ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ไลพ์ซิช"
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
บรรทัด 118: | บรรทัด 118: | ||
[[ไฟล์:CityHochhausLeipzig.JPG|thumb| |
[[ไฟล์:CityHochhausLeipzig.JPG|thumb|200px|ตัวเมืองไลพ์ซิก ภาพมุมสูง]] |
||
[[ไฟล์:Federal Administrative Court Leipzig at night 1 (aka).jpg|thumb| |
[[ไฟล์:Federal Administrative Court Leipzig at night 1 (aka).jpg|thumb|200px|ศาลอุทธรณ์สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี]] |
||
[[ไฟล์:Leipziz-neu-rathaus-2008.jpg|thumb| |
[[ไฟล์:Leipziz-neu-rathaus-2008.jpg|thumb|200px|ศาลาว่าการเมืองไลพ์ซิกหลังปัจจุบัน]] |
||
[[ไฟล์:Thomus Church Leipzig.JPG|thumb|right| |
[[ไฟล์:Thomus Church Leipzig.JPG|thumb|right|200px|โบสถ์นักบุญโธมัส]] |
||
[[ไฟล์:Inside nikolas church leipzig.JPG|thumb|right| |
[[ไฟล์:Inside nikolas church leipzig.JPG|thumb|right|200px|ภายในโบสถ์นักบุญนิโคลัส]] |
||
[[ไฟล์:Russian church in leipzig.JPG|thumb|right| |
[[ไฟล์:Russian church in leipzig.JPG|thumb|right|200px|คริสตจักรในนิกายรัสเซียนออร์โธดอกซ์]] |
||
[[ไฟล์:Inside main station leipzig.JPG|thumb|right| |
[[ไฟล์:Inside main station leipzig.JPG|thumb|right|200px|ในสถานีรถไฟไลพ์ซิก]] |
||
[[ไฟล์:Leipzig Neue Messe.jpg|thumb|right| |
[[ไฟล์:Leipzig Neue Messe.jpg|thumb|right|200px|ศูนย์แสดงสินค้า]] |
||
[[ไฟล์:Porsche Diamond.jpg|thumb| |
[[ไฟล์:Porsche Diamond.jpg|thumb|200px|โชว์รูมรถยนต์ ปอเช]] |
||
[[ไฟล์:Mädler-Passage Leipzig.jpg|thumb| |
[[ไฟล์:Mädler-Passage Leipzig.jpg|thumb|200px|ทางเดินในศูนย์การค้า]] |
||
[[ไฟล์:Leipzig Palais Roßbach.jpg|thumb| |
[[ไฟล์:Leipzig Palais Roßbach.jpg|thumb|200px|อาคารในยุคปลายศตวรรษที่ 18 ที่ยังหลงเหลือในปัจจุบัน]] |
||
== ข้อมูลทั่วไป == |
== ข้อมูลทั่วไป == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 06:11, 14 กันยายน 2553
ไลพ์ซิก | |
---|---|
สัญลักษณ์เมืองไลพ์ซิก | |
ไลพ์ซิกในเยอรมนี | |
ประเทศ | เยอรมนี |
สหพันธรัฐ | สหพันธรัฐแซกโซนี |
เมือง | ไลพ์ซิก |
ประชากร (ในปี พ.ศ. 2550) | |
• ไลพ์ซิก | 515,110 คน |
• ชาว | ไลพ์ซิกเกอร์ |
เขตเวลา | UTC+1 (CET) |
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง) | UTC+2 (CEST) |
รหัสไปรษณีย์ | 040xx - 043xx |
เว็บไซต์ | leipzig.de |
ไลพ์ซิก (Leipzig) เป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งในสหพันธรัฐแซกโซนี ในประเทศเยอรมนี มีประชากร 515,110 คน[1] และเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในสหพันธรัฐแซกโซนี และเป็นเมืองที่มีระบบการปกครอง ในรูปแบบเขตปกครองพิเศษ (หมายถึงมีเทศมนตรี ที่บริหารจัดการเฉพาะพื้นที่เมืองของตนเอง ไม่ต้องขึ้นกับเขตการปกครองย่อยอีก)
ชื่อ "ไลพ์ซิก" มาจากภาษาสลาฟว่า "ลิปสค์" (Lipsk) ซึ่ง แปลว่า ตั้งอยู่บนพื้นที่ ที่มีต้นมะนาว[2]
นอกจากนี้ ไลพ์ซิก ยังเป็นชื่อของ เขตปกครอง ภายในสหพันธรัฐแซกโซนีอีกด้วย โดยในสหพันธรัฐแซกโซนีประกอบด้วย 3 เขตปกครอง (Landkreise) และ 3 เขตปกครองพิเศษ (Kreisfreie Städte) โดยเขตปกครองไลพ์ซิก เป็นเขตปกครองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหพันธรัฐแซกโซนี เนื้อหาของบทความนี้ กล่าวถึงเฉพาะ เมืองไลพ์ซิก ซึ่งเป็นเขตปกครองพิเศษเท่านั้น
ประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดที่กล่าวถึงไลพ์ซิก ได้แก่ จดหมายเหตุของสังฆราชธีทมาร์ แห่งเมอร์เซบวรก มีขึ้นในปี ค.ศ. 1015 และบันทึกเที่ยวกับตลาดและตัวเมือง โดยอ๊อตโตผู้มั่งคั่ง ในปี ค.ศ. 1165 ไลพ์ซิกจึงเป็นหนึ่งในหลาย ๆ เมืองที่รวมกันเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศเยอรมนี และมีชื่อเสียงในฐานะ ศูนย์กลางทางการค้าของสหพันธรัฐแซกโซนี
งานแสดงสินค้าไลพ์ซิก (Leipzig Trade Fair) เป็นงานแสดงสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงดำเนินกิจการอยู่ โดยเริ่มจัดมาตั้งแต่สมัยกลาง โดยในยุคนั้น งานแสดงสินค้าเมืองไลพ์ซิก ได้รับการคุ้มครองจากเจ้าผู้ครองสหพันธรัฐที่จะไม่ให้เมืองใดในรัศมี 250 กิโลเมตร จัดงานแสดงสินค้าแข่งกับเมืองไลพ์ซิก[3] และปัจจุบันงานแสดงสินค้าไลพ์ซิก ยังเป็นงานแสดงสินค้าระดับโลกอีกด้วย
