ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กาเฟอีน"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ZeroSixTwo (คุย | ส่วนร่วม)
แก้ไขลิงก์เสียและปรับปรุงอ้างอิง
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
{{chembox
{{chembox
| Name =
| Name =
| ImageFileL1 = Caffeine.svg
| ImageFileL1 = Caffeine.svg
| ImageSizeL1 = 100px
| ImageSizeL1 = 100px
| ImageNameL1 = hybrid skeletal structure of the caffeine molecule
| ImageNameL1 = hybrid skeletal structure of the caffeine molecule
| ImageFileR1 = Caffeine-3D-QuteMol.png
| ImageFileR1 = Caffeine-3D-QuteMol.png
| ImageSizeR1 = 145px
| ImageSizeR1 = 145px
| ImageNameR1 = space-filling model of the caffeine molecule
| ImageNameR1 = space-filling model of the caffeine molecule
| ImageFile = Caffeine.JPG
| ImageFile = Caffeine.JPG
| ImageSize = 250px
| ImageSize = 250px
| ImageName = Anhydrous Caffeine
| ImageName = Anhydrous Caffeine
| IUPACName = 1,3,7-trimethyl- 1''H''-purine- 2,6(3''H'',7''H'')-dione
| IUPACName = 1,3,7-trimethyl- 1''H''-purine- 2,6 (3''H'',7''H'') -dione
| OtherNames = 1,3,7-trimethylxanthine, trimethylxanthine,<br /> theine, methyltheobromine
| OtherNames = 1,3,7-trimethylxanthine, trimethylxanthine,<br /> theine, methyltheobromine
| Section1 = {{Chembox Identifiers
| Section1 = {{Chembox Identifiers
| SMILES = C[n]1cnc2N(C)C(=O)N(C)C(=O)c12
| SMILES = C[n]1cnc2N (C) C (=O) N (C) C (=O) c12
| CASNo = 58-08-2
| CASNo = 58-08-2
| CASNo_Ref = {{cascite}}
| CASNo_Ref = {{cascite}}
| ChemSpiderID = 2424
| ChemSpiderID = 2424
| RTECS = EV6475000
| RTECS = EV6475000
}}
}}
| Section2 = {{Chembox Properties
| Section2 = {{Chembox Properties
| Formula = [[carbon|C]]<sub>8</sub>[[hydrogen|H]]<sub>10</sub>[[nitrogen|N]]<sub>4</sub>[[oxygen|O]]<sub>2</sub>
| Formula = [[carbon|C]]<sub>8</sub>[[hydrogen|H]]<sub>10</sub>[[nitrogen|N]]<sub>4</sub>[[oxygen|O]]<sub>2</sub>
| MolarMass = 194.191&nbsp;g·mol<sup>−1</sup>
| MolarMass = 194.191&nbsp;g·mol<sup>−1</sup>
| Appearance = ผลึกรูปเข็มหรือผงสีขาว ไม่มีกลิ่น
| Appearance = Odorless, white needles or powder
| Density = 1.23&nbsp;g·cm<sup>−3</sup>, solid
| Density = 1.23&nbsp;g·cm<sup>−3</sup> (ของแข็ง)
| Solubility = 21.7 mg·mL<sup>−1</sup> (25&nbsp;°C)<br />180 mg·mL<sup>−1</sup> (80&nbsp;°C)<br />670 mg·mL<sup>−1</sup> (100&nbsp;°C)
| Solubility = 21.7 mg·mL<sup>−1</sup> (25&nbsp;°C)<br />180 mg·mL<sup>−1</sup> (80&nbsp;°C)<br />670 mg·mL<sup>−1</sup> (100&nbsp;°C)
| MeltingPt = 227-228&nbsp;°C (anhydrous) 234-235&nbsp;°C (monohydrate)
| MeltingPt = 227–228&nbsp;°C (แอนไฮดรัส) 234–235&nbsp;°C (โมโนไฮเดรต)
| BoilingPt = 178&nbsp;°C ([[sublimation (chemistry)|sublimes]])
| BoilingPt = 178&nbsp;°C ([[sublimation (chemistry)|ระเหิด]])
| pKa = −0.13 – 1.22<ref>This is the pKa for protonated caffeine, given as a range of values included in {{cite book |title=Profiles of Drug Substances, Excipients and Related Methodology, volume 33: Critical Compilation of Pka Values for Pharmaceutical Substances |author=Harry G. Brittain, Richard J. Prankerd |publisher=Academic Press |year=2007 |isbn=012260833X}}</ref>
| pKa = −0.13 – 1.22<ref>This is the pKa for protonated caffeine, given as a range of values included in {{cite book |title=Profiles of Drug Substances, Excipients and Related Methodology |volume=33 |chapter=Critical Compilation of Pka Values for Pharmaceutical Substances |author1=Harry G. Brittain |author2 = Richard J. Prankerd |publisher=Academic Press |year=2007 |pages=1–33 |isbn=0-12-260833-X |doi=10.1016/S0099-5428(07)33001-3}}</ref>
| Dipole = 3.64 [[Debye|D]] (calculated)
| Dipole = 3.64 [[Debye|D]] (คำนวณ)
}}
}}
| Section7 = {{Chembox Hazards
| Section7 = {{Chembox Hazards
| ExternalMSDS = [http://www.sciencestuff.com/msds/C1410.html External MSDS]
| ExternalMSDS = [http://www.sciencestuff.com/msds/C1410.html แหล่งข้อมูลอื่น MSDS]
| MainHazards = อาจเป็นอันตรายหากสูดดม กลืนกิน หรือดูดซึมผ่านผิวหนัง
| MainHazards = May be fatal if inhaled, swallowed<br />or absorbed through the skin.
| NFPA-H = 2
| NFPA-H = 2
| NFPA-F = 1
| NFPA-F = 1
| NFPA-R =
| NFPA-R =
| FlashPt = N/A
| FlashPt = ไม่ระบุ
| LD50 = 192 mg/kg (rat, oral)<ref name="ld50">{{cite journal |title=Factors Affecting Caffeine Toxicity: A Review of the Literature |author=Peters JM |journal=The Journal of Clinical Pharmacology and the Journal of New Drugs |year=1967 |issue=3 |pages=131–141 |url=http://jcp.sagepub.com/content/7/3/131.extract |doi=10.1002/j.1552-4604.1967.tb00034.x |volume=7 |deadurl=yes |archive-url=https://web.archive.org/web/20120112134847/http://jcp.sagepub.com/content/7/3/131.extract |archive-date=12 January 2012 |df=dmy-all }}</ref>}}
| LD50 = 192 mg/kg (หนูทดลอง, ทางปาก)<ref name="ld50">{{cite journal |title=Factors Affecting Caffeine Toxicity: A Review of the Literature |author=Peters JM |journal=The Journal of Clinical Pharmacology and the Journal of New Drugs |year=1967 |issue=3 |pages=131–141 |url=http://jcp.sagepub.com/content/7/3/131.extract |doi=10.1002/j.1552-4604.1967.tb00034.x |volume=7 |url-status=dead |archive-url=https://web.archive.org/web/20120112134847/http://jcp.sagepub.com/content/7/3/131.extract |archive-date=12 January 2012 |df=dmy-all }}</ref>}}
}}
}}


'''กาเฟอีน'''<ref>ราชบัณฑิตยสถาน. '''พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔.''' กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2556, หน้า 113.</ref> ({{lang-fr|caféine}}) เป็นสารแซนทีน[[อัลคาลอยด์]] ซึ่งสามารถพบได้ในอาหารหลายชนิดได้แก่ เมล็ด[[กาแฟ]], [[ชา]], โคล่า กาเฟอีนถือว่าเป็น[[ยากำจัดศัตรูพืช]]โดยธรรมชาติ เพราะมันออกฤทธิ์ทำให้[[อัมพาต]] และสามารถฆ่าแมลงบางชนิดได้ กาเฟอีนยังมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ร่างกายเกิดความตื่นตัวและลด[[ความง่วง]]ได้ เครื่องดื่มหลายชนิดมีกาเฟอีนเป็นส่วนผสม เช่นใน[[กาแฟ]] [[น้ำชา]] [[น้ำอัดลม]] รวมทั้ง[[เครื่องดื่มชูกำลัง]] ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นประสาทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก
'''กาเฟอีน'''<ref>ราชบัณฑิตยสถาน. ''พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔.'' กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน. 2556. พิมพ์ครั้งที่ 1. หน้า 113. {{ISBN|978-616-7073-56-9}}.</ref> ({{lang-fr|caféine}}) เป็นสารแซนทีน[[อัลคาลอยด์]] ซึ่งสามารถพบได้ในอาหารหลายชนิดได้แก่ เมล็ด[[กาแฟ]], [[ชา]], โคล่า กาเฟอีนถือว่าเป็น[[ยากำจัดศัตรูพืช]]โดยธรรมชาติ เพราะมันออกฤทธิ์ทำให้[[อัมพาต]] และสามารถฆ่าแมลงบางชนิดได้ กาเฟอีนยังมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ร่างกายเกิดความตื่นตัวและลด[[ความง่วง]]ได้ เครื่องดื่มหลายชนิดมีกาเฟอีนเป็นส่วนผสม เช่นใน[[กาแฟ]] [[น้ำชา]] [[น้ำอัดลม]] รวมทั้ง[[เครื่องดื่มชูกำลัง]] ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นประสาทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก


