ไมเคิล ดักลาส
ไมเคิล ดักลาส | |
---|---|
สารนิเทศภูมิหลัง | |
เกิด | ไมเคิล เคิร์ก ดักลาส New Brunswick, New Jersey, U.S. | 25 กันยายน ค.ศ. 1944
คู่สมรส | Diandra Luker (1977-2000) Catherine Zeta-Jones (2000-ปัจจุบัน) |
อาชีพ | นักแสดง โปรดิวเซอร์ |
ปีที่แสดง | 1966–ปัจจุบัน |
รางวัล | |
ออสการ์ | Best Picture 1975 One Flew Over the Cuckoo's Nest Best Actor 1987 Wall Street |
ลูกโลกทองคำ | Best Motion Picture - Drama 1975 One Flew Over the Cuckoo's Nest Best Actor - Motion Picture Drama 1987 Wall Street Cecil B. DeMille Award 2004 Lifetime Achievement |
แบฟตา | Best Film 1975 One Flew Over the Cuckoo's Nest |
ซีซาร์ | Honorary César 1998 Lifetime Achievement |
ไมเคิล เคิร์ก ดักลาส (อังกฤษ: Michael Kirk Douglas) เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 1944 เป็นนักแสดง โปรดิวเซอร์ ชาวอเมริกัน มีผลงานทางภาพยนตร์และโทรทัศน์ ดักลาสปรากฏบนจอโทรทัศน์ครั้งแรก ในละครดรามาอาชญากรรมยุคทศวรรษ 1970 เรื่อง The Streets of San Francisco รับบทบาทเล่นตั้งแต่ปี 1972-1976 ดักลาสได้รับ รางวัลเอมมี 1 สมัย, รางวัลลูกโลกทองคำ 1 สมัย และ รางวัลออสการ์ 2 สมัย จากการเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ปี 1975 เรื่อง One Flew Over the Cuckoo's Nest และ อีกครั้งในฐานะนักแสดงจากบทบาทเรื่อง Wall Street
เขาเป็นบุตรชายคนโตของ เคิร์ก ดักลาส และ ไดอาน่า ดิลล์ ดักลาสสำเร็จการศึกษาศิลปศาสตรบัณฑิตสาขาการละครจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาร์บารา บทบาทการแสดงในช่วงแรกของเขามีมากมายรวมถึงภาพยนตร์ ละครเวที และการผลิตรายการโทรทัศน์ ดักลาสประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกในการแสดงของเขาในซีรีส์ทางโทรทัศน์เรื่อง The Streets of San Francisco ของสถานี ABC ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมี (Emmy Award) ติดต่อกันสามครั้ง ในปี 1975 ดักลาสได้ผลิตภาพยนตร์เรื่อง One Fly Over the Cuckoo's Nest โดยได้รับสิทธิ์จากนิยายของ Ken Kesey ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับเสียงวิจารณ์วิจารณ์และได้รับความนิยมและได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ทำให้ดักลาสได้ออสการ์เป็นครั้งแรกในฐานะหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ในช่วงเวลาต่อมาดักลาสได้ผลิตภาพยนตร์เช่น The China Syndrome (1979) และ Romancing the Stone (1984) เขาได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม - ดนตรีหรือตลกจาก Romancing the Stone ซึ่งเขาได้ร่วมแสดงด้วย
หลังจากกลับมารับบทเป็น แจ็ค โคลตัน ในภาพยนตร์ภาคต่อเรื่อง The Jewel of the Nile ในปี 1985 ซึ่งเขาเคยอำนวยการสร้างด้วยและร่วมแสดงในละครเพลงเรื่อง A Chorus Line (1985) และ ภาพยนตร์ระทึกขวัญจิตวิทยาเรื่อง Fatal Attraction (1987) ดักลาสได้รับเสียงชื่นชมในบทบาทของ Gordon Gekko ใน Wall Street ของ โอลิเวอร์ สโตน (1987) ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม เขากลับมารับบทในภาคต่อของภาพยนตร์ Wall Street ในเรื่อง Wall Street: Money Never Sleeps (2010)