การจัดตั้งมหาวิทยาลัยไลพ์ซิกในปี ค.ศ. 1409 ยิ่งทำให้ไลพ์ซิกพัฒนาขึ้นเป็นเมืองศูนย์กลางทางด้านกฎหมาย และสิ่งพิมพ์ของประเทศ ทั้งยังเป็นที่ตั้งของศาลอุทธรณ์ของประเทศอีกด้วย ในปี ค.ศ. 1912 จึงได้จัดตั้งหอสมุดแห่งชาติเยอรมนีในเมืองไลพ์ซิกอีกด้วย
ในปี ค.ศ. 1839 ไลพ์ซิก เป็นชุมทางรถไฟระยะทางไกลแห่งแรกของประเทศเยอรมนี เพื่อเดินทางไปยังเมืองเดรสเดน เมืองหลวงของสหพันธรัฐแซกโซนี นับแต่นั้นมา ไลพ์ซิกจึงเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางรถไฟในยุโรปกลาง และสถานีรถไฟไลพ์ซิกเป็นสถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคยุโรปตั้งแต่ยุคนั้น มาจนปัจจุบัน ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ไลพ์ซิกมีประชากรรวมกว่าล้านคน จึงเป็นที่ตั้งของพรรคแรงงาน รวมไปถึงมีการจัดตั้งสหภาพแรงงานขึ้นที่เมืองไลพ์ซิกนี้ ในปี ค.ศ. 1863 อีกด้วย
ในยุคนโปเลียน ไลพ์ซิกเป็นฐานที่มั่นสำคัญของกองทัพนโปเลียน โดยนโปเลียนใช้เมืองไลพ์ซิก เป็นศูนย์บัญชาการเพื่อส่งกองกำลังเข้ายึดยุโรปกลาง และรัสเซีย เป็นเหตุให้เมืองไลพ์ซิกเป็นสมรภูมิสงครามแห่งชนชาติ เมื่อปี ค.ศ. 1913 กองทัพพันธมิตรกษัตริย์และผู้ครองนครในทวีปยุโรป รวมทัพกันขับไล่กองทัพนโปเลียน โดยกองทัพของนโปเลียนได้แตกพ่ายครั้งแรกที่เมืองไลพ์ซิก ปัจจุบันนี้ยังมีอนุสรณ์สถานสงครามแห่งชนชาติ เป็นสิ่งรำลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น
ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ไลพ์ซิกเสียหายอย่างหนักเนื่องจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร กองทัพสหรัฐอเมริกาได้ยึดครองไลพ์ซิกได้ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1945 และในภายหลังได้ถ่ายอำนาจการปกครองแก่กองทัพแดงของสหภาพโซเวียตตามข้อตกลงในการปกครองดินแดน ไลพ์ซิกจึงถูกรวมเป็นส่วนหนึ่ง และกลายเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี ก่อนจะถูกรวมเข้าเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในปี ค.ศ. 1989
สรุปประวัติศาสตร์ที่สำคัญของเมืองไลพ์ซิก[4]
ปี | เหตุการณ์สำคัญ |
---|---|
ค.ศ. 1015 | ครั้งแรกที่มีหลักฐานกล่าวอ้างถึงเมืองไลพ์ซิก |
ค.ศ. 1212 | สร้างโบสถ์นักบุญโธมัส |
ค.ศ. 1409 | ก่อตั้งมหาวิทยาลัยไลพ์ซิก |
ค.ศ. 1481 | มีการพิมพ์หนังสือครั้งแรกในไลพ์ซิก |
ค.ศ. 1497 | มีการจัดงานแสดงสินค้าครั้งแรกในไลพ์ซิก |
ค.ศ. 1555 | เริ่มก่อสร้างศาลาว่าการเมืองหลังเก่า |
ค.ศ. 1650 | หนังสือพิมพ์รายวันฉบับแรกของโลก ถือกำเนิดขึ้นที่เมืองไลพ์ซิก |
ค.ศ. 1813 | สงครามแห่งชนชาติ กองทัพนโปเลียนซึ่งตั้งฐานที่มั่นที่เมืองไลพ์ซิกพ่ายแพ้อย่างย่อยยับครั้งแรก |
ค.ศ. 1839 | เปิดบริการรถไฟทางไกลสายแรกในเยอรมนี เส้นทางไพล์ซิก - เดรสเดน |
ค.ศ. 1878 | สวนสัตว์ไลพ์ซิก เปิดบริการครั้งแรก |
ค.ศ. 1895 | เปิดทำการศาลอุทธรณ์ในเมืองไลพ์ซิก |
ค.ศ. 1899 | เริ่มก่อสร้างศาลาว่าการเมืองหลังใหม่ เสร็จสิ้นปี ค.ศ. 1905 |
ค.ศ. 1911 | เปิดบริการสนามบินไลพ์ซิก |
ค.ศ. 1912 | เปิดบริการหอสมุดประชาชน ประจำชาติเยอรมนี ในเมืองไลพ์ซิก |
ค.ศ. 1913 | ก่อสร้างอนุสรณ์สถานสงครามแห่งชนชาติ และคริสตจักรนิกายรัสเซียนออธอร์ดอกซ์ |
ค.ศ. 1989 | ชาวเมืองไลพ์ซิกร่วมเดินขบวนประท้วงการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ เป็นจุดเริ่มต้นของการรวมประเทศ |
ค.ศ. 2005 | เมืองไลพ์ซิกร่วมเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก |
ค.ศ. 2009 | มหาวิทยาลัยไลพ์ซิก อายุครบ 600 ปี |
ข้อมูลทั่วไป
ภูมิประเทศ
ไลพ์ซิก ตั้งอยู่ทางตะวันตกของสหพันธรัฐแซกโซนี ห่างจากกรุงเบอร์ลินมาทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 145 กิโลเมตร ตัวเมืองตั้งริมฝั่งแม่น้ำไวเซ่เอลส์เตอร์ (Weisse Elster) ณ จุดที่ แม่น้ำไพลเซ่ Pleisse และแม่น้ำพาร์เธ่ (Parthe) มารวมตัวกัน[5]
ภูมิอากาศ
อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี แยกตามรายเดือนของไลพ์ซิก
เดือน | อุณหภูมิ (องศาเซลเซียส) | ปริมาณน้ำฝน/หิมะ (มิลลิเมตร) |
---|---|---|
มกราคม | -0.5 | 33 |
กุมภาพันธ์ | 0.2 | 27 |
มีนาคม | 3.4 | 29 |
เมษายน | 7.6 | 38 |
พฤษภาคม | 12.9 | 47 |