== แหล่งของกาเฟอีน ==
== แหล่งของกาเฟอีน ==
เมล็ด[[กาแฟ]]จัดเป็นพืชที่เป็นแหล่งของกาเฟอีนที่ใหญ่ที่สุด ปริมาณกาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักสองประการ คือชนิดของเมล็ด[[กาแฟ]]ที่เป็นแหล่งผลิต และกรรมวิธีในการเตรียม[[กาแฟ]] เช่น เมล็ด[[กาแฟ]]ที่คั่วจนเป็นสีเข้มจะมีปริมาณกาเฟอีนน้อยกว่าเมล็ดที่คั่วไม่นาน เนื่องจากกาเฟอีนสามารถสลายตัวไปได้ระหว่างการคั่ว และ[[กาแฟ]]พันธุ์[[อาราบิกา]]จะมีปริมาณกาเฟอีนน้อยกว่า[[กาแฟ]]พันธุ์[[โรบัสตา]] เป็นต้น โดยทั่วไปกาแฟ[[เอสเปรสโซ]]จากเมล็ด[[กาแฟ]]พันธุ์[[อาราบิกา]]จะมีกาเฟอีนประมาณ 40 มิลลิกรัม นอกจากนี้ในเมล็ด[[กาแฟ]]ยังพบอนุพันธุ์ของกาเฟอีน คือ[[ธีโอฟิลลีน]] (Theophyllin) ในปริมาณเล็กน้อยอีกด้วย
เมล็ด[[กาแฟ]]จัดเป็นพืชที่เป็นแหล่งของกาเฟอีนที่ใหญ่ที่สุด ปริมาณกาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักสองประการ คือชนิดของเมล็ด[[กาแฟ]]ที่เป็นแหล่งผลิต และกรรมวิธีในการเตรียม[[กาแฟ]] เช่น เมล็ด[[กาแฟ]]ที่คั่วจนเป็นสีเข้มจะมีปริมาณกาเฟอีนน้อยกว่าเมล็ดที่คั่วไม่นาน เนื่องจากกาเฟอีนสามารถสลายตัวไปได้ระหว่างการคั่ว และ[[กาแฟ]]พันธุ์[[อาราบิกา]]จะมีปริมาณกาเฟอีนน้อยกว่า[[กาแฟ]]พันธุ์[[โรบัสตา]] เป็นต้น โดยทั่วไปกาแฟ[[เอสเปรสโซ]]จากเมล็ด[[กาแฟ]]พันธุ์[[อาราบิกา]]จะมีกาเฟอีนประมาณ 40 มิลลิกรัม นอกจากนี้ในเมล็ด[[กาแฟ]]ยังพบอนุพันธ์ของกาเฟอีน คือ[[ธีโอฟิลลีน]] (Theophyllin) ในปริมาณเล็กน้อยอีกด้วย


ใบ[[ชา]]ยังเป็นแหล่งของกาเฟอีนที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่ง พบว่าจะมีกาเฟอีนมากกว่า[[กาแฟ]]ในปริมาณเดียวกัน แต่วิธีชงดื่มของชานั้น ทำให้ปริมาณกาเฟอีนลดลงไปมาก แต่ชาจะมีปริมาณของ[[ธีโอฟิลลีน]]อยู่มาก และพบอนุพันธุ์อีกชนิดของกาเฟอีน คือ[[ธีโอโบรมีน]] (Theobromine) อยู่เล็กน้อยด้วย ชนิดของใบ[[ชา]]และกระบวนวิธีการเตรียมก็เป็นปัจจัยสำคัญของกาเฟอีนในน้ำ[[ชา]]เช่นเดียวกับใน[[กาแฟ]] เช่นใน[[ชาดำ]]และ[[ชาอูหลง]]จะมีกาเฟอีนมากกว่าในชาชนิดอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม สีของน้ำชาไม่ได้เป็นลักษณะบ่งชี้ถึงปริมาณกาเฟอีนในน้ำชา เช่นใน[[ชาเขียว]][[ญี่ปุ่น]]ซึ่งจะมีปริมาณกาเฟอีนสูงกว่า[[ชาดำ]]บางชนิด
ใบ[[ชา]]ยังเป็นแหล่งของกาเฟอีนที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่ง พบว่าจะมีกาเฟอีนมากกว่า[[กาแฟ]]ในปริมาณเดียวกัน แต่วิธีชงดื่มของชานั้น ทำให้ปริมาณกาเฟอีนลดลงไปมาก แต่ชาจะมีปริมาณของ[[ธีโอฟิลลีน]]อยู่มาก และพบอนุพันธ์อีกชนิดของกาเฟอีน คือ[[ธีโอโบรมีน]] (Theobromine) อยู่เล็กน้อยด้วย ชนิดของใบ[[ชา]]และกระบวนวิธีการเตรียมก็เป็นปัจจัยสำคัญของกาเฟอีนในน้ำ[[ชา]]เช่นเดียวกับใน[[กาแฟ]] เช่นใน[[ชาดำ]]และ[[ชาอูหลง]]จะมีกาเฟอีนมากกว่าในชาชนิดอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม สีของน้ำชาไม่ได้เป็นลักษณะบ่งชี้ถึงปริมาณกาเฟอีนในน้ำชา เช่นใน[[ชาเขียว]][[ญี่ปุ่น]]ซึ่งจะมีปริมาณกาเฟอีนสูงกว่า[[ชาดำ]]บางชนิด


[[ช็อคโกแลต]]ซึ่งผลิตมาจากเมล็ด[[โกโก้]]ก็เป็นแหล่งของกาเฟอีนเช่นเดียวกัน แต่ในปริมาณที่น้อยกว่าเมล็ดกาแฟและใบชา แต่เนื่องจากในเมล็ด[[โกโก้]]มีสาร[[ธีโอฟิลลีน]]และ[[ธีโอโบรมีน]]อยู่มาก จึงมีฤทธิ์อ่อน ๆ ในการกระตุ้นประสาท อย่างไรก็ตาม ปริมาณของสารดังกล่าวนี้ก็ยังน้อยเกินไปที่จะให้เกิดผลกระตุ้นประสาทเช่นเดียวกับ[[กาแฟ]]ในปริมาณที่เท่ากัน
[[ช็อคโกแลต]]ซึ่งผลิตมาจากเมล็ด[[โกโก้]]ก็เป็นแหล่งของกาเฟอีนเช่นเดียวกัน แต่ในปริมาณที่น้อยกว่าเมล็ดกาแฟและใบชา แต่เนื่องจากในเมล็ด[[โกโก้]]มีสาร[[ธีโอฟิลลีน]]และ[[ธีโอโบรมีน]]อยู่มาก จึงมีฤทธิ์อ่อน ๆ ในการกระตุ้นประสาท อย่างไรก็ตาม ปริมาณของสารดังกล่าวนี้ก็ยังน้อยเกินไปที่จะให้เกิดผลกระตุ้นประสาทเช่นเดียวกับ[[กาแฟ]]ในปริมาณที่เท่ากัน


[[น้ำอัดลม]]และ[[เครื่องดื่มชูกำลัง]]เป็นเครื่องดื่มที่พบกาเฟอีนได้มากเช่นเดียวกัน [[น้ำอัดลม]]ทั่วไปจะมีกาเฟอีนประมาณ 10-50 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ขณะที่[[เครื่องดื่มชูกำลัง]] เช่น[[กระทิงแดง]] จะมีกาเฟอีนอยู่มากถึง 80 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค กาเฟอีนที่ผสมอยู่ในเครื่องดื่มเหล่านี้อาจมาจากพืชที่เป็นแหล่งผลิต แต่ส่วนใหญ่จะได้จากกาเฟอีนที่สกัดออกระหว่างการผลิต[[กาแฟพร่องกาเฟอีน]] (decaffeinated coffee)
[[น้ำอัดลม]]และ[[เครื่องดื่มชูกำลัง]]เป็นเครื่องดื่มที่พบกาเฟอีนได้มากเช่นเดียวกัน [[น้ำอัดลม]]ทั่วไปจะมีกาเฟอีนประมาณ 10–50 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ขณะที่[[เครื่องดื่มชูกำลัง]] เช่น[[กระทิงแดง]] จะมีกาเฟอีนอยู่มากถึง 80 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค กาเฟอีนที่ผสมอยู่ในเครื่องดื่มเหล่านี้อาจมาจากพืชที่เป็นแหล่งผลิต แต่ส่วนใหญ่จะได้จากกาเฟอีนที่สกัดออกระหว่างการผลิต[[กาแฟพร่องกาเฟอีน]] (decaffeinated coffee)


