ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ชีวิตอารามวาสี"
ล ใส่ลิงก์ข้ามภาษาด้วยบอต |
พุทธามาตย์ (คุย | ส่วนร่วม) ระบบสำนักสงฆ์→ชีวิตอารามวาสี แก้ศัพท์ให้ตรงลิงก์ |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
{{ความหมายอื่น|เกี่ยวกับ= |สำหรับ= |ดูที่=ระบบสำนักสงฆ์ของคริสต์ศาสนา |เปลี่ยนทาง=}} |
{{ความหมายอื่น|เกี่ยวกับ= |สำหรับ= |ดูที่=ระบบสำนักสงฆ์ของคริสต์ศาสนา |เปลี่ยนทาง=}} |
||
{{ใช้ปีคศ|width=280px}} |
{{ใช้ปีคศ|width=280px}} |
||
[[ไฟล์:Katharinenkloster Sinai BW 2.jpg|thumb|280px|[[ |
[[ไฟล์:Katharinenkloster Sinai BW 2.jpg|thumb|280px|[[อารามเซนต์แคทเธอรินแห่งไซนาย]]ใน[[อียิปต์]] ก่อตั้งราวระหว่าง ค.ศ. 527 ถึง ค.ศ. 565]] |
||
''' |
'''ชีวิตอารามวาสี'''<ref name="พัฒนาการวิถีชีวิตจิตคริสตชน">สมชัย พิทยาพงษ์พร, บาทหลวง, ''พัฒนาการวิถีชีวิตจิตคริสตชน'', นครปฐม: ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนางานวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม, 2551, หน้า 27</ref><ref>''บัญญัติศัพท์'', สำนักมิสซังกรุงเทพ, หน้า 21</ref> ({{lang-en|'''Monasticism'''}})<ref>CATHOLIC ENCYCLOPEDIA: Monasticism [http://www.newadvent.org/cathen/10459a.htm]</ref> ในทางตะวันตก (คริสต์ศาสนา) “ชีวิตอารามวาสี” มาจากภาษาอังกฤษคำว่า “Monasticism” ที่มาจาก[[ภาษากรีก]] “μοναχός” - “monachos” ที่มีรากมาจากคำว่า “monos” ที่แปลว่า “สันโดษ” หรือ “ผู้เดียว” หมายถึงวิถีชีวิตทางศาสนาที่นักบวชเลือกที่จะสละชีวิตทางโลกเพื่ออุทิศตนอย่างเต็มตัวในทางธรรม ที่มาของคำนี้มาจากภาษากรีกโบราณและเป็นปรัชญาที่เกี่ยวกับนักบวชใน[[คริสต์ศาสนา]] ในวัฒนธรรมคริสเตียนผู้ที่เลือกใช้ชีวิตอารามวาสีถ้าเป็นชายก็เรียกว่า[[นักพรต]] (monk) หรือ[[บราเดอร์]] (brethren - brothers) ถ้าเป็นหญิงก็เรียกว่า[[นักพรตหญิง]]หรือ[[ชี]] (nun) หรือ[[ซิสเตอร์]] (sister) นักพรตทั้งชายและหญิงอาจจะเรียกว่าอารามิกชน (monastics) |
||
ศาสนาอื่นต่างก็มี |
ศาสนาอื่นต่างก็มีชีวิตอารามวาสีเป็นของตนเองโดยเฉพาะใน[[พุทธศาสนา]] และรวมทั้ง[[ศาสนาเต๋า]] [[ศาสนาฮินดู]] และ[[ศาสนาเชน]] แต่รายละเอียดของแต่ละระบบของแต่ละศาสนาหรือแต่ละนิกายก็แตกต่างจากกันมาก |
||
== |
== ชีวิตอารามวาสีในพุทธศาสนา == |
||
สำหรับ |
สำหรับชีวิตอารามวาสี[[พุทธศาสนา]]ใน[[ประเทศไทย]] ระบบสำนักสงฆ์อาจหมายความถึง[[วัด]]หรืออาราม (ที่ยังไม่ได้รับพระราชทานที่[[วิสุงคามสีมา]]) ที่เป็นศูนย์กลางของชุมชน เป็นที่อยู่จำพรรษาของ[[พระสงฆ์]] ซึ่งแบ่งเป็นสำนักที่มีพระสงฆ์จำพรรษาจำนวนมากเพียงพอ 5 รูปขึ้นไป และได้ตั้งวัดโดยกฎหมายคณะสงฆ์แล้วจะเรียกว่า '''วัด''' ซึ่งหากมีพระสงฆ์น้อยกว่านั้น จะไม่สามารถตั้งเป็นวัดที่ถูกต้องตามกฎหมายคณะสงฆ์ไทยได้ วัดเหล่านั้นจะถูกเรียกว่า '''ระบบสำนักสงฆ์''' หรือ '''ที่พักสงฆ์''' |
