โลทาร์ เดอ เม็ซซีแอร์

โลทาร์ เดอ เม็ซซีแอร์
Lothar de Maizière
นายกรัฐมนตรีเยอรมนีตะวันออก
ดำรงตำแหน่ง 12 เมษายน 1990 – 2 ตุลาคม 1990
ก่อนหน้า	ฮันส์ โมโดร (ในตำแหน่งประธานสภารมต.)
ถัดไป	ไม่มี (เยอรมนีตะวันออกสิ้นสภาพ)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยอรมนีตะวันออก
ดำรงตำแหน่ง 20 สิงหาคม 1990 – 2 ตุลาคม 1990
ก่อนหน้า	มาร์คุส เม็คเคิล
ถัดไป	ไม่มี (เยอรมนีตะวันออกสิ้นสภาพ)
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด	(1940-03-02) 2 มีนาคม ค.ศ. 1940 นอร์ดเฮาเซิน เสรีรัฐปรัสเซีย ประเทศเยอรมนี
เชื้อชาติ	เยอรมัน
อาชีพ	นักการเมือง, นักกฎหมาย, นักดนตรี

โลทาร์ เดอ เม็ซซีแอร์ (Lothar de Maizière) เป็นนักการเมืองชาวเยอรมัน และนายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายของประเทศเยอรมนีตะวันออก ก่อนที่จะถูกผนวกเข้ากับประเทศเยอรมนีตะวันตกในปีค.ศ. 1990

ประวัติ

โลทาร์เป็นบุตรของนักกฎหมายนามว่า เกลม็อง เดอ เม็ซซีแอร์ ครอบครัวของเขามีเชื้อสายขุนนางฝรั่งเศสอันมีถิ่นฐานอยู่ในเม็ซซีแอร์-เลอ-เม็ทซ์ (Maizières-lès-Metz) ภายในแคว้นกร็องแต็สต์ ประเทศฝรั่งเศส ครอบครัวของเขาซึ่งมีเชื้อสายอูว์เกอโน ถูกเบียดเบียนทางศาสนาและลี้ภัยเข้ามายังประเทศปรัสเซียตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17

โลทาร์ เดอ เม็ซซีแอร์ เกิดที่เมืองนอร์ดเฮาเซิน รัฐทือริงเงิน เขาเข้าศึกษาที่โรงเรียนเกราเอิน โคลสเทอร์ อันเป็นโรงเรียนเก่าแก่ของนิกายโปรเตสแตนท์ จากนั้นเข้าเรียนวิโอลาที่โรงเรียนการดนตรีฮันส์ ไอส์เลอร์ ในกรุงเบอร์ลินตะวันออกระหว่างปี 1959 ถึง 1965 และได้เป็นนักดนตรีในวงเบอร์ลินฟิลฮาร์มอนิก ต่อมาเขาเข้าศึกษากฎหมายผ่านการเรียนทางไกลกับมหาวิทยาลัยฮุมบ็อลท์แห่งเบอร์ลินระหว่างปี 1969 ถึง 1975

งานการเมือง

เม็ซซีแอร์เป็นสมาชิกพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียนมาอย่างยาวนาน ภายหลังการทลายกำแพงเบอร์ลินในปี 1989 เขาก็สามารถขับไล่นักคอมมิวนิสต์ออกจากตำแหน่งผู้บริหารพรรค และขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำพรรคเสียเอง ต่อมาในปี 1990 เมื่อประเทศเยอรมนีตะวันออกจัดให้มีการเลือกตั้งโดยเสรีเป็นครั้งแรก โลทาร์ลงสมัครรับเลือกตั้งและได้รับเลือกเป็นสมาชิกหอประชาชน ในหนึ่งเดือนต่อมา เขาก็เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถือเป็นหัวหน้ารัฐบาลเยอรมันตะวันออกเพียงคนเดียวที่มาจากการเลือกตั้งโดยเสรี

ภายหลังการรวมประเทศเยอรมนี เม็ซซีแอร์ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกิจการพิเศษภายใต้นายกรัฐมนตรีเฮ็ลมูท โคล เขาดำรงตำแหน่งได้เพียงสองเดือนเศษก็ตัดสินใจลาออก ท่ามกลางข่าวลือว่าเขาเคยทำงานให้กับชตาซี