เก็บตกที่อิหร่านย้อนรอยสายสัมพันธ์ไทย-อิหร่าน. ''กรุ่นกลิ่นอารยธรรมเปอร์เซียในเมืองสยาม.'' กรุงเทพฯ : มติชน, 2550. หน้า 144</ref> และยืมคำว่า ''ปาดรื'' (Padre) จาก[[ภาษาโปรตุเกส]] แล้วออกเสียงเรียกเป็น [[บาทหลวง]]<ref>อาทิตย์ ทรงกลด. ''เรื่องลับเขมรที่คนไทยควรรู้.'' กรุงเทพฯ:สยามบันทึก, 2552, หน้า 106</ref> เป็นต้น

== ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ==
[[ไฟล์:SiameseEmbassyToLouisXIV1686NicolasLarmessin.jpg|thumb|ราชทูตไทยที่ถูกส่งไปเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เมื่อ พ.ศ. 2229]]
[[ไฟล์:OkKhunChamnan.JPG|150px|thumb|[[ออกขุนชำนาญใจจง]] นักการทูต[[สยาม]]ที่เดินทางเยือน[[ฝรั่งเศส]]และ[[โรม]]ในปี ค.ศ. 1688 วาดโดย [[คาร์โล มารัตตา]]]]

อาณาจักรอยุธยามักส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายจักรพรรดิจีนเป็นประจำทุกสามปี เครื่องบรรณาการนี้เรียกว่า "จิ้มก้อง" นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าการส่งเครื่องราชบรรณาการดังกล่าวแฝงจุดประสงค์ทางธุรกิจไว้ด้วย คือ เมื่ออาณาจักรอยุธยาได้ส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายแล้วก็จะได้เครื่องราชบรรณาการกลับมาเป็นมูลค่าสองเท่า<ref name="โกวิท14">โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. หน้า 14.</ref> ทั้งยังเป็นธุรกิจที่ไม่มีความเสี่ยง จึงมักจะมีขุนนางและพ่อค้าเดินทางไปพร้อมกับการนำเครื่องราชบรรณาการไปถวายด้วย

พ.ศ. 2054 ทันทีหลังจากที่ยึดครองมะละกา โปรตุเกสได้ส่งผู้แทนทางการทูต นำโดย ดูอาร์เต เฟอร์นันเดส (Duarte Fernandes) มายังราชสำนัก[[สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2]] หลังได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างราชอาณาจักรโปรตุเกสและราชอาณาจักรอยุธยาแล้ว ผู้แทนทางการทูตโปรตุเกสก็ได้กลับประเทศแม่ไปพร้อมกับผู้แทนทางทูตของอยุธยา ซึ่งมีของกำนัลและพระราชสาส์นถึงพระเจ้าโปรตุเกสด้วย<ref>Donald Frederick Lach, Edwin J. Van Kley, "Asia in the making of Europe", pp. 520–521, University of Chicago Press, 1994, ISBN 978-0-226-46731-3</ref> ผู้แทนทางการทูตโปรตุเกสชุดนี้อาจเป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยก็เป็นได้ ห้าปีให้หลังการติดต่อครั้งแรก ทั้งสองได้บรรลุสนธิสัญญาซึ่งอนุญาตให้โปรตุเกสเข้ามาค้าขายในราชอาณาจักรอยุธยา สนธิสัญญาที่คล้ายกันใน พ.ศ. 2135 ได้ให้พวกดัตช์มีฐานะเอกสิทธิ์ในการค้าข้าว

ในรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ บันทึกของฮอลันดาระบุว่ามีการส่งคณะทูตานุทูตไปยังฮอลันดาจำนวน 20 คน ไปในเรือลำเดียวกันกับพ่อค้าชาวฮอลันดา ในแบบอย่างเต็มยศ คือมีพระราชสาส์น ตลอดจนเครื่องราชบรรณาการต่าง ๆ ที่มีค่าตามแบบแผนประเพณีของการเจริญพระราชไมตรีสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยได้เดินทางไปถึง[[กรุงเฮก]] เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2151 ซึ่งคณะทูตานุทูตคณะนี้ถือเป็นการส่งคณะทูตครั้งแรกไปเจริญทางสัมพันธไมตรีกับประเทศในยุโรป อย่างไรก็ตามในบันทึกไม่ได้ระบุชื่อราชทูตหรือบุคคลใดๆ ในคณะทูต ทราบเพียงแต่จำนวนว่ามีหัวหน้าสองท่าน (ราชทูตและอุปทูต) พนักงานรักษาเครื่องราชบรรณาการ เจ้าพนักงานพระราชสาส์น และอื่นๆ ซึ่งได้เข้าเฝ้า[[เจ้าชายมอร์ริส เจ้าชายแห่งออเรนจ์]]ในวันถัดจากที่เดินทางมาถึง<ref>[https://www.siamrath.co.th/n/11107 ประวัติสัมพันธไมตรีสยาม-เนเธอร์แลนด์ รัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ (1)]</ref>