มิถุนายน | 15.8 | 58 |
กรกฎาคม | 18.0 | 72 |
สิงหาคม | 17.2 | 58 |
กันยายน | 13.6 | 40 |
ตุลาคม | 8.7 | 44 |
พฤศจิกายน | 3.7 | 37 |
ธันวาคม | 0.6 | 33 |
เศรษฐกิจ
- ยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
เศรษฐกิจหลักของเมืองไลพ์ซิก ได้จากการเป็นศูนย์กลางการจัดแสดงสินค้านานาชาติในยุโรปกลาง ตั้งแต่ในยุคที่เป็นจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากได้รับการคุ้มครองสิทธิในการเป็นศูนย์กลางทางการค้าแห่งเดียวในบริเวณยุโรปตะวันออก นอกจากนี้ ไลพ์ซิกยังเป็นศูนย์กลางด้านการพิมพ์ของประเทศ ในอดีตงานสัปดาห์หนังสือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเยอรมันจัดขึ้นที่เมืองไลพ์ซิก ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมทอผ้าที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตั้งอยู่ด้วย และยังรวมไปถึงเครื่องจักรอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมประกอบเปียโน อุตสาหกรรมโดยส่วนใหญ่ได้ย้ายการประกอบกิจการไปยังเยอรมันตะวันตกตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ในช่วงที่ประเทศปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์ ไลพ์ซิกก็คงเป็นศูนย์กลางสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยในปี ค.ศ. 1972 เมืองไลพ์ซิกมีมูลค่าทางเศรษฐกิจในสัดส่วนถึง 9.3% ของระบบเศรษฐกิจทั้งประเทศ โดยในช่วงนั้น อุสาหกรรมหนัก เช่น เหมืองถ่านหิน โรงงานผลิตไฟฟ้า และโรงงานผลิตสารเคมีต่าง ๆ ได้เปิดดำเนินการ และขยายตัวไปทางตอนใต้ของเมือง นอกจากนี้ ยังมีโรงงานผลิตเครื่องจักร และเทคโนโลยีสำหรับการเกษตรอีกด้วย
- ปัจจุบัน
จำนวนประชากรที่มีงานทำ ณ ปี ค.ศ. 2008 ทั้งสิ้น 205,490 คน[6] อัตราการว่างงาน ณ วันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2010 อยู่ที่ร้อยละ 14.70 ต่อประชากรทั้งหมดของเมือง[7]โดยกว่าครึ่งเป็นการว่างงานระยะยาว จำนวนธุรกิจที่จดทะเบียน สิ้นปี ค.ศ. 2009 รวมทั้งสิ้น 38,431 บริษัท[8]ในปี ค.ศ. 2007 รายได้เฉลี่ยต่อคนของพนักงานในไลพ์ซิกอยู่ที่ 37,117 ยูโรต่อคนต่อปี[9] ในปี ค.ศ. 2008 มีการจัดงานแสดงสินค้า ณ เมืองไลพ์ซิก รวมทั้งสิ้น 40 ครั้ง มีบริษัท ห้างร้าน เข้าร่วม 15,473 บริษัท มีผู้เข้าชมงานทั้งสิ้น 1,308,288 คน[10]
สถานที่ท่องเที่ยว
ศาสนสถาน
- โบสถ์นักบุญโทมัส[11] โบสถ์ที่ โยฮันน์ เซบาสเทียน บาค ทำงานดนตรี ได้แก่ การประพันธ์เพลง การควบคุมวงดนตรี การสอนคณะนักเรียนประสานเสียง ขณะที่ใช้ชีวิตในไลพ์ซิก ปัจจุบันได้รับการขนานนามว่า เป็น โบสถ์ของบาค นักท่องเที่ยวจำนวนมากมาเยี่ยมเยียนไลพ์ซิก เพื่อซึมซับบรรยากาศการใช้ชีวิตของนักประพันธ์ท่านนี้ ทุกวันพุธ และวันเสาร์ ที่โบสถ์นี้จะจัดแสดงดนตรีจากบทประพันธ์ของโยฮันน์ เซบาสเทียน บาคโดยนักดนตรีมืออาชีพ
- โบสถ์นักบุญนิโคลัส นอกจากเป็นโบสถ์ที่ โยฮันน์ เซบาสเทียน บาคมักจะนำเอาผลงานการประพันธ์ทุกชิ้นออกแสดงเป็นครั้งแรกแล้ว ยังเป็นโบสถ์ที่มีความสำคัญ เนื่องจากในช่วงที่ไลพ์ซิก อยู่ภายใต้ประเทศเยอรมนีตะวันออก โบสถ์แห่งนี้เป็นศูนย์รวมของชาวเมืองที่ร่วมจัดอธิษฐานเพื่อสันติภาพ ให้หลุดพ้นจากการปกครองในระบบคอมมิวนิสต์ โดยเริ่มครั้งแรกในปี ค.ศ. 1980 โดยเป็นการอธิษฐานต่อเนื่อง 10 วัน ในช่วงเดือนพฤศจิกายน และจัดต่อเนื่องกันทุกปี จนกระทั่งช่วงเย็นของวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1989 หลังงานฉลองครบรอบ 40 ปีประเทศเยอรมนีตะวันออก เพียง 2 วัน ชาวเมืองได้ร่วมกันเดินขบวนเพื่อมาร่วมอธิษฐานที่โบสถ์แห่งนี้ จนเกิดเป็นคลื่นมหาชนที่มารวมตัวกัน เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดลงนามการรวมประเทศเยอรมนีในวันรุ่งขึ้น
- โบสถ์นักบุญเปาโล หรือ คริสตจักรแห่งมหาวิทยาลัย เริ่มสร้างในปี ค.ศ. 1231 และถูกมอบให้เป็นคริสตจักรประจำมหาวิทยาลัยไลพ์ซิก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1409 เมื่อมีการก่อตั้งมหาวิทยาลัย จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1961 ในยุคเยอรมันตะวันออก ผู้นำระบอบคอมมิวนิสต์ และผู้บริหารมหาวิทยาลัยในสมัยนั้นได้ทุบโบสถ์นี้ทิ้ง เนื่องจากไม่ต้องการให้มีสัญลักษณ์ของศาสนาในพื้นที่ของมหาวิทยาลัย ปัจจุบันมหาวิทยาลัยไลพ์ซิกได้ทำการก่อสร้างอาคารคริสตจักรขึ้นใหม่ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง 600 ปีการก่อตั้งมหาวิทยาลัย และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 2010[12] โดยอาคารที่สร้างขึ้นใหม่นี้ มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อรำลึกถึงอาคารโบสถ์นักบุญเปาโลเท่านั้น มิได้มีเจตนาที่จะให้เป็นอาคารสำหรับประกอบพิธีทางศาสนา เนื่องจากจำนวนประชากรในไลพ์ซิกที่นับถือศาสนานั้นมีจำนวนน้อยมาก ดังนั้นทางมหาวิทยาลัยไลพ์ซิก รวมกับเมืองไลพ์ซิกได้ออกแบบอาคารนี้เพื่อเป็นศูนย์ประชุมและอาคารเรียนสำหรับใช้ในกิจการของมหาวิทยาลัยเป็นสำคัญ