== สถานะทางเคมี ==
== สถานะทางเคมี ==
กาเฟอีน เป็นสาร[[อัลคาลอยด์]]ซึ่งจัดอยู่ในตระกูล[[เมทิลแซนทีน]] ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกันกับสารประกอบ[[ธีโอฟิลลีน]] และ [[ธีโอโบรมีน]] ในสถานะบริสุทธิ์ จะมีสีขาวเป็นผง และมีรสขมจัด สูตรทางเคมีคือ [[คาร์บอน|C]]<sub>8</sub>[[ไฮโดรเจน|H]]<sub>10</sub>[[ไนโตรเจน|N]]<sub>4</sub>[[ออกซิเจน|O]]<sub>2</sub>,
กาเฟอีน เป็นสาร[[อัลคาลอยด์]]ซึ่งจัดอยู่ในตระกูล[[เมทิลแซนทีน]] ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกันกับสารประกอบ[[ธีโอฟิลลีน]] และ [[ธีโอโบรมีน]] ในสถานะบริสุทธิ์ จะมีสีขาวเป็นผง และมีรสขมจัด สูตรทางเคมีคือ [[คาร์บอน|C]]<sub>8</sub>[[ไฮโดรเจน|H]]<sub>10</sub>[[ไนโตรเจน|N]]<sub>4</sub>[[ออกซิเจน|O]]<sub>2</sub>


== เมแทบอลิซึมและเภสัชวิทยา ==
== เมแทบอลิซึมและเภสัชวิทยา ==
กาเฟอีนจัดเป็น[[สารกระตุ้น]][[ระบบประสาทส่วนกลาง]]และ[[เมแทบอลิซึม]]หรือกลไกการเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย <ref> {{cite journal | last = Nehlig | first = A | coauthors = Daval JL, Debry G | title = Caffeine and the central nervous system: Mechanisms of action, biochemical, metabolic, and psychostimulant effects | journal = Brain Res Brain Res Rev | volume = 17 | issue = 2 | pages = 139-70 | date = 1992 May-Aug | id = PMID 1356551 }}</ref>เพื่อลดความง่วง ความเหนื่อยล้า และจะส่งผลกระตุ้นเส้นประสาท โดยมีการปล่อย[[โปแตสเซียม]]และ[[แคลเซียม]] เข้าสู่เซลล์ประสาท เพิ่มการตื่นตัวของร่างกาย โดยใน[[ระบบประสาท]] กาเฟอีนจะไปกระตุ้นการทำงานในระดับสูงของ[[สมอง]] เพื่อเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ทำให้กลไกการคิดรวดเร็วและมีสมาธิมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ร่างกายมีกระบวนการต่าง ๆ ในการแปรรูปกาเฟอีนที่ได้รับมาเป็นสารอนุพันธุ์ชนิดอื่นซึ่งมีฤทธิ์ต่าง ๆ กัน ซึ่งกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป
กาเฟอีนจัดเป็น[[สารกระตุ้น]][[ระบบประสาทส่วนกลาง]]และ[[เมแทบอลิซึม]]หรือกลไกการเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย<ref>{{cite journal | last = Nehlig | first = A | author2 = Daval JL |author3 = Debry G | title = Caffeine and the central nervous system: Mechanisms of action, biochemical, metabolic, and psychostimulant effects | journal = Brain Res Brain Res Rev | volume = 17 | issue = 2 | pages = 139–70 | date = May–August 1992 | pmid = 1356551 | df = dmy-all}}</ref>เพื่อลดความง่วง ความเหนื่อยล้า และจะส่งผลกระตุ้นเส้นประสาท โดยมีการปล่อย[[โปแตสเซียม]]และ[[แคลเซียม]] เข้าสู่เซลล์ประสาท เพิ่มการตื่นตัวของร่างกาย โดยใน[[ระบบประสาท]] กาเฟอีนจะไปกระตุ้นการทำงานในระดับสูงของ[[สมอง]] เพื่อเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ทำให้กลไกการคิดรวดเร็วและมีสมาธิมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ร่างกายมีกระบวนการต่าง ๆ ในการแปรรูปกาเฟอีนที่ได้รับมาเป็นสารอนุพันธ์ชนิดอื่นซึ่งมีฤทธิ์ต่าง ๆ กัน ซึ่งกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป


=== เมแทบอลิซึม ===
=== เมแทบอลิซึม ===
[[ไฟล์:Caffeine metabolites.svg|thumb|right|350px|กาเฟอีนถูกแปรสภาพโดนเอนไซม์ในตับ ได้เป็นอนุพันธุ์ของกาเฟอีนสามชนิด คือ
[[ไฟล์:Caffeine metabolites.svg|thumb|right|350px|กาเฟอีนถูกแปรสภาพโดนเอนไซม์ในตับ ได้เป็นอนุพันธ์ของกาเฟอีนสามชนิด คือ
[[พาราแซนทีน]] (84%), [[ธีโอโบรมีน]] (12%), and [[ธีโอฟิลลีน]] (4%)]]
[[พาราแซนทีน]] (ร้อยละ 84), [[ธีโอโบรมีน]] (ร้อยละ 12) และ{{ไม่ตัด|[[ธีโอฟิลลีน]]}} (ร้อยละ 4)]]
กาเฟอีนจะถูกดูดซึมที่[[กระเพาะอาหาร]]และ[[ลำไส้เล็ก]]ภายใน 45 นาทีหลังจากการบริโภค หลังจากนั้นจะถูกนำเข้ากระแสเลือดและลำเลียงไปทั่วร่างกาย [[ครึ่งชีวิต]]ของกาเฟอีนในร่างกาย หรือเวลาที่ร่างกายใช้ในการกำจัดกาเฟอีนในปริมาณครึ่งหนึ่งของที่บริโภค จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลโดยมีปัจจัยต่าง ๆ เช่นอายุ ระดับการทำงานของ[[ตับ]] ภาวะตั้งครรภ์และการใช้ยาอื่นร่วมด้วย ในผู้ใหญ่ปกติจะมีครึ่งชีวิตของกาเฟอีนประมาณ 3-4 ชั่วโมง ในขณะที่หญิงที่ทาน[[ยาคุมกำเนิด]]และหญิงตั้งครรภ์อาจมีครึ่งชีวิตของกาเฟอีนประมาณ 5-10 ชั่วโมง <ref> {{cite journal | last = Meyer | first = FP | coauthors = Canzler E, Giers H, Walther H. | title = Time course of inhibition of caffeine elimination in response to the oral depot contraceptive agent Deposiston. Hormonal contraceptives and caffeine elimination | journal = Zentralbl Gynakol | volume = 113 | issue = 6 | pages = 297-302 | date = 1991 | id = PMID 2058339 }}</ref> และ 9-11 ชั่วโมง .<ref> {{cite journal | last = Ortweiler | first = W | coauthors = Simon HU, Splinter FK, Peiker G, Siegert C, Traeger A. | title = Determination of caffeine and metamizole elimination in pregnancy and after delivery as an in vivo method for characterization of various cytochrome p-450 dependent biotransformation reactions | journal = Biomed Biochim Acta. | volume = 44 | issue = 7-8 | pages = 1189-99 | date = 1985 | id = PMID 4084271 }}</ref> ตามลำดับ ในผู้ป่วย[[โรคตับ]]ระยะรุนแรง อาจมีการสะสมของกาเฟอีนในร่างกายได้นานถึง 96 ชั่วโมง.<ref> {{cite journal | last = Bolton, Ph.D. | first = Sanford | coauthors = Gary Null, M.S. | title = Caffeine: Psychological Effects, Use and Abuse | journal = Orthomolecular Psychiatry | volume = 10 | issue = 3 | pages = 202-211 | date = 1981 | url = http://www.orthomolecular.org/library/jom/1981/pdf/1981-v10n03-p202.pdf | accessdate = 2010-07-02 }}</ref> สำหรับในทารกและเด็กจะมีครึ่งชีวิตของกาเฟอีนที่นานกว่าผู้ใหญ่ พบว่าในทารกแรกเกิดจะมีครึ่งชีวิตของกาเฟอีนประมาณ 30 ชั่วโมง
กาเฟอีนจะถูกดูดซึมที่[[กระเพาะอาหาร]]และ[[ลำไส้เล็ก]]ภายใน 45 นาทีหลังจากการบริโภค หลังจากนั้นจะถูกนำเข้ากระแสเลือดและลำเลียงไปทั่วร่างกาย [[ครึ่งชีวิต]]ของกาเฟอีนในร่างกาย หรือเวลาที่ร่างกายใช้ในการกำจัดกาเฟอีนในปริมาณครึ่งหนึ่งของที่บริโภค จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลโดยมีปัจจัยต่าง ๆ เช่นอายุ ระดับการทำงานของ[[ตับ]] ภาวะตั้งครรภ์และการใช้ยาอื่นร่วมด้วย ในผู้ใหญ่ปกติจะมีครึ่งชีวิตของกาเฟอีนประมาณ 3–4 ชั่วโมง ในขณะที่หญิงที่ทาน[[ยาคุมกำเนิด]]และหญิงตั้งครรภ์อาจมีครึ่งชีวิตของกาเฟอีนประมาณ 5–10 ชั่วโมง<ref>{{cite journal | vauthors = Meyer FP, Canzler E, Giers H, Walther H |title = Zeitlicher Verlauf der Hemmung der Koffein Elimination als Reaktion auf das orale Depot-Verhütungsmittel Deposiston. Hormonelle Verhütungsmittel und Koffeinausscheidung | trans-title = Time course of inhibition of caffeine elimination in response to the oral depot contraceptive agent Deposiston. Hormonal contraceptives and caffeine elimination | language = de | journal = Zentralblatt für Gynäkologie | volume = 113 | issue = 6 | pages = 297–302 | date = 1991 | pmid = 2058339 | eissn = 1438-9762}}</ref> และ 9–11 ชั่วโมง<ref>{{cite journal | vauthors = Ortweiler W, Simon HU, Splinter FK, Peiker G, Siegert C, Traeger A | title = Determination of caffeine and metamizole elimination in pregnancy and after delivery as an in vivo method for characterization of various cytochrome p-450 dependent biotransformation reactions | journal = Biomedica Biochimica Acta | publisher = Akademie-Verlag | volume = 44 | issue = 7–8 | pages = 1189–99 | date = 1985 | pmid = 4084271 | issn = 0232-766X}}</ref> ตามลำดับ ในผู้ป่วย[[โรคตับ]]ระยะรุนแรง อาจมีการสะสมของกาเฟอีนในร่างกายได้นานถึง 96 ชั่วโมง<ref>{{cite journal | last = Bolton | first = Sanford | author2 = Gary Null | title = Caffeine: Psychological Effects, Use and Abuse | journal = Orthomolecular Psychiatry | volume = 10 | issue = 3 | pages = 202–211 | date = 1981 | url = http://www.orthomolecular.org/library/jom/1981/pdf/1981-v10n03-p202.pdf | access-date = 2010-07-02 | issn = 0834-4825 | df = dmy-all}}</ref> สำหรับในทารกและเด็กจะมีครึ่งชีวิตของกาเฟอีนที่นานกว่าผู้ใหญ่ พบว่าในทารกแรกเกิดจะมีครึ่งชีวิตของกาเฟอีนประมาณ 30 ชั่วโมง
กาเฟอีนจะถูกเปลี่ยนแปลงสภาพที่[[ตับ]] โดยอาศัยการทำงานของ[[เอนไซม์]] [[ไซโตโครม พี 450 ออกซิเดส]] (Cytochrome P450 oxidase) ซึ่งเอนไซม์นี้จะเปลี่ยนกาเฟอีนให้เป็นอนุพันธุ์สามชนิด <ref>{{cite web | title = Caffeine | publisher = The Pharmacogenetics and Pharmacogenomics Knowledge Base | url = http://www.pharmgkb.org/do/serve?objId=464&objCls=DrugProperties#biotransformationData | accessdate = 2006-08-14 | archive-date = 2006-09-27 | archive-url = https://web.archive.org/web/20060927191835/http://www.pharmgkb.org/do/serve?objId=464&objCls=DrugProperties#biotransformationData | url-status = dead }}</ref> คือ
กาเฟอีนจะถูกเปลี่ยนแปลงสภาพที่[[ตับ]] โดยอาศัยการทำงานของ[[เอนไซม์]] [[ไซโตโครม พี 450 ออกซิเดส]] (Cytochrome P450 oxidase) ซึ่งเอนไซม์นี้จะเปลี่ยนกาเฟอีนให้เป็นอนุพันธ์สามชนิด<ref>{{cite web | title = Caffeine | work = The Pharmacogenetics and Pharmacogenomics Knowledge Base | url = http://www.pharmgkb.org/do/serve?objId=464&objCls=DrugProperties#biotransformationData | access-date = 2006-08-14 | archive-date = 2006-09-27 | archive-url = https://web.archive.org/web/20060927191835/http://www.pharmgkb.org/do/serve?objId=464&objCls=DrugProperties#biotransformationData | url-status = dead | df = dmy-all}}</ref> คือ
* [[พาราแซนทีน]] (Paraxanthine) มีผลในการสลาย[[ไขมัน]] เพิ่มปริมาณของ[[กลีเซอรอล]]และ[[กรดไขมัน]]ในกระแสเลือด
* [[พาราแซนทีน]] (Paraxanthine) มีผลในการสลาย[[ไขมัน]] เพิ่มปริมาณของ[[กลีเซอรอล]]และ[[กรดไขมัน]]ในกระแสเลือด
* [[ธีโอโบรมีน]] (Theobromine) มีผลในการขยาย[[หลอดเลือด]] และเพิ่มปริมาณของ[[ปัสสาวะ]]
* [[ธีโอโบรมีน]] (Theobromine) มีผลในการขยาย[[หลอดเลือด]] และเพิ่มปริมาณของ[[ปัสสาวะ]]
* [[ธีโอฟิลลีน]] (Theophylline) มีผลทำให้[[กล้ามเนื้อเรียบ]]ที่อยู่ล้อมรอบ[[หลอดลม]][[ปอด]]คลายตัว จึงทำให้[[หลอดลม]]ขยายตัวมากขึ้น
* [[ธีโอฟิลลีน]] (Theophylline) มีผลทำให้[[กล้ามเนื้อเรียบ]]ที่อยู่ล้อมรอบ[[หลอดลม]][[ปอด]]คลายตัว จึงทำให้[[หลอดลม]]ขยายตัวมากขึ้น
อนุพันธุ์ทั้งสามชนิดนี้จะถูกแปรสภาพต่อไป และขับออกทาง[[ปัสสาวะ]]ในที่สุด
อนุพันธ์ทั้งสามชนิดนี้จะถูกแปรสภาพต่อไป และขับออกทาง[[ปัสสาวะ]]ในที่สุด


=== การออกฤทธิ์ ===
=== การออกฤทธิ์ ===
เนื่องจากกาเฟอีนเป็นสารในกลุ่ม[[แซนทีน]][[แอลคาลอยด์]]ที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับ[[อะดีโนซีน]] (Adenosine) ซึ่งเป็น[[สารสื่อประสาท]]ชนิดหนึ่งใน[[สมอง]] โมเลกุลของกาเฟอีนจึงสามารถจับกับ[[ตัวรับอะดีโนซีน]] (adenosine receptor) ใน[[สมอง]]และยับยั้งการทำงานของ[[อะดีโนซีน]]ได้ <ref>{{cite journal | last = Fisone G | first = G | coauthors = Borgkvist A, Usiello A | title = Caffeine as a psychomotor stimulant: mechanism of action | journal = Cell Mol Life Sci | volume = 61 | issue = 7-8 | pages = 857-72 | date = 2004 Apr | id = PMID 15095008 | url = http://www.springerlink.com/content/605nwu366ay2c6xt/ }}{{ลิงก์เสีย|date=สิงหาคม 2021 |bot=InternetArchiveBot |fix-attempted=yes }}</ref> ผลโดยรวมคือทำให้มีการเพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาท[[โดปามีน]] (dopamine) ซึ่งทำให้สมองเกิดการตื่นตัว นอกจากนี้พบว่าอาจจะมีการเพิ่มปริมาณของ[[ซีโรโทนิน]] (serotonin) ซึ่งมีผลต่ออารมณ์ของผู้บริโภค ทำให้รู้สึกพึงพอใจและมีความสุขมากขึ้น อย่างไรก็ตาม กาเฟอีนมิได้ลดความต้องการนอนหลับของสมอง เพียงแต่ลดความรู้สึกเหนื่อยล้าลงเท่านั้น
เนื่องจากกาเฟอีนเป็นสารในกลุ่ม[[แซนทีน]][[แอลคาลอยด์]]ที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับ[[อะดีโนซีน]] (Adenosine) ซึ่งเป็น[[สารสื่อประสาท]]ชนิดหนึ่งใน[[สมอง]] โมเลกุลของกาเฟอีนจึงสามารถจับกับ[[ตัวรับอะดีโนซีน]] (adenosine receptor) ใน[[สมอง]]และยับยั้งการทำงานของ[[อะดีโนซีน]]ได้<ref>{{cite journal | vauthors = Fisone G, Borgkvist A, Usiello A | title = Caffeine as a psychomotor stimulant: mechanism of action | journal = Cellular and Molecular Life Sciences | volume = 61 | issue = 7–8 | pages = 857–72 | date = April 2004 | pmid = 15095008 | doi = 10.1007/s00018-003-3269-3 | url = https://link.springer.com/article/10.1007/s00018-003-3269-3 |df = dmy-all}}</ref> ผลโดยรวมคือทำให้มีการเพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาท[[โดปามีน]] (dopamine) ซึ่งทำให้สมองเกิดการตื่นตัว นอกจากนี้พบว่าอาจจะมีการเพิ่มปริมาณของ[[ซีโรโทนิน]] (serotonin) ซึ่งมีผลต่ออารมณ์ของผู้บริโภค ทำให้รู้สึกพึงพอใจและมีความสุขมากขึ้น อย่างไรก็ตาม กาเฟอีนมิได้ลดความต้องการนอนหลับของสมอง เพียงแต่ลดความรู้สึกเหนื่อยล้าลงเท่านั้น