ชาวต่างชาติได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นที่ราชสำนัก[[สมเด็จพระนารายณ์มหาราช]] ผู้ทรงมีทัศนะสากลนิยม (cosmopolitan) และทรงตระหนักถึงอิทธิพลจากภายนอก ได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ที่สำคัญกับญี่ปุ่น บริษัทการค้าของเนเธอร์แลนด์และอังกฤษได้รับอนุญาตให้จัดตั้งโรงงาน และมีการส่งคณะผู้แทนทางการทูตของอยุธยาไปยังกรุง[[ปารีส]]และ[[เดอะเฮก|กรุงเฮก]] ด้วยการธำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านี้ ราชสำนักอยุธยาได้ใช้เนเธอร์แลนด์คานอำนาจกับอังกฤษและฝรั่งเศสอย่างชำนาญ ทำให้สามารถเลี่ยงมิให้ชาติใดชาติหนึ่งเข้ามามีอิทธิพลมากเกินไป<ref name="francethai">{{cite web|url=http://www.mfa.go.th/web/117.php|title=The Beginning of Relations with Buropean Nations and Japan (sic)|year=2006|publisher=Thai Ministry of Foreign Affairs|accessdate=2010-02-11}}</ref>

ในปี พ.ศ. 2207 เนเธอร์แลนด์ใช้กำลังบังคับเพื่อให้ได้สนธิสัญญาที่ให้[[สิทธิสภาพนอกอาณาเขต]] เช่นเดียวกับการเข้าถึงการค้าอย่างเสรี [[เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน)|คอนสแตนติน ฟอลคอน]] นักผจญภัยชาวกรีกผู้เข้ามาเป็นเสนาบดีต่างประเทศในราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กราบทูลให้พระองค์หันไปพึ่งความช่วยเหลือจากฝรั่งเศส วิศวกรฝรั่งเศสก่อสร้างป้อมค่ายแก่คนไทย และสร้างพระราชวังแห่งใหม่ที่[[ลพบุรี]] นอกเหนือจากนี้ มิชชันนารีชาวฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทในการศึกษาและการแพทย์ ตลอดจนนำแท่นพิมพ์เครื่องแรกเข้ามาในราชอาณาจักรด้วย [[พระเจ้าหลุยส์ที่ 14]] ทรงสนพระราชหฤทัยในรายงานจากมิชชันนารีที่เสนอว่า สมเด็จพระนารายณ์อาจเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ได้<ref name="conphal">{{cite book|last=Smithies|first=Michael|title=Three military accounts of the 1688 "Revolution" in Siam|publisher=Orchid Press|location=Bangkok|year=2002|pages=12, 100, 183|isbn=974-524-005-2}}</ref>

อาณาจักรอยุธยามีความสัมพันธ์กับชาติตะวันตกในด้านการค้าขายและการเผยแผ่ศาสนา โดยชาวตะวันตกได้นำเอาวิทยาการใหม่ ๆ เข้ามาด้วย ต่อมา [[เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน)|คอนสแตนติน ฟอลคอน]]ได้เข้ามามีอิทธิพลและยัง บรรดาขุนนางจึงประหารฟอลคอนเสีย และลดระดับความสำคัญกับชาติตะวันตกตลอดช่วงเวลาที่เหลือของอาณาจักรอยุธยา