||
ในสมัย[[พุทธกาล]] ระบบสำนักสงฆ์เรียกว่า อาราม ซึ่งสำนักใดมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่มาก จะถูกเรียกว่าวิหาร หรือมหาวิหาร เช่น [[วัดเวฬุวันมหาวิหาร]]<ref>พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค วักกลิสูตร. พระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก [http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=17&A=2680&Z=2799]. เข้าถึงเมื่อ 5-6-52</ref> |
ในสมัย[[พุทธกาล]] ระบบสำนักสงฆ์เรียกว่า อาราม ซึ่งสำนักใดมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่มาก จะถูกเรียกว่าวิหาร หรือมหาวิหาร เช่น [[วัดเวฬุวันมหาวิหาร]]<ref>พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค วักกลิสูตร. พระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก [http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=17&A=2680&Z=2799]. เข้าถึงเมื่อ 5-6-52</ref> |
||
== |
== ชีวิตอารามวาสีในคริสต์ศาสนา == |
||
{{Main|ระบบสำนักสงฆ์ของคริสต์ศาสนา}} |
{{Main|ระบบสำนักสงฆ์ของคริสต์ศาสนา}} |
||
ชีวิตอารามวาสีในคริสต์ศาสนามาจากคำว่า “[[นักพรต]]” และ “[[อาราม]]” ที่มีระบบแตกต่างจากกันเป็นหลายแบบ ชีวิตอารามวาสีก่อตั้งขึ้นไม่นานหลังจากการเริ่มต้นของ[[คริสต์ศาสนา]]ตามตัวอย่างและปรัชญาที่กล่าวถึงใน[[พันธสัญญาเดิม]]และ[[พันธสัญญาใหม่]]แต่ยังมิได้ระบุแยกเป็นสถาบันต่างหากในพระคัมภีร์ ต่อมาชีวิตอารามวาสีจึงได้มีการก่อตั้งบทบัญญัติเป็นวินัยนักบวช (religious rules) ในหมู่ผู้ติดตามเช่น[[วินัยของนักบุญบาซิล]] (Rule of St Basil) หรือ[[วินัยของนักบุญเบเนเดิกต์]] ในสมัยปัจจุบันกฎ[[คริสตจักร]]ของบางนิกายอาจจะระบุรูปแบบการใช้ชีวิต[[นักพรต]] |
|||
อารามในคริสต์ศาสนาเป็นวิถีชีวิตที่อุทิศให้แก่พระเจ้าเพื่อการบรรลุ[[ชีวิตนิรันดร์]] (eternal life) ระหว่าง[[การเทศนาบนภูเขา]] (Sermon on the Mount) ในหัวข้อ[[พระพรมหัศจรรย์]] (Beatitudes) หรือการดำเนินชีวิตตามกฎของพระเจ้า [[พระเยซู]]ทรงเทศนาต่อกลุ่มชนที่มาฟังให้ “เป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดา...ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ” (แม็ทธิว 5:48<ref>[http://www.holyzone.net/news/02/?%BE%C3%D0%A4%D1%C1%C0%D5%C3%EC%BE%D1%B9%B8%CA%D1%AD%AD%D2%E3%CB%C1%E8:%C1%D1%B7%B8%D4%C7_%2F_Matthew:%C1%D1%B7%B8%D4%C7_5 Holy Zone for Christ. พระวรสารนักบุญมัทธิว 5]</ref>) และทรงกล่าวเชิญชวนอัครสาวกของพระองค์ให้ปฏิญาณความเป็นโสดโดยตรัสว่า “ผู้ที่กระทำตัวเองให้เป็นขันทีเพราะเห็นแก่อาณาจักรแห่งสวรรค์ก็มี ใครถือได้ก็ให้ถือเอาเถิด” (แม็ทธิว 19:12<ref>[http://www.holyzone.net/news/02/?