- โบสถ์รัสเซีย หรือโบสถ์นักบุญอเล็กซี่ เป็นโบสถ์นิยายออร์โธดอกซ์ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1913 เพื่อเป็นที่ระลึกครบรอบ 100 ปี สงครามแห่งชนชาติ ณ เมืองไลพ์ซิก ที่กองทัพรัสเซียเข้าร่วมกับกองทัพกษัตริย์นานาชาติในยุโรปร่วมกันเอาชนะนโปเลียนได้เป็นครั้งแรก เป็นโบสถ์ที่รัฐบาลรัสเซียสร้างให้แก่เมืองไลพ์ซิก ณ บริเวณที่มีการทำสงครามเกิดขึ้นจริงในปี ค.ศ. 1813 และเนื่องด้วยค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างโบสถ์แห่งนี้ มีมูลค่าสูงกว่าหนึ่งล้านมาร์กเยอรมัน (ณ ขณะนั้น) คณะผู้ปกครองเมืองไลพ์ซิก จึงยกที่ดินของโบสถ์แห่งนี้ให้เป็นของรัฐบาลรัสเซีย[13] ปัจจุบันด้านบนของโบสถ์จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ ในขณะที่อาคารด้านล่าง ยังคงใช้เป็นสถานนมัสการสำหรับนิกายรัสเซียนออร์โธดอกซ์
อนุสรณ์สถาน
- อนุสรณ์สถานสงครามแห่งชนชาติ[14] อนุสรณ์สถานที่รำลึกถึงชัยชนะของกองทัพพันธมิตร ที่มีต่อกองทัพนโปเลียนครั้งแรกในยุโรป[15] นอกจากเป็นที่ระลึกต่อเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้ว ด้านบนหอคอยของอนุสรณ์สถานแห่งนี้ ยังเป็นจุดชมทัศนียภาพของเมืองไลพ์ซิก เป็นอย่างดีอีกด้วย
- บ้านพักของบุคคลสำคัญ เนื่องจากไลพ์ซิกเป็นที่พำนักของศิลปิน นักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน จึงได้นำบ้านพักของท่านเหล่านั้นในสมัยที่ดำรงชีวิตอยู่ในไลพ์ซิกจัดแสดงเพื่อเป็นการรำลึกถึง บ้านพักของบุคคลสำคัญที่ได้รับความนิยมในการเข้าเยี่ยมชม ได้แก่ บ้านพักของชิลเลอร์ นักประพันธ์เพลง บ้านพักของเมนเดลโซห์น นักอำนวยเพลง[16] บ้านพักและที่ทำงานของบาค[17] บ้านพักของโรเบิร์ต ชูมานน์ [18]เป็นต้น
สถาปัตยกรรม
- สถานีรถไฟไลพ์ซิก เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางรถไฟในยุโรปกลางตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 สถานีรถไฟแห่งนี้ ถูกสร้างในปี ค.ศ. 1915 เดิมแบ่งเป็นสองส่วนแยกจากกัน โดยสถานีฝั่งตะวันออกเป็นส่วนบริหารของสหพันธรัฐแซกโซนี สถานีฝั่งตะวันตกเป็นส่วนบริหารของสหพันธรัฐปรัสเซีย[19](สาธารณรัฐเชค และประเทศโปแลนด์ในปัจจุบัน) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998 ได้ทำการบูรณะสถานีรถไฟนี้ใหม่ ได้เชื่อมต่อทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน ส่งผลให้สถานีรถไฟไลพ์ซิกประกอบด้วย 26 ชานชลา มีพื้นที่รวมกว่า 83,460 ตารางเมตร และศูนย์การค้าขนาดใหญ่ในตัวสถานี สถานีรถไฟแห่งนี้ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป[20]
- ศาลาว่าการเมืองไลพ์ซิกหลังเก่า อาคารศาลาว่าการเมืองนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1556 และเป็นอาคารยุคเรเนซองหลังใหญ่ที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ในเยอรมนีในปัจจุบันนี้ เป็นอาคารที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมือง มีความยาวกว่า 90 เมตร ประกอบด้วยหอคอย และตัวอาคารสองหลังเชื่อมต่อกันบริเวณชั้นสองซึ่งเป็นห้องโถงใหญ่สำหรับผู้ว่าการเมือง ออกปฏิบัติราชการและพิพากษาคดี ปัจจุบันศาลาว่าการเมืองหลังนี้ เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ สำหรับนักท่องเที่ยวเข้าชม โดยจัดแสดงการตกแต่งภายในที่ยังคงสภาพใกล้เคียงรูปแบบเดิม ซึ่งตกแต่งด้วยชิ้นไม้ขนาดใหญ่ และภาพเขียนเจ้าเมือง หรือ นายกเทศมนตรีของเมืองตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่นักท่องเที่ยวควรหาเวลาเข้าชมเป็นอย่างยิ่ง ส่วนบริเวณชั้นล่าง แบ่งเป็นพื้นที่ให้เช่าสำหรับร้านค้าขายของที่ระลึก ซึ่งรวมไปถึงผลิตภัณฑ์เซรามิก ไมเซน ที่มีชื่อเสียง และเก่าแก่ที่สุดของเยอรมนี รวมอยู่ด้วย
