ที-34
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
T-34 | |
---|---|
A T-34-85 tank on display at Musée des Blindés in April 2007. | |
ชนิด | รถถังขนาดกลาง |
แหล่งกำเนิด | สหภาพโซเวียต |
บทบาท | |
ประจำการ | 1940–ประมาณทศวรรษ 1960s (USSR) 1950s–ปัจจุบัน (ประเทศอื่น) |
ผู้ใช้งาน | สหภาพโซเวียต และ 39 ประเทศ |
สงคราม | สงครามโลกครั้งที่สอง, and many others |
ประวัติการผลิต | |
ผู้ออกแบบ | KMDB |
ช่วงการออกแบบ | 1937–40 |
ช่วงการผลิต | 1940–58 |
จำนวนที่ผลิต | 84,070[1] 35,120 T-34/76[1] 48,950 T-34-85[1] |
ข้อมูลจำเพาะ (T-34 Model 1941[4]) | |
มวล | 26.5 ตัน |
ความยาว | 6.68 m (21 ft 11 in) |
ความกว้าง | 3.00 m (9 ft 10 in) |
ความสูง | 2.45 m (8 ft 0 in) |
ลูกเรือ | 4 (T-34-76) 5 (T-34-85) |
เกราะ | Hull front 47 mm /60° (upper part)[2] 45 mm (1.8")/60° (lower part), Hull side 40 mm[3]/41°(upper part), Hull rear 45 mm, Hull top 20 mm, Hull bottom 15 mm; Turret front 60 mm (2.4"), Turret side 52 mm/30°, Turret rear 30 mm, Turret top 16 mm [ต้องการตรวจสอบความถูกต้อง] |
อาวุธหลัก | 76.2 mm (3.00 in) F-34 tank gun (T-34-85: 85 mm ZiS-S-53 gun) |
อาวุธรอง | 2 × 7.62 mm (0.308 in) DT machine guns |
เครื่องยนต์ | Model V-2-34 38.8 L V12 Diesel engine 500 hp (370 kW) |
กำลัง/น้ำหนัก | 18.9 hp (14 kW) / tonne |
กันสะเทือน | Christie |
ความสูงจากพื้นรถ | 0.4 m (16 in) |
พิสัยปฏิบัติการ |
|
ความเร็ว | 53 km/h (33 mph) |
ที-34 (T-34) เป็นรถถังขนาดกลางสัญชาติโซเวียตที่ถูกนำเสนอในปี ค.ศ. 1940 ได้มีชื่อเสียงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กับปฏิบัติการบาร์บาร็อสซา
ปืนรถถังขนาด 76.2 มม.(3 นิ้ว) ที่ทรงพลังมากกว่าปืนรถถังที่ร่วมสมัย[5] ในขณะที่เกราะแบบลาดเอียง 60 องศา ซึ่งสามารถป้องกันได้ดีต่ออาวุธต่อต้านรถถัง ระบบกันสะเทือนของคริสตีได้รับการสืบทอดมาจากการออกแบบรถถังรุ่นเอ็ม1928 ของชาวอเมริกันนามว่า เจ. วอลเตอร์ คริสตี รถถังแบบรุ่นที่ถูกขายที่มีป้อมปืนน้อยให้กับกองทัพแดง และได้ถูกบันทึกว่า เป็น"รถแทรกเตอร์ฟาร์ม" ภายหลังจากถูกกองทัพสหรัฐปฏิเสธ ที 34 มีผลอย่างมากต่อความขัดแย้งในแนวรบด้านตะวันออกในสงครามโลกครั้งที่สอง และมีผลกระทบที่ยาวนานต่อการออกแบบรถถัง ภายหลังจากที่เยอรมันได้เผชิญหน้ากับรถถังคันนี้ในปี ค.