ประวัติ
[แก้]ดักลาสเกิดในนิวบรันสวิก รัฐนิวเจอร์ซีย์ เป็นบุตรคนแรกของนักแสดง เคิร์ก ดักลาส (1916–2020) และ Diana Dill (1923–2015) พ่อแม่ของเขาพบกันที่สถาบันสอนการแสดง American Academy of Dramatic Arts[1]
พ่อของเขาเป็นชาวยิว และ เกิดที่ Issur Danielovitch ปู่ย่าตายายของไมเคิลเป็นผู้อพยพจากชาวูซี (ตอนนี้คือส่วนหนึ่งของเบลารุส)[1] แม่ของเขามาจากเดวอนเชียร์แพริช เบอร์มิวดา และ มีเชื้อสายอังกฤษ ไอริช สก็อตแลนด์ เวลส์ ฝรั่งเศส เบลเยียม และ ดัตช์ ลุงของดักลาสเป็นนักการเมืองนามว่า Sir Nicholas Bayard Dill และปู่ของดักลาสคือ พันโท ทอมัส ทำหน้าที่เป็นอัยการสูงสุดแห่งเบอร์มิวดาในฐานะสมาชิกรัฐสภาแห่งเบอร์มิวดา (MCP) และเป็นผู้บัญชาการกองปืนใหญ่แห่งเบอร์มิวดา[2] ดักลาสมีน้องชายหนึ่คนได้แก่ โจเอล ดักลาส (เกิดปี 1947) และพี่ชายต่างมารดาสองคนคือ ปีเตอร์ ดักลาส (เกิด 1955) และ เอริก ดักลาส (เกิด 1958-2004) จากแม่เลี้ยงของเขา (แอนน์ บายเดนส์)
ดักลาสเข้าเรียนที่โรงเรียน Allen-Stevenson ในนิวยอร์กซิตี้, โรงเรียน Eaglebrook ในเมืองเดียร์ฟิลด์ รัฐแมสซาชูเซตส์ และ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา Choate (ปัจจุบันคือ Choate Rosemary Hall) ในเมืองวอลลิงฟอร์ด รัฐคอนเนตทิคัต เขาได้รับปริญญาตรีสาขาการละครจากมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียซานตาบาร์บาราในปี 1968 ซึ่งเขาเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของสมาคมศิษย์เก่า UCSB เขาเรียนการแสดงกับ Wynn Handman ที่สถาบัน The American Place Theatre ในนิวยอร์กซิตี้[3]
ในปี 1980 ดักลาสประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจากการเล่นสกีซึ่งทำให้อาชีพการแสดงของเขาต้องหยุดชะงักไปเป็นเวลาสามปี และ เมื่อวันที่ 17 กันยายน ในปี 1992 เขาเข้ารับการรักษาโรคพิษสุราเรื้อรังเป็นเวลา 30 วันที่ศูนย์บำบัดเซียร์ราทูซอน
อาชีพนักแสดง
[แก้]ช่วงเริ่มต้น
[แก้]บทบาทครั้งแรกของดักลาสคือการปรากฎตัวในละครพิเศษเรื่อง The Experiment ในปี 1969 ของ CBS Playhouse ไมเคิล ดักลาสเริ่มต้นอาชีพนักแสดงอย่างเป็นทางการในช่วงปลายทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970 โดยปรากฏตัวในภาพยนตร์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก เช่น Hail, Hero!, Adam At 6.00 น. และ Summertree การแสดงของเขาใน Hail และ Hero! ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงหน้าใหม่ฝ่ายชายที่มีผลงานดีที่สุด ในช่วงปลายปี 1969 เขาได้ก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ของตนเองที่ชื่อว่า Bigstick Productions
บทบาทสำคัญครั้งแรกของเขาคือละครโทรทัศน์เรื่อง The Streets of San Francisco ตั้งแต่ปี 1972 ถึงปี 1976 ซึ่งเขาได้แสดงร่วมกับ คาร์ล มัลเดน ดักลาสกล่าวในภายหลังว่ามัลเดนกลายเป็น "พี่เลี้ยง" และเป็นคนที่เขา "ชื่นชมและรักอย่างสุดซึ้ง" ทั้งคู่มีความสัมพันธ์อันยาวนานจนกระทั่งมัลเดนเสียชีวิตในวันที่ 1 กรกฎาคม ปี 2009[4] โดย ในปี 2004 ดักลาสได้มอบรางวัล Monte Cristo Award ให้กับมัลเดน ณ โรงละคร Eugene O'Neill Theatre Center ในเมืองวอเตอร์ฟอร์ด