- ศาลาว่าการเมืองไลพ์ซิกหลังปัจจุบัน ศาลาว่าการเมืองหลังปัจจุบันถูกสร้างขึ้นใหม่ ในปี ค.ศ. 1899 บนพื้นที่ซึ่งเป็นปราสาทเก่าของเมือง ได้แก่ ปราสาทไพรซ์เซน โดยพยายายมคงสถาปัตยกรรมเดิมของตัวปราสาทไว้ แต่ปรับโครงสร้างภายในอาคาร เพื่อเป็นสำนักงานของเมือง รวมถึงห้องประชุมสำหรับสภาเมืองด้วย
- ศาลอุทธรณ์[21] ที่ไลพ์ซิก เป็นที่ตั้งของศาลอุทธรณ์แห่งสหพันธสาธารณรัฐเยอรมนี
- เกวานเฮ้าส์[22] เป็นสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ตออเคสตร้า และดนตรีคลาสสิก และเป็นสถานที่จัดแสดงหลักของวงดนตรีออเคสตร้าที่มีชื่อเสียงในยุโรปด้วย สิ่งที่น่าสนใจในเกวานเฮาส์ นอกจากงานแสดงดนตรีในรูปแบบต่าง ในอัตราค่าเข้าชมที่ไม่สูงมากนักแล้ว ภายในอาคารแห่งนี้ตกแต่งด้วยภาพวาดศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับการแสดงดนตรี อาคารเกวานเฮาส์หลังปัจจุบันนี้ ถูกสร้างขึ้นใหม่ในช่วงที่เมืองไลพ์ซิกอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศเยอรมนีตะวันออก เพื่อทดแทนของเก่าที่เสียหายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง รูปทรงสถาปัตยกรรมของตัวอาคารจึงมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างไปจากอาคารโดยรอบ โดยในช่วงเวลานั้น ลานบริเวณด้านหน้าเกวานด์เฮาส์ ถูกเปลี่ยนชื่อ เป็นจตุรัสคาร์ล มาร์กซ์ และมีการจัดทำอนุสวรีย์ประชาชน ไว้บริเวณดังกล่าว ภายหลังการรวมประเทศ ลานดังกล่าวได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ จตุรัสเอากุสตุส ดังในอดีต และมหาวิทยาลัยไลพ์ซิก ได้ย้ายอนุสวรีย์ดังกล่าวออกจากจตุรัสนี้ ไปตั้งไว้ยังคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา แทน
- เอาเออร์บาค เคลเลอร์[23] เป็นภัตตาคาร ตั้งอยู่บริเวณชั้นใต้ดินของอาคารศูนย์การค้า ซึ่งเป็นอาคารที่เปิดใช้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1525 ภัตตาคารนี้เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่เปิดบริการมายาวนานกว่า 600 ปี และเป็นร้านอาหารที่ เกอเธอมักจะเข้ามาใช้บริการเป็นประจำ นอกจากนี้ในภัตตาคารนี้ตกแต่งโดยภาพเขียนจากอุปรากรชื่อดังของนักเขียนท่านนี้ เรื่อง Faust อีกด้วย โดยภัตตาคารแบ่งออกเป็นสองส่วน ได้แก่ส่วนที่ราคาแพง (ราคาอาหารประมาณรายการละ 15 - 20 ยูโร) และส่วนที่ราคาแพงมาก(ราคาอาหารแต่ละรายการไม่ต่ำกว่า 30 ยูโร) โดยในปัจจุบันมีการจัดแสดงละครเวทีเรื่องดังกล่าวในภัตตาคารแห่งนี้ จุดเด่นอีกอย่างของภัตตาคารนี้ ได้แก่บริเวณหน้าบันไดทางลง มีปฏิมากรรมทองเหลือง จากบทประพันธ์เรื่องเดียวกันนี้จัดแสดงอยู่และเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมันแวะมาลูบคลำรูปปั้นดังกล่าวในบริเวณรองเท้า ด้วยความเชื่อว่าจะนำความโชคดีมาให้
พิพิธภัณฑ์
- พิพิธภัณฑ์กราสซี (Grassi Museum) พิพิธภัณฑ์ที่ตั้งชื่อตามเจ้าของสถานที่ ซึ่งบริจาคอาคารเพื่อให้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ในอาคารพิพิธภัณฑ์นี้ จัดแบ่งออกเป็นหลายส่วน โดยแบ่งออกเป็น
- พิพิธภัณฑ์ศิลปประยุกต์ (อังกฤษ:The GRASSI Museum of Applied Art of Leipzig หรือ เยอรมัน:Kunstgewerbemuseum Leipzig) เปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1874 และเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปประยุกต์ที่เก่าแก่เป็นอันดับสองในประเทศเยอรมนี[24] ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงผลงานศิลปร่วมสมัยจากนานาชาติ และรวมไปถึงพื้นที่จัดแสดงที่นำผลงานศิลปประยุกต์จากพิพิธภัณฑ์อื่น ๆ หมุนเวียนมาจัดแสดงร่วมอีกด้วย
- พิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรี (อังกฤษ:the Museum of Musical Instruments หรือ เยอรมัน:Museum für Musikinstrumente der Universität Leipzig) พิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรี เปิดแสดงครั้งแรกในปี ค.ศ. 1886 ซึ่งดำเนินการโดยเอกชน ต่อมาในปี ค.ศ. 1905 เจ้าของเดิมพยายามขายพิพิธภัณฑ์นี้ให้แก่เมืองไลพ์ซิก แต่การเจรจาไม่สำเร็จ จึงขายให้แก่ วิลเฮ็ลม เฮเยอร์ (Wilhelm Heyer) ต่อมาภายหลังวิลเฮ็ลม เฮเยอร์ เสียชีวิต บุตรหลานของเขาจึงได้จำหน่ายพิพิธภัณฑ์นี้ให้แก่มหาวิทยาลัยไลพ์ซิก ในปี ค.ศ. 1926 โดยในครั้งนั้นได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสหพันธรัฐแซกโซนี และคหบดีของเมือง แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พิพิธภัณฑ์ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ของสะสมจำนวนมากทรุดโทรม และถูกขโมยไป จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1950 จึงได้มีการบูรณะอาคารพิพิธภัณฑ์ และรวบรวมของสะสมต่าง ๆ เพื่อเปิดดำเนินการพิพิธภัณฑ์อีกครั้ง[25] ภายในพิพิธภัณฑ์แสดงเครื่องดนตรีของนักดนตรีชื่อดังของเมืองหลายท่าน และยังได้ยจัดแสดงองค์ประกอบของเครื่องดนตรีชนิดต่าง ๆ อีกด้วย