%BE%C3%D0%A4%D1%C1%C0%D5%C3%EC%BE%D1%B9%B8%CA%D1%AD%AD%D2%E3%CB%C1%E8:%C1%D1%B7%B8%D4%C7_%2F_Matthew:%C1%D1%B7%B8%D4%C7_19 Holy Zone for Christ. พระวรสารนักบุญมัทธิว 19]</ref>) และเมื่อทรงถูกถามว่าจะต้องทำอย่างใดนอกจากปฏิบัติตาม[[บัญญัติ 10 ประการ|พระบัญญัติ]]ที่จะทำให้ “บรรลุ[[ชีวิตนิรันดร์]]” พระองค์ก็ทรงแนะว่าให้สละทรัพย์สมบัติและใช้ชีวิตอย่างสมถะ (แม็ทธิว 19:16-22<ref>[http://www.holyzone.net/news/02/?%BE%C3%D0%A4%D1%C1%C0%D5%C3%EC%BE%D1%B9%B8%CA%D1%AD%AD%D2%E3%CB%C1%E8:%C1%D1%B7%B8%D4%C7_%2F_Matthew:%C1%D1%B7%B8%D4%C7_19 Holy Zone for Christ. พระวรสารนักบุญมัทธิว 19]</ref>, มาร์ค 10:17-22<ref>[http://www.holyzone.net/news/02/?%BE%C3%D0%A4%D1%C1%C0%D5%C3%EC%BE%D1%B9%B8%CA%D1%AD%AD%D2%E3%CB%C1%E8:%C1%D2%C3%D0%E2%A1_%2F_Mark:%C1%D2%C3%D0%E2%A1_10 Holy Zone for Christ. พระวรสารนักบุญมาระโก 10]</ref> และ ลูค 18:18-23<ref>[http://www.holyzone.net/news/02/?%BE%C3%D0%A4%D1%C1%C0%D5%C3%EC%BE%D1%B9%B8%CA%D1%AD%AD%D2%E3%CB%C1%E8:%C5%D9%A1%D2_%2F_Luke:%C5%D9%A1%D2_18 Holy Zone for Christ. พระวรสารนักบุญลูกา 18]</ref>) |
|||
ใน[[พันธสัญญาใหม่]]ก็เริ่มมีหลักฐานที่กล่าวถึง |
ใน[[พันธสัญญาใหม่]]ก็เริ่มมีหลักฐานที่กล่าวถึงการใช้ชีวิตนักพรต โดยการตระเวนช่วยเหลือแม่หม้ายและสตรี ใน[[ซีเรีย]]และต่อมาใน[[อียิปต์]]ผู้นับถือคริสต์ศาสนาบางคนก็มีความรู้สึกว่าถูกเรียกให้ไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษเพื่อเพิ่มความศรัทธาและเข้าถึงพระเจ้าได้มากยิ่งขึ้นโดยการออกไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษกลางทะเลทราย [[นักบุญแอทธานาเซียสแห่งอเล็กซานเดรีย]] (Athanasius of Alexandria) กล่าวถึงนักบุญ[[แอนโทนีอธิการ]]ว่าเป็นนักบวชองค์แรกๆ ที่ออกไปใช้ชีวิตอย่าง “นักพรตฤๅษี” (Hermit monk) และเป็นลัทธิที่ทำให้ชีวิตอารามวาสีเป็นที่แพร่หลายในอียิปต์ ชีวิตอารามวาสีแพร่หลายทั่วไปในตะวันออกกลางมาจนกระทั่งเมื่อความนิยมในการนับถือคริสต์ศาสนาในซีเรียมาลดถอยลงในยุคกลาง |
||
เมื่อผู้ประสงค์จะใช้ชีวิตอย่างสันโดษเริ่มรวมตัวเข้าด้วยกันมากขึ้น ความจำเป็นในการที่จะต้องมีกฎเกณฑ์ในชุมนุมนักบวชก็เพิ่มมากขึ้น ราวปี ค.ศ. 318 [[นักบุญพาโคเมียส]] (Pachomius) ก็เริ่มจัดกลุ่มผู้ติดตามที่กลายมาเป็น |
เมื่อผู้ประสงค์จะใช้ชีวิตอย่างสันโดษเริ่มรวมตัวเข้าด้วยกันมากขึ้น ความจำเป็นในการที่จะต้องมีกฎเกณฑ์ในชุมนุมนักบวชก็เพิ่มมากขึ้น ราวปี ค.ศ. 318 [[นักบุญพาโคเมียส]] (Pachomius) ก็เริ่มจัดกลุ่มผู้ติดตามที่กลายมาเป็นอารามแบบหมู่คณะต่อมา ไม่นานนักก็มีการก่อตั้งสถาบันอื่นๆ ในลักษณะคล้ายคลึงกันทั่วไปในทะเลทรายในอียิปต์และทางตะวันออกของจักรวรรดิโรมัน ชีวิตอารามวาสีในตะวันออกกลางที่เป็นที่รู้จักกันดีก็ได้แก่: |
