ข้ามไปเนื้อหา

ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93
สรุปการจี้บังคับ
วันที่11 กันยายน ค.ศ. 2001
สรุปการจี้บังคับ ส่วนหนึ่งของวินาศกรรม 11 กันยายน; ตกเนื่องจากการก่อการกำเริบของผู้โดยสาร
จุดเกิดเหตุทุ่งโล่ง (อนุสรณ์สถานแห่งชาติเที่ยวบินที่ 93) ทางตะวันตกของอินเดียนเลก ในตำบลสโตนีย์ครีก รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา
40°03′02.8″N 78°54′17.3″W / 40.050778°N 78.904806°W / 40.050778; -78.904806
อากาศยานลำที่เกิดเหตุ

N591UA เครื่องบินลำที่เกิดเหตุ สามวันก่อนถูกจี้
ประเภทอากาศยานโบอิง 757-222[a]
ดําเนินการโดยยูไนเต็ดแอร์ไลน์
หมายเลขเที่ยวบิน IATAUA93
หมายเลขเที่ยวบิน ICAOUAL93
รหัสเรียกUNITED 93
ทะเบียนN591UA
ต้นทางท่าอากาศยานนานาชาตินวร์ก (ปัจจุบันเรียกว่าท่าอากาศยานนานาชาตินวร์กลิเบอร์ตี) นวร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา
ปลายทางท่าอากาศยานนานาชาติซานฟรานซิสโก ซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
จำนวนคน44 (รวมสลัดอากาศ 4 คน)
ผู้โดยสาร37 (รวมสลัดอากาศ 4 คน)
ลูกเรือ7
เสียชีวิต44 (รวมสลัดอากาศ 4 คน)
รอดชีวิต0

ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93 เป็นเที่ยวบินโดยสารภายในประเทศที่ถูกจี้โดยผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะฮ์สี่คนในเช้าวันอังคารที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีในวินาศกรรม 11 กันยายน สลัดอากาศมีแผนจะนำเครื่องบินพุ่งชนอาคารรัฐบาลกลางในวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐ แต่ภารกิจล้มเหลวเมื่อผู้โดยสารต่อสู้กลับ ทำให้ผู้ก่อการร้ายต้องนำเครื่องบินตกที่แชงก์สวิลล์ในเทศมณฑลซัมเมอร์เซ็ต รัฐเพนซิลเวเนีย เป็นการขัดขวางไม่ให้เครื่องไปถึงเป้าหมายที่อัลกออิดะฮ์ตั้งใจไว้ แต่ก็ทำให้ผู้ที่อยู่บนเที่ยวบินเสียชีวิตทั้งหมด เครื่องบินที่ลำเกิดเหตุคือโบอิง 757-200 ซึ่งมีผู้โดยสารและลูกเรือ 44 คน กำลังบินตามตารางเที่ยวบินประจำวันของยูไนเต็ดแอร์ไลน์จากท่าอากาศยานนานาชาตินวร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ ไปยังท่าอากาศยานนานาชาติซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ทำให้เป็นเครื่องบินลำเดียวที่ถูกจี้ในวันนั้นซึ่งไม่ได้มีจุดหมายปลายทางที่ลอสแอนเจลิส

สี่สิบหกนาทีหลังเครื่องออก สลัดอากาศได้สังหารผู้โดยสารหนึ่งคน บุกเข้าห้องนักบิน และต่อสู้กับนักบินขณะที่เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรภาคพื้นกำลังฟังอยู่ ซีอาด ญะราห์ ซึ่งได้รับการฝึกฝนเป็นนักบิน ได้เข้าควบคุมเครื่องและหันหัวกลับไปยังชายฝั่งตะวันออก มุ่งหน้าสู่ดี.ซี. คอลิด ชัยค์ มุฮัมมัดและรอมซี บิน อัชชัยบะฮ์ นายทุนใหญ่ผู้ก่อเหตุ อ้างว่าเป้าหมายที่ตั้งใจไว้คืออาคารรัฐสภาสหรัฐ[1]

เครื่องออกเดินทางช้ากว่ากำหนด 42 นาที โดยออกเดินทางในเวลา 08:42 น. การตัดสินใจของสลัดอากาศที่จะรออีก 46 นาทีเพื่อโจมตีหมายความว่าผู้ที่ถูกจับเป็นตัวประกันบนเที่ยวบินได้รู้ในเวลาอันรวดเร็วว่าเครื่องบินโดยสารที่ถูกจี้ลำอื่นได้ก่อเหตุโจมตีพลีชีพกับอาคารแฝดของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนครนิวยอร์กรวมถึงเดอะเพนตากอนในเทศมณฑลอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย ใกล้กับดี.ซี. ภายในเวลา 09:57 น. หรือเพียง 29 นาทีหลังเครื่องถูกจี้ ผู้โดยสารก็ตัดสินใจที่จะต่อสู้เพื่อแย่งชิงการควบคุมเครื่องบิน ในระหว่างการต่อสู้ที่เกิดขึ้น เครื่องได้ดิ่งหัวลงในทุ่งโล่งใกล้เหมืองเก่าในตำบลสโตนีย์ครีก ใกล้อินเดียนเลกและแชงก์สวิลล์ ห่างจากพิตต์สเบิร์กไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 65 ไมล์ (105 กิโลเมตร) และห่างจากเมืองหลวงไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 130 ไมล์ (210 กิโลเมตร) มีผู้เห็นเหตุการณ์เครื่องบินตกหนึ่งคนจากพื้นดิน และสำนักข่าวต่าง ๆ ก็เริ่มรายงานข่าวเหตุการณ์ภายในหนึ่งชั่วโมง

ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93 เป็นเครื่องบินโดยสารลำที่สี่และลำสุดท้ายที่ถูกผู้ก่อการร้ายจี้ในวินาศกรรม 11 กันยายน และเป็นลำเดียวที่ไปไม่ถึงเป้าหมายที่อัลกออิดะฮ์ตั้งใจไว้ การจี้บังคับครั้งนี้ควรจะเกิดขึ้นพร้อมกับการจี้บังคับอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 77 ซึ่งชนเพนตากอนน้อยกว่า 26 นาทีก่อนที่เที่ยวบินที่ 93 จะตก อนุสรณ์สถานชั่วคราวถูกสร้างขึ้นใกล้จุดเกิดเหตุหลังตกไม่นาน[2] การก่อสร้างอนุสรณ์สถานแห่งชาติเที่ยวบินที่ 93 ถาวรได้มีการอุทิศเมื่อวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 2011[3] และศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่ทำจากคอนกรีตและกระจก (ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาที่สามารถมองเห็นจุดเกิดเหตุ)[4] ได้เปิดให้เข้าชมในอีกสี่ปีต่อมา[5]

สลัดอากาศ

[แก้]
สลัดอากาศยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เทียวบินที่ 93
ซีอาด ญะราห์ (นักบิน)
อะห์มัด อัลฮัซนาวี
อะห์มัด อันนะอ์มีย์
ซะอีด อัลฆอมิดี

การจี้เที่ยวบินที่ 93 นำโดยซีอาด ญะราห์ สมาชิกอัลกออิดะฮ์[6] เขาเกิดในเลบานอนในครอบครัวมุสลิมที่ร่ำรวยและไม่เคร่งครัดศาสนา[7] เขาตั้งใจจะเป็นนักบินและย้ายไปเยอรมนีใน ค.ศ. 1996 เพื่อลงทะเบียนเรียนภาษาเยอรมันที่มหาวิทยาลัยไกรฟส์วัลท์[8] หนึ่งปีต่อมา เขาย้ายไปฮัมบวร์คและเริ่มเรียนวิศวกรรมการบินที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์ฮัมบวร์ค[9] ที่ฮัมบวร์ค ญะราห์กลายเป็นมุสลิมที่เคร่งครัดและเข้าร่วมกับกลุ่มหัวรุนแรงฮัมบวร์คเซลล์[9][10]

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1999 ญะราห์ออกจากฮัมบวร์คไปอัฟกานิสถาน ที่ซึ่งเขาใช้เวลาอยู่ที่นั่นสามเดือน[11] ระหว่างนั้น เขาได้พบกับอุซามะฮ์ บิน ลาดิน ผู้นำอัลกออิดะฮ์ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2000[12] ญะราห์เดินทางกลับฮัมบวร์คเมื่อปลายเดือนมกราคมและในเดือนกุมภาพันธ์ก็ได้รับหนังสือเดินทางเล่มใหม่ที่ไม่มีประทับตราบันทึกการเดินทางใด ๆ โดยแจ้งว่าหนังสือเดินทางเดิมหาย[13][11]

ในเดือนพฤษภาคม ญะราห์ได้รับวีซ่าจากสถานทูตสหรัฐในเบอร์ลิน[14] และเดินทางมาถึงฟลอริดาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2000 ที่นั่นเขาเริ่มเรียนการบินและฝึกการต่อสู้ด้วยมือเปล่า[15][16] ญะราห์ยังคงติดต่อกับแฟนสาวของเขาในเยอรมนีและครอบครัวในเลบานอนในช่วงหลายเดือนก่อนการโจมตี[17] การติดต่ออย่างใกล้ชิดนี้ทำให้มุฮัมมัด อะฏา ผู้นำทางยุทธวิธีของแผนการไม่พอใจ และผู้ร่วมวางแผนของอัลกออิดะฮ์อาจพิจารณาให้ซะกะรียา มูซาวี มาเป็นคนแทนเขาหากเขาถอนตัว[18]

มีสลัดอากาศ "ผู้ใช้กำลัง" สี่คนที่ได้รับการฝึกฝนให้บุกเข้าห้องนักบินและควบคุมลูกเรือ และมีสามคนร่วมเดินทางกับญะราห์บนเที่ยวบินที่ 93 คนแรกคืออะห์มัด อันนะอ์มีย์ เดินทางมาถึงไมแอมี รัฐฟลอริดา เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 2001 ด้วยวีซ่าท่องเที่ยวหกเดือนพร้อมกับฮัมซะฮ์ อัลฆอมิดีและมุฮันนัด อัชชะฮ์รี ผู้จี้ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 175 คนที่สองคืออะห์มัด อัลฮัซนาวี เดินทางมาถึงไมแอมีเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พร้อมกับวาอิล อัชชะฮ์รี ผู้จี้เที่ยวบินที่ 11 คนที่สามคือซะอีด อัลฆอมิดี เดินทางมาถึงออร์แลนโด รัฐฟลอริดา เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พร้อมกับฟายิซ บะนีฮัมมาด ผู้จี้เที่ยวบินที่ 175[15] หนังสือเดินทางของซีอาด ญะราห์และซะอีด อัลฆอมิดีถูกกู้คืนจากจุดที่เที่ยวบินที่ 93 ตก[19] ครอบครัวของญะราห์กล่าวว่าเขาเป็น "ผู้โดยสารผู้บริสุทธิ์" บนเที่ยวบิน[20]

อัลกออิดะฮ์ตั้งใจให้การโจมตีนี้ดำเนินการโดยสี่ทีม ทีมละห้าคน แต่มีผู้ก่อการร้ายเพียง 19 คนเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมได้ในวันนั้น คนที่ 20 ที่หายไปนั้นคาดว่าเป็นมุฮัมมัด อัลเกาะฮ์ฏอนี ซึ่งบินเข้ามาที่ออร์แลนโดจากดูไบเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 2001 โดยตั้งใจจะขึ้นเที่ยวบินที่ 93 ในฐานะสลัดอากาศคนที่ห้าในวันที่ 11 กันยายน[21]:28 เขาถูกเจ้าหน้าที่สอบสวนซึ่งสงสัยว่าเขาสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ด้วยเงินสดเพียง 2,800 ดอลลาร์ และสงสัยว่าเขาวางแผนจะเป็นผู้อพยพผิดกฎหมายเนื่องจากเขาใช้ตั๋วเที่ยวเดียว เขาถูกส่งตัวกลับไปดูไบ และต่อมาเดินทางกลับซาอุดีอาระเบีย[22]

เที่ยวบิน

[แก้]

เครื่องบินที่ถูกจี้เป็นโบอิง 757-222 ทะเบียน N591UA ถูกส่งมอบแก่ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ใน ค.ศ. 1996[23][24] เครื่องบินลำนี้สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 182 คน แต่ในเที่ยวบินวันที่ 11 กันยายน มีผู้โดยสารเพียง 37 คน รวมผู้ก่อการร้าย 4 คน และลูกเรืออีก 7 คน คิดเป็นอัตราส่วนบรรทุกที่ 20% ต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยในวันอังคารของเที่ยวบินที่ 93 ซึ่งปกติจะอยู่ที่ 52% อย่างมาก[25] ลูกเรือทั้ง 7 คน ได้แก่ กัปตันเจสัน ดาห์ล (อายุ 43 ปี), นักบินผู้ช่วย ลีรอย โฮเมอร์ จูเนียร์ (อายุ 36 ปี), พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ลอร์เรน เบย์, แซนดรา แบรดชอว์, วันดา กรีน, ซีซี ไลส์ และหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เดบอราห์ เวลช์[26]