ในปี 1975 ดักลาสได้รับลิขสิทธิ์สร้างภาพยนตร์จากนวนิยายเรื่อง One Flew Over the Cuckoo's Nest จากบิดาของเขา โดยดัลสาสต้องการตั้งชื่อภาพยนตร์ตามชื่อนวนิยายดังกล่าว โดย เคิร์ก ดักลาสพ่อของเขาหวังที่ร่วมแสดงเป็นตัวละคร McMurphy ด้วยตัวเขาเอง โดยได้เคยแสดงในเวอร์ชันละครเวทีมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่ ดักลาสลูกชายของเขากล่าวว่าเขาแก่เกินไปสำหรับบทนี้ และ บทบาทดังกล่าวตกเป็นของ แจ็ค นิโคลสัน ผู้ได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ซึ่งดักลาสได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากการผลิตภาพยนตร์[5]
หลังจากสิ้นสุดการแสดงใน The Streets of San Francisco ในปี 1976 ดักลาสได้รับบทเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลในภาพยนตร์ระทึกขวัญแนววิทยาศาสตร์เรื่อง Coma (1978) และ ในปี 1979 เขารับบทเป็นนักวิ่งมาราธอนที่มีปัญหาส่วนตัวในเรื่อง Running ในปี 1979 เขาได้เป็นอำนวยการสร้างและร่วมแสดงในภาพยนตร์ The China Syndrome ซึ่งเป็นภาพยนตร์ดรามาที่ร่วมแสดงโดย Jane Fonda และ Jack Lemmon มีเนื้อหาเกี่ยวกับอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็น "หนึ่งในภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ดีที่สุดแห่งปี 1970"
โด่งดังและประสบความสำเร็จในฮอลลีวูด
[แก้]อาชีพการแสดงของดักลาสได้รับความนิยมอย่างมากฮอลลีวูดเมื่อเขาสร้างและร่วมแสดงในภาพยนตร์ตลกแนวผจญภัยแนวโรแมนติกปี 1984 เรื่อง Romancing the Stone และ ทำให้ผู้กำกับ โรเบิร์ต เซเมคิส ประสบความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศเป็นครั้งแรก ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังแสดงนำแสดงโดย แดนนี่ เดวิโต เพื่อนของดักลาส พวกเขามีความสนิทสนมกันเนื่องจากเคยแชร์อพาร์ตเมนต์ร่วมกันในช่วงทศวรรษ 1960 โดยอีกหนึ่งปีต่อมาภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีภาคต่อคือ The Jewel of the Nile ซึ่งเขาร่วมสร้างด้วยอีกเช่นเคย
ปี 1987 ดักลาสได้แสดงในภาพยนตร์ระทึกขวัญ Fatal Attraction ร่วมกับ เกล็นน์ โคลส ในปีเดียวกันนั้นเอง เขาเล่นเป็นเจ้าพ่อนามว่า Gordon Gekko ใน Wall Street ของ โอลิเวอร์ สโตน ซึ่งเขาได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม เขากลับมารับบทเป็นตัวละคร Gekko อีกคร้งในภาคต่อชื่อว่า Wall Street: Money Never Sleeps ในปี 2010 ซึ่งกำกับโดยสโตนด้วย[6]
ดักลาสแสดงในภาพยนตร์ปี 1989 เรื่อง The War of the Roses ซึ่งนำแสดงโดย Kathleen Turner และ Danny DeVito ด้วย[7] ในปี 1989 เขาได้แสดงในละครอาชญากรรมระดับนานาชาติเรื่อง Black Rain ของ ริดลีย์ สก็อตต์ ประกบคู่ แอนดี้ การ์เซียและเคท แคปชอว์; ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำในเมืองโอซากะ ประเทศญี่ปุ่น