ศ. 1941 นายพลเยอรมัน นามว่า เพาล์ ลูทวิช เอวัลท์ ฟ็อน ไคลสท์ ได้เรียกมันว่า "รถถังที่ดีเยี่ยมที่สุดในโลก" และไฮนทซ์ กูเดรีอันได้ยืนยันว่า รถถังที-34 "มีความเหนือกว่า"รถถังเยอรมันอย่างมาก[6][7] "ในช่วงต้นของเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1941 หัวหน้ากองบัญชาการใหญ่แห่งแวร์มัคท์ อัลเฟรท โยเดิล ได้บันทึกไว้ในอนุทินสงครามของเขาที่กล่าวถึง ความประหลาดใจที่อาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ชนิดนี้ที่น่าทึงและไม่รู้จัก ได้ถูกปล่อยมาต่อสู้รบกับกองพลจู่โจมเยอรมัน"[8] แม้ว่าเกราะและอาวุธยุทโธปกรณ์ของมันจะมีมากกว่าในช่วงสงคราม แต่ก็ยังได้ถูกอธิบายว่า เป็นการออกแบบรถถังที่มีอิทธิพลมากที่สุดในสงคราม[9]
ที-34 เป็นหัวหลักของกองกำลังยานเกราะโซเวียตในช่วงตลอดสงคราม ข้อมูลจำเพาะทั่วไปของมันยังแทบไม่เปลี่ยนแปลงจนถึงปลายปี ค.ศ. 1944 เมื่อได้อัพเกรดอำนาจการยิงด้วยการเปิดตัวรถถังรุ่นที-34/85 ที่ถูกทำออกมาดีมากขึ้น วิธีการผลิตนั้นได้ถูกทำออกมาอย่างประณีตและมีเหตุผลอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของแนวรบด้านตะวันออก ทำให้ที-34 ถูกผลิตออกมาได้เร็วและราคาถูกกว่า ในท้ายที่สุด โซเวียตได้สร้างที-34 จำนวนกว่า 80,000 คันของทุกรุ่นทั้งหมด ทำให้สามารถเข้าสู่สนามรบได้จำนวนมากขึ้นเรือย ๆ แม้จะต้องประสบความสูญเสียในการสู้รบกับกองทัพแวร์มัคท์ของเยอรมัน[10] การแทนที่รถถังเบาและขนาดกลางจำนวนมากในการเข้าประจำการในกองทัพแดง เป็นรถถังที่ถูกผลิตขึ้นได้มากที่สุดในสงครามและเป็นรถถังที่ผลิตขึ้นได้มากที่สุดเป็นอันดับสองตลอดกาล (รองลงจากรถถังรุ่น ที-54/ที 55)[11] ด้วยจำนวนที่สูญเสีย 44,900 คันในช่วงสงคราม มันยังเป็นการสูญเสียรถถังมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา[12] การพัฒนาได้นำไปสู่รถถังรุ่น ที-44 โดยตรง จากนั้นก็เป็นรถถังรุ่น ที-54 และที-55 ซึ่งจะพัฒนามาเป็นรถถังรุ่น ที-62 ที-72 และที-90 ในภายหลัง ซึ่งเป็นแกนหลักของยานเกราะของกองทัพสมัยใหม่จำนวนมาก ที-34 รุ่นต่าง ๆ ได้ถูกส่งออกไปอย่างกว้างขวางในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และเมื่อไม่นานมานี้ ในปี ค.ศ. 2018 มีจำนวนมากกว่า 130 คัน ที่ยังอยู่ในประจำการ[13]
จุดเริ่มต้น
[แก้]ที-34 พัฒนาขึ้นมามาจากรถถังตระกูลบีที หรือที่ภาษารัสเซียเรียก แบแต ซึ่งเป็นรถถังเคลื่อนที่เร็ว และถูกนำเข้าประจำการณ์แทนรถถังตระกูลบีที และ ที-26 โดยช่วงก่อน ค.ศ. 1939 รถถังโซเวียตส่วนมากเป็นรถถังเบารุ่นที-26 และ รถถังเคลื่อนที่เร็วตระกูลบีที รุ่น ที-26 นั้นเป็นรถถังเคลื่อนที่ช้าสำหรับทหารราบมันถูกออกแบบมาให้เกาะไปกับทหารเดินเท้า ส่วนบีทีนั้น เป็นรถถังของทหารม้า มันเร็วมาก และถูกออกแบบให้สู้กับรถถัง แต่ไม่ใช่กับทหารราบ แต่ทั้งสองแบบมีเกราะบาง ป้องกันอาวุธเล็ก ได้ แต่ต้านปืนต่อสู้รถถังขนาดใหญ่ไม่ได้ ขณะที่เครื่องยนต์น้ำมันก๊าดของรถถังก็มักมีปัญหาไฟลุกอยู่ บ่อยครั้ง ทั้งสองแบบ ต่างก็พัฒนามาจากมันสมองของชาวต่างชาติทั้งสิ้น ที-26 นั้นพัฒนามาจากรถถัง วิคเกอร์-6 ตัน ของอังกฤษ ส่วน บีที ก็เป็นการออกแบบโดยวอลเตอร์ คริสตี้ วิศวกรอเมริกัน
