ข้ามไปเนื้อหา

เบรนดัน ร็อดเจอส์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เบรนดัน ร็อดเจอส์
ร็อดเจอส์กับเลสเตอร์ซิตีใน ค.ศ. 2021
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม เบรนดัน ร็อดเจอส์
วันเกิด (1973-01-26) 26 มกราคม ค.ศ. 1973 (51 ปี)
สถานที่เกิด คาร์นล็อก, ไอร์แลนด์เหนือ
ตำแหน่ง กองหลัง
สโมสรเยาวชน
1984–1987 แบลลิมีนายูไนเต็ด
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
1987–1990 แบลลิมีนายูไนเต็ด 12 (1)
1990 เรดดิง 0 (0)
จัดการทีม
2004–2008 เชลซี (เยาวชน)
2008–2009 วอตฟอร์ด
2009 เรดดิง
2010–2012 สวอนซีซิตี
2012–2015 ลิเวอร์พูล
2016–2019 เซลติก
2019–2023 เลสเตอร์ซิตี
2023– เซลติก
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น

เบรนดัน ร็อดเจอส์ (อังกฤษ: Brendan Rodgers) เกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1973 เป็นอดีตนักฟุตบอลและโค้ชทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ โดยล่าสุดเป็นอดีตผู้จัดการทีมของเลสเตอร์ซิตีในพรีเมียร์ลีก และเขายังเคยเป็นอดีตผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูล

ร็อดเจอส์เริ่มต้นอาชีพฟุตบอลของเขากับการเป็นกองหลังของแบลลิมีนายูไนเต็ด ซึ่งเขาสังกัดอยู่จนย้ายไปลงนามกับสมาชิกชมรมคนชอบหงส์ ตอนอายุได้ 18 ปี หลังจากนั้นก็ประสบกับการบาดเจ็บหัวเข่าจนถึงขั้นต้องเลิกเล่นฟุตบอลเมื่ออายุ 20 เขายังคงอยู่กับ เรดดิ้ง โดยทำงานเป็นโค้ชให้กับทีม หลังจากที่ได้ไปศึกษาเทคนิคการโค้ชที่สเปนอยู่ระยะหนึ่ง เขาถูกเชิญให้เป็นผู้จัดการของทีมเยาวชนของเชลซีในปี ค.ศ. 2004 โดย โชเซ มูรีนโย และได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการทีมสำรองในปี ค.ศ. 2006

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2008 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมของวัตฟอร์ด และย้ายไปเป็นผู้จัดการทีมเก่าซึ่งก็คือเรดดิ้งในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2009 เขาออกจากสโมสรโดยความยินยอมร่วมกันหลังจากที่มีผลลัพธ์ที่น่าผิดหวังในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2009 และไปรับตำแหน่งผู้จัดการสวอนซีซิตี ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2010 ปีนี้เขานำสโมสรเลื่อนชั้นไปพรีเมียร์ลีกก่อนที่จะนำทีมจบที่อันดับ 11 ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลต่อมา ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012 ร็อดเจอส์ได้ยอมรับข้อเสนอเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของลิเวอร์พูล [1]

ในวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2015 ทางลิเวอร์พูลได้ประกาศปลดร็อดเจอส์ออกจากผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการ[2]

ประวัติ

[แก้]

ร็อดเจอส์ เกิดในเมืองคาร์นล็อก[3] กับพ่อและแม่ของเขาที่ชื่อ มาลาชีลาย และ คริสตีน่า,[4] ร็อดเจอส์เป็นลูกชายคนโตของคุณพ่อคุณแม่ของเขา ร็อดเจอส์จบจากมหาวิทยาลัยเซนต์แพทริกในเมืองแบลลิมีนา ร็อดเจอส์ชอบเล่นฟุตบอลตั้งแต่เด็กโดยหลังจากเลิกเรียน เขาได้ไปฝึกซ้อมเล่นฟุตบอลใน สนามฟุตบอลเด็กเล่นแห่งหนึ่งในเมืองคาร์นล็อก

นักฟุตบอลอาชีพ

[แก้]

แบลลิมีนายูไนเต็ด

[แก้]

โดยในช่วงการเป็นนักฟุตบอลของร็อดเจอส์นั้นไม่ค่อยมีใครรู้จักเขาเท่าไรนัก ซึ่งสโมสรที่เขาเล่นคือเขาได้เล่นให้กับแบลลิมีนายูไนเต็ด ในปี ค.ศ. 1987 โดยเล่นในตำแหน่งกองหลัง

ผู้จัดการทีมฟุตบอลอาชีพ

[แก้]

ผู้จัดการทีมเยาวชน

[แก้]