การขึ้นเครื่อง

[แก้]
ธงชาติสหรัฐโบกสะบัดอยู่เหนือประตู 17 ของอาคารผู้โดยสาร A ที่ท่าอากาศยานนานาชาตินวร์กลิเบอร์ตี ประตูขาออกของยูไนเต็ด 93

เวลา 05:01 น. ในเช้าวันที่ 11 กันยายน ญะราห์ได้โทรศัพท์มือถือจากนวร์กถึงมัรวาน อัชชะฮ์ฮี นักบินผู้จี้ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 175 ในบอสตัน ซึ่งเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นการยืนยันว่าแผนการโจมตีกำลังดำเนิน[27] ขณะที่อัชชะฮ์ฮีเป็นที่ทราบกันว่าได้สื่อสารกับมุฮัมมัด อะฏา ผู้จี้อเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 11 ในเช้าวันเกิดเหตุด้วยเหตุผลเดียวกันกับที่เขาคุยกับญะราห์[21] แต่ก็ไม่ได้มีการสื่อสารที่คล้ายกันระหว่างญะราห์และฮานี ฮันญูร นักบินผู้จี้อเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 77 ซึ่งการจี้เที่ยวบินที่ 93 ควรจะทำไปพร้อมกัน[21] สลัดอากาศทั้งสี่คนเช็กอินสำหรับเที่ยวบินระหว่างเวลา 07:03 น. ถึง 07:39 น. ตามเวลาตะวันออก[28] เวลา 07:03 น. อัลฆอมิดีเช็กอินโดยไม่มีกระเป๋าเดินทาง ขณะที่อันนะอ์มีย์เช็กอินกระเป๋าเดินทางสองใบ[25] เวลา 07:24 น. อัลฮัซนาวีเช็กอินกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบ และเวลา 07:39 น. ญะราห์เช็กอินโดยไม่มีกระเป๋าเดินทาง อัลฮัซนาวีเป็นสลัดอากาศเพียงคนเดียวที่ถูกเลือกให้มีการตรวจสอบเพิ่มเติมโดยระบบคัดกรองผู้โดยสารด้วยคอมพิวเตอร์ (CAPPS)[28] กระเป๋าเดินทางของเขาได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อหาวัตถุระเบิด โดยไม่มีการตรวจสอบเพิ่มเติมใด ๆ ที่จุดตรวจความปลอดภัยผู้โดยสาร[29] ไม่มีเจ้าหน้าที่จุดตรวจความปลอดภัยคนใดรายงานว่าพบสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับสลัดอากาศ[25][30]

อัลฮัซนาวีและอัลฆอมิดีขึ้นเครื่องในเวลา 07:39 น. และนั่งในชั้นหนึ่งใน 6B และ 3D ตามลำดับ อันนะอ์มีย์ขึ้นเครื่องหนึ่งนาทีต่อมาและนั่งในที่นั่งชั้นหนึ่ง 3C ก่อนขึ้นเครื่อง ญะราห์ได้โทรศัพท์ห้าครั้งไปยังเลบานอน หนึ่งครั้งไปยังฝรั่งเศส และอีกหนึ่งครั้งไปยังแฟนสาวของเขาในเยอรมนี; เขาได้ส่งจดหมายอำลาเมื่อวันก่อนเพื่อบอกว่าเขารักเธอ[31][32] เขาขึ้นเครื่องในเวลา 07:48 น. และนั่งในที่นั่ง 1B[25][28] ผู้โดยสารหลายคนบนเที่ยวบินที่ 93 น่าจะมองเห็นอาคารแฝดของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนครนิวยอร์ก ซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปหลายไมล์ข้ามแม่น้ำฮัดสัน เครื่องมีกำหนดออกเดินทางเวลา 08:00 น. และออกจากประตู A17 ในเวลา 08:01 น.[33] เครื่องยังคงล่าช้าอยู่บนพื้นจนถึงเวลา 08:42 น. เนื่องจากสนามบินมีผู้โดยสารหนาแน่น[34]

ออกคำเตือนเรื่องการจี้บังคับ

[แก้]

อีกสามเที่ยวบินที่ถูกจี้ออกเดินทางภายใน 15 นาทีจากเวลาที่กำหนดไว้ เมื่อเที่ยวบินที่ 93 ขึ้นสู่ท้องฟ้า เที่ยวบินที่ 11 อยู่ในระยะเวลาไม่เกินสี่นาทีจะพุ่งชนอาคารเหนือ และเที่ยวบินที่ 175 กำลังถูกจี้ ผู้ก่อการร้ายบนเที่ยวบินที่ 77 ยังไม่ได้เริ่มลงมือ แต่ก็เหลือเวลาอีกเก้านาทีก่อนจะบุกเข้าห้องนักบิน[34] เวลา 09:02 น. ไม่ถึงนาทีก่อนที่เที่ยวบินที่ 175 จะชนอาคารใต้ เที่ยวบินที่ 93 ได้ไต่ระดับเพดานบินไปที่ 35,000 ฟุต (11,000 เมตร)[23]

ขณะที่การโจมตีกำลังเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศก็เริ่มส่งคำเตือนผ่านระบบสื่อสารและรายงานสภาวะอากาศยาน (ACARS) เอ็ด บอลลินเกอร์ เจ้าหน้าที่จัดการการบินของยูไนเต็ด เริ่มส่งข้อความเตือนไปยังห้องนักบินของเที่ยวบินต่าง ๆ ของยูไนเต็ดแอร์ไลน์ในเวลา 09:19 น. หรือ 16 นาทีหลังเที่ยวบินที่ 175 พุ่งชน บอลลินเกอร์ซึ่งรับผิดชอบเที่ยวบินหลายเที่ยว ได้ส่งข้อความไปยังเที่ยวบินที่ 93 ในเวลา 09:23 น. บอลลินเกอร์ได้รับข้อความ ACARS ตามปกติจากเที่ยวบินที่ 93 ในเวลา 09:21 น.[25] เวลา 09:22 น. หลังทราบเหตุการณ์ที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เมโลดี โฮเมอร์ ภรรยาของลีรอย โฮเมอร์ ได้ส่งข้อความ ACARS ไปยังสามีของเธอในห้องนักบินเพื่อถามว่าเขาปลอดภัยดีหรือไม่[35] เวลา 09:24 น. เที่ยวบินที่ 93 ได้รับข้อความเตือน ACARS จากบอลลินเกอร์ว่า "ระวังการบุกรุกห้องนักบิน – เครื่องบินสองลำชนเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์"[36] เวลา 09:26 น. กัปตันเจสัน ดาห์ล ซึ่งดูเหมือนจะสับสนกับข้อความ ได้ตอบกลับว่า "เอ็ด ยืนยันข้อความล่าสุดด้วย – เจสัน"[36] เวลา 09:27:25 น. ลูกเรือได้ตอบกลับการสื่อสารทางวิทยุตามปกติจากเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ นี่เป็นการสื่อสารครั้งสุดท้ายของลูกเรือก่อนที่เครื่องจะถูกจี้[37]

การจี้บังคับ

[แก้]

ห้องนักบินถูกบุกรุกเมื่อเวลา 09:28 น.[38] ซึ่งถึงตอนนั้น เที่ยวบินที่ 11 และ 175 ได้ชนกับเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ไปนานแล้ว โดยอาคารเหนือเพลิงไหม้มาเกือบ 42 นาที และอาคารใต้เพลิงไหม้มา 25 นาที เครื่องบินอีกลำเดียวที่ยังอยู่บนอากาศคือเที่ยวบินที่ 77 ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่ถึง 9 นาทีก็จะชนกับเพนตากอน สลัดอากาศบนเที่ยวบินเหล่านั้นรอไม่เกินครึ่งชั่วโมงเพื่อเข้าควบคุมเครื่อง ส่วนใหญ่น่าจะลงมือหลังสัญญาณรัดเข็มขัดนิรภัยถูกปิดลงและเริ่มให้บริการห้องโดยสารแล้ว[25] ไม่มีผู้ใดทราบว่าทำไมสลัดอากาศในเที่ยวบินที่ 93 ถึงรอ 46 นาทีเพื่อบุกเข้าห้องนักบิน หลักฐานคือพวกเขาโจมตีนักบินเมื่อเวลาอย่างน้อย 09:28:05 น. เนื่องจาก ณ จุดนั้นเครื่องบินได้ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว โดยลดระดับลงประมาณ 685 ฟุตในสามสิบวินาที[25]

การสื่อสารและบันทึกเสียงในห้องนักบิน

[แก้]

เวลา 09:28:17 น. เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศที่คลีฟแลนด์และนักบินของเครื่องบินที่อยู่ใกล้กับเที่ยวบิน 93 ได้ยิน "เสียงที่ฟังไม่รู้เรื่องอาจเป็นเสียงกรีดร้องหรือการต่อสู้"[28] เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศคลีฟแลนด์คนหนึ่งตอบกลับว่า "มีใครเรียกคลีฟแลนด์ไหม?" แต่ไม่ได้รับคำตอบ[25] สามสิบห้าวินาทีต่อมา เครื่องบินได้ส่งสัญญาณอีกครั้ง ในการโทรทั้งสองครั้ง มีชายคนหนึ่งกำลังตะโกนว่า "เมย์เดย์! เมย์เดย์! ออกไปจากที่นี่! เราทุกคนจะต้องตายที่นี่!"[28] เมื่อเมโลดี โฮเมอร์ และแซนดี ดาห์ล ม่ายของนักบิน ได้ฟังเทปดังกล่าว เมโลดีระบุว่าผู้ช่วยนักบินลีรอย โฮเมอร์ เป็นชายที่กำลังตะโกน[39][40][41][27]:153

เครื่องบินลดระดับลง 685 ฟุต (209 เมตร) ในสามสิบวินาทีก่อนที่สลัดอากาศจะทำให้เครื่องบินเสถียร ในเช้าวันที่ 11 กันยายน เที่ยวบิน 93 เป็นเครื่องบินที่ถูกจี้เพียงลำเดียวที่ออกอากาศสัญญาณขอความช่วยเหลือ เป็นไปได้ว่าเนื่องจากนักบินได้รับทราบถึงการโจมตีพลีชีพที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์และให้ระวังการบุกรุกห้องนักบิน เมื่อพวกเขาถูกโจมตี พวกเขาจึงกดปุ่มไมโครโฟนเพื่อให้การต่อสู้อาจถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศภาคพื้นได้ยิน จอห์น เวิร์ท เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศของศูนย์คลีฟแลนด์ เชื่อว่านี่ไม่ใช่แค่การขอความช่วยเหลือ แต่เป็นการเตือนภัย[27]:81–82

ไม่สามารถระบุเวลาที่แน่ชัดที่เที่ยวบิน 93 ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของสลัดอากาศได้ เจ้าหน้าที่เชื่อว่าในเวลาประมาณ 09:28 น. สลัดอากาศได้สังหารมาร์ก โรเทนเบิร์ก[42] บุกเข้าห้องนักบิน และย้ายผู้โดยสารและลูกเรือที่เหลือไปที่ท้ายเครื่องเพื่อลดโอกาสที่ลูกเรือหรือผู้โดยสารจะขัดขวางการโจมตี[25] ด้วยผู้โดยสารหลายคนในสายโทรศัพท์กล่าวว่าพวกเขาเห็นสลัดอากาศเพียงสามคน คณะกรรมาธิการ 9/11 เชื่อว่าญะราห์ยังคงนั่งอยู่จนกระทั่งห้องนักบินถูกยึดและผู้โดยสารถูกย้ายไปที่ด้านหลังของเครื่อง จากนั้นจึงเข้าควบคุมการบินโดยที่ผู้โดยสารมองไม่เห็น[28]

เวลา 09:31:57 น. เครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบินได้เริ่มบันทึก 30 นาทีสุดท้ายของเที่ยวบินที่ 93[43] ในขณะนั้นได้บันทึกเสียงของญะราห์ที่ประกาศว่า "สุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ: นี่คือกัปตัน [ตามต้นฉบับ] ได้โปรดนั่งลง อยู่ในที่นั่งต่อไป [ตามต้นฉบับ] เรามีระเบิดบนเครื่อง ดังนั้นได้โปรดนั่งลง"[44] คณะกรรมการเชื่อว่าญะราห์พยายามประกาศกับผู้โดยสาร แต่กดปุ่มผิด ทำให้ข้อความถูกส่งไปยังเจ้าหน้าที่ควบคุมที่คลีฟแลนด์ มุฮัมมัด อะฏาก็เคยทำผิดพลาดแบบเดียวกันบนเที่ยวบินที่ 11[45] เจ้าหน้าที่ควบคุมเข้าใจข้อความนั้น แต่ตอบกลับไปว่า "กำลังเรียกศูนย์คลีฟแลนด์ เสียงไม่ชัดเจน พูดซ้ำอีกครั้งช้า ๆ"[46]