ในปี 1992 ดักลาสได้รับบทบาทนักแสดงที่ประสบความสำเร็จอีกครั้งเมื่อเขาปรากฏตัวร่วมกับ ชารอน สโตน ในภาพยนตร์ Basic Instinct ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ทะลุบ็อกซ์ออฟฟิศและจุดชนวนให้เกิดการโต้เถียงเกี่ยวกับไบเซ็กชวลและเลสเบี้ยนในวงกว้าง ในปี 1994 ดักลาส และ เดมี มัวร์ ได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Disclosure โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ โดยที่ดักลาสแสดงเป็นผู้ชายที่ถูกเจ้านายคนใหม่รังแก ภาพยนตร์ยอดนิยมอื่น ๆ ที่เขาแสดงในช่วงทศวรรษนี้ ได้แก่ Falling Down, The American President, The Ghost and the Darkness, The Game (กำกับโดย David Fincher) และ A Perfect Murder ในปี 1998 ดักลาสได้รับรางวัลคริสตัลสำหรับผลงานที่โดดเด่นที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติคาร์โลวี วารี[8]
ในปี 2000 ดักลาสได้แสดงในภาพยนตร์ดรามาของ สตีเวน โซเดอร์เบิร์ก เรื่อง Traffic ประกบคู่กับ เบนิซิโอ เดล โตโร และ ภรรยาในอนาคตของเขา "แคทเธอรีน ซีตา-โจนส์" ในปีเดียวกันนั้นเอง เขายังได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากบทบาทของเขาใน Wonder Boys ในฐานะศาสตราจารย์และนักประพันธ์ที่ทุกข์ทรมานจากปัญหาต่างๆ เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและรางวัลบาฟตาสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
ชีวิตส่วนตัว
[แก้]ความสัมพันธ์
[แก้]หลังจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Summertree ในปี 1971 ดักลาสเริ่มออกเดทกับนักแสดงหญิง Brenda Vaccaro ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จบลงในปีที่ 6 หลังจากนั้น
ในเดือนมีนาคม ปี 1977 ดักลาส ซึ่งในขณะนั้นอายุ 32 ปี ได้แต่งงานกับ ไดแอนดรา ลูเกอร์ วัย 19 ปี ลูกสาวของนักการทูตชาวออสเตรีย พวกเขามีลูกชายคนหนึ่งชื่อคาเมรอนเกิดในปี 1978 ในปี 1995 ไดแอนดราได้ฟ้องหย่าดักลาสและได้รับเงินรางวัล 45 ล้านดอลลาร์ตามข้อตกลงในการหย่า[9]
ดักลาสแต่งงานกับนักแสดงหญิงชาวเวลส์ แคเธอรีน ซีตา-โจนส์ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2000 ทั้งคู่เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายนเหมือนกัน แม้ว่าจะห่างกัน 25 ปี ซีตา-โจนส์กล่าวว่าเมื่อพวกเขาพบกันในเมือง Deauville ประเทศฝรั่งเศส ดักลาสกล่าวว่า "ฉันต้องการเป็นพ่อของลูก ๆ ของคุณ"[10] พวกเขามีลูกสองคน ลูกชาย Dylan Michael (เกิด 8 สิงหาคม ปี 2000)[11] และ ลูกสาว Carys Zeta (เกิด 20 เมษายน ปี 2003)
ในเดือนสิงหาคม 2013 นิตยสาร People รายงานว่า ดักลาส และ ซีตา-โจนส์ ได้แยกกันอยู่ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2013[12] แต่ไม่ได้ดำเนินการทางกฎหมายใดๆต่อการหย่าร้าง ต่อมา มีรายงานเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2013 ว่าทั้งคู่ได้คืนดีกันแล้ว และ ซีตา-โจนส์ได้ย้ายกลับเข้าไปในอพาร์ตเมนต์ในนิวยอร์ก
สุขภาพ
[แก้]มีการประกาศเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ปี 2010 ว่าดักลาสป่วยเป็นโรคมะเร็งลำคอ (ภายหลังเปิดเผยว่าเป็นมะเร็งที่ลิ้น) และ จะได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดและการฉายรังสี ต่อมาดักลาสยืนยันว่ามะเร็งอยู่ในระยะที่ 4 ซึ่งเป็นระยะลุกลาม