อย่างไรก็ดี สมองจะมีการตอบสนองต่อกาเฟอีนโดยการเพิ่มปริมาณของ[[ตัวรับอะดีโนซีน]] ทำให้ฤทธิ์ของกาเฟอีนในการบริโภคครั้งต่อไปลดลง เราเรียกภาวะนี้ว่าภาวะทนต่อกาเฟอีน (caffeine tolerance) และทำให้ผู้บริโภคต้องการกาเฟอีนมากขึ้นเพื่อให้เกิดผลต่อร่างกาย ผลอีกประการที่เกิดจากการที่สมองเพิ่มปริมาณของ[[ตัวรับอะดีโนซีน]] นั่นคือทำให้ร่างกายไวต่อปริมาณ[[อะดีโนซีน]]ที่ผลิตตามปกติมากขึ้น <ref name="PMID 3003150"> {{cite journal | last = Green | first = RM | coauthors = Stiles GL | title = Chronic caffeine ingestion sensitizes the A1 adenosine receptor-adenylate cyclase system in rat cerebral cortex | journal = J Clin Invest | volume = 77 | issue = 1 | pages = 222-227 | date = Jan 1986 | url = http://www.ncbi.nlm.nih.gov/entrez/query.fcgi?cmd=Retrieve&db=PubMed&list_uids=3003150|id = PMID 3003150 }}</ref>เมื่อหยุดการบริโภคกาเฟอีนในทันที จะทำให้เกิดผลข้างเคียงคืออาการ[[ปวดศีรษะ]]และรู้สึก[[คลื่นไส้]][[อาเจียน]] ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ร่างกายตอบสนองต่ออะดีโนซีนมากเกินไปนั่นเอง นอกจากนี้ ในผู้ที่หยุดบริโภคกาเฟอีนจะทำให้ปริมาณของ[[โดปามีน]]และ[[ซีโรโทนิน]]ลดลงในทันที ส่งผลให้สูญเสียสมาธิและความตั้งใจ รวมทั้งอาจเกิดอาการ[[ซึมเศร้า]]อย่างอ่อน ๆ ได้ อาการดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นประมาณ 12-24 ชั่วโมงหลังจากการหยุดบริโภคกาเฟอีน แต่จะหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน อาการของการอดกาเฟอีนดังกล่าวสามารถบรรเทาได้โดยการใช้ยา[[แอสไพริน]] หรือการได้รับกาเฟอีนในปริมาณน้อย<ref> {{cite journal | last = Sawynok | first = J | title = Pharmacological rationale for the clinical use of caffeine. | journal = Drugs | volume = 49 | issue = 1 | pages = 37-50 | date = Jan 1995 | id = PMID 7705215 | accessdate = 2006-08-14 }}</ref>
อย่างไรก็ดี สมองจะมีการตอบสนองต่อกาเฟอีนโดยการเพิ่มปริมาณของ[[ตัวรับอะดีโนซีน]] ทำให้ฤทธิ์ของกาเฟอีนในการบริโภคครั้งต่อไปลดลง เราเรียกภาวะนี้ว่าภาวะทนต่อกาเฟอีน (caffeine tolerance) และทำให้ผู้บริโภคต้องการกาเฟอีนมากขึ้นเพื่อให้เกิดผลต่อร่างกาย ผลอีกประการที่เกิดจากการที่สมองเพิ่มปริมาณของ[[ตัวรับอะดีโนซีน]] นั่นคือทำให้ร่างกายไวต่อปริมาณ[[อะดีโนซีน]]ที่ผลิตตามปกติมากขึ้น<ref name="PMID 3003150">{{cite journal | last = Green | first = RM | author2 = Stiles GL | title = Chronic caffeine ingestion sensitizes the A1 adenosine receptor-adenylate cyclase system in rat cerebral cortex | journal = Journal of Clinical Investigation | volume = 77 | issue = 1 | pages = 222–227 | date = January 1986 | url = http://www.ncbi.nlm.nih.gov/entrez/query.fcgi?cmd=Retrieve&db=PubMed&list_uids=3003150| pmid = 3003150 | eissn = 1558-8238 | df = dmy-all}}</ref>เมื่อหยุดการบริโภคกาเฟอีนในทันที จะทำให้เกิดผลข้างเคียงคืออาการ[[ปวดศีรษะ]]และรู้สึก[[คลื่นไส้]][[อาเจียน]] ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ร่างกายตอบสนองต่ออะดีโนซีนมากเกินไปนั่นเอง นอกจากนี้ ในผู้ที่หยุดบริโภคกาเฟอีนจะทำให้ปริมาณของ[[โดปามีน]]และ[[ซีโรโทนิน]]ลดลงในทันที ส่งผลให้สูญเสียสมาธิและความตั้งใจ รวมทั้งอาจเกิดอาการ[[ซึมเศร้า]]อย่างอ่อน ๆ ได้ อาการดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นประมาณ 12–24 ชั่วโมงหลังจากการหยุดบริโภคกาเฟอีน แต่จะหายไปได้เองภายใน 2–3 วัน อาการของการอดกาเฟอีนดังกล่าวสามารถบรรเทาได้โดยการใช้ยา[[แอสไพริน]] หรือการได้รับกาเฟอีนในปริมาณน้อย<ref>{{cite journal | last = Sawynok | first = Jana | title = Pharmacological rationale for the clinical use of caffeine. | journal = Drugs | volume = 49 | issue = 1 | pages = 37–50 | date = January 1995 | pmid = 7705215 | url = https://link.springer.com/article/10.2165/00003495-199549010-00004 | access-date = 2006-08-14 | doi = 10.2165/00003495-199549010-00004 | df = dmy-all}}</ref>


== ภาวะเสพติดกาเฟอีน และภาวะพิษกาเฟอีน ==
== ภาวะเสพติดกาเฟอีน และภาวะพิษกาเฟอีน ==
การบริโภคกาเฟอีนปริมาณมากเป็นเวลานาน อาจนำไปสู่ภาวะเสพติดกาเฟอีน (caffeinism) ซึ่งจะปรากฏอาการต่าง ๆ ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ เช่น กระสับกระส่าย วิตกกังวล กล้ามเนื้อกระตุก นอนไม่หลับ ใจสั่น เป็นต้น <ref name="EofMD"> {{cite web | title = Caffeine-related disorders | publisher = Encyclopedia of Mental Disorders | url = http://www.minddisorders.com/Br-Del/Caffeine-related-disorders.html|accessdate = 2006-08-14 }}</ref> นอกจากนี้การบริโภคกาเฟอีนเป็นเวลานานอาจทำให้เกิด[[แผลในกระเพาะอาหาร]] [[ลำไส้เล็กอักเสบ]] และ[[โรคน้ำย่อยไหลย้อนกลับ]] (gastroesophageal reflux disease) <ref> {{cite web | title = Gastroesophageal Reflux Disease (GERD) | publisher = Cedars-Sinai | url = http://www.csmc.edu/pf_5543.html | accessdate = 2006-08-14 }}</ref>
การบริโภคกาเฟอีนปริมาณมากเป็นเวลานาน อาจนำไปสู่ภาวะเสพติดกาเฟอีน (caffeinism) ซึ่งจะปรากฏอาการต่าง ๆ ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ เช่น กระสับกระส่าย วิตกกังวล กล้ามเนื้อกระตุก นอนไม่หลับ ใจสั่น เป็นต้น<ref name="EofMD">{{cite web | title = Caffeine-related disorders | work = Encyclopedia of Mental Disorders | url = http://www.minddisorders.com/Br-Del/Caffeine-related-disorders.html | access-date = 2006-08-14 | df = dmy-all}}</ref> นอกจากนี้การบริโภคกาเฟอีนเป็นเวลานานอาจทำให้เกิด[[แผลในกระเพาะอาหาร]] [[ลำไส้เล็กอักเสบ]] และ[[โรคน้ำย่อยไหลย้อนกลับ]] (gastroesophageal reflux disease)<ref>{{cite web | title = Gastroesophageal Reflux Disease (GERD) | work = Cedars-Sinai | url = http://www.csmc.edu/pf_5543.html | access-date = 2006-08-14 | archive-url = https://archive.ph/H0CZw | archive-date = 24 February 2013 | df = dmy-all}}</ref>