จากบันทึกการบินชี้ให้เห็นว่ามีชายที่ได้รับบาดเจ็บคนหนึ่งซึ่งเชื่อว่าเป็นดาห์ล กำลังครวญครางอยู่ในห้องนักบิน[47] ชายคนนั้นร้องขอว่า "ไม่เอาแล้ว" หรือ "ไม่" ซ้ำ ๆ ขณะที่สลัดอากาศตะโกนให้เขานั่งลงและหยุดสัมผัสบางอย่าง[48] แซนดี้เชื่อว่าดาห์ลได้พยายามขัดขวางสลัดอากาศ รวมถึงอาจจะปิดระบบบินอัตโนมัติ และเปลี่ยนความถี่วิทยุของเครื่องบิน ทำให้ความพยายามของญะราห์ที่จะสื่อสารกับผู้โดยสารถูกส่งไปยังเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศแทน[49][50] ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งคาดว่าเป็นเด็บบี เวลช์ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชั้นหนึ่ง กำลังถูกจับเป็นตัวประกันอยู่เบื้องหลัง และได้ยินเสียงเธอต่อสู้กับสลัดอากาศและวิงวอนว่า "ได้โปรด ได้โปรด อย่าทำร้ายฉัน"[51] ญะราห์สั่งให้ระบบบินอัตโนมัติหันเครื่องและมุ่งหน้าไปทางตะวันออกในเวลา 09:35:09 น.[52] เครื่องไต่ระดับขึ้นไปที่ 40,700 ฟุต (12,400 เมตร) และเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศได้รีบย้ายเครื่องบินหลายลำออกจากเส้นทางการบินของเที่ยวบินที่ 93[46] ได้ยินเสียงผู้หญิงคนดังกล่าวในห้องนักบินพูดว่า "ฉันไม่อยากตาย ฉันไม่อยากตาย" ก่อนจะถูกสังหารหรือทำให้เงียบเสียงลง ตามมาด้วยเสียงสลัดอากาศคนหนึ่งพูดเป็นภาษาอาหรับว่า "ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉันทำเสร็จแล้ว"[51]

เวลา 09:39 น. สองนาทีหลังเที่ยวบินที่ 77 ชนเพนตากอน เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศได้ยินเสียงญะราห์พูดว่า "อะ นี่คือกัปตัน: [ตามต้นฉบับ] ผมอยากให้ทุกคนอยู่ในที่นั่ง เรามีระเบิดอยู่บนเครื่อง และเรากำลังจะกลับไปสนามบิน และเรามีข้อเรียกร้อง ดังนั้นได้โปรดเงียบไว้"[43][53] เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศไม่ได้ยินเสียงจากเที่ยวบินนี้อีกเลย ตามรายงานของคณะกรรมการ สลัดอากาศอาจรับรู้ถึงการโจมตีที่ประสบความสำเร็จที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์จากข้อความที่ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ส่งไปยังห้องนักบินของเที่ยวบินข้ามทวีป รวมถึงเที่ยวบินที่ 93 เพื่อเตือนเรื่องการบุกรุกห้องนักบินและแจ้งถึงการโจมตีที่นิวยอร์ก[28]

ในห้องนักบิน ชายที่ได้รับบาดเจ็บยังคงครวญครางและดูเหมือนจะพยายามปิดระบบบินอัตโนมัติซ้ำ ๆ[54] เวลา 09:40 น. มีเสียงแตรรถดังขึ้นซึ่งบ่งชี้ว่าสลัดอากาศกำลังมีปัญหากับระบบบินอัตโนมัติและกำลังเล่นกับลูกบิดสีเขียว "ลูกบิดสีเขียวนี่เหรอ" สลัดอากาศคนหนึ่งถามอีกคนเป็นภาษาอาหรับ อีกคนตอบว่า "ใช่ อันนั้นแหละ"[54] เวลา 09:41:56 น. ชายที่บาดเจ็บพูดด้วยเสียงครวญครางว่า "โอ้ ไม่นะ!"[27]:96 ขณะที่ชายคนนั้นยังคงครวญคราง ได้ยินเสียงสลัดอากาศพูดว่า "แจ้งพวกเขาและบอกให้เขาคุยกับนักบิน พานักบินกลับมา" เนื่องจากชายที่ครวญครางถูกคิดว่าเป็นดาห์ล สลัดอากาศอาจกำลังอ้างถึงโฮเมอร์ ซึ่งแสดงว่าเขาก็อาจจะยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน[39][40][41][27]:96 พนักงานของยูไนเต็ดในซานฟรานซิสโกส่งข้อความ ACARS ไปยังเที่ยวบินในเวลา 09:46 น. ว่า "ได้ยินรายงานเหตุการณ์ ได้โปรดยืนยันว่าทุกอย่างปกติ"[25]

การโทรศัพท์ของผู้โดยสารและลูกเรือ

[แก้]

ผู้โดยสารและลูกเรือเริ่มโทรศัพท์หาเจ้าหน้าที่และสมาชิกในครอบครัวตั้งแต่เวลา 09:30 น. โดยใช้โทรศัพท์อากาศของ GTE และโทรศัพท์มือถือ ผู้โดยสารและลูกเรือได้โทรศัพท์จากเที่ยวบินรวมทั้งหมด 35 สายและโทรศัพท์มือถือสองสาย[55] ผู้โดยสารสิบคนและลูกเรือสองคนสามารถติดต่อได้สำเร็จ และให้ข้อมูลแก่ครอบครัว เพื่อน และบุคคลอื่น ๆ บนภาคพื้น[28]

ทอม เบอร์เน็ตต์ โทรศัพท์หาภรรยาของเขา ดีนา หลายครั้ง ตั้งแต่เวลา 09:30:32 น. จากแถวที่ 24 และ 25 แม้เขาจะมีที่นั่งในแถวที่ 4[56][57] เบอร์เน็ตต์อธิบายว่าเครื่องบินถูกจี้โดยชายที่อ้างว่ามีระเบิด เขายังกล่าวอีกว่ามีผู้โดยสารคนหนึ่งถูกแทงด้วยมีดและเขาเชื่อว่าการขู่เรื่องระเบิดเป็นเพียงอุบายเพื่อควบคุมผู้โดยสาร[57] เบอร์เน็ตต์บอกว่าผู้โดยสารที่ถูกแทงนั้นเสียชีวิตแล้ว เพราะไม่พบสัญญาณชีพจร[58] ภารกิจที่แท้จริงของกลุ่มก่อการร้ายเปิดเผยออกมาเพียงหกนาทีหลังเริ่มการจี้บังคับ เมื่อภรรยาของเบอร์เน็ตต์แจ้งให้เขาทราบถึงการโจมตีอาคารแฝดของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ จากนั้น เบอร์เน็ตต์ก็สามารถปะติดปะต่อเจตนาที่แท้จริงของสลัดอากาศได้อย่างรวดเร็ว โดยเขาตอบกลับไปว่าได้ยินสลัดอากาศพูดคุยกันเรื่อง "จะทำให้เครื่องบินลำนี้ตก..." ก่อนจะสรุปอย่างตกตะลึงว่า "โอ้ พระเจ้า มันคือภารกิจฆ่าตัวตาย" เขาเริ่มขอข้อมูลเกี่ยวกับการโจมตีจากเธอ โดยขัดจังหวะเธอเป็นระยะเพื่อบอกผู้โดยสารคนอื่นที่อยู่ใกล้ ๆ ว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่ จากนั้นเขาก็วางสาย[59] ในการโทรครั้งถัดไป ดีนาแจ้งเบอร์เน็ตต์เรื่องการโจมตีเพนตากอน เบอร์เน็ตต์ส่งข่าวนี้ให้ผู้โดยสารคนอื่น ๆ และบอกดีนาว่าเขาและผู้โดยสารคนอื่น ๆ กำลังร่วมกันวางแผนเข้ายึดการควบคุมเครื่องบิน[60] เขาจบการโทรครั้งสุดท้ายด้วยการพูดว่า "ไม่ต้องห่วง เราจะทำอะไรบางอย่าง"[59][60] มีพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่ไม่ทราบชื่อพยายามติดต่อศูนย์ซ่อมบำรุงยูไนเต็ดแอร์ไลน์ในเวลา 09:32:29 น. การโทรนั้นกินเวลา 95 วินาที แต่ไม่ได้รับการติดต่อเนื่องจากอาจอยู่ในคิว[25] พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน แซนดรา แบรดชอว์ โทรหาศูนย์ซ่อมบำรุงในเวลา 09:35:40 น. จากแถวที่ 33[56] เธอรายงานว่าเที่ยวบินถูกจี้โดยชายมีมีดซึ่งอยู่ในห้องโดยสารและห้องนักบินและได้แทงพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินอีกคนหนึ่ง อาจเป็นเด็บบี เวลช์[57]

เชื่อกันว่าผู้โดยสารที่ถูกสังหารซึ่งเบอร์เน็ตต์กล่าวถึงคือมาร์ก โรเทนเบิร์ก[58] โรเทนเบิร์กเป็นผู้โดยสารชั้นหนึ่งเพียงคนเดียวที่ไม่ได้โทรศัพท์หลังการจี้บังคับ เขานั่งอยู่แถวที่ 5B และอัลฮัซนาวีนั่งอยู่ข้างหลังเขาพอดีในแถวที่ 6B บนเที่ยวบินที่ 11 สัฏฏาม อัสสุกอมีย์ ที่นั่ง 10B โจมตีผู้โดยสาร แดเนียล ลูวิน ซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าเขาพอดีในที่นั่ง 9B มีข้อสันนิษฐานหนึ่งว่าอัลฮัซนาวีโจมตีโรเทนเบิร์กโดยไม่มีการยั่วยุ เพื่อข่มขู่ผู้โดยสารและลูกเรือคนอื่น ๆ ให้ทำตามคำสั่ง หรืออีกทางหนึ่ง โรเทนเบิร์กอาจพยายามหยุดการจี้บังคับและเผชิญหน้ากับสลัดอากาศ[27]:153–154

มาร์ก บิงแฮม โทรหาแม่ของเขาในเวลา 09:37:03 น. จากแถวที่ 25 เขาแจ้งว่าเครื่องถูกจี้โดยชายสามคนที่อ้างว่ามีระเบิด[61] เจเรมี กลิก โทรหาภรรยาของเขาในเวลา 09:37:41 น. จากแถวที่ 27 และบอกเธอว่าเที่ยวบินถูกจี้โดยชายผิวคล้ำสามคนที่มีลักษณะคล้าย "ชาวอิหร่าน" สวมผ้าโพกหัวสีแดง และถือมีด[28][57] กลิกยังคงถือสายอยู่จนกระทั่งสิ้นสุดเที่ยวบิน[56] เขารายงานว่าผู้โดยสารลงมติว่าจะ "จู่โจม" สลัดอากาศหรือไม่[25] อเลสซานโดร "แซนดี" โรเจอส์ ผู้ประสานงานการควบคุมจราจรทางอากาศของยูไนเต็ดสำหรับเที่ยวบินชายฝั่งตะวันตก แจ้งศูนย์บัญชาการเฮิร์นดันขององค์การบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) ในเฮิร์นดอน รัฐเวอร์จิเนีย ว่าเที่ยวบินที่ 93 ไม่ตอบสนองและออกนอกเส้นทาง หนึ่งนาทีต่อมา เครื่องรับส่งเรดาร์ถูกปิด แต่เจ้าหน้าที่ควบคุมที่คลีฟแลนด์ยังคงติดตามเที่ยวบินบนเรดาร์หลัก[46] ศูนย์เฮิร์นดอนส่งต่อข้อมูลเกี่ยวกับเที่ยวบินที่ 93 ไปยังสำนักงานใหญ่ FAA โจเซฟ เดอลูกา โทรหาพ่อของเขาในเวลา 09:43:03 น. จากแถวที่ 26 เพื่อแจ้งให้ทราบว่าเที่ยวบินถูกจี้

"แจ็ก รับสายหน่อยที่รัก ได้ยินไหม? โอเค ฉันแค่อยากจะบอกว่ามีปัญหาเล็กน้อยกับเครื่องบิน ฉันไม่เป็นอะไรนะ ไม่เป็นอะไรเลย ฉันแค่อยากจะบอกว่าฉันรักคุณมากแค่ไหน"

—ข้อความที่ฝากไว้โดยผู้โดยสารที่กำลังตั้งครรภ์ ลอเรน แกรนโคลัส เวลา 09:39:21 น.[62]

ผู้โดยสาร ลอเรน แกรนโคลัส โทรหาสามีของเธอสองครั้ง ครั้งหนึ่งก่อนเครื่องออกและอีกครั้งระหว่างการจี้บังคับในเวลา 09:39:21 น. เขาพลาดสายของเธอทั้งสองครั้ง แกรนโคลัสโทรอีก 7 ครั้งใน 4 นาทีถัดมา[27]:90 จากนั้นก็ให้โทรศัพท์ของเธอแก่แมเรียน บริตตัน[27]:240