ชีวิตหลังจากเลิกเป็นนักฟุตบอล ร็อดเจอส์ก็ค้นพบตัวเองและมุ่งเน้นไปทางด้านผู้จัดการทีม โดยตัดสินใจบินไปศึกษาระบบเยาวชนของโคตรทีมแดนกระทิงดุอย่าง สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา และการได้ไปเรียนรู้งานที่แคว้นกาตาลุญญานั้น ก็ทำให้เขาได้รู้จักกับลูวี ฟัน คาล ซึ่งเป็นกุนซือของบาร์เซโลนาในเวลานั้น และสิ่งที่ร็อดเจอส์สนใจเรียนรู้มากคือระบบโครงสร้างของทีมเยาวชนกับทีมชุดใหญ่ เนื่องจากบาร์เซโลนาขึ้นชื่อลือชาในการปั้นนักเตะระดับดาวรุ่งขึ้นสู่วงการลูกหนังระดับโลกได้ อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 2004 สมัยที่ โชเซ มูรีนโย กุนซือชาวโปรตุเกส ตัดสินใจย้ายจากทีมโปร์ตู มาคุมทีมเชลซี ทางด้าน เบรนดัน ร็อดเจอส์ ก็ได้รับโอกาสและทาบทามจากมูรีนโยให้เข้ามารับหน้าที่ดูแลระบบทีมเยาวชนของทีมเชลซีในรุ่นเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี จนกระทั่งถึงปี 2006 ก็ได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นโค้ชทีมสำรอง

สวอนซีซิตี

[แก้]
ร็อดเจอส์นำทีมสวอนซีซิตีเลื่อนชั้นขึ้นสู่ พรีเมียร์ลีก ในรอบเพลย์ออฟนัดชิงชนะเลิศโดยชนะเรดดิงไป 4-2

หลังจากนั้นในปี 2010 ร็อดเจอส์ ก็ตอบตกลงไปเป็นผู้จัดการทีม สวอนซีซิตี และก็ทำผลงานได้ดี พาทีมเลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีก ได้ในปีแรกที่คุมทีม อีกทั้งฤดูกาลที่ผ่านมา เจ้าตัวก็โชว์กึ๋นในการเป็นยอดกุนซือ โดยพาต้นสังกัด 'หงส์ขาว' สวอนซีซิตี จบอันดับ 11 ในตารางลีกสูงสุดของแดนผู้ดี ได้อย่างสง่าผ่าเผย แม้จะเพิ่งขึ้นชั้นมาเล่นได้เพียงปีเดียว รวมทั้งยังทำสถิติที่น่าสนใจคือเป็นทีมที่ ผ่านบอลสำเร็จเป็นอันดับ 1 ของพรีเมียร์ลีก โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นสูงถึง 83.1% เลยทีเดียว

ลิเวอร์พูล

[แก้]
ร็อดเจอส์ ในปี 2012

ในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 2012 ร็อดเจอส์เซ็นสัญญากับสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ในฐานะผู้จัดการทีมเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยมาแทนที่การถูกปลดของ เคนนี ดัลกลิช อดีตตำนานของลิเวอร์พูลที่ทำได้แค่คว้าแชมป์ลีกคัพและจบอันดับ 8 ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011–12 โดยเกมแรกของร็อดเจอส์คือฟุตบอลอุ่นเครื่องกับ สโมสรฟุตบอลโทรอนโต ในอเมริกา ต่อมา ร็อดเจอส์ คุมทีมลิเวอร์พูลนัดแรกใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2012–13 ในนัดที่พ่าย เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 0-3 โดย 5 นัดแรกในพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล เสมอ 2 แพ้ 3 ไม่ชนะใครเลย แต่ในนัดที่ 6 ร็อดเจอส์ ชนะนัดแรกในการคุมทีมลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีก โดยชนะ นอริชซิตี 5-2 พร้อมกับแฮตทริก ของ หลุยส์ ซัวเรซ อีกด้วย[5] ต่อมา ในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 2012 ร็อดเจอส์ ได้คุมทีมกลับมาเจอทีมเก่า สวอนซีซิตี ที่แอนฟีลด์ ในลีกคัพ รอบที่ 4 แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็พ่ายแพ้ไป 1-3 ต่อมา ในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ร็อดเจอส์ ได้พา ลิเวอร์พูล เข้ารอบ 32 ทีมสุดท้าย ในยูฟ่ายูโรปาลีก หลังจากพาทีมเอาชนะ อูดิเนเซ 1-0