- พิพิธภัณฑ์มนุษยวิทยา (อังกฤษ:the Museum of Ethnographischen of Leipzig หรือ เยอรมัน:Museum für Völkerkunde zu Leipzig) เริ่มดำเนินการในปี ค.ศ. 1869 โดยรับซื้อของสะสมจำพวกเสื้อผ้า และเครื่องประดับจากนักสะสม เพื่อนำมาจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ หลังจากของสะสมกว่าหนึ่งในห้าถูกทำลายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็เปิดให้ประชาชนได้เข้าชมได้อีกครั้งในปี ค.ศ. 2005 ณ พิพิธภัณฑ์กราสซี[26] ในพิพิธภัณฑ์ส่วนนี้ จัดแสดงศิลปวัฒนธรรมของชนชาติต่าง ๆ ทั่วโลก ผ่านเสื้อผ้า เครื่องประดับ การใช้ชีวิต ความเป็นอยู่ และผลงานทางศิลปะ ที่แตกต่างกันของแต่ละชนชาติ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใช้เนื้อที่มากที่สุดในพิพิธภัณฑ์กราสซีแห่งนี้
- โรงงานปั่นด้าย (Spinnerei) โรงปั่นด้ายเก่าของเมือง ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1863 ในยุคที่ค่าแรงในเยอรมันต่ำมาก และยังไม่มีการกำหนดชั่วโมงทำงานของแรงงาน เนื่องจากความต้องการผ้าฝ้ายในทวีปยุโรปมีอัตราการขยายตัวสูงมากในช่วงนั้น โรงงานปั่นด้านแห่งนี้จึงได้เติบโตอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1902 ได้กลายเป็นโรงงานปั่นด้ายผ้าฝ้ายที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป มีการนำวัตถุดิบ ได้แก่ ฝ้าย เข้ามาจากทวีปแอฟริกา โดยมีโรงงานปั่นด้ายกว่า 6 โรงงาน มีกำลังการผลิตสูงถึง 240,000 แกนด้ายต่อปี และยังมีอาคารที่พักสำหรับคนงาน อาคารโรงเรียน โรงรับเลี้ยงเด็ก สนามเด็กเล่น โรงอาหาร ไว้บริการพนักงานอีกด้วย โรงงานดังกล่าวดำเนินงานมาจนกระทั่งช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อสหภาพโซเวียตเข้าปกครองเยอมรมนีตะวันออก ได้มีการนำเครื่องจักรบางส่วนออกไป แต่ตัวโรงงานยังคงดำเนินงานจนกระทั่งทศวรรษที่ 1980 จึงได้เลิกการผลิตไปทั้งหมด เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างมาก ต่อมาจึงได้พัฒนาพื้นที่นี้เป็นสถานที่จัดแสดงศิลปะร่วมสมัย และปัจจุบันได้ดัดแปลงเป็นอาคารที่พักอาศัย สำนักงานสำหรับศิลปิน สถาปนิก สถาบันสอนเต้นรำ และสถานที่จัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยแขนงต่าง ๆ มีการจัดเทศกาลเปิดแสดงผลงานของศิลปินในพื้้นที่โครงการให้นักท่องเที่ยว และผู้สนใจเข้าชมฟรี ปีละ 3 ครั้ง
นันทนาการ
- ทะเลสาบคอสปูเดเนอร์ ทะเลสาบนี้ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองในฤดูใบไม้ผลิ และฤดูร้อน
- สวนสัตว์ไลพ์ซิก เป็นสวนสัตว์ขนาดใหญ่ในสหพันธรัฐแซกโซนี จัดแสดงสัตว์จากทั่วทุกมุมโลก โดยมีการจัดแบ่งพื้นที่การแสดงตามภูมิภาค และประเภทของสัตว์ป่า ได้แก่ อาฟริกา เอเซีย อเมริกาใต้ ส่วนจัดแสดงพันธุ์ไม้ ส่วนจัดแสดงลิงนานาพันธุ์ และส่วนจัดแสดงสัตว์เลื้อยคลาน[27] สวนสัตว์ไลพ์ซิก เปิดดำเนินการโดยเอกชนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1878 และเมืองไลพ์ซิกได้รับโอนเป็นของเมือง ค.ศ. 1920[28] ปัจจุบันมีพื้นที่กว่า 225,000 ตารางเมตร มีสัตว์ป่ากว่าห้าพันตัว มากกว่า 600 สายพันธุ์ และได้รับการบันทึกว่าเป็นสวนสัตว์ที่มีสัตว์ผู้ล่ามากที่สุดแห่งหนึ่งในระดับโลก[29]
- มอริทซ์บาสไท (Moritzbastei) เป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองเก่า และภายในเป็นสถานที่คุมขังนักโทษ ปัจจุบันได้ปรับปรุงเป็นสถานบันเทิงสำหรับนักศึกษา
- ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติไลพ์ซิก ไลพ์ซิกเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญมาเป็นเวลานาน และเป็นเคยเป็นศูนย์กลางสื่อสิ่งพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนีก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานชาติไลพ์ซิก จึงมีการจัดแสดงสินค้าที่สำคัญหลายงานด้วยกัน โดยงานแสดงสินค้าที่มีชื่อเสียง ได้แก่ งานแสดงหนังสือ ซึ่งถือว่าเป็นงานแสดงหนังสือที่เก่าแก่ที่สุดของเยอรมนีที่ยังคงดำเนินการจนถึงปัจจุบัน งานแสดงรถยนต์นานาชาติ (AMI และ AMITEC) และงานแสดงเกม (Game Convention) เป็นต้น