เอ-20, เอ-32
[แก้]ค.ศ. 1937 กองทัพแดงมอบหมายให้ มิคาอิล กอชกิ้น ( Mikhail koshkin ) ให้เป็นผู้นำทีมออกแบบรถถังที่จะมาแทนรถถังบีที พวกเขาก็ได้รถถังต้นแบบที่เรียกกันว่า เอ-20 ตามขนาดเกราะที่หนา 20 มม.ติดปืนขนาด 45 มม.และใช้เครื่องยนต์ วี-2ที่พัฒนาใหม่ ใช้น้ำมันดีเซลซึ่งติดไฟได้ยากกว่า มันมีล้อขนาด 8x6 คล้ายกับล้อขนาด 8x2 ของบีที ที่สามารถวิ่งได้แม้ไม่มีตีนตะขาบ ทำให้ไม่ต้องซ่อมบำรุงรักษาตีนตะขาบที่ในยุคนั้นยังไม่สมบูรณ์นัก มันทำความเร็วบนถนนได้กว่า 85 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนั้น ทีมออกแบบยังได้ยืมแนวคิดจากการวิจัยโครงการรถถังบีทีก่อนหน้านี้ เรื่องการโค้งมนของเกราะ เพื่อให้กระสุนที่ถูกยิงมาแฉลบออกไปมาใช้ด้วย แต่ข้อได้เปรียบในด้านการรบอื่นๆของ เอ-20 ยังไม่มี
กอชกิ้นได้ขอสตาลินเดินหน้าพัฒนารถถังต้นแบบรุ่น 2 เพื่อให้เป็นรถถังครอบจักรวาล ติดอาวุธหนักกว่า มีเกราะหนากว่า และสามารถใช้ทดแทนได้ทั้งรถถัง ที-26 และ บีที รถต้นแบบนี้พวกเขาเรียกมันว่า เอ-32 ตามความหนา 32 มม.ของเกราะด้านหน้า มันติดปืนขนาด 76.2 มม. และใช้เครื่องยนต์แบบ เอ-20 รถ ถังรุ่นนี้เคลื่อนที่ได้ดีพอๆกับ เอ-20 แม้จะหนักกว่า
สงครามฟินแลนด์
[แก้]ต่อมาเกิดสงครามฤดูหนาวระหว่างโซเวียตกับฟินแลนด์และรถถังรุ่นที่มีอยู่ของโซเวียตแสดงผลงานการรบได้ย่ำแย่มาก ปัญหาการไม่ยอมรับรถถัง เอ-32 ของบรรดานายทหาร และปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการผลิตรถถังรุ่นใหม่ที่สูงมากจึงถูกมองข้ามไป ประกอบกับมีประเด็นเรื่องความสำเร็จของการทำสงครามสายฟ้าแล่บของเยอรมนีในฝรั่งเศสมาเสริม รถถัง เอ-32 รุ่นที่มีเกราะด้านหน้าหนา 45 มม.และมีตีนตะขาบที่กว้างกว่าเดิม จึงเข้าสู่สายพานการผลิต มันได้รับชื่อว่า ที-34 คอชกิ้นเลือกใช้ชื่อนี้ก็เพราะ ค.ศ. 1934 เป็นปีที่ลูกของเขาเกิดแนวคิดเกี่ยวกับรถถังรุ่นใหม่ และเพื่อเป็นการร่วมฉลองการออกกฤษฎีกาขยายกองกำลังยานเกราะ
หลังการจากไปของกอชกิ้น
[แก้]ที-34 ต้นแบบ 2 คันสร้างเสร็จต้น ค.ศ. 1940 และได้แสดงแสนยานุภาพโดยการวิ่งไกล 2,000 กิโล เมตรจากโรงงานที่คาร์คอฟ (ปัจจุบันเรียก คาร์คิฟ อยู่ในยูเครน) เพื่อไปมอสโก ก่อนจะไปฟินแลนด์ มินสค์ และเคียฟ ก่อนจะกลับไปโรงงานเพื่อปรับปรุงข้อบกพร่อง ที-34 รุ่นพร้อมใช้งานออกมาในเดือนกันยายนปีเดียวกัน และเข้าทดแทนรถถัง ที-26 , รถถังขนาดกลางที-28 และ บีที ปลายเดือนเดียวกันนั้น กอชกิ้นก็เสียชีวิตจากโรคปอดบวม รถรุ่นแรกติดปืนขนาด 76.2 มม.จึงเรียกกันว่า ที-34/76 ในปี ค.ศ. 1944 มีการปรับปรุงระบบอาวุธ โดยหันมาใช้ปืนขนาด 85 มม. จึงเรียกว่า ที-34/85 เพื่อนำมาต่อกรกับรถถถังพันท์เซอร์และทีเกอร์ของฝ่ายเยอรมัน
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