||
::* [[ |
::* [[อารามเซนต์แอนโทนี]] ซึ่งเป็นชีวิตอารามวาสีที่เก่าแก่ที่สุดของคริสต์ศาสนาในโลก |
||
::* |
::* อารามของ[[นักบุญมาร์ ออว์จิน]] (Mar Awgin) ก่อตั้งบนเขาอิซลาเหนือนิซิบิสใน[[เมโสโปเตเมีย]] ราว ค.ศ. 350 ที่กลายมาเป็นชีวิตอารามวาสีแบบคณะที่เผยแพร่ไปยังเมโสโปเตเมีย เปอร์เชีย อาร์มีเนีย จอร์เจีย และแม้แต่อินเดียและจีน |
||
::* |
::* อารามของ[[นักบุญซับบาสผู้ศักดิ์สิทธิ์]] (St. Sabbas the Sanctified) ผู้ก่อตั้งกลุ่มนักพรตในทะเลทรายจูเดียนเป็นอารามไม่ไกลจาก[[เบธเลเฮม]] (ค.ศ. 483) ที่ถือกันว่าเป็นอารามแม่ของอารามทั้งหลานในคริสตจักร[[อีสเติร์นออร์โธด็อกซ์]] |
||
::* [[ |
::* [[อารามเซนต์แคทเธอรีนแห่งไซนาย]] (Saint Catherine's Monastery, Mount Sinai) ก่อตั้งระหว่าง ค.ศ. 527 ถึง ค.ศ. 565 ในทะเลทรายไซนายตามพระราชโองการของ[[จักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1]] |
||
ทางตะวันตกการวิวัฒนาการของ |
ทางตะวันตกการวิวัฒนาการของชีวิตอารามวาสีที่สำคัญที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวินัยของชุมชนอารามได้รับการบันทึกเป็นตัวอักษร วินัยที่เชื่อกันว่าเป็กฎแรกที่ได้รับการบันทึกคือ[[วินัยของนักบุญบาซิล]]แต่เวลาที่เขียนไม่เป็นที่ทราบแน่นอน [[วินัยของนักบุญบาซิล]]เชื่อกันว่าเป็นวินัยที่เป็นพื้นฐานของ[[วินัยของนักบุญเบเนเดิกต์]]ที่เขียนโดยนักบุญ[[เบเนดิกต์แห่งเนอร์เซีย]]สำหรับอารามที่มอนเตคัสซิโนในอิตาลีราวปี ค.ศ. 529 และสำหรับ[[คณะเบเนดิกติน]]ที่ก่อตั้งขึ้น วินัยฉบับนี้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายที่สุดใน[[ยุคกลาง]]ของยุโรป ในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกันก็มี[[วินัยของนักบุญออกัสติน]]โดย[[นักบุญออกัสตินแห่งฮิปโป]] แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาอันสั้น เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 12 ก็มี[[คณะนักบวชคาทอลิก]]ใหม่ๆ ก่อตั้งขึ้นอีกหลายคณะ เช่น [[ลัทธิฟรานซิสกัน]] [[คณะคาร์เมไลท์]] และ[[คณะดอมินิกัน]] แต่คณะเหล่านี้เลือกที่จะตั้งอารามในเมืองแทนที่จะไปตั้งห่างไกลจากชุมชน |
||
ชีวิตอารามวาสีในคริสต์ศาสนาก็ยังวิวัฒนาการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้แม้แต่ในโปรเตสแตนต์ในสหรัฐอเมริกา |
|||
== อ้างอิง == |
== อ้างอิง == |
||
บรรทัด 34: | บรรทัด 34: | ||
== ดูเพิ่ม == |
== ดูเพิ่ม == |
||
* [[ |
* [[อาราม]] |
||
* [[ระบบสำนักสงฆ์ของคริสต์ศาสนา]] |
* [[ระบบสำนักสงฆ์ของคริสต์ศาสนา|ชีวิตอารามวาสีในศาสนาคริสต์]] |
||
* [[คริสต์ศาสนา]] |
* [[คริสต์ศาสนา]] |
||
* [[แอบบี]] |
* [[แอบบี]] |
||
บรรทัด 51: | บรรทัด 51: | ||
{{เรียงลำดับ| |