ในผู้ที่บริโภคกาเฟอีนปริมาณมาก ๆ ในเวลาเดียว (มากกว่า 400 มิลลิกรัม) อาจทำให้[[ระบบประสาทส่วนกลาง]]ถูกกระตุ้นมากเกินไป ภาวะนี้เรียกว่าภาวะพิษกาเฟอีน (caffeine intoxication) ซึ่งจะทำให้เกิดอาการกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ความคิดและการพูดสับสน หน้าแดง ปัสสาวะมากผิดปกติ ปวดท้อง หัวใจเต้นแรง ในกรณีที่ได้รับในปริมาณสูงมาก (150-200 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักร่างกาย 1 กิโลกรัม) อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ <ref> {{cite journal | last = Mrvos | first = RM | coauthors = Reilly PE, Dean BS, Krenzelok EP | title = Massive caffeine ingestion resulting in death | journal = Vet Hum Toxicol | volume = 31 | issue = 6 | pages = 571-2 | date = Dec 1989 | id = PMID 2617841 }}</ref>การรักษาผู้ที่เกิดภาวะพิษกาเฟอีนโดยทั่วไปจะเป็นการรักษาตามอาการที่เกิด แต่หากผู้ป่วยมีปริมาณกาเฟอีนในเลือดสูงมาก อาจต้องได้รับ[[การล้างท้อง]]หรือ[[ฟอกเลือด]]
ในผู้ที่บริโภคกาเฟอีนปริมาณมาก ๆ ในเวลาเดียว (มากกว่า 400 มิลลิกรัม) อาจทำให้[[ระบบประสาทส่วนกลาง]]ถูกกระตุ้นมากเกินไป ภาวะนี้เรียกว่าภาวะพิษกาเฟอีน (caffeine intoxication) ซึ่งจะทำให้เกิดอาการกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ความคิดและการพูดสับสน หน้าแดง ปัสสาวะมากผิดปกติ ปวดท้อง หัวใจเต้นแรง ในกรณีที่ได้รับในปริมาณสูงมาก (150–200 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักร่างกาย 1 กิโลกรัม) อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้<ref>{{cite journal | vauthors = Mrvos RM, Reilly PE, Dean BS, Krenzelok EP | title = Massive caffeine ingestion resulting in death | journal = Veterinary and Human Toxicology | volume = 31 | issue = 6 | pages = 571–2 | date = December 1989 | pmid = 2617841 | df = dmy-all}}</ref>การรักษาผู้ที่เกิดภาวะพิษกาเฟอีนโดยทั่วไปจะเป็นการรักษาตามอาการที่เกิด แต่หากผู้ป่วยมีปริมาณกาเฟอีนในเลือดสูงมาก อาจต้องได้รับ[[การล้างท้อง]]หรือ[[ฟอกเลือด]]


<!--ส่วนนี้ไม่เป็นสารานุกรม ควรเรียบเรียงใหม่
<!--ส่วนนี้ไม่เป็นสารานุกรม ควรเรียบเรียงใหม่
บรรทัด 98: บรรทัด 98:
6. ควรทานผักผลไม้อย่างเพียงพอทุกวัน เนื่องจากในกระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟ จะมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้น วิตามินซี อี และเบต้าแคโรทีนในผักผลไม้ เช่น มะเขือเทศ แครอต ผักใบเขียว ฝรั่ง ส้มเขียนหวาน เป็นต้น จะช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกายได้
6. ควรทานผักผลไม้อย่างเพียงพอทุกวัน เนื่องจากในกระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟ จะมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้น วิตามินซี อี และเบต้าแคโรทีนในผักผลไม้ เช่น มะเขือเทศ แครอต ผักใบเขียว ฝรั่ง ส้มเขียนหวาน เป็นต้น จะช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกายได้


7. ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากฤทธิ์ในการขับปัสสาวะของกาเฟอีน และนอกจากนี้ยังช่วยป้องกันคราบกาแฟที่เป็นสาเหตุทำให้ฟันเหลืองอีกด้วย-->
7. ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากฤทธิ์ในการขับปัสสาวะของกาเฟอีน และนอกจากนี้ยังช่วยป้องกันคราบกาแฟที่เป็นสาเหตุทำให้ฟันเหลืองอีกด้วย
-->

== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==
{{รายการอ้างอิง}}
{{รายการอ้างอิง}}
* วารสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ฉบับที่ 3
* "กาแฟให้อะไรกับคุณบ้าง" นิตยสารใกล้หมอ ฉบับเดือน .ค.53 http://www.sistersandcompany.com


== แหล่งข้อมูลอื่น ==
{{คอมมอนส์-หมวดหมู่|Caffeine|กาเฟอีน}}
* จิตรา เศรษฐอุดม (กันยายน–ธันวาคม 2555). "การบริหารจัดการความเสี่ยงอาหารที่มีหรือผสมกาเฟอีน". ''วารสารอาหารและยา''. ปีที่ 19 ฉบับที่ 3. หน้า 46–57. {{ISSN|0859-1180}}.
* "กาแฟให้อะไรกับคุณบ้าง". ''นิตยสารใกล้หมอ''. มกราคม 2553. {{ISSN|0125-1511}}.
{{Break}}

{{Authority control}}
[[หมวดหมู่:สารก่อมะเร็งกลุ่ม 3 โดย IARC]]
[[หมวดหมู่:สารก่อมะเร็งกลุ่ม 3 โดย IARC]]
[[หมวดหมู่:กาแฟ]]
[[หมวดหมู่:กาแฟ]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:00, 18 ตุลาคม 2565

กาเฟอีน
Anhydrous Caffeine
hybrid skeletal structure of the caffeine molecule
hybrid skeletal structure of the caffeine molecule
space-filling model of the caffeine molecule
space-filling model of the caffeine molecule
ชื่อ
IUPAC name
1,3,7-trimethyl- 1H-purine- 2,6 (3H,7H) -dione
ชื่ออื่น
1,3,7-trimethylxanthine, trimethylxanthine,
theine, methyltheobromine
เลขทะเบียน
3D model (JSmol)
เคมสไปเดอร์
ECHA InfoCard 100.000.329 แก้ไขสิ่งนี้ที่วิกิสนเทศ
RTECS number
  • EV6475000
  • C[n]1cnc2N (C) C (=O) N (C) C (=O) c12
คุณสมบัติ
C8H10N4O2
มวลโมเลกุล 194.191 g·mol−1
ลักษณะทางกายภาพ ผลึกรูปเข็มหรือผงสีขาว ไม่มีกลิ่น
ความหนาแน่น 1.23 g·cm−3 (ของแข็ง)
จุดหลอมเหลว 227–228 °C (แอนไฮดรัส) 234–235 °C (โมโนไฮเดรต)
จุดเดือด 178 °C (ระเหิด)
21.7 mg·mL−1 (25 °C)
180 mg·mL−1 (80 °C)
670 mg·mL−1 (100 °C)
pKa −0.13 – 1.22[1]
3.64 D (คำนวณ)
ความอันตราย
อาชีวอนามัยและความปลอดภัย (OHS/OSH):
อันตรายหลัก
อาจเป็นอันตรายหากสูดดม กลืนกิน หรือดูดซึมผ่านผิวหนัง
NFPA 704 (fire diamond)
NFPA 704 four-colored diamondHealth 2: Intense or continued but not chronic exposure could cause temporary incapacitation or possible residual injury. E.g. chloroformFlammability 1: Must be pre-heated before ignition can occur. Flash point over 93 °C (200 °F). E.g. canola oilInstability (yellow): no hazard codeSpecial hazards (white): no code
2
1
จุดวาบไฟ ไม่ระบุ
ปริมาณหรือความเข้มข้น (LD, LC):
192 mg/kg (หนูทดลอง, ทางปาก)[2]
หากมิได้ระบุเป็นอื่น ข้อมูลข้างต้นนี้คือข้อมูลสาร ณ ภาวะมาตรฐานที่ 25 °C, 100 kPa