[แก้]ในเบื้องต้น ที-34 ผลิตกันที่เมืองคาร์คอฟ โดยโรงงานอื่นๆส่งส่วนประกอบต่างๆมาสนับสนุน ต่อมามีการย้ายฐานการผลิตไปเมืองอื่น ก่อนที่นาซีเยอรมันจะบุกสหภาพโซเวียตในสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่องนี้กดดันให้ประเทศต้องเร่งผลิตที-34 ออกมาเต็มกำลังหลังจากที่ก่อนหน้านี้ถกเถียงกันว่า ควรหันไปผลิตรถถังรุ่นเก่า หรือไม่ก็หันพัฒนารุ่นที่ก้าวหน้ามากกว่า ช่วงที่ประเทศเข้าสู่สงคราม ที-34 มีสัดส่วนแค่ 4 เปอร์เซ็นต์ของรถถังของประเทศ
การปรากฏตัวของที-34 ในฤดูร้อน ค.ศ. 1941 ทำให้ทหารเยอรมันประหลาดใจ และตกใจอย่างมากแม้ คาดว่าจะเจอการตอบโต้อย่างหนักจากฝ่ายศัตรูมาอย่างดีแล้วก็ตาม แต่ที-34 ยุคแรกก็มีข้อบกพร่องทาง ด้านเครื่องยนต์มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบเกียร์และคลัทช์ ความสูญเสียของที-34 ใน ฤดูร้อนปีนั้น ครึ่งหนึ่งเกิดจากความบกพร่องของมันเอง มากกว่าที่จะเป็นจากฝ่ายข้าศึก
จากการสูญเสียมากมายในช่วงแรกของฝ่ายโซเวียต จึงได้คิดหาวิธีทำให้ค่าใช้จ่ายในการผลิตรถถูกลง แต่รถ ถังยังใช้งานได้ดี เช่นเรื่องการทำให้โลหะแข็งขึ้น ในที่สุดในเวลาแค่ 2 ปี ค่าใช้จ่ายในการผลิตรถที-34ก็ลด ลงจากคันละ 269,500 รูเบิ้ลในปี ค.ศ. 1941 เหลือแค่ 135,000 รูเบิ้ล ระยะเวลาในการสร้างก็ลดลงครึ่งหนึ่ง ใช้เวลาในการผลิต1200คันต่อเดือน แม้คนงานส่วนมากจะเป็นผู้หญิง คนสูงอายุ และเด็ก
ที-34 เหนือกว่ารถถังเยอรมันอย่างมากเมื่อสามารถลุยได้ทั้งในสภาพพื้นผิวทีเป็นโคลนหนา หรือน้ำแข็ง อาวุธของฝ่ายทหารราบเยอรมันก็ทำอะไรมันไม่ได้ แต่ที่ทำให้ ที-34 ไม่ประสบควมสำเร็จขนานใหญ่ก็เพราะพลประจำรถถังที่ได้รับการฝึกน้อย และฝ่ายบัญชาการที่มีข้อบกพร่อง ฝ่ายเยอรมันได้แก้เกมด้วยการผลิตปืนต่อสู้รถถัง และรถถังที่ใหญ่กว่า แม้ทหารเยอรมันบอกว่าที่พวกเขาต้องการก็คือให้เยอรมันผลิต ที-34 ออกมาสู้กับที-34 ของโซเวียต
การปรับปรุง และ ที-43
[แก้]หลังจากฝ่ายเยอรมันนำปืนขนาด 75 มม.มาติดรถถังของพวกเขาในปี ค.ศ. 1942 ทำให้ที-34 ไม่ได้เปรียบอีกต่อไป โซเวียตก็ได้เริ่มออกแบบรถถังรุ่นใหม่คือ ที-43 ซึ่งหวังจะให้เด่นในเรื่องเกราะที่เพิ่มการป้องกันได้มากขึ้น มันจะเป็นรถถังเอนกประสงค์ โดยจะเข้ามาแทน ที-34 และ รถถังหนัก เควี-1 แต่ปีถัดมา เยอรมนีส่งรถถังทีเกอร์และพันท์เซอร์เข้าสนามรบ ปืนของที-34 สู้กับรถถังรุ่นใหม่ไม่ไหว มองกันว่าปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 88 มม.น่าจะสู้ได้ และมันสามารถนำมาปรับใช้กับรถถังได้ แต่เกราะของ ที-43 รุ่นต้นแบบก็ยังต้านทานปืนใหญ่รถถังขนาด 88 มม.ของทีเกอร์ไม่ไหว ขณะเดียวกันความเร็วของมันก็สู้ ที-34 ไม่ได้ โซเวียตจึงตัดสินใจปรับปรุง ที-34 จนกลายเป็นรุ่น ที-34/85 ตามขนาดของปืน การตัดสินใจพัฒนารถถังรุ่นเก่า แทนการผลิตรุ่นใหม่ มีความสำคัญต่อการรักษาอัตราการผลิตรถถังของโซเวียตอย่างมาก เพราะขณะที่โซเวียตผลิตที-34/85 ได้เดือนละ 1,200 คันเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1944 นาซีเยอรมันมีรถถังพันท์เซอร์อยู่ในแนวรบตะวันออกแค่ 304 คันเท่านั้น ข้อด้อยของที-34 จึงสู้กับรถถังเหล่านี้ได้ไม่ยากเย็นนัก