อย่างไรก็ดี การเข้ามาของฝรั่งเศสกระตุ้นให้เกิดความแค้นและความหวาดระแวงแก่หมู่ชนชั้นสูงของไทยและนักบวชในศาสนาพุทธ ทั้งมีหลักฐานว่าคบคิดกับฝรั่งเศสจะยึดกรุงศรีอยุธยา<ref name="โกวิท14"/> เมื่อข่าวสมเด็จพระนารายณ์กำลังจะเสด็จสวรรคตแพร่ออกไป [[สมเด็จพระเพทราชา|พระเพทราชา]] ผู้สำเร็จราชการ ก็ได้สังหาร[[พระปีย์|รัชทายาทที่ทรงได้รับแต่งตั้ง]] คริสเตียนคนหนึ่ง และสั่งประหารชีวิตฟอลคอน และมิชชันนารีอีกจำนวนหนึ่ง การมาถึงของเรือรบอังกฤษยิ่งยั่วยุให้เกิดการสังหารหมู่ชาวยุโรปมากขึ้นไปอีก พระเพทราชาเมื่อปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว ทรงขับชาวต่างชาติออกจากราชอาณาจักร รายงานการศึกษาบางส่วนระบุว่า อยุธยาเริ่มต้นสมัยแห่งการตีตัวออกห่างพ่อค้ายุโรป ขณะที่ต้อนรับวาณิชจีนมากขึ้น แต่ในการศึกษาปัจจุบันอื่น ๆ เสนอว่า สงครามและความขัดแย้งในยุโรปช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นเหตุให้พ่อค้ายุโรปลดกิจกรรมในทางตะวันออก อย่างไรก็ดี เป็นที่ประจักษ์ว่า [[บริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์]]ยังทำธุรกิจกับอยุธยาอยู่ แม้จะประสบกับความยากลำบากทางการเมือง<ref name="conphal"/>

== อ้างอิง ==
{{รายการอ้างอิง|3}}

=== บรรณานุกรม ===
* Van Vliet, Jeremias, "Description of the Kingdom of Siam" (L.F. Van Ravenswaay trans.) (1692).
* Liberman, Victor, "Strange Parallel Southeast Asia in Global Context c. 800 - 1830, Vol. 1: Integration on the Mainland" (Cambridge Univ. Press, 2003).
* โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. '''การเมืองการปกครองไทย: หลายมิติ'''.
* นิโกลาส์ แชรแวส. ''ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม (ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) '', แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร. พระนคร:ก้าวหน้า, 2506
* ''พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันทานุมาศ (เจิม) กับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด).''พระนคร:คลังวิทยา, 2507
* บาทหลวงตาชารด์, แปล สันต์ ท. โกมลบุตร. ''จดหมายเหตุการเดินทางสู่ประเทศสยามของบาทหลวงตาชาร์ด''. กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร, 2517
* [[สุจิตต์ วงษ์เทศ]]. ''อักษรไทยมาจากไหน?.'' กรุงเทพฯ:มติชน, 2548. ISBN 974-323-547-7
* เซอร์จอห์น เบาริง, แปล นันทนา ตันติเวสส์. ''ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสยามกับต่างประเทศสมัยกรุงศรีอยุธยา''. กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร, 2527
* บังอร ปิยะพันธุ์. ''ลาวในกรุงรัตนโกสินทร์''. กรุงเทพฯ:มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2541. ISBN 974-86304-7-1
* [[สุจิตต์ วงษ์เทศ]]. ''กรุงเทพฯ มาจากไหน?.'' กรุงเทพฯ:มติชน, 2548. ISBN 974-323-436-5

== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* Suthachai Yimprasert, "Portuguese Lancados in Asia in the Sixteenth and Seventeenth Centuries, " Ph.D. Dissertation, University of Bristol, 1998.

== ดูเพิ่ม ==
* [[เหตุการณ์สำคัญในอาณาจักรอยุธยา]]
* [[พระราชวังโบราณ อยุธยา|พระราชวังหลวงแห่งกรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา]]
* [[วัดพระศรีสรรเพชญ์]]

== แหล่งข้อมูลอื่น ==
{{วิกิซอร์ซ|สถานีย่อย:กรุงศรีอยุธยา|ประมวลงานประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา}}
* [http://www.naresuan.com นเรศวรดอตคอม]
* [http://www.thapra.lib.su.ac.th/dbcollection/rarebook/showrarebook.asp?id=296 พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เล่ม 1-2]
* [http://www.student.chula.ac.th/~49370271/main.htm รวมบทความประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยา]
* [http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Pid=26442&page=4 วิชาการ.คอม]
* [http://www.tv5.co.th/service/mod/heritage/king/ayuthaya/ayuthaya5.htm#top หอมรดกไทย]
* [http://www.ayutthaya.org/ กรุงศรีอยุธยา]
* [http://www.ayutthayachannel.com/ อยุธยา]

{{ประเทศไทย}}
{{กรุงศรีอยุธยา}}


[[หมวดหมู่:อาณาจักรอยุธยา| ]]
[[หมวดหมู่:อาณาจักรอยุธยา| ]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:21, 21 มีนาคม 2564

ไม่จริง

วิกิมั่ว

เรามาแก้

คือ

เอแหเอ ิ่้เ่ีั้ะ่ะเ้่

เสร็จ