ในฤดูกาล 2013–2014 ร็อดเจอร์ส ได้คว้ารางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนสิงหาคมของพรีเมียร์ลีก หลังจากพาทีมชนะ 3 นัดแรกของฤดูกาล (ชนะ สโตกซิตี 1-0, ชนะ แอสตันวิลลา 1-0 และชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 1-0) หลังจากนั้น ร็อดเจอร์ส พาทีมลิเวอร์พูลทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้ลิเวอร์พูลมีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี

ช่วงเริ่มต้นในฤดูกาล 2015–2016 ร็อดเจอร์สทำผลงานได้ไม่ดีเท่าที่ควรจากการเล่นในลีก 8 นัด โดยชนะ 3 นัด เสมอ 2 นัดและแพ้ 2 นัด รวมถึงในยูโรปาลีกโดยเล่น 2 นัด ทำได้เพียงเสมอทั้ง 2 นัด โดยหลังจากการแข่งในลีกในศึกเมอร์ซี่ไซด์ดาร์บี้แมตช์กับเอฟเวอร์ตันซึ่งมีขึ้นในวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2015 มีผลการแข่งขันที่เสมอ 1-1 เมื่อการแข่งขันจบลงเพียง 1 ชั่วโมง จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่ เจ้าของทีมลิเวอร์พูลกับ ทอม เวอร์เนอร์ ประธานสโมสร แถลงการณ์ในเชิงขอบคุณร็อดเจอร์สที่ทำผลงานอย่างเต็มที่ให้กับสโมสร และได้ประกาศยกเลิกสัญญากับร็อดเจอร์สอย่างเป็นทางการ[2] ทั้งที่เมื่อพิจารณาจากสถิติแล้ว ร็อดเจอร์สนำพาสโมสรคว้าชัยชนะในลีกเฉลี่ยร้อยละ 51.6 นับว่าสูงเป็นอันดับสองของผู้จัดการลิเวอร์พูลในยุคพรีเมียร์ลีก เป็นรองเพียงแค่ ราฟาเอล เบนิเตซ ที่ทำได้ร้อยละ 55.3 เท่านั้น แต่ทว่าเรื่องที่เขาโดนวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด คือ การบริหารจัดการทีมโดยยอมปล่อยตัวผู้เล่นคนสำคัญหลายคนออกจากทีม และซื้อตัวผู้เล่นใหม่เข้ามาหลายคน แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ อีกทั้งในบางครั้งในการจัดตัวผู้เล่นยังจัดให้เล่นในตำแหน่งที่ไม่ใช่ตำแหน่งที่ผู้เล่นผู้นั้นถนัดด้วย[6]

เกียรติประวัติ

[แก้]

ผู้จัดการทีม

[แก้]
สวอนซีซิตี
เซลติก
เลสเตอร์ซิตี

รางวัลส่วนตัว

[แก้]
  • ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมผู้จัดการทีม (1): 2013–14[7]
  • ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก 3 สมัย: มกราคม 2012, สิงหาคม 2013, มีนาคม 2014
  • ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนของฟุตบอลลีกแชมเปียนชิป : กุมภาพันธ์ 2011
  • Liverpool F.C. Outstanding Achievement Award (1): 2014[8] [9]

อ้างอิง

[แก้]
  1. โอเค! "ร็อดเจอร์ส" เซ็นหงส์ 3 ปีเปิดตัวใน 24 ชม. เก็บถาวร 2012-06-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน จากผู้จัดการออนไลน์
  2. 2.0 2.1 "หมดเวลา "หงส์" ตะเพิด "ร็อดเจอร์ส" สังเวยเจ๊าท็อฟฟี". ผู้จัดการออนไลน์. 5 October 2015. สืบค้นเมื่อ 5 October 2015.[ลิงก์เสีย]
  3. Ben Smith (30 May 2012). "Brendan Rodgers agrees deal to become Liverpool manager". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 30 May 2012.
  4. "Swansea City's Brendan Rodgers climbs Kilimanjaro". BBC News. 16 June 2011. สืบค้นเมื่อ 23 June 2011.
  5. "Norwich 2 - 5 Liverpool". BBC Sport. 29 September 2012. สืบค้นเมื่อ 29 September 2012.
  6. "Art Corner : ชายผู้เดินจากอย่างเดียวดาย". goal.com. 6 October 2015. สืบค้นเมื่อ 5 October 2015.
  7. "LMA MEMBERS CHOOSE BRENDAN RODGERS FOR LMA MANAGER OF THE YEAR AWARD, SPONSORED BY BARCLAYS". LMA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-11-03. สืบค้นเมื่อ 12 May 2014.
  8. "รายชื่อผู้ได้รับรางวัล Players' Awards Dinner 2014". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-05-09. สืบค้นเมื่อ 2014-05-17.
  9. "ซัวเรซกวาด 3 รางวัล ในงานประกาศรางวัลสโมสรลิเวอร์พูล". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-07-05.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]