ทอดด์ บีเมอร์ พยายามโทรหาภรรยาของเขาจากแถวที่ 32 ในเวลา 09:43:48 น. แต่สายถูกส่งไปยังเจ้าหน้าที่ GTE ลิซา ดี. เจฟเฟอร์สัน[25] บีเมอร์บอกเจ้าหน้าที่ว่าเที่ยวบินถูกจี้และมีคนสองคนที่เขาคิดว่าเป็นนักบินนอนอยู่บนพื้น เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ เขาบอกว่าสลัดอากาศคนหนึ่งมีเข็มขัดสีแดงพร้อมกับสิ่งที่ดูเหมือนระเบิดรัดอยู่ที่เอว[63] เมื่อสลัดอากาศหักเครื่องไปทางใต้ บีเมอร์ก็ตกใจชั่วครู่หนึ่งและอุทานว่า "เรากำลังจะตก! เรากำลังจะตก!"[64][65][66] ลินดา กรอนลันด์ โทรหาน้องสาวของเธอ เอลซา สตรอง ในเวลา 09:46:05 น. และฝากข้อความไว้ว่ามี "ชายพร้อมระเบิด"[67]

พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ซีซี ไลส์ โทรหาสามีของเธอในเวลา 09:47:57 น. และฝากข้อความไว้ว่าเครื่องถูกจี้[56] แมเรียน บริตตัน โทรหาเพื่อนของเธอ เฟรด ฟีอูมาโน ในเวลา 09:49:12 น. ฟีอูมาโนเล่าว่า "เธอบอกว่า 'เรากำลังจะ... พวกเขาจะฆ่าเรา คุณรู้ไหม เรากำลังจะตาย' และผมบอกเธอว่า 'ไม่ต้องห่วง พวกเขาจี้เครื่องบิน พวกเขาจะพาเธอไปเที่ยว เธอไปประเทศของพวกเขา แล้วเธอก็กลับมา เธอพักร้อนอยู่ที่นั่น' คุณไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี – คุณจะพูดอะไรได้ล่ะ? ผมเอาแต่พูดคำเดิม ๆ ว่า 'ใจเย็น ๆ' และเธอก็ร้องไห้... กรีดร้องและตะโกน"[33]

พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน แซนดรา แบรดชอว์ โทรหาสามีของเธอในเวลา 09:50:04 น. และบอกเขาว่าเธอกำลังต้มน้ำเพื่อจะนำไปสาดใส่สลัดอากาศ[56] ออเนอร์ เอลิซาเบธ เวนิโอ โทรหาแม่เลี้ยงของเธอใยเวลา 09:53:43 น. และจบการสนทนาในอีกสี่นาทีครึ่งต่อมาด้วยการพูดว่า "ฉันต้องไปแล้ว พวกเขากำลังบุกเข้าไปในห้องนักบิน ฉันรักคุณนะ"[68] ญะราห์กดความถี่รอบทิศ VHF (VOR) สำหรับเครื่องช่วยนำทาง VOR ที่ท่าอากาศยานแห่งชาติเรแกน ในเวลา 09:55:11 น. เพื่อนำเครื่องมุ่งหน้าสู่วอชิงตัน ดี.ซี.[35]

แบรดชอว์ ซึ่งกำลังคุยโทรศัพท์กับสามีของเธอกล่าวว่า "ทุกคนกำลังวิ่งขึ้นไปที่ชั้นหนึ่ง ฉันต้องไปแล้วนะ บาย"[69] บีเมอร์บอกกับเจ้าหน้าที่ GTE ลิซา เจฟเฟอร์สัน ว่าเขาและผู้โดยสารบางส่วนกำลังรวมตัวกันและวางแผนจะ "จู่โจม" สลัดอากาศที่มีระเบิด[65] บีเมอร์สวดบทภาวนาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและสดุดี 23 ร่วมกับเจฟเฟอร์สัน ซึ่งกระตุ้นให้คนอื่น ๆ เข้าร่วมด้วย บีเมอร์ร้องขอเจฟเฟอร์สันว่า "ถ้าผมไปไม่ถึง โปรดโทรหาครอบครัวของผมและบอกพวกเขาว่าผมรักพวกเขามากแค่ไหน" หลังจากนั้น เจฟเฟอร์สันได้ยินเสียงพูดคุยที่อู้อี้ และบีเมอร์ตอบกลับว่า "พร้อมไหม? โอเค ลุยเลย" นี่เป็นคำพูดสุดท้ายของบีเมอร์ที่พูดกับเจฟเฟอร์สัน[64][65][66]

ระหว่างการจี้บังคับ เที่ยวบินที่ 93 บินผ่านในระยะห่างเพียง 1,000 ฟุต (300 เมตร) (แทนที่จะเป็นระยะปกติที่ 2,000 ฟุต (610 เมตร)) ของเครื่องบินนาซา เคซี-135 ที่กำลังกลับจากการบินในภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำเหนือทะเลสาบออนแทรีโอ โดมินิก เดล รอสโซ นักบินของนาซ่าเล่าว่าความเงียบทางวิทยุในเช้าวันนั้นเป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก[70]

การก่อการกำเริบของผู้โดยสาร

[แก้]
"ทุกคนพร้อมไหม โอเค ลุยเลย!"

—คำพูดสุดท้ายของทอดด์ บีเมอร์ที่ได้ยินโดยเจ้าหน้าที่ลิซา เจฟเฟอร์สัน[71]

การก่อการกำเริบของผู้โดยสารบนเที่ยวบินที่ 93 เริ่มขึ้นในเวลา 09:57 น. หลังจากที่ผู้โดยสารลงมติว่าจะดำเนินการหรือไม่[28] เครื่องบินได้ออกจากเส้นทางสู่วอชิงตัน ดี.ซี. หลังผู้โดยสารก่อการกำเริบและสลัดอากาศเริ่มบังคับเครื่องบินอย่างรุนแรงเพื่อตอบโต้[28]

สลัดอากาศในห้องนักบินตระหนักถึงการก่อการกำเริบในเวลา 09:57:55 น. โดยญะราห์อุทานว่า "มีอะไรบางอย่างใช่ไหม? การต่อสู้?"[43]

เอ็ดเวิร์ด เฟลต์ โทรศัพท์จากห้องน้ำด้านหลังเครื่องบินไปยัง 9-1-1 จากโทรศัพท์มือถือของเขาเพื่อขอข้อมูลในเวลา 09:58 น.[56] สายของเขาได้รับการตอบรับจากเจ้าหน้าที่รับสาย จอห์น ชอว์ และเฟลต์สามารถบอกเขาเกี่ยวกับการจี้บังคับได้ก่อนที่สายจะถูกตัด[72] รายงานข่าวหลายฉบับ (อ้างอิงจากคำบอกเล่าของหัวหน้างาน 9-1-1 ที่ได้ยินการสนทนา) ยืนยันว่าเอ็ดเวิร์ด เฟลต์รายงานว่าได้ยินเสียงระเบิดและเห็นควันจากตำแหน่งที่ไม่ระบุบนเครื่อง[73][74] แต่รายงานเหล่านี้ไม่ได้รับการยืนยันโดยชอว์หรือภรรยาของเฟลต์ แซนดรา ซึ่งได้ฟังบันทึกเสียงในภายหลัง[75]

ซีซี ไลส์ โทรหาสามีของเธออีกครั้งจากโทรศัพท์มือถือและบอกเขาว่าผู้โดยสารกำลังบุกเข้าไปในห้องนักบิน[25] ญะราห์เริ่มบังคับเครื่องให้เอียงซ้ายและขวาเพื่อทำให้ผู้โดยสารเสียหลัก เขาบอกสลัดอากาศอีกคนในห้องนักบินในเวลา 09:58:57 น. ว่า "พวกมันอยากจะเข้ามาที่นี่แล้ว กันไว้ กันจากข้างใน กันจากข้างใน กันไว้"[43] ญะราห์เปลี่ยนกลยุทธ์ในเวลา 09:59:52 น. และบังคับให้หัวเครื่องเชิดขึ้นและลงเพื่อขัดขวางการจู่โจม[28]

เครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบินจับเสียงของการกระแทก เสียงกรีดร้อง และเสียงแก้วและจานแตก[76] สามครั้งในช่วงเวลาห้าวินาที มีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดหรือความตกใจจากสลัดอากาศที่อยู่นอกห้องนักบิน แสดงให้เห็นว่าสลักอากาศที่ยืนเฝ้าอยู่นอกห้องนักบินกำลังถูกผู้โดยสารโจมตี[27]:103 ญะราห์บังคับเครื่องให้กลับมานิ่งในเวลา 10:00:03 น.[28][77] ห้าวินาทีต่อมา เขาถามว่า "แค่นี้ใช่ไหม? เราควรจัดการให้จบเลยไหม?" สลัดอากาษอีกคนตอบว่า "ไม่ ยังไม่ เมื่อพวกมันเข้ามาครบหมด เราค่อยจัดการให้จบ"[43] ญะราห์บังคับให้เครื่องเชิดขึ้นและลงอีกครั้ง

ผู้โดยสารคนหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังร้องไห้ "เข้าไปในห้องนักบิน! ถ้าเราไม่ทำ เราจะตาย!" ในเวลา 10:00:25 น. สิบหกวินาทีต่อมา ผู้โดยสารอีกคนตะโกนว่า "กลิ้งมัน!" ซึ่งอาจหมายถึงการใช้รถเข็นอาหาร[28] เครื่องบันทึกเสียงจับเสียงของผู้โดยสารที่ใช้รถเข็นอาหารเป็นเครื่องกระแทกประตูกระจกห้องนักบิน[27]:104

ญะราห์หยุดการบังคับเครื่องบินอย่างรุนแรงในเวลา 10:01:00 น. และกล่าวตักบีร (อัลลอฮุอักบัร) สองครั้ง จากนั้นเขาถามสลัดอากาศอีกคนว่า "แค่นี้ใช่ไหม? หมายถึง เราควรบังคับมันลงเลยไหม?" สลัดอากาศอีกคนตอบว่า "ใช่ บังคับมันลงเลย และดึงมันลงมา"[28] ผู้โดยสารยังคงโจมตีต่อไปและในเวลา 10:02:17 น. ผู้โดยสารชายคนหนึ่งพูดว่า "เชิดมันขึ้น!" หนึ่งวินาทีต่อมา สลัดอากาศพูดว่า "ดึงมันลงมา! ดึงมันลงมา!" ในเวลา 10:02:33 น. ญะราห์วิงวอนอย่างสิ้นหวังในภาษาอาหรับ โดยตะโกนซ้ำ ๆ ว่า "เอามาให้ฉัน!" ซึ่งอาจหมายถึงคันบังคับเครื่องบิน[27]:104–105

จากนั้นเครื่องบินก็ตกลงทุ่งโล่งในสโตนีย์ครีก รัฐเพนซิลเวเนีย ประมาณ 20 นาทีจากวอชิงตัน ดี.ซี.[28] บันทึกเสียงสุดท้ายในเครื่องบันทึกเสียงทำในเวลา 10:03:09 น.[43] ข้อมูลการบินชิ้นสุดท้ายถูกบันทึกในเวลา 10:03:10 น.[78]

มีความขัดแย้งระหว่างสมาชิกในครอบครัวของผู้โดยสารบางคนและเจ้าหน้าที่สืบสวนว่าผู้โดยสารสามารถบุกเข้าไปในห้องนักบินหรือแม้กระทั่งพังประตูห้องนักบินได้หรือไม่ รายงานคณะกรรมาธิการ 9/11 สรุปว่า "สลัดอากาศยังคงควบคุมอยู่ แต่ต้องตัดสินว่าผู้โดยสารอยู่ห่างจากพวกเขาเพียงไม่กี่วินาทีก็จะสามารถเอาชนะพวกเขาได้"[28] สมาชิกในครอบครัวของผู้โดยสารหลายคน หลังได้ฟังบันทึกเสียงแล้ว เชื่อว่าผู้โดยสารบุกเข้าไปในห้องนักบิน[79] และสังหารสลัดอากาศอย่างน้อยหนึ่งคนที่เฝ้าประตูห้องนักบิน; บางคนตีความเสียงว่าเป็นการบ่งบอกว่าผู้โดยสารและสลัดอากาศต่อสู้กันเพื่อควบคุมคันบังคับ[80][81]

รองประธานาธิบดีดิก ชีนีย์ ในศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินประธานาธิบดีที่อยู่ใต้ทำเนียบขาว อนุมัติให้ยิงเที่ยวบินที่ 93 ตก แต่เมื่อทราบข่าวการตก ก็มีรายงานว่าเขาพูดว่า "ผมคิดว่าการกระทำที่กล้าหาญเพิ่งเกิดขึ้นบนเครื่องบินลำนั้น"[82]