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการสร้าง ที-34/85 ก็ลดลงเรื่อยๆ ปี ค.ศ. 1945 ค่าใช้จ่ายลดเหลือคันละ142,000 รูเบิ้ล ขณะที่ศักยภาพการเคลื่อนที่และความเร็วยังเท่าเดิม ส่วนระบบอาวุธและเกราะก็เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จนถึงปลายปี ค.ศ. 1945 ที-34 ถูกผลิตออกมากว่า 57,000 คัน และคิดเป็น 55 เปอร์เซ็นต์ของรถถังทั้งหมดที่โซเวียตมีอยู่
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
[แก้]หลังสงคราม มีการผลิตที-34 ออกมาอีกมากมาย รวมทั้งมีการออกใบอนุญาตให้ประเทศอื่นๆสามารถผลิตมันได้ด้วยอย่างจีน โปแลนด์ และ เชคโกสโลวาเกีย ในยุคทศวรรษที่ 1960 ที-34/85 มีการปรับปรุงให้ทันสมัยเพื่อการส่งออกและการเป็นกำลังสำรอง ประเมินกันว่า ที-34 ถูกผลิตออกมาทั้งสิ้น 84,070 คัน มันถูกใช้ในกลุ่มประเทศสนธิสัญญาวอร์ซอ ในสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม สงครามบอสเนีย ตะวันออกกลาง อัฟกานิสถาน อังโกล่า โซมาเลีย และไซปรัส รวมแล้ว 39 ประเทศทั่วโลกเคยนำ ที-34 เข้าประจำการ
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 Zaloga & Kinnear 1996:18
- ↑ Specifications for T-34 model 41 WWIIVehicles.com. Retrieved on 18 May 2013.
- ↑ Zaloga & Sarson 1994:5
- ↑ Zaloga & Grandsen 1984:184
- ↑ McFadden, David Frederick (2002). Two ways to build a better mousetrap. Ohio: Ohio State University. p. 11.
- ↑ Guderian, Heinz (2000). "6". Panzer Leader. London: Penguin Classics. p. 233. ISBN 978-0-14-139027-7.
- ↑ Caidin, M. (1974). 14 "The incredible T-34 tank." In The Tigers are Burning (2nd ed., p. 162). Los Angeles: Pinnacle Books.
- ↑ Kennedy, Paul (2013). Engineers of Victory. New York: Random House. pp. 184. ISBN 978-1-4000-6761-9.
- ↑ "Achtung Panzer! – T-34!".
- ↑ "The T-34 in WWII: the Legend vs. the Performance | Operation Barbarrosa". www.operationbarbarossa.net. สืบค้นเมื่อ 2015-12-16.
- ↑ Harrison 2002
- ↑ Krivosheev, G. I. (1997). Soviet Casualties and Combat Losses. Greenhill. p. 253. ISBN 978-1-85367-280-4.
- ↑ International Institute for Strategic Studies (IISS) (2010). The Military Balance 2010. London: IISS. ISBN 978-1-85743-557-3.