{{เรียงลำดับ|อาราม}} |
||
[[หมวดหมู่:สำนักสงฆ์|*]] |
[[หมวดหมู่:สำนักสงฆ์|*]] |
||
[[หมวดหมู่:อารามในศาสนาคริสต์|*]] |
[[หมวดหมู่:อารามในศาสนาคริสต์|*]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 01:39, 26 กุมภาพันธ์ 2554
ชีวิตอารามวาสี[1][2] (อังกฤษ: Monasticism)[3] ในทางตะวันตก (คริสต์ศาสนา) “ชีวิตอารามวาสี” มาจากภาษาอังกฤษคำว่า “Monasticism” ที่มาจากภาษากรีก “μοναχός” - “monachos” ที่มีรากมาจากคำว่า “monos” ที่แปลว่า “สันโดษ” หรือ “ผู้เดียว” หมายถึงวิถีชีวิตทางศาสนาที่นักบวชเลือกที่จะสละชีวิตทางโลกเพื่ออุทิศตนอย่างเต็มตัวในทางธรรม ที่มาของคำนี้มาจากภาษากรีกโบราณและเป็นปรัชญาที่เกี่ยวกับนักบวชในคริสต์ศาสนา ในวัฒนธรรมคริสเตียนผู้ที่เลือกใช้ชีวิตอารามวาสีถ้าเป็นชายก็เรียกว่านักพรต (monk) หรือบราเดอร์ (brethren - brothers) ถ้าเป็นหญิงก็เรียกว่านักพรตหญิงหรือชี (nun) หรือซิสเตอร์ (sister) นักพรตทั้งชายและหญิงอาจจะเรียกว่าอารามิกชน (monastics)
ศาสนาอื่นต่างก็มีชีวิตอารามวาสีเป็นของตนเองโดยเฉพาะในพุทธศาสนา และรวมทั้งศาสนาเต๋า ศาสนาฮินดู และศาสนาเชน แต่รายละเอียดของแต่ละระบบของแต่ละศาสนาหรือแต่ละนิกายก็แตกต่างจากกันมาก
ชีวิตอารามวาสีในพุทธศาสนา
สำหรับชีวิตอารามวาสีพุทธศาสนาในประเทศไทย ระบบสำนักสงฆ์อาจหมายความถึงวัดหรืออาราม (ที่ยังไม่ได้รับพระราชทานที่วิสุงคามสีมา) ที่เป็นศูนย์กลางของชุมชน เป็นที่อยู่จำพรรษาของพระสงฆ์ ซึ่งแบ่งเป็นสำนักที่มีพระสงฆ์จำพรรษาจำนวนมากเพียงพอ 5 รูปขึ้นไป และได้ตั้งวัดโดยกฎหมายคณะสงฆ์แล้วจะเรียกว่า วัด ซึ่งหากมีพระสงฆ์น้อยกว่านั้น จะไม่สามารถตั้งเป็นวัดที่ถูกต้องตามกฎหมายคณะสงฆ์ไทยได้ วัดเหล่านั้นจะถูกเรียกว่า ระบบสำนักสงฆ์ หรือ ที่พักสงฆ์
ในสมัยพุทธกาล ระบบสำนักสงฆ์เรียกว่า อาราม ซึ่งสำนักใดมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่มาก จะถูกเรียกว่าวิหาร หรือมหาวิหาร เช่น วัดเวฬุวันมหาวิหาร[4]
ชีวิตอารามวาสีในคริสต์ศาสนา
ชีวิตอารามวาสีในคริสต์ศาสนามาจากคำว่า “นักพรต” และ “อาราม” ที่มีระบบแตกต่างจากกันเป็นหลายแบบ ชีวิตอารามวาสีก่อตั้งขึ้นไม่นานหลังจากการเริ่มต้นของคริสต์ศาสนาตามตัวอย่างและปรัชญาที่กล่าวถึงในพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่แต่ยังมิได้ระบุแยกเป็นสถาบันต่างหากในพระคัมภีร์ ต่อมาชีวิตอารามวาสีจึงได้มีการก่อตั้งบทบัญญัติเป็นวินัยนักบวช (religious rules) ในหมู่ผู้ติดตามเช่นวินัยของนักบุญบาซิล (Rule of St Basil) หรือวินัยของนักบุญเบเนเดิกต์ ในสมัยปัจจุบันกฎคริสตจักรของบางนิกายอาจจะระบุรูปแบบการใช้ชีวิตนักพรต