สิ่งที่น่าสนใจ
กีฬา
สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งชาติเยอรมนี (DFB) จัดตั้งขึ้นครั้งแรกที่เมืองไลพ์ซิก ในปี ค.ศ. 1900[30] และสโมสรฟุตบอลอาชีพของเมือง ได้แก่ สโมสรเอสเทิร์นเอฟซี (1.FC)ได้ครองถ้วยรางวัลในฐานะทีมอันดับหนึ่งของฟุตบอลอาชีพประจำชาติ ในปี ค.ศ. 1903
ไลพ์ซิกเป็นเมืองหนึ่งที่ร่วมจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 และได้ตั้งเป้าหมายร่วมเป็นเจ้าภาพการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 แต่ไม่ได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการโอลิมปิคสากล
ศิลปะ
- ออเคสตร้า
ไลพ์ซิก เป็นเมืองที่มีรากฐานทางดนตรี เนื่องจากมีนักประพันธ์เพลง ผู้ควบคุมวงออเคสตร้า นักดนตรีที่มีชื่อเสียง ได้สร้างสรรค์ผลงานในช่วงเวลาที่ได้ทำงานอยู่ที่เมืองไลพ์ซิก อาทิ โยฮันน์ เซบาสเทียน บาค นักประพันธ์เพลง ซึ่งแต่งเพลงจำนวนมาก ในขณะที่ทำงานอยู่ในโบสถ์นักบุญโทมัส ระหว่างปี ค.ศ. 1723 - ค.ศ. 1750 นออกจากนี้ ยังมี ริชาร์ด วากเนอร์ โรเบิร์ต ชูมานน์ และ เฟลิกซ์ เมนเดลโซห์น อีกด้วย
นอกเหนือไปกว่านั้น ในปัจจุบัน ไลพ์ซิก เป็นที่ตั้งของ มหาวิทยาลัยการดนตรีและการละคร ซึ่งมีการเรียนการสอนเพื่อผลิตศิลปิน และบุคคลากรเพื่อเป็นผู้สอนศิปะ ทั้งการแสดง และการดนตรีในทุกแขนง นักศึกษาที่มีผลงานเป็นที่โดดเด่น จะได้เข้าร่วมการแสดงกับ วงออเคสต้าไลพ์ซิกเกวานด์เฮ้าส์ วงดนตรีออเคสต้าประจำเมืองไลพ์ซิก ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับไปทั่วทั้งยุโรป ปัจจุบันมหาวิทยาลัยการดนตรีและการละคร มีนักศึกษาเข้าใหม่เฉลี่ยกว่าปีละ 800 คน
- คณะนักร้องประสานเสียง
คณะนักร้องประสานเสียงเยาวชนแห่งคริสตจักรนักบุญโธมัส เป็นหนึ่งในคณะนักร้องประสานเสียงที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในทวีปยุโรป
- อุปรากร
โรงละครเมืองไลพ์ซิก จัดได้ว่าเป็นโรงละครที่มีการจัดแสดงมากว่า 300 ปี ซึ่งถือว่าเป็นโรงละครที่มีการจัดแสดงมายาวนานที่สุดในยุโรป
- ภาพยนตร์
นอกจากด้านดนตรี และการแสดงแล้ว ไลพ์ซิกยังเป็นศูนย์กลางการจัดประกวดภาพยนตร์สารคดีนานาชาติ (DOK Leipzig) มาแล้วกว่า 55 ครั้ง
บุคคลสำคัญ
บุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงของเมืองไลพ์ซิก มีหลายท่านด้วยกัน อาทิ
- กอทท์ฟรีด วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ (ค.ศ. 1646 - ค.ศ. 1716) ปรัชญาเมธี และนักคณิตศาสตร์คนสำคัญ เป็นชาวเมืองไลพ์ซิกโดยกำเนิด และเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยไลพ์ซิก ระหว่างปี ค.ศ. 1661 - ค.ศ. 1666
- โยฮันน์ เซบาสเทียน บาค คีดกวีที่ทำงานในไลพ์ซิกช่วง ค.ศ. 1723-ค.ศ. 1750
- โยฮันน์ โวล์ฟกัง ฟอน เกอเธอ (ค.ศ. 1749 - ค.ศ.1832) นักประพันธ์ นักวิจารณ์ ปรัชญาเมธีผู้โด่งดังของเยอรมนี สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยไลพ์ซิก ก่อนจะกลับไปใช้ชีวิตการทำงานที่เมืองไวมาร์
- เฟลิกซ์ เมนเดลโซห์น (ค.ศ. 1809 - ค.ศ. 1847) ผู้อำนวนเพลงที่มีชื่อเสียงท่านนี้ ได้เริ่มแสดงผลงานทางดนตรี ที่เมืองไลพ์ซิก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1935 และเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนทางดนตรีขึ้นในเมืองไลพ์ซิก เมื่อปี ค.ศ. 1843 ซึ่งปัจจุบันโรงเรียนดนตรีดังกล่าวเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยการดนตรี และการละคร
- ริชาร์ด วากเนอร์ คีตกวีที่เกิดในไลพ์ซิกเมื่อ ค.ศ. 1813 แม้จะไปใช้ชีวิตวัยเด็กในเดรสเดน แต่ก็กลับมาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยไลพ์ซิก ก่อนจะผันตัวเองไปเป็นนักประพันธ์เพลง และอุปรากรในช่วงที่เหลือของชีวิต
- คาร์ล ฟรีดริช เกอเดเลอร์[31] (ค.ศ. 1884 – ค.ศ. 1945) นายกเทศมนตรีเมืองไลพ์ซิก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 ได้รับการยอมรับว่า เป็นนักต่อต้านนาซีตัวยง
- อังเงลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีหญิงของเยอรมันคนแรก และคนปัจจุบัน เป็นศิษย์เก่า คณะฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยไลพ์ซิก ระหว่างปี ค.ศ. 1973 - ค.ศ. 1978