การตก

[แก้]
จุดที่เที่ยวบินที่ 93 ตก

เวลา 10:03:11 น. ใกล้อินเดียนเลกและแชงก์สวิลล์ รัฐเพนซิลเวเนีย เครื่องบินได้พุ่งชนทุ่งโล่งใกล้กับเหมืองผิวดินถ่านหินร้างที่รู้จักในชื่อ Diamond T. Mine ของ PBS Coals ในตำบลสโตนีครีกในเทศมณฑลซัมเมอร์เซ็ต[83] โบอิง 757 ยังมีเชื้อเพลิงเหลืออยู่ประมาณ 5,500 ถึง 7,000 แกลลอนสหรัฐ (21,000 ถึง 26,000 ลิตร; 4,600 ถึง 5,800 แกลลอนอิมพีเรียล) ซึ่งได้ระเบิดและปล่อยลูกไฟที่ผลาญดงไม้เฮมล็อกที่อยู่ใกล้เคียง[84] ชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายซึ่งคิดเป็นหนึ่งในสามของเครื่อง รวมถึงห้องนักบิน ได้พุ่งเข้าไปในป่า ทำลายต้นไม้ในพื้นที่ 163 เอเคอร์ (66 เฮกตาร์) ของครอบครัวแลมเบิร์ต[85] และสร้างความเสียหายแก่บ้านของแบร์รี ฮูเวอร์ ที่อยู่ใกล้เคียง[86] ส่วนที่เหลือของเครื่องฝังตัวเองลงไปในดินที่ถูกนำมาถมเหมืองร้างเพื่อการฟื้นสภาพที่ดินในทศวรรษ 1990[86] ลำตัวและปีกได้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ขณะที่มันฝังตัวลงไปในพื้นดิน[86] เครื่องยนต์ตัวหนึ่งเครื่องไปตกอยู่ในบ่อน้ำที่อยู่ห่างจากจุดที่เครื่องตกหลักไป 2,000 ฟุต (670 หลา; 610 เมตร)

คณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติรายงานว่าเที่ยวบินตกกระแทกที่ความเร็ว 563 ไมล์ต่อชั่วโมง (489 นอต; 252 เมตรต่อวินาที; 906 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ในลักษณะคว่ำหน้าลง 40 องศา[23] การตกทำให้เกิดหลุมกว้างแปด ถึง สิบ ฟุต (2.4 ถึง 3.0 เมตร) ลึกและกว้างสามสิบ ถึง ห้าสิบ ฟุต (9.1 ถึง 15.2 เมตร)[87] เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพตัดสินว่าทุกคนบนเครื่องที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะที่เครื่องตกเสียชีวิตทันทีจากการบาดเจ็บจากการกระแทก[88][89] รายงานของสื่อหลายแห่งและคำบอกเล่าของพยานระบุว่าเวลาที่เครื่องตกคือ 10:06 หรือ 10:10 น.[90][91][92] การวิเคราะห์เบื้องต้นของข้อมูลแผ่นดินไหวในพื้นที่สรุปว่าเครื่องตกในเวลา 10:06 น.[93] แต่รายงานคณะกรรมาธิการ 9/11 ระบุว่าการวิเคราะห์นี้ไม่น่าเชื่อถือและถูกถอนคืน[35] สื่ออื่น ๆ และคณะกรรมาธิการ 9/11 รายงานเวลาที่เครื่องตกคือ 10:03 น.[94][95] โดยอิงจากเวลาที่เครื่องบันทึกการบินหยุดทำงาน การวิเคราะห์ข้อมูลเรดาร์ ข้อมูลดาวเทียมอินฟราเรด และการส่งสัญญาณควบคุมจราจรทางอากาศ[28]

ชิ้นส่วนลำตัวเครื่อง

พยานเพียงคนเดียวที่ทราบว่าเห็นเหตุการณ์เครื่องบินตกจริงและเป็นคนสุดท้ายที่เห็นยูไนเต็ด 93 อยู่บนอากาศคือเนวิน แลมเบิร์ต ชาวสโตนีครีก ซึ่งรายงานว่าเขาเห็นเครื่องบินคว่ำลงขณะที่มันพุ่งชนพื้นในมุม 45 องศา[96] เคลลี เลเวอร์ไนต์ ผู้อาศัยในพื้นที่กำลังดูข่าวการโจมตีเมื่อเธอได้ยินเสียงเครื่องบิน "ฉันได้ยินเสียงเครื่องบินบินผ่านไปและฉันก็เดินออกไปที่ประตูหน้าบ้านและเห็นเครื่องบินกำลังดิ่งลง มันกำลังมุ่งหน้าไปทางโรงเรียน ซึ่งทำให้ฉันตกใจมาก เพราะลูกทั้งสามคนของฉันอยู่ที่นั่น จากนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดและรู้สึกถึงแรงระเบิดและเห็นไฟและควัน"[97][98] พยานอีกคนหนึ่ง เอริก ปีเตอร์สัน เงยหน้าขึ้นเมื่อเขาได้ยินเสียงเครื่องบิน "มันบินต่ำมาก ผมคิดว่าคุณน่าจะนับหมุดย้ำได้ คุณสามารถเห็นหลังคาของเครื่องบินได้มากกว่าท้องเครื่อง มันบินตะแคงข้างอยู่ มีการระเบิดครั้งใหญ่และคุณก็สามารถเห็นเปลวไฟ มันเป็นการระเบิดครั้งใหญ่มาก เปลวไฟแล้วก็ควันแล้วก็เมฆเห็ดขนาดมโหฬาร"[99]

แวล แมกแคลตชีย์ กำลังดูภาพเหตุการณ์การโจมตีเมื่อเธอได้ยินเสียงเครื่องบิน เธอเห็นมันเพียงครู่เดียว จากนั้นก็ได้ยินเสียงเครื่องบินตก การตกครั้งนี้ทำให้ไฟฟ้าและโทรศัพท์ดับ แมกแคลตชีย์หยิบกล้องของเธอและถ่ายรูปเดียวที่ทราบว่าเป็นรูปเมฆควันจากการระเบิด[100][101] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2011 ไม่นานก่อนวันครบรอบ 10 ปีของวินาศกรรม วิดีโอของเมฆควันที่กำลังลอยขึ้นที่ถ่ายโดยเดฟ เบอร์เคไบล์ (ซึ่งเสียชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ปีก่อนหน้า) จากสนามหญ้าของเขาบนถนนบลูเบิร์ดเลน ห่างจากจุดเครื่องตก 5.8 ไมล์ (9.3 กิโลเมตร) ได้ถูกเผยแพร่บนยูทูบ[102][103]

ชิ้นส่วนของเที่ยวบินที่ 93 ณ จุดตก มองเห็นลวดลาย "Battleship Gray" ของยูไนเต็ดแอร์ไลน์ที่ใช้บนเครื่องบิน

ผู้ที่มาถึงที่เกิดเหตุเป็นกลุ่มแรกมาถึงหลังเวลา 10:06 น.[71] เจ้าหน้าที่ควบคุมศูนย์คลีฟแลนด์ ซึ่งไม่รู้ว่าเที่ยวบินตกไปแล้ว ได้แจ้งภาคป้องกันทางอากาศตะวันออกเฉียงเหนือ (NEADS) ในเวลา 10:07 น. ว่าเที่ยวบิน 93 มีระเบิดอยู่บนเครื่องและแจ้งตำแหน่งสุดท้ายที่ทราบ การโทรนี้เป็นการแจ้งให้กองทัพทราบเกี่ยวกับเที่ยวบินเป็นครั้งแรก บัลลินเจอร์ส่งข้อความ ACARS สุดท้ายไปยังเที่ยวบินที่ 93 ในเวลา 10:10 น. ว่า "อย่าเปลี่ยนเส้นทางไปดีซี ไม่ใช่ทางเลือก" เขาซ้ำข้อความนี้หนึ่งนาทีต่อมา ศูนย์บัญชาการเฮิร์นดอนแจ้งสำนักงานใหญ่ FAA ว่าเที่ยวบิน 93 ตกแล้วในเวลา 10:13 น.[25] NEADS โทรไปที่ศูนย์ควบคุมจราจรทางอากาศเส้นทางวอชิงตันเพื่อขอข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับเที่ยวบิน 93 และได้รับแจ้งว่าเที่ยวบินตกแล้ว[104]

เวลา 10:37 น. แอรอน บราวน์ ผู้สื่อข่าว CNN ซึ่งกำลังรายงานข่าวการถล่มของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ได้ประกาศว่า "เราได้รับรายงานและเราได้รับรายงานจำนวนมาก และเราต้องการระมัดระวังที่จะบอกคุณเมื่อเรายืนยันแล้วและเมื่อยังไม่ยืนยัน แต่เรามีรายงานว่าเครื่อง 747 ตกในเพนซิลเวเนีย และยังไม่ได้รับการยืนยันในขณะนี้"[105] เขาตามด้วยการรายงานในเวลา 10:49 น. ว่า "ตอนนี้เรามีรายงานว่าเครื่องบินลำใหญ่ตกเมื่อเช้านี้ ทางตอนเหนือของสนามบินเทศมณฑลซัมเมอร์เซ็ต ซึ่งอยู่ในเพนซิลเวเนียตะวันตก ไม่ไกลจากพิตต์สเบิร์กมากนัก ประมาณ 80 ไมล์ (130 กิโลเมตร) หรือประมาณนั้น เป็นเครื่องบินเจ็ตโบอิง 767 ไม่ทราบว่าเป็นของสายการบินใด เครื่องบินของใคร และเราไม่มีรายละเอียดนอกเหนือจากที่ผมเพิ่งให้ไป" ในความสับสน เขายังรายงานผิดพลาดว่ามีเครื่องบินที่ถูกจี้ลำที่สองกำลังมุ่งหน้าไปเพนตากอนหลังจากเครื่องแรกตกแล้ว[106]

ผลพวง

[แก้]
การกู้คืน DNA ที่จุดเกิดเหตุ
เครื่องยนต์ของยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93 ถูกค้นพบหลังการตก
เครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน (กล่องดำ) พบในที่เกิดเหตุในเทศมณฑลซัมเมอร์เซ็ต รัฐเพนซิลเวเนีย จุดที่เที่ยวบินที่ 93 ตก
ผ้าโพกหัวของสลัดอากาศคนหนึ่ง

เมื่อเครื่องบินพุ่งชน มันได้แตกกระจายเป็นชิ้น ๆ อย่างรุนแรง ซากเครื่องบินส่วนใหญ่ถูกพบใกล้หลุมที่เครื่องตก[107] เจ้าหน้าที่สอบสวนพบเศษซากเล็กน้อยมาก เช่น กระดาษและไนลอนกระจายไปไกลถึง 8 ไมล์ (13 กิโลเมตร) จากจุดที่เครื่องตกในนิวบอลทิมอร์[108] ส่วนเศษซากเครื่องบินชิ้นเล็ก ๆ อื่น ๆ พบในระยะ 1.5 ไมล์ (2.4 กิโลเมตร) ที่อินเดียนเลก[109] ชิ้นส่วนมนุษย์ทั้งหมดถูกพบภายในพื้นที่ 70 เอเคอร์ (28 เฮกตาร์) รอบจุดที่เครื่องตก[109]

วอลลี มิลเลอร์ เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพของเทศมณฑลซัมเมอร์เซ็ต มีส่วนร่วมในการสืบสวนและระบุตัวตนผู้เสียชีวิต ในการตรวจสอบซากเครื่องบิน ส่วนเดียวของร่างกายมนุษย์ที่เขาสามารถมองเห็นได้คือส่วนหนึ่งของกระดูกสันหลัง[110] ต่อมามิลเลอร์พบและระบุชิ้นส่วนมนุษย์ได้ 1,500 ชิ้น รวมน้ำหนักประมาณ 600 ปอนด์ (272 กิโลกรัม) คิดเป็น 8% ของทั้งหมด[111] ส่วนที่เหลือของร่างถูกเผาจากการพุ่งชน[112] เจ้าหน้าที่สอบสวนระบุตัวผู้เสียชีวิตได้สี่รายภายในวันที่ 22 กันยายน และสิบเอ็ดรายภายในวันที่ 24 กันยายน[113][114] และระบุได้อีกรายภายในวันที่ 29 กันยายน[115] ผู้โดยสาร 34 รายถูกระบุตัวได้ภายในวันที่ 27 ตุลาคม[116]

ผู้ที่อยู่บนเที่ยวบินทั้งหมดถูกระบุตัวได้ภายในวันที่ 21 ธันวาคม ชิ้นส่วนมนุษย์แตกละเอียดมากจนเจ้าหน้าที่สอบสวนไม่สามารถระบุได้ว่ามีผู้เสียชีวิตคนใดเสียชีวิตก่อนเครื่องตกหรือไม่ มรณบัตรของผู้เสียชีวิต 40 รายระบุสาเหตุการตายว่าเป็นการฆาตกรรม และระบุสาเหตุการตายของสลัดอากาศสี่รายว่าเป็นการฆ่าตัวตาย[117] ชิ้นส่วนร่างกายและของใช้ส่วนตัวของผู้เสียชีวิตถูกส่งคืนแก่ครอบครัว[118] ส่วนชิ้นส่วนของสลัดอากาศ ซึ่งถูกระบุได้ด้วยกระบวนการคัดออก ถูกส่งมอบแก่สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) เพื่อเป็นหลักฐาน[119]