อารามในคริสต์ศาสนาเป็นวิถีชีวิตที่อุทิศให้แก่พระเจ้าเพื่อการบรรลุชีวิตนิรันดร์ (eternal life) ระหว่างการเทศนาบนภูเขา (Sermon on the Mount) ในหัวข้อพระพรมหัศจรรย์ (Beatitudes) หรือการดำเนินชีวิตตามกฎของพระเจ้า พระเยซูทรงเทศนาต่อกลุ่มชนที่มาฟังให้ “เป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดา...ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ” (แม็ทธิว 5:48[5]) และทรงกล่าวเชิญชวนอัครสาวกของพระองค์ให้ปฏิญาณความเป็นโสดโดยตรัสว่า “ผู้ที่กระทำตัวเองให้เป็นขันทีเพราะเห็นแก่อาณาจักรแห่งสวรรค์ก็มี ใครถือได้ก็ให้ถือเอาเถิด” (แม็ทธิว 19:12[6]) และเมื่อทรงถูกถามว่าจะต้องทำอย่างใดนอกจากปฏิบัติตามพระบัญญัติที่จะทำให้ “บรรลุชีวิตนิรันดร์” พระองค์ก็ทรงแนะว่าให้สละทรัพย์สมบัติและใช้ชีวิตอย่างสมถะ (แม็ทธิว 19:16-22[7], มาร์ค 10:17-22[8] และ ลูค 18:18-23[9])
ในพันธสัญญาใหม่ก็เริ่มมีหลักฐานที่กล่าวถึงการใช้ชีวิตนักพรต โดยการตระเวนช่วยเหลือแม่หม้ายและสตรี ในซีเรียและต่อมาในอียิปต์ผู้นับถือคริสต์ศาสนาบางคนก็มีความรู้สึกว่าถูกเรียกให้ไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษเพื่อเพิ่มความศรัทธาและเข้าถึงพระเจ้าได้มากยิ่งขึ้นโดยการออกไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษกลางทะเลทราย นักบุญแอทธานาเซียสแห่งอเล็กซานเดรีย (Athanasius of Alexandria) กล่าวถึงนักบุญแอนโทนีอธิการว่าเป็นนักบวชองค์แรกๆ ที่ออกไปใช้ชีวิตอย่าง “นักพรตฤๅษี” (Hermit monk) และเป็นลัทธิที่ทำให้ชีวิตอารามวาสีเป็นที่แพร่หลายในอียิปต์ ชีวิตอารามวาสีแพร่หลายทั่วไปในตะวันออกกลางมาจนกระทั่งเมื่อความนิยมในการนับถือคริสต์ศาสนาในซีเรียมาลดถอยลงในยุคกลาง
เมื่อผู้ประสงค์จะใช้ชีวิตอย่างสันโดษเริ่มรวมตัวเข้าด้วยกันมากขึ้น ความจำเป็นในการที่จะต้องมีกฎเกณฑ์ในชุมนุมนักบวชก็เพิ่มมากขึ้น ราวปี ค.ศ. 318 นักบุญพาโคเมียส (Pachomius) ก็เริ่มจัดกลุ่มผู้ติดตามที่กลายมาเป็นอารามแบบหมู่คณะต่อมา ไม่นานนักก็มีการก่อตั้งสถาบันอื่นๆ ในลักษณะคล้ายคลึงกันทั่วไปในทะเลทรายในอียิปต์และทางตะวันออกของจักรวรรดิโรมัน ชีวิตอารามวาสีในตะวันออกกลางที่เป็นที่รู้จักกันดีก็ได้แก่:
- อารามเซนต์แอนโทนี ซึ่งเป็นชีวิตอารามวาสีที่เก่าแก่ที่สุดของคริสต์ศาสนาในโลก
- อารามของนักบุญมาร์ ออว์จิน (Mar Awgin) ก่อตั้งบนเขาอิซลาเหนือนิซิบิสในเมโสโปเตเมีย ราว ค.ศ. 350 ที่กลายมาเป็นชีวิตอารามวาสีแบบคณะที่เผยแพร่ไปยังเมโสโปเตเมีย เปอร์เชีย อาร์มีเนีย จอร์เจีย และแม้แต่อินเดียและจีน
- อารามของนักบุญซับบาสผู้ศักดิ์สิทธิ์ (St. Sabbas the Sanctified) ผู้ก่อตั้งกลุ่มนักพรตในทะเลทรายจูเดียนเป็นอารามไม่ไกลจากเบธเลเฮม (ค.ศ. 483) ที่ถือกันว่าเป็นอารามแม่ของอารามทั้งหลานในคริสตจักรอีสเติร์นออร์โธด็อกซ์
- อารามเซนต์แคทเธอรีนแห่งไซนาย (Saint Catherine's Monastery, Mount Sinai) ก่อตั้งระหว่าง ค.ศ. 527 ถึง ค.ศ. 565 ในทะเลทรายไซนายตามพระราชโองการของจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1