เมืองคู่แฝด
ไลพ์ซิก ทำสัญญาเป็นเมืองคู่แฝด กับเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกดังนี้:
- แอดดิสอาบาบา, ประเทศเอธิโอเปีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004
- เบอร์มิงแฮม, ประเทศอังกฤษ ([1]) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992
- โบโลนยา, ประเทศอิตาลี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1962, ต่อสัญญาใหม่ในปี ค.ศ. 1997 โดยปัจจุบันนี้ มีสัญญาความร่วมมือกันด้านการศึกษาระหว่างมหาวิทยาลัยของทั้งสองเมือง
- เบอร์โน, สาธารณรัฐเช็ก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1973, ต่อสัญญาใหม่ในปี ค.ศ. 1999
- แฟรงเฟิร์ต, ประเทศเยอรมนี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990
- ฮานโนเฟอร์, เยอรมนี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1987
- ฮิวสตัน, ประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1933
- กรุงเคียฟ, ประเทศยูเครน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1961, ต่อสัญญาใหม่ในปี ค.ศ. 1992
- คราคูฟ, ประเทศโปแลนด์ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1973, ต่อสัญญาใหม่ในปี ค.ศ. 1995
- ลียง, ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981
- นานกิง, ประเทศจีน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1988
- พลอฟดิฟ, ประเทศบัลแกเรีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975, ต่อสัญญาใหม่ในปี ค.ศ. 2007
- เธสะโลนิกี, ประเทศกรีซ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1984
- ทราฟนิก, ประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003
แหล่งข้อมูลอื่น
- เว็บไซต์เมืองไลพ์ซิก
- เว็บวิกิท่องเที่ยว (ภาษาอังกฤษ)
- เว็บไซด์มหาวิทยาลัยไลพ์ซิก
- เว็บไซด์แนะนำการท่องเที่ยวเยอรมนี
บทความที่เกี่ยวข้อง
อ้างอิง
- ↑ http://www.statistik.sachsen.de
- ↑ Hanswilhelm Haefs. Das 2. Handbuch des nutzlosen Wissens. ISBN 3-8311-3754-4 (ภาษาเยอรมัน)
- ↑ กฤตกร คมพัฒนพงศ์ (2550) ทัวร์เอง: เยอรมนี. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์กรีนบุ๊ค
- ↑ http://www.leipzig.de/int/en/stadt_leipzig/geschichte/index.aspx?epoche_nr=1
- ↑ http://www.answers.com/topic/leipzig
- ↑ http://www.leipzig.de/int/en/stadt_leipzig/zahlen/arbeitsmarkt/sv/
- ↑ http://www.leipzig.de/de/business/wistandort/zahlen/arbeitsmarkt/arbeitslose/index.aspx
- ↑ http://www.leipzig.de/int/en/stadt_leipzig/zahlen/wirtschaft/index.aspx
- ↑ http://www.leipzig.de/de/business/wistandort/zahlen/wirtschaft/verarb/index.aspx
- ↑ http://www.leipzig.de/de/business/wistandort/zahlen/wirtschaft/index.aspx
- ↑ http://en.wikipedia.org/wiki/St._Thomas_Church,_Leipzig
- ↑ http://de.wikipedia.org/wiki/Paulinerkirche_(Leipzig)
- ↑ http://www.leipzig.de/int/en/tourist/stadtspaz/fotorund/02424.shtml
- ↑ http://en.wikipedia.org/wiki/V%C3%B6lkerschlachtdenkmal
- ↑ http://en.wikipedia.org/wiki/Battle_of_the_Nations
- ↑ http://www.mendelssohn-stiftung.de/
- ↑ http://www.bach-leipzig.de/
- ↑ http://www.schumann-verein.de/
- ↑ http://www.travelicio.us/f/Europe/3625006146/Leipzig_Main_Railway_Station_Concourse/
- ↑ http://en.wikipedia.org/wiki/Leipzig_Hauptbahnhof
- ↑ http://en.wikipedia.org/wiki/Federal_Administrative_Court_of_Germany
- ↑ http://www.gewandhaus.de
- ↑ http://en.wikipedia.org/wiki/Auerbachs_Keller
- ↑ http://www.grassimuseum.de/info_en.html
- ↑ http://mfm.uni-leipzig.de/_eng/WelcomeHome.php?navid=1
- ↑ http://www.mvl-grassimuseum.de/site.php?g=start&css=fc&lang=en&zoom=0
- ↑ http://www.zoo-leipzig.de
- ↑ http://www.britannica.com/EBchecked/topic/335493/Leipzig-Zoological-Garden
- ↑ http://en.wikipedia.org/wiki/Leipzig_Zoological_Garden
- ↑ http://en.wikipedia.org/wiki/DFB
- ↑ http://en.wikipedia.org/wiki/Carl_Friedrich_Goerdeler