เครื่องบันทึกข้อมูลการบิน พบในที่เกิดเหตุในเทศมณฑลซัมเมอร์เซ็ต รัฐเพนซิลเวเนีย จุดที่เที่ยวบิน 93 ตก

เจ้าหน้าที่สอบสวนยังพบมีดที่ซ่อนอยู่ในไฟแช็กบุหรี่[120] พวกเขาพบเครื่องบันทึกข้อมูลการบินในวันที่ 13 กันยายน และเครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบินในวันรุ่งขึ้น[121][122] เครื่องบันทึกเสียงถูกพบฝังอยู่ลึก 25 ฟุต (8 เมตร) ใต้หลุมที่เกิดจากการตก ในช่วงแรก FBI ปฏิเสธจะเผยแพร่ไฟล์เสียง โดยปฏิเสธคำขอจากสมาชิกรัฐสภา เอลเลน เทาเชอร์ และสมาชิกในครอบครัวของผู้ที่อยู่บนเครื่อง[123] ขณะที่การเข้าถึงไฟล์เสียงมักถูกจำกัดเฉพาะเจ้าหน้าที่สอบสวนของรัฐบาลและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในคดีเครื่องบินตก แต่ FBI ได้ยกเว้นให้โดยอนุญาตให้ญาติของเหยื่อเที่ยวบินที่ 93 ได้ฟังไฟล์เสียงในการประชุมแบบปิดเมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 2002[124] คณะลูกขุนในการพิจารณาคดีของซะกะรียา มูซาวี ได้ฟังเทปดังกล่าวในฐานะส่วนหนึ่งของการดำเนินคดี และบันทึกถอดความได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 2006[125] ข้อมูลเมื่อ มิถุนายน 2025 ไฟล์เสียงดังกล่าวยังคงไม่ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะ เนื่องจาก "การสอบสวนที่ยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง"[126]

สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง มิเชลล์ โอบามาและลอรา บุช สำรวจสถานที่ตกเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2010 ครบรอบเก้าปีการจี้บังคับ

ผู้โดยสาร (ยกเว้นสลัดอากาศ) และลูกเรือบนเที่ยวบินที่ 93 ได้รับการเสนอชื่อรับเหรียญทองรัฐสภาในวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 2001[127] สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บิล ชูสเตอร์ เสนอร่างกฎหมายดังกล่าวใน ค.ศ. 2006[128] และได้รับเหรียญในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2014[129] ด้านหน้าเหรียญจารึกว่า "A common field one day, a field of honor forever" (ทุ่งธรรมดาวันหนึ่ง ทุ่งแห่งเกียรติยศตลอดไป) และ "Act of Congress 2011" (รัฐบัญญัติรัฐสภา ค.ศ. 2001) ด้านหลังเหรียญมีดาว 40 ดวง (เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้โดยสารและลูกเรือแต่ละคน) อินทรีผู้พิทักษ์คาบช่อมะกอก ด้านตะวันตกของอาคารรัฐสภาสหรัฐ และข้อความที่จารึกว่า "We honor the passengers and crew of Flight 93 who perished in a Pennsylvania field on September 11, 2001. Their courageous action will be remembered forever." (เราขอเชิดชูผู้โดยสารและลูกเรือของเที่ยวบินที่ 93 ซึ่งเสียชีวิตในทุ่งเพนซิลเวเนียเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 การกระทำที่กล้าหาญของพวกเขาจะถูกจดจำตลอดไป)[130]

คำพูดสุดท้ายของบีเมอร์ "let's roll" (ลุยเลย) กลายเป็นวลีติดปากระดับชาติ[68] การท่าเรือและนครนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์ได้เปลี่ยนชื่อท่าอากาศยานนานาชาตินวร์กเป็นท่าอากาศยานนานาชาตินวร์กลิเบอร์ตีและปัจจุบันมีธงปลิวไสวอยู่เหนือประตู A17 ของอาคารผู้โดยสาร A[131] เที่ยวบินที่ 93 ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์และสารคดีหลายเรื่อง ได้แก่ The Flight That Fought Back, Flight 93 และภาพยนตร์ United 93[132][133] สารคดีความยาว 60 นาที I Missed Flight 93 ออกอากาศทางช่องฮิสทรีในช่วงต้น ค.ศ. 2006 ซึ่งมีบทสัมภาษณ์กับแฟรงก์ โรเบอร์ทาซซี ผู้โดยสารประจำเที่ยวบินที่ 93 จิตรกร แดเนียล เบลาร์ดิเนลลี ซึ่งมีลุง วิลเลียม แคชแมน เสียชีวิตบนเที่ยวบิน และศัลยแพทย์ประจำเที่ยวบิน ฮีเทอร์ โอกลี ผู้ซึ่งจองที่นั่ง 1A ถัดจากญะราห์[134]

ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ได้ยกเลิกรหัสเที่ยวบิน 93 และ 175 หลังวินาศกรรม มีรายงานในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2011 ว่าบริษัทกำลังนำรหัสดังกล่าวกลับมาใช้ใหม่ในฐานะเที่ยวบินร่วมที่ดำเนินการโดยคอนติเนนตัลแอร์ไลน์ ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อบางส่วนและสหภาพแรงงานที่เป็นตัวแทนของนักบินยูไนเต็ด[135][136][137] ยูไนเต็ดกล่าวว่ารหัสดังกล่าว "ถูกนำกลับมาใช้โดยไม่ได้ตั้งใจ" และจะไม่ถูกนำมาใช้อีก[135]

เป้าหมายที่เป็นไปได้

[แก้]

ไม่มีการยืนยันอย่างชัดเจนว่าเป้าหมายที่แท้จริงของเที่ยวบินที่ 93 คือที่ใด[138] อย่างไรก็ดี ผู้สืบสวนระบุว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เป้าหมายน่าจะเป็นอาคารรัฐสภาสหรัฐ[139][140] ความล่าช้าสองครั้งที่สลัดอากาศต้องเผชิญ รวมกันแล้วเป็นเวลา 88 นาที หมายความว่าแม้เครื่องจะไปถึงดี.ซี. ก็จะทำให้มีผู้เสียชีวิตบนพื้นดินน้อยมาก การโจมตีเพนตากอนในเวลา 09:37 น. ทำให้ต้องอพยพอาคารรัฐบาลกลางทั้งหมดในพื้นที่ทันที[141] โดยอาคารรัฐสภาและทำเนียบขาวถูกอพยพก่อนเวลาที่เที่ยวบินที่ 93 คาดว่าจะมาถึงอย่างเร็วที่สุดถึง 28 นาที ซึ่งคือเวลา 10:13 น.[21]:62

ก่อนการโจมตี คอลิด ชัยค์ มุฮัมมัด, อุซามะฮ์ บิน ลาดิน และมุฮัมมัด อาฏิฟได้ร่วมกันจัดทำรายชื่อเป้าหมายที่เป็นไปได้[13] บิน ลาดินต้องการทำลายทำเนียบขาวและเพนตากอน ชัยค์ มุฮัมมัดต้องการโจมตีเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และทั้งสามคนต้องการโจมตีอาคารรัฐสภาด้วย ไม่มีใครอื่นที่เกี่ยวข้องในการเลือกเป้าหมายในครั้งแรกนี้[13] บิน ลาดินบอกรอมซี บิน อัชชัยบะฮ์ ผู้ร่วมวางแผน 9/11 ให้แจ้งมุฮัมมัด อะฏาว่าเขาชอบทำเนียบขาวมากกว่าอาคารรัฐสภาเป็นเป้าหมาย[142] อะฏาเตือนบิน อัชชัยบะฮ์ว่าเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องยาก แต่ก็ตกลงจะรวมทำเนียบขาวเป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้ และเสนอให้เก็บอาคารรัฐสภาไว้เป็นตัวเลือกสำรองในกรณีที่ทำเนียบขาวเข้าถึงได้ยากเกินไป ในที่สุด อะฏาแจ้งบิน อัชชัยบะฮ์ว่าญะราห์วางแผนจะโจมตีอาคารรัฐสภา[142] อะฏาเคยกล่าวถึงความเป็นไปได้ที่จะโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ แต่ก็ยอมถอยหลังนักบินโจมตีคนอื่น ๆ คัดค้าน[142] จากการแลกเปลี่ยนระหว่างอะฎาและบิน อัชชัยบะฮ์ สองวันก่อนการโจมตี ทำเนียบขาวจะเป็นเป้าหมายหลักสำหรับเครื่องบินลำที่สี่ และอาคารรัฐสภาเป็นเป้าหมายรอง[35] หากนักบินคนใดไม่สามารถไปถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้ เขาต้องบังคับเครื่องให้ตก[142]

หลังการโจมตีทันที มีการคาดเดาว่าแคมป์เดวิดเป็นเป้าหมายที่ตั้งใจไว้[143] จากคำให้การของสมาชิกอัลกออิดะฮ์ที่ถูกจับตัวได้ อะบู ซุบัยดะฮ์ เจ้าหน้าที่สหรัฐเชื่อว่าทำเนียบขาวเป็นเป้าหมายที่ตั้งใจไว้[144] ในการสัมภาษณ์หลัง 9/11 กับคอลิด ชัยค์ มุฮัมมัดและบิน อัชชัยบะฮ์โดยนักข่าวอัลญะซีเราะฮ์ ​ยุสรี ฟูดะห์ กล่าวว่าเที่ยวบินที่ 93 มุ่งหน้าไปที่อาคารรัฐสภา[1] รายงานคณะกรรมาการ 9/11 ระบุถึงการกระทำของลูกเรือและผู้โดยสารในการป้องกันการทำลายทำเนียบขาวหรืออาคารรัฐสภา[28] ตามคำให้การเพิ่มเติมของชัยค์ มุฮัมมัด บิน ลาดินชอบอาคารรัฐสภามากกว่าทำเนียบขาวเป็นเป้าหมาย[35] สาลม หะม์ดาน คนขับรถของบิน ลาดิน บอกกับผู้สอบสวนว่าเขารู้ว่าเที่ยวบินดังกล่าวกำลังมุ่งหน้าไปที่อาคารรัฐสภา[145]

การตอบสนองของเครื่องบินขับไล่

[แก้]

นักบินขับไล่ F-16 สองคนจากฝูงบินขับไล่ที่ 121 ของหน่วยรักษาชาติทางอากาศดี.ซี. มาร์ก แซสเซวิลล์และฮีเทอร์ "ลักกี" เพนเนย์ ได้รับคำสั่งให้ออกสกัดเที่ยวบินที่ 93 นักบินตั้งใจจะพุ่งชนมันเนื่องจากไม่มีเวลาติดอาวุธให้เครื่องบินไอพ่น ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะมีเครื่องบินไอพ่นติดอาวุธพร้อมบินได้ทันทีเพื่อปกป้องน่านฟ้าเมืองหลวง[146] พวกเขาไม่เคยไปถึงเที่ยวบินที่ 93 และไม่ทราบข่าวการตกจนกระทั่งหลายชั่วโมงต่อมา[147]

บิลลี ฮัตชิสัน นักบินขับไล่ประจำฐานทัพอากาศแอนดรูส์ อ้างว่าขณะอยู่บนอากาศ เขาสามารถมองเห็นเที่ยวบินที่ 93 บนจอเรดาร์ของเขา และวางแผนที่จะยิงกระสุนซ้อมเข้าไปที่เครื่องยนต์และห้องนักบินก่อน จากนั้นจึงจะพุ่งเครื่องบินไอพ่นของตนเองเข้าชนเครื่องบิน[148][149] เรื่องราวของเขาถูกตีพิมพ์ในหนังสือ Touching History ของลินน์ สเปนเซอร์ จอห์น ฟาร์เมอร์ ที่ปรึกษาอาวุโสของคณะกรรมาธิการ 9/11 ชี้ให้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากฝูงบินของฮัตชิสันไม่ได้ขึ้นบินจนกระทั่งเวลา 10:38 น. ซึ่งเป็นเวลา 35 นาทีหลังเที่ยวบินที่ 93 ตกไปแล้ว[148] เมื่อคณะกรรมาธิการ 9/11 ถามฮัตชิสันว่าทำไมถึงให้ข้อมูลเท็จนี้ เขาก็ปฏิเสธจะตอบและออกจากห้องไป[148]