กาเฟอีน[3] (ฝรั่งเศส: caféine) เป็นสารแซนทีนอัลคาลอยด์ ซึ่งสามารถพบได้ในอาหารหลายชนิดได้แก่ เมล็ดกาแฟ, ชา, โคล่า กาเฟอีนถือว่าเป็นยากำจัดศัตรูพืชโดยธรรมชาติ เพราะมันออกฤทธิ์ทำให้อัมพาต และสามารถฆ่าแมลงบางชนิดได้ กาเฟอีนยังมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ร่างกายเกิดความตื่นตัวและลดความง่วงได้ เครื่องดื่มหลายชนิดมีกาเฟอีนเป็นส่วนผสม เช่นในกาแฟ น้ำชา น้ำอัดลม รวมทั้งเครื่องดื่มชูกำลัง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นประสาทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก

แหล่งของกาเฟอีน

เมล็ดกาแฟจัดเป็นพืชที่เป็นแหล่งของกาเฟอีนที่ใหญ่ที่สุด ปริมาณกาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักสองประการ คือชนิดของเมล็ดกาแฟที่เป็นแหล่งผลิต และกรรมวิธีในการเตรียมกาแฟ เช่น เมล็ดกาแฟที่คั่วจนเป็นสีเข้มจะมีปริมาณกาเฟอีนน้อยกว่าเมล็ดที่คั่วไม่นาน เนื่องจากกาเฟอีนสามารถสลายตัวไปได้ระหว่างการคั่ว และกาแฟพันธุ์อาราบิกาจะมีปริมาณกาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟพันธุ์โรบัสตา เป็นต้น โดยทั่วไปกาแฟเอสเปรสโซจากเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิกาจะมีกาเฟอีนประมาณ 40 มิลลิกรัม นอกจากนี้ในเมล็ดกาแฟยังพบอนุพันธ์ของกาเฟอีน คือธีโอฟิลลีน (Theophyllin) ในปริมาณเล็กน้อยอีกด้วย

ใบชายังเป็นแหล่งของกาเฟอีนที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่ง พบว่าจะมีกาเฟอีนมากกว่ากาแฟในปริมาณเดียวกัน แต่วิธีชงดื่มของชานั้น ทำให้ปริมาณกาเฟอีนลดลงไปมาก แต่ชาจะมีปริมาณของธีโอฟิลลีนอยู่มาก และพบอนุพันธ์อีกชนิดของกาเฟอีน คือธีโอโบรมีน (Theobromine) อยู่เล็กน้อยด้วย ชนิดของใบชาและกระบวนวิธีการเตรียมก็เป็นปัจจัยสำคัญของกาเฟอีนในน้ำชาเช่นเดียวกับในกาแฟ เช่นในชาดำและชาอูหลงจะมีกาเฟอีนมากกว่าในชาชนิดอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม สีของน้ำชาไม่ได้เป็นลักษณะบ่งชี้ถึงปริมาณกาเฟอีนในน้ำชา เช่นในชาเขียวญี่ปุ่นซึ่งจะมีปริมาณกาเฟอีนสูงกว่าชาดำบางชนิด

ช็อคโกแลตซึ่งผลิตมาจากเมล็ดโกโก้ก็เป็นแหล่งของกาเฟอีนเช่นเดียวกัน แต่ในปริมาณที่น้อยกว่าเมล็ดกาแฟและใบชา แต่เนื่องจากในเมล็ดโกโก้มีสารธีโอฟิลลีนและธีโอโบรมีนอยู่มาก จึงมีฤทธิ์อ่อน ๆ ในการกระตุ้นประสาท อย่างไรก็ตาม ปริมาณของสารดังกล่าวนี้ก็ยังน้อยเกินไปที่จะให้เกิดผลกระตุ้นประสาทเช่นเดียวกับกาแฟในปริมาณที่เท่ากัน

น้ำอัดลมและเครื่องดื่มชูกำลังเป็นเครื่องดื่มที่พบกาเฟอีนได้มากเช่นเดียวกัน น้ำอัดลมทั่วไปจะมีกาเฟอีนประมาณ 10–50 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ขณะที่เครื่องดื่มชูกำลัง เช่นกระทิงแดง จะมีกาเฟอีนอยู่มากถึง 80 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค กาเฟอีนที่ผสมอยู่ในเครื่องดื่มเหล่านี้อาจมาจากพืชที่เป็นแหล่งผลิต แต่ส่วนใหญ่จะได้จากกาเฟอีนที่สกัดออกระหว่างการผลิตกาแฟพร่องกาเฟอีน (decaffeinated coffee)

สถานะทางเคมี

กาเฟอีน เป็นสารอัลคาลอยด์ซึ่งจัดอยู่ในตระกูลเมทิลแซนทีน ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกันกับสารประกอบธีโอฟิลลีน และ ธีโอโบรมีน ในสถานะบริสุทธิ์ จะมีสีขาวเป็นผง และมีรสขมจัด สูตรทางเคมีคือ C8H10N4O2

เมแทบอลิซึมและเภสัชวิทยา

กาเฟอีนจัดเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและเมแทบอลิซึมหรือกลไกการเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย[4]เพื่อลดความง่วง ความเหนื่อยล้า และจะส่งผลกระตุ้นเส้นประสาท โดยมีการปล่อยโปแตสเซียมและแคลเซียม เข้าสู่เซลล์ประสาท เพิ่มการตื่นตัวของร่างกาย โดยในระบบประสาท กาเฟอีนจะไปกระตุ้นการทำงานในระดับสูงของสมอง เพื่อเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ทำให้กลไกการคิดรวดเร็วและมีสมาธิมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ร่างกายมีกระบวนการต่าง ๆ ในการแปรรูปกาเฟอีนที่ได้รับมาเป็นสารอนุพันธ์ชนิดอื่นซึ่งมีฤทธิ์ต่าง ๆ กัน ซึ่งกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป

เมแทบอลิซึม

กาเฟอีนถูกแปรสภาพโดนเอนไซม์ในตับ ได้เป็นอนุพันธ์ของกาเฟอีนสามชนิด คือ พาราแซนทีน (ร้อยละ 84), ธีโอโบรมีน (ร้อยละ 12) และธีโอฟิลลีน (ร้อยละ 4)

กาเฟอีนจะถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กภายใน 45 นาทีหลังจากการบริโภค หลังจากนั้นจะถูกนำเข้ากระแสเลือดและลำเลียงไปทั่วร่างกาย ครึ่งชีวิตของกาเฟอีนในร่างกาย หรือเวลาที่ร่างกายใช้ในการกำจัดกาเฟอีนในปริมาณครึ่งหนึ่งของที่บริโภค จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลโดยมีปัจจัยต่าง ๆ เช่นอายุ ระดับการทำงานของตับ ภาวะตั้งครรภ์และการใช้ยาอื่นร่วมด้วย ในผู้ใหญ่ปกติจะมีครึ่งชีวิตของกาเฟอีนประมาณ 3–4 ชั่วโมง ในขณะที่หญิงที่ทานยาคุมกำเนิดและหญิงตั้งครรภ์อาจมีครึ่งชีวิตของกาเฟอีนประมาณ 5–10 ชั่วโมง[5] และ 9–11 ชั่วโมง[6] ตามลำดับ ในผู้ป่วยโรคตับระยะรุนแรง อาจมีการสะสมของกาเฟอีนในร่างกายได้นานถึง 96 ชั่วโมง[7] สำหรับในทารกและเด็กจะมีครึ่งชีวิตของกาเฟอีนที่นานกว่าผู้ใหญ่ พบว่าในทารกแรกเกิดจะมีครึ่งชีวิตของกาเฟอีนประมาณ 30 ชั่วโมง กาเฟอีนจะถูกเปลี่ยนแปลงสภาพที่ตับ โดยอาศัยการทำงานของเอนไซม์ ไซโตโครม พี 450 ออกซิเดส (Cytochrome P450 oxidase) ซึ่งเอนไซม์นี้จะเปลี่ยนกาเฟอีนให้เป็นอนุพันธ์สามชนิด[8] คือ