ทางตะวันตกการวิวัฒนาการของชีวิตอารามวาสีที่สำคัญที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวินัยของชุมชนอารามได้รับการบันทึกเป็นตัวอักษร วินัยที่เชื่อกันว่าเป็กฎแรกที่ได้รับการบันทึกคือวินัยของนักบุญบาซิลแต่เวลาที่เขียนไม่เป็นที่ทราบแน่นอน วินัยของนักบุญบาซิลเชื่อกันว่าเป็นวินัยที่เป็นพื้นฐานของวินัยของนักบุญเบเนเดิกต์ที่เขียนโดยนักบุญเบเนดิกต์แห่งเนอร์เซียสำหรับอารามที่มอนเตคัสซิโนในอิตาลีราวปี ค.ศ. 529 และสำหรับคณะเบเนดิกตินที่ก่อตั้งขึ้น วินัยฉบับนี้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายที่สุดในยุคกลางของยุโรป ในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกันก็มีวินัยของนักบุญออกัสตินโดยนักบุญออกัสตินแห่งฮิปโป แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาอันสั้น เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 12 ก็มีคณะนักบวชคาทอลิกใหม่ๆ ก่อตั้งขึ้นอีกหลายคณะ เช่น ลัทธิฟรานซิสกัน คณะคาร์เมไลท์ และคณะดอมินิกัน แต่คณะเหล่านี้เลือกที่จะตั้งอารามในเมืองแทนที่จะไปตั้งห่างไกลจากชุมชน
ชีวิตอารามวาสีในคริสต์ศาสนาก็ยังวิวัฒนาการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้แม้แต่ในโปรเตสแตนต์ในสหรัฐอเมริกา
อ้างอิง
- ↑ สมชัย พิทยาพงษ์พร, บาทหลวง, พัฒนาการวิถีชีวิตจิตคริสตชน, นครปฐม: ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนางานวิชาการ วิทยาลัยแสงธรรม, 2551, หน้า 27
- ↑ บัญญัติศัพท์, สำนักมิสซังกรุงเทพ, หน้า 21
- ↑ CATHOLIC ENCYCLOPEDIA: Monasticism [1]
- ↑ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค วักกลิสูตร. พระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก [2]. เข้าถึงเมื่อ 5-6-52
- ↑ Holy Zone for Christ. พระวรสารนักบุญมัทธิว 5
- ↑ Holy Zone for Christ. พระวรสารนักบุญมัทธิว 19
- ↑ Holy Zone for Christ. พระวรสารนักบุญมัทธิว 19
- ↑ Holy Zone for Christ. พระวรสารนักบุญมาระโก 10
- ↑ Holy Zone for Christ. พระวรสารนักบุญลูกา 18
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
- Links to Coptic Orthodox Monasteries of Egypt and the world
- Historyfish.net: texts and articles regarding the Western Christian monastic tradition.
- Abbot Gasquet's English Monastic Life. Full Text + Illustrations.
- Public Domain Photochrom photographs, Abbeys, Cathedrals, Holy Sites and the Holy Land.
- History of Monasticism
- Monasticism Immaculate Heart of Mary's Hermitage
- "Woman" – The correct perspective for the monastic – An eastern point of view
- Korean Franciscan Brotherhood
- Orthodox Monasticism Saint Anthony's Greek Orthodox Monastery