ดักลาสได้กล่าวชื่นชมและให้เครดิตการค้นพบมะเร็งของเขาต่อระบบสาธารณสุขของแคนาดาตั้งแต่แพทย์ในมอนทรีออล รัฐควิเบก ซึ่งแพทย์แคนาสามารถวินิจฉัยอาการป่วยของเขาได้หลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกันจำนวนมากล้มเหลวในการทำเช่นนั้น[13] ดักลาสได้เข้าร่วมในการระดมทุนสำหรับโรงพยาบาล Jewish General ของมอนทรีออล และ ศูนย์สุขภาพมหาวิทยาลัย McGill ซึ่งโรงพยาบาลที่รักษาเขาสังกัดอยู่[14] ดักลาสให้เหตุผลว่ามะเร็งของเขานั้นเกิดจาก ความเครียด การดื่มแอลกอฮอล์ และ การสูบบุหรี่จัดเป็นเวลานานหลายปี
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Michael Douglas on Liberace, Cannes, cancer and cunnilingus". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2013-06-02.
- ↑ "Ancestors of Michael Kirk Douglas". archive.ph. 2012-06-29. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-06-29. สืบค้นเมื่อ 2022-04-09.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ Parker, John (2011-07-21). Michael Douglas: Acting on Instinct (ภาษาอังกฤษ). Headline. ISBN 978-0-7553-6286-8.
- ↑ Facebook; Twitter; options, Show more sharing; Facebook; Twitter; LinkedIn; Email; URLCopied!, Copy Link; Print (2009-07-02). "Oscar-winning actor Karl Malden dies at 97". Los Angeles Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
{{cite web}}
:|last=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) - ↑ "One Flew Over the Cuckoo's Nest (1975)". www.filmsite.org.
- ↑ "Michael Douglas Wall Street 2 - Movie News | TVGuide.com". web.archive.org. 2009-05-02. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-05-02. สืบค้นเมื่อ 2021-06-08.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ https://www.bbfc.co.uk/releases/war-roses-1970-3
- ↑ "41. Mezinárodní filmový festival Karlovy Vary | Historie festivalu". web.archive.org. 2006-09-03. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-09-03. สืบค้นเมื่อ 2021-06-08.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "By The Numbers: The 10 Most Expensive Celebrity Divorces". Forbes (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Cheesy chat up line that snagged Catherine Zeta-Jones". The Sydney Morning Herald (ภาษาอังกฤษ). 2007-07-12.
- ↑ "Passages : People.com". web.archive.org. 2015-03-16. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-03-16. สืบค้นเมื่อ 2021-06-08.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Michael Douglas and Catherine Zeta-Jones Separate". PEOPLE.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Michael Douglas reveals his cancer has spread". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2010-09-01.
- ↑ "Michael Douglas praises Canadian health care". สืบค้นเมื่อ 2021-06-08.