อนุพันธ์ทั้งสามชนิดนี้จะถูกแปรสภาพต่อไป และขับออกทางปัสสาวะในที่สุด

การออกฤทธิ์

เนื่องจากกาเฟอีนเป็นสารในกลุ่มแซนทีนแอลคาลอยด์ที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับอะดีโนซีน (Adenosine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งในสมอง โมเลกุลของกาเฟอีนจึงสามารถจับกับตัวรับอะดีโนซีน (adenosine receptor) ในสมองและยับยั้งการทำงานของอะดีโนซีนได้[9] ผลโดยรวมคือทำให้มีการเพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาทโดปามีน (dopamine) ซึ่งทำให้สมองเกิดการตื่นตัว นอกจากนี้พบว่าอาจจะมีการเพิ่มปริมาณของซีโรโทนิน (serotonin) ซึ่งมีผลต่ออารมณ์ของผู้บริโภค ทำให้รู้สึกพึงพอใจและมีความสุขมากขึ้น อย่างไรก็ตาม กาเฟอีนมิได้ลดความต้องการนอนหลับของสมอง เพียงแต่ลดความรู้สึกเหนื่อยล้าลงเท่านั้น

อย่างไรก็ดี สมองจะมีการตอบสนองต่อกาเฟอีนโดยการเพิ่มปริมาณของตัวรับอะดีโนซีน ทำให้ฤทธิ์ของกาเฟอีนในการบริโภคครั้งต่อไปลดลง เราเรียกภาวะนี้ว่าภาวะทนต่อกาเฟอีน (caffeine tolerance) และทำให้ผู้บริโภคต้องการกาเฟอีนมากขึ้นเพื่อให้เกิดผลต่อร่างกาย ผลอีกประการที่เกิดจากการที่สมองเพิ่มปริมาณของตัวรับอะดีโนซีน นั่นคือทำให้ร่างกายไวต่อปริมาณอะดีโนซีนที่ผลิตตามปกติมากขึ้น[10]เมื่อหยุดการบริโภคกาเฟอีนในทันที จะทำให้เกิดผลข้างเคียงคืออาการปวดศีรษะและรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ร่างกายตอบสนองต่ออะดีโนซีนมากเกินไปนั่นเอง นอกจากนี้ ในผู้ที่หยุดบริโภคกาเฟอีนจะทำให้ปริมาณของโดปามีนและซีโรโทนินลดลงในทันที ส่งผลให้สูญเสียสมาธิและความตั้งใจ รวมทั้งอาจเกิดอาการซึมเศร้าอย่างอ่อน ๆ ได้ อาการดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นประมาณ 12–24 ชั่วโมงหลังจากการหยุดบริโภคกาเฟอีน แต่จะหายไปได้เองภายใน 2–3 วัน อาการของการอดกาเฟอีนดังกล่าวสามารถบรรเทาได้โดยการใช้ยาแอสไพริน หรือการได้รับกาเฟอีนในปริมาณน้อย[11]

ภาวะเสพติดกาเฟอีน และภาวะพิษกาเฟอีน

การบริโภคกาเฟอีนปริมาณมากเป็นเวลานาน อาจนำไปสู่ภาวะเสพติดกาเฟอีน (caffeinism) ซึ่งจะปรากฏอาการต่าง ๆ ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ เช่น กระสับกระส่าย วิตกกังวล กล้ามเนื้อกระตุก นอนไม่หลับ ใจสั่น เป็นต้น[12] นอกจากนี้การบริโภคกาเฟอีนเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กอักเสบ และโรคน้ำย่อยไหลย้อนกลับ (gastroesophageal reflux disease)[13]

ในผู้ที่บริโภคกาเฟอีนปริมาณมาก ๆ ในเวลาเดียว (มากกว่า 400 มิลลิกรัม) อาจทำให้ระบบประสาทส่วนกลางถูกกระตุ้นมากเกินไป ภาวะนี้เรียกว่าภาวะพิษกาเฟอีน (caffeine intoxication) ซึ่งจะทำให้เกิดอาการกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ความคิดและการพูดสับสน หน้าแดง ปัสสาวะมากผิดปกติ ปวดท้อง หัวใจเต้นแรง ในกรณีที่ได้รับในปริมาณสูงมาก (150–200 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักร่างกาย 1 กิโลกรัม) อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้[14]การรักษาผู้ที่เกิดภาวะพิษกาเฟอีนโดยทั่วไปจะเป็นการรักษาตามอาการที่เกิด แต่หากผู้ป่วยมีปริมาณกาเฟอีนในเลือดสูงมาก อาจต้องได้รับการล้างท้องหรือฟอกเลือด

อ้างอิง

  1. This is the pKa for protonated caffeine, given as a range of values included in Harry G. Brittain; Richard J. Prankerd (2007). "Critical Compilation of Pka Values for Pharmaceutical Substances". Profiles of Drug Substances, Excipients and Related Methodology. Vol. 33. Academic Press. pp. 1–33. doi:10.1016/S0099-5428(07)33001-3. ISBN 0-12-260833-X.
  2. Peters JM (1967). "Factors Affecting Caffeine Toxicity: A Review of the Literature". The Journal of Clinical Pharmacology and the Journal of New Drugs. 7 (3): 131–141. doi:10.1002/j.1552-4604.1967.tb00034.x. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 มกราคม 2012.
  3. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน. 2556. พิมพ์ครั้งที่ 1. หน้า 113. ISBN 978-616-7073-56-9.
  4. Nehlig, A; Daval JL; Debry G (พฤษภาคม–สิงหาคม 1992). "Caffeine and the central nervous system: Mechanisms of action, biochemical, metabolic, and psychostimulant effects". Brain Res Brain Res Rev. 17 (2): 139–70. PMID 1356551.
  5. Meyer FP, Canzler E, Giers H, Walther H (1991). "Zeitlicher Verlauf der Hemmung der Koffein Elimination als Reaktion auf das orale Depot-Verhütungsmittel Deposiston. Hormonelle Verhütungsmittel und Koffeinausscheidung" [Time course of inhibition of caffeine elimination in response to the oral depot contraceptive agent Deposiston. Hormonal contraceptives and caffeine elimination]. Zentralblatt für Gynäkologie (ภาษาเยอรมัน). 113 (6): 297–302. eISSN 1438-9762. PMID 2058339.
  6. Ortweiler W, Simon HU, Splinter FK, Peiker G, Siegert C, Traeger A (1985). "Determination of caffeine and metamizole elimination in pregnancy and after delivery as an in vivo method for characterization of various cytochrome p-450 dependent biotransformation reactions". Biomedica Biochimica Acta. Akademie-Verlag. 44 (7–8): 1189–99. ISSN 0232-766X. PMID 4084271.
  7. Bolton, Sanford; Gary Null (1981). "Caffeine: Psychological Effects, Use and Abuse" (PDF). Orthomolecular Psychiatry. 10 (3): 202–211. ISSN 0834-4825. สืบค้นเมื่อ 2 กรกฎาคม 2010.
  8. "Caffeine". The Pharmacogenetics and Pharmacogenomics Knowledge Base. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 กันยายน 2006. สืบค้นเมื่อ 14 สิงหาคม 2006.
  9. Fisone G, Borgkvist A, Usiello A (เมษายน 2004). "Caffeine as a psychomotor stimulant: mechanism of action". Cellular and Molecular Life Sciences. 61 (7–8): 857–72. doi:10.1007/s00018-003-3269-3. PMID 15095008.
  10. Green, RM; Stiles GL (มกราคม 1986). "Chronic caffeine ingestion sensitizes the A1 adenosine receptor-adenylate cyclase system in rat cerebral cortex". Journal of Clinical Investigation. 77 (1): 222–227. eISSN 1558-8238. PMID 3003150.
  11. Sawynok, Jana (มกราคม 1995). "Pharmacological rationale for the clinical use of caffeine". Drugs. 49 (1): 37–50. doi:10.2165/00003495-199549010-00004. PMID 7705215. สืบค้นเมื่อ 14 สิงหาคม 2006.
  12. "Caffeine-related disorders". Encyclopedia of Mental Disorders. สืบค้นเมื่อ 14 สิงหาคม 2006.
  13. "Gastroesophageal Reflux Disease (GERD)". Cedars-Sinai. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2013. สืบค้นเมื่อ 14 สิงหาคม 2006.
  14. Mrvos RM, Reilly PE, Dean BS, Krenzelok EP (ธันวาคม 1989). "Massive caffeine ingestion resulting in death". Veterinary and Human Toxicology. 31 (6): 571–2. PMID 2617841.

แหล่งข้อมูลอื่น

  • จิตรา เศรษฐอุดม (กันยายน–ธันวาคม 2555). "การบริหารจัดการความเสี่ยงอาหารที่มีหรือผสมกาเฟอีน". วารสารอาหารและยา. ปีที่ 19 ฉบับที่ 3. หน้า 46–57. ISSN 0859-1180.
  • "กาแฟให้อะไรกับคุณบ้าง". นิตยสารใกล้หมอ. มกราคม 2553. ISSN 0125-1511.