กองบัญชาการป้องกันทางอากาศและอวกาศอเมริกาเหนือ (NORAD) ได้ให้การต่อคณะกรรมาธิการ 9/11 ว่าเครื่องบินขับไล่สามารถสกัดเที่ยวบินที่ 93 ได้ก่อนที่มันจะไปถึงเป้าหมายในวอชิงตัน ดี.ซี. แต่คณะกรรมการไม่เห็นด้วย โดยกล่าวว่า "NORAD ไม่ได้รู้เลยด้วยซ้ำว่าเครื่องบินถูกจี้จนกระทั่งเครื่องตกไปแล้ว" และสรุปว่าหากเครื่องไม่ตก มันน่าจะไปถึงวอชิงตันได้ภายในเวลา 10:23 น.[28][150] รายงานคณะกรรมาธิการ 9/11 ระบุว่าเครื่องบินขับไล่ของ NEADS ได้ไล่ตามเครื่องบินเดลตาแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 1989 ซึ่งเป็นเที่ยวบินที่เชื่อว่าถูกจี้[28] คณะกรรมการพบว่า NORAD และ FAA ให้การเท็จ[151]

อนุสรณ์

[แก้]
อนุสรณ์สถานแห่งชาติเที่ยวบินที่ 93
สระใต้ของอนุสรณ์สถานแห่งชาติ 11 กันยายน[152]

ณ จุดที่เครื่องตก อนุสรณ์ชั่วคราวได้ถูกสร้างขึ้นจากสิ่งของที่ผู้มาเยี่ยมเยียนนำมาวางไว้เองตามธรรมชาติในไม่กี่วันหลังการโจมตี[153] ภายในหนึ่งเดือนหลังเครื่องตก มูลนิธิต่าง ๆ ทั่วประเทศเริ่มระดมทุนเพื่อจัดสร้างอนุสรณ์แก่ผู้เสียชีวิต[154]

สองปีหลังการโจมตี ทางการรัฐบาลกลางได้ตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาอนุสรณ์สถานแห่งชาติเที่ยวบินที่ 93 ซึ่งมีหน้าที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการออกแบบอนุสรณ์ถาวร[155] มีการจัดการแข่งขันออกแบบระดับชาติเพื่อสร้างอนุสรณ์สถานสาธารณะในทุ่งโล่งที่เที่ยวบินที่ 93 ตกในรัฐเพนซิลเวเนีย แบบที่ชนะคือ "Crescent of Embrace" (จันทร์เสี้ยวแห่งอ้อมกอด) ได้รับการคัดเลือกจากผลงานทั้งหมด 1,011 ชิ้นเมื่อวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 2005[156] ผังสถานที่ประกอบด้วยทางเดินรูปจันทร์เสี้ยวขนาดใหญ่ที่มีการปลูกต้นเมเปิลแดงและเมเปิลน้ำตาลตามแนวโค้งด้านนอก[157]

การออกแบบนี้ต้องเผชิญกับการต่อต้านในเรื่องงบประมาณ ขนาด และรูปลักษณ์ ชาลส์ เอช. เทย์เลอร์ สมาชิกรัฐสภาจากพรรครีพับลิกันได้ระงับงบประมาณรัฐบาลกลางจำนวน 10 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการนี้ เนื่องจากเขามองว่า "ไม่สอดคล้องกับความจริง"[158] ในเวลาต่อมา ผู้นำรัฐสภาจากพรรครีพับลิกันได้โน้มน้าวให้เขายอมตามแรงกดดันทางการเมืองและเริ่มอนุมัติงบประมาณของรัฐบาลกลาง[159] การออกแบบที่เสนอมายังดึงดูดนักวิจารณ์ที่เห็นสัญลักษณ์อิสลามในการออกแบบรูปจันทร์เสี้ยว[160]

วันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 2009 มีการประกาศข้อตกลงระหว่างเจ้าของที่ดินและกรมอุทยานแห่งชาติ เพื่ออนุญาตให้ซื้อที่ดินได้ในราคา 9.5 ล้านดอลลาร์ พื้นที่อนุสรณ์สถานพร้อมกำแพงรายชื่อผู้เสียชีวิตทำจากหินอ่อนสีขาวได้รับการอุทิศเมื่อวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 2001 หนึ่งวันก่อนครบรอบ 10 ปีของการตก[3] ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวทำจากคอนกรีตและกระจกเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 2015 บนเนินเขาที่มองเห็นอนุสรณ์สถาน โดยทั้งศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและกำแพงรายชื่อได้รับการจัดวางให้สอดคล้องกับเส้นทางการบิน และส่วนสุดท้ายคือ "Tower of Voices" (หอคอยแห่งเสียง) ได้รับการอุทิศในพิธีเมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 2018[5][4][161]

ซีซี ไลส์ เป็นหนึ่งในพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ใน ค.ศ. 2003 รูปปั้นของไลส์ได้เปิดตัวในบ้านเกิดของเธอที่ฟอร์ตเพียร์ซ รัฐฟลอริดา ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับประเทศในฐานะหนึ่งในอนุสาวรีย์จำนวนมากสำหรับการโจมตี[162] วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 2007 ส่วนหนึ่งของทางหลวงสหรัฐหมายเลข 219 ในเทศมณฑลซัมเมอร์เซ็ต ใกล้อนุสรณ์สถานแห่งชาติเที่ยวบินที่ 93 ได้รับการตั้งชื่อร่วมกันว่า "ทางหลวงอนุสรณ์เที่ยวบินที่ 93"[163] ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ 11 กันยายน ชื่อของผู้เสียชีวิตจากเที่ยวบินที่ 93 ถูกจารึกไว้บนแผง S-67 และ S-68 ที่สระใต้[164]

ในวันครบรอบ 16 ปีของการตก รองประธานาธิบดี ไมก์ เพนซ์ กล่าวสุนทรพจน์ที่อนุสรณ์สถานว่า: "โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยส่วนตัว พวกเขา [ผู้เสียชีวิต] ได้พุ่งไปข้างหน้าเพื่อช่วยชีวิตพวกเรา ... ผมจะเชื่อเสมอว่าผมและคนอื่น ๆ อีกมากมายในเมืองหลวงของประเทศสามารถกลับบ้านในวันนั้นและกอดครอบครัวได้เพราะความกล้าหาญและการเสียสละของวีรบุรุษแห่งเที่ยวบินที่ 93"[165]

วันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 2018 ซากที่เหลือของเที่ยวบินที่ 93 ซึ่งถูกเก็บไว้ในตู้คอนเทนเนอร์ในโกดังตั้งแต่เครื่องตก ได้ถูกนำไปฝังที่จุดเกิดเหตุในพิธีส่วนตัว ก่อนพิธีดังกล่าว มีการค้นหาซากด้วยมืออีกครั้งเพื่อหาของใช้ส่วนตัวและซากศพมนุษย์ที่อาจถูกมองข้ามไปในช่วงหลายปีก่อนหน้านั้น[166]

เหยื่อ

[แก้]

ผู้โดยสาร (ไม่รวมสลัดอากาศ) และลูกเรือมาจาก:[167]

สัญชาติผู้โดยสารลูกเรือรวม
 สหรัฐ30737
 เยอรมนี101
 ญี่ปุ่น101
 นิวซีแลนด์101
รวม 33 7 40

หมายเหตุ

[แก้]
  1. เครื่องบินลำดังกล่าวเป็นโบอิง 757-200; โบอิงจะกำหนดรหัสเฉพาะสำหรับแต่ละบริษัทที่ซื้อเครื่องบินของตน ซึ่งจะถูกแทรกไว้ในหมายเลขรุ่นขณะที่เครื่องบินถูกสร้างขึ้น ดังนั้น "757-222" จึงหมายถึง 757-200 ที่สร้างขึ้นสำหรับยูไนเต็ดแอร์ไลน์ (รหัสลูกค้า 22)

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1 2 Rubin, Daniel (September 9, 2002). "Capitol was Flight 93 Target, Arab TV Reports". Pittsburgh Post-Gazette. Berlin, Germany โดยทาง Newspapers.com. Free to read
  2. "Flight 93 National Memorial – 2007 brochure" (PDF). National Park Service. December 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ May 14, 2009. สืบค้นเมื่อ February 6, 2017. a temporary memorial was created on a hilltop overlooking the crash site.
  3. 1 2 "Flight 93 National Memorial – Sources and Detailed Information". National Park Service. n.d. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 30, 2015. สืบค้นเมื่อ January 31, 2017. 13. When will the Memorial be finished?
  4. 1 2 "Flight 93 National Memorial – Frequently Asked Questions (FAQs)" (PDF). National Park Service. May 2013. pp. 22–23. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ July 15, 2013. สืบค้นเมื่อ January 31, 2017.
  5. 1 2 "A Long Road to a Place of Peace for Flight 93 Families". The New York Times. September 9, 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 4, 2017. สืบค้นเมื่อ September 9, 2015.
  6. Kennedy, Helen (September 10, 2002). "Hijack Plot Bared On Al Qaeda Video". Daily News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 25, 2012. สืบค้นเมื่อ December 12, 2011.
  7. Yardley, Jonathan (May 1, 2005). "The 9/11 Hijackers". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 14, 2008. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  8. "The Story of Ziad Jarrah". Canadian Broadcasting Corporation. January 19, 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 25, 2008. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  9. 1 2 "Hamburg cell reveals details". CNN. September 18, 2001. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 23, 2009. สืบค้นเมื่อ June 22, 2008.
  10. Freedberg, Sydney P (October 14, 2001). "He seemed like such a nice boy". St. Petersburg Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 15, 2016. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  11. 1 2 Fouda, Yosri & Fielding, Nick (2003). Masterminds of Terror: The Truth Behind the Most Devastating Terrorist Attack. Arcane Publishing. pp. 128, 130. ISBN 978-1559707084.
  12. Popkin, Jim (October 1, 2006). "Video showing Atta, bin Laden is unearthed". NBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 5, 2013. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  13. 1 2 3 "Al Qaeda Aims at the American Homeland". 9/11 Commission Report. National Commission on Terrorist Attacks Upon the United States. 2004. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 29, 2010. สืบค้นเมื่อ July 2, 2008.
  14. "George Tenet's al-Qaida testimony". The Guardian. UK. October 18, 2002. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 26, 2013. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  15. 1 2 "Chronology" (PDF). Monograph on 9/11 and Terrorist Travel. National Commission on Terrorist Attacks Upon the United States. p. 40. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ May 29, 2008. สืบค้นเมื่อ June 22, 2008.
  16. Candiotti, Susann (September 19, 2001). "FBI returns to suspected hijacker's gym". CNN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 23, 2009. สืบค้นเมื่อ July 19, 2008.
  17. Locy, Toni (April 22, 2005). "Al-Qaeda's Moussaoui pleads guilty in plot to strike U.S. buildings with planes". USA Today. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 29, 2008. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  18. Savage, Charlie (June 17, 2004). "9/11 Panel Says Plot Eyed 10 Planes; No Iraq Tie Seen". The Boston Globe.
  19. "Seventh Public Hearing – Monday, January 26, 2004". National Commission on Terrorist Attacks Upon the United States. January 26, 2004. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 24, 2006. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  20. Sadler, Brent (September 17, 2001). "Uncle calls hijack suspect 'innocent passenger'". CNN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 30, 2009. สืบค้นเมื่อ June 22, 2008.
  21. 1 2 3 4 "9/11 Commission Report" (PDF). สืบค้นเมื่อ April 28, 2023.
  22. Meek, James Gordon (January 29, 2004). "'I'll be back,' foiled hijacker told agent". Daily News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 29, 2004.
  23. 1 2 3 "National Transportation Safety Board: Flight Path Study – United Airlines Flight 93" (PDF). Homeland Security Digital Library. February 19, 2002. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 6, 2018. สืบค้นเมื่อ September 12, 2011.
  24. "Hijacking description". Aviation Safety Network. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 3, 2012. สืบค้นเมื่อ April 24, 2011.
  25. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 "Staff Report – "We Have Some Planes": The Four Flights – a Chronology" (PDF). National Commission on Terrorist Attacks Upon the United States. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ August 12, 2011. สืบค้นเมื่อ September 6, 2011.
  26. "People killed in plane attacks". USA Today. September 25, 2001. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 30, 2012. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  27. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 McMillan, Tom (2014). Flight 93: The Story, the Aftermath, and the Legacy of American Courage on 9/11. Lanham, Maryland: Rowman & Littlefield. ISBN 978-1442232853. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 11, 2021. สืบค้นเมื่อ June 11, 2021.:64
  28. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 "'We Have Some Planes'". 9/11 Commission Report. National Commission on Terrorist Attacks Upon the United States. 2004. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 14, 2008. สืบค้นเมื่อ May 30, 2008.
  29. "The Aviation Security System and the 9/11 Attacks – Staff Statement No. 3" (PDF). National Commission on Terrorist Attacks Upon the United States. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ May 28, 2008. สืบค้นเมื่อ June 22, 2008.
  30. Bennett, Ronan (August 22, 2004). "Inside the mind of a terrorist". The Guardian. London. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 13, 2019. สืบค้นเมื่อ June 22, 2008.
  31. "September 11, 2001 Timeline". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 31, 2021. สืบค้นเมื่อ June 8, 2021.
  32. Vasagar, Jeevan (20 November 2002). "9/11 hijacker made last 'I love you' call". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 2, 2017. สืบค้นเมื่อ 6 March 2017.
  33. 1 2 Pauley, Jane (September 11, 2006). "No greater love". NBC News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 4, 2017. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  34. 1 2 Wald, Matthew L; Sack, Kevin (October 16, 2001). "A Nation Challenged: The Tapes; 'We Have Some Planes,' Hijacker Said on Sept. 11". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 22, 2020. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  35. 1 2 3 4 5 "Notes". 9/11 Commission Report. National Commission on Terrorist Attacks Upon the United States. 2004. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 30, 2008. สืบค้นเมื่อ May 30, 2008.
  36. 1 2 "Flight 93 hijacker: 'Shall we finish it off?'". CNN. July 23, 2004. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 29, 2019. สืบค้นเมื่อ June 23, 2008.
  37. "Air Traffic Control Recording" (PDF). National Transportation Safety Board. December 21, 2001. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ October 23, 2011. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  38. Stout, David (April 12, 2006). "Recording From Flight 93 Played at Trial". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 4, 2015. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  39. 1 2 "'I'm thinking about it all the time,' says Canadian wife of Flight 93 pilot". The Toronto Star (ภาษาอังกฤษ). August 29, 2011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 12, 2015. สืบค้นเมื่อ 2019-09-07.
  40. 1 2 "United Flight 93 co-pilot's wife says crew wasn't passive". Skift (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2013-02-24. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 21, 2016. สืบค้นเมื่อ 2019-09-07.
  41. 1 2 Mitchell, John N. (September 11, 2011). "Wife remembers pilot, who died in Flight 93". The Philadelphia Tribune (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 7, 2018. สืบค้นเมื่อ 2019-09-07.
  42. Longman, Jere (April 26, 2006). "'United 93' and the politics of heroism". The New York Times.
  43. 1 2 3 4 5 6 "United Airlines Flight No.93 Cockpit Voice Recorder Transcript" (PDF). CNN. April 12, 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ December 8, 2013. สืบค้นเมื่อ July 4, 2009.
  44. Hirschkorn, Phil (April 12, 2006). "On tape, passengers heard trying to retake cockpit". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 1, 2019. สืบค้นเมื่อ June 23, 2008.
  45. "Flight Path Study – American Airlines Flight 11" (PDF). www.ntsb.gov. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ November 5, 2015. สืบค้นเมื่อ June 17, 2020.
  46. 1 2 3 "Timeline for United Airlines Flight 93". NPR. National Public Radio. June 17, 2004. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 20, 2004. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  47. "United pilot's widow defends crew's role in 9/11 / Former flight attendant has been waiting 4 1/2 years to tell of Flight 93's final minutes". Sfgate.com. 2006-04-13. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 2, 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-06-11.
  48. Dwyer, Timothy; Markon, Jerry; Branigin, William (April 12, 2006). "'Flight 93 Recording Played at Moussaoui Trial'". The Washington Post. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 22, 2021. สืบค้นเมื่อ June 22, 2021.
  49. "Wife of 9/11 pilot says he was alive when plane crashed". Summit Daily News. April 13, 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 3, 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-06-11.
  50. "Flight 93 Pilot's Wife Recalls Terror of Recording". ABC News. April 13, 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 19, 2006. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  51. 1 2 Lewis, Neil A (2006-04-13). "Final Struggles on 9/11 Plane Fill Courtroom". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 17, 2017. สืบค้นเมื่อ 2008-08-24.
  52. "A Nation Challenged: The Tapes; Voices From the Sky". The New York Times. October 16, 2001. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 9, 2021. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  53. "Transcript: Paula Zahn Now". CNN. April 12, 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 21, 2012. สืบค้นเมื่อ April 5, 2010.
  54. 1 2 Gonzales, Manny (May 8, 2016). "Flight 93 tape: Horror, heroics". The Denver Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 20, 2020. สืบค้นเมื่อ February 10, 2017.
  55. Transcript of Jury Trial Before the Honorable Leonie M. Brinkema – United States District Judge Volume XVII-A (PDF) (Report). United States District Court for the Eastern District of Virginia. April 11, 2006. p. 3477. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ January 14, 2010. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  56. 1 2 3 4 5 6 "Phone Calls from Flight 93". National Park Service. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 8, 2024. สืบค้นเมื่อ August 8, 2024.
  57. 1 2 3 4 Stipulation Regarding Flights Hijacked on September 11, 2001 (PDF) (Report). United States District Court for the Eastern District of Virginia. March 1, 2006. p. 9. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ February 7, 2019. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  58. 1 2 Dedman, Bill (July 29, 2002). "Heroes of Flight 93". NBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 13, 2021. สืบค้นเมื่อ June 13, 2021.
  59. 1 2 Sward, Susan (April 21, 2002). "The voice of the survivors". San Francisco Chronicle. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 23, 2012. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  60. 1 2 "Transcript of Tom's Last Calls to Deena". Tom Burnett Family Foundation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 23, 2012. สืบค้นเมื่อ June 13, 2021.{{cite web}}: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์)
  61. "Relatives wait for news as rescuers dig". CNN. September 13, 2001. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 22, 2008. สืบค้นเมื่อ June 23, 2008.
  62. "Transcripts – Mornings with Paula Zahn – Remembering The Victims: Lauren Grandcolas". CNN. December 28, 2001. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 25, 2008. สืบค้นเมื่อ June 23, 2008.
  63. Lane, Charles; Phillips, Don; Snyder, David (September 17, 2001). "A Sky Filled With Chaos, Uncertainty and True Heroism". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 9, 2015. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  64. 1 2 Evensen, Bruce J. (2000). "Beamer, Todd Morgan" เก็บถาวร พฤษภาคม 15, 2014 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. American National Biography. Retrieved May 14, 2014.
  65. 1 2 3 McKinnon, Jim (September 16, 2001). "The phone line from Flight 93 was still open when a GTE operator heard Todd Beamer say: 'Are you guys ready? Okay. Let's roll ...'". Pittsburgh Post-Gazette. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 25, 2018. สืบค้นเมื่อ July 18, 2016.
  66. 1 2 Vulliamy, Ed (December 1, 2001). "'Let's roll ...'". The Guardian. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 19, 2016.
  67. Serrano, Richard A (April 12, 2006). "9/11 phone drama replayed at Moussaoui sentencing trial". San Francisco Chronicle. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 11, 2012. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  68. 1 2 "'Let's roll': A catchphrase that became a battlecry". The Age. Australia. September 9, 2002. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 2, 2002. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  69. Alderson, Andrew; Bisset, Susan (October 20, 2001). "The extraordinary last calls of Flight UA93". The Daily Telegraph. UK. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 7, 2018. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  70. Davis, Melissa (September 2001). "Crossing paths with danger". Johnson Space Center Roundup.
  71. 1 2 Perl, Peter (May 12, 2002). "Hallowed Ground". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 17, 2016. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  72. Hoffman, Ernie (December 7, 2001). "Dispatcher honored for Flight 93 efforts". Pittsburgh Post-Gazette. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 13, 2010. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  73. Spangler, Todd (September 12, 2001). "Passenger makes frantic call before jetliner crashes in Pa". Bergen County Record. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 8, 2001. สืบค้นเมื่อ March 23, 2014.
  74. Levin, Steve (April 21, 2002). "It hurt to listen". Pittsburgh Post-Gazette. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 24, 2011. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  75. Longman, Jere (2002). "23". Among the Heroes: United Flight 93 and the Passengers and Crew Who Fought Back (1 ed.). New York: HarperCollins. p. 264. ISBN 978-0060099084. A male passenger, Edward Felt, did call from the lavatory of the plane, but never mentioned an explosion or puff of smoke, said John Shaw, the dispatcher who took the call. 'Didn't happen,' he said. Felt's widow, Sandra, who heard the tape of the call, corroborated Shaw's story.
  76. "Transcripts – CNN Wolf Blitzer Reports: Senate Debates Attack on Iraq; Did Russian Mob Attempt to Fix Olympics?". CNN. July 31, 2002. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 29, 2011. สืบค้นเมื่อ June 28, 2008.
  77. Flight 93: The Story, the Aftermath, and the Legacy of American Courage on 9/11, pp 103
  78. "United Airlines Flight 93 – Flight Data Recorder" (PDF). National Transportation Safety Board. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ October 23, 2011. สืบค้นเมื่อ June 29, 2008.
  79. "Families of Passengers Question Theory That Hijackers Crashed Flight 93". Fox News. Associated Press. สิงหาคม 8, 2003. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กรกฎาคม 4, 2013. สืบค้นเมื่อ สิงหาคม 24, 2008.
  80. Emanuel, Mike; Porteus, Liza; The Associated Press (เมษายน 13, 2006). "Flight 93 Hijacker: 'We Have a Bomb on Board'". Fox News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 15, 2011. สืบค้นเมื่อ กันยายน 10, 2011.
  81. "Wives of Passengers on Flight 93". ABC News. September 18, 2001. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 20, 2012. สืบค้นเมื่อ September 10, 2011.
  82. "Cheney recalls taking charge from bunker". CNN. September 11, 2002. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 19, 2002. สืบค้นเมื่อ September 11, 2016.
  83. Slevin, Peter (July 24, 2004). "Outside the Cockpit Door, a Fight to Save the Plane". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 10, 2014. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  84. "Flight 93 Story – Flight 93 National Memorial (U.S. National Park Service)".
  85. Lambert, Tim (September 3, 2021). "Part of Flight 93 Crashed on My Land. I Went Back to the Sacred Ground 20 Years Later : The NPR Politics Podcast". NPR.org.
  86. 1 2 3 Flight 93: The Story, the Aftermath, and the Legacy of American Courage on 9/11. Rowman & Littlefield. September 11, 2014. ISBN 978-1493014217.
  87. "None of us will ever forget". Seattle Post-Intelligencer. September 12, 2001. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 11, 2012. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  88. Roache, Lisa. "'Among the Heroes' is moving". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 3, 2021. สืบค้นเมื่อ July 25, 2021.
  89. Sara, Rimer (September 18, 2001). "A Nation Challenged: The Pennsylvania Crash; 44 Victims Are Remembered, and Lauded". The New York Times. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  90. Silver, Jonathan D (September 13, 2001). "What was the danger to city? Doomed United Flight 93 passed just south of Pittsburgh". Pittsburgh Post-Gazette. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 3, 2010. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  91. "A Bell Tolls In Shanksville". CBS News. September 11, 2002. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 12, 2002. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  92. "September 11: Chronology of terror". CNN. September 12, 2001. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 8, 2019. สืบค้นเมื่อ November 1, 2014.
  93. Kim, Won-Young; Baum, Gerald R. (2002). "Seismic Observations during September 11, 2001, Terrorist Attack" (PDF). Maryland Geological Survey, Maryland Department of Natural Resources. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ March 20, 2003. ... we positively identified seismic signals associated with United Airlines Flight 93 that crashed near Shanksville, Somerset County, Pennsylvania. The time of the plane crash was 10:06:05±5 (EDT).
  94. Longman, Jere (September 11, 2002). "Flight 93; Refusing To Give In Without A Fight". The New York Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 23, 2009. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  95. Lowry, Patricia (July 12, 2005). "Memorial in the making: Five Flight 93 designs evolve in subtle ways". Pittsburgh Post-Gazette. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 18, 2011. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  96. "Eyewitness Reflects On Flight 93 Crash". KDKA-TV. September 6, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 13, 2015. สืบค้นเมื่อ June 7, 2021.
  97. Gibbs, Nancy (September 12, 2001). "The Day of the Attack". Time Magazine. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 11, 2021. สืบค้นเมื่อ August 15, 2018.
  98. Zapinski, Ken (September 12, 2001). "A blur in the sky, then a firestorm". St. Petersburg Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 18, 2010. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  99. Sweeney, James F; Solov, Diane; Exner, Rich (กันยายน 12, 2001). "Pennsylvania crash carries horror into small towns". The Plain Dealer. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ พฤศจิกายน 18, 2006. สืบค้นเมื่อ สิงหาคม 24, 2008.
  100. Hamill, Sean D (September 10, 2007). "Picture Made on 9/11 Takes a Toll on Photographer". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 6, 2012. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  101. Frederick, Robb (กันยายน 11, 2002). "The day that changed America". Pittsburgh Tribune-Review. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กันยายน 11, 2008. สืบค้นเมื่อ สิงหาคม 24, 2008.
  102. Johns, Arlene (September 3, 2011). "Flight 93 Crash Site Video Surfaces". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 17, 2012. สืบค้นเมื่อ September 6, 2011.
  103. Memmott, Mark (September 6, 2011). "Newly Revealed Video Shows Smoke Rising From Flight 93". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 11, 2021. สืบค้นเมื่อ September 6, 2011.
  104. Producers: Colette Beaudry and Michael Cascio (2005-09-23). "Zero Hour". Inside 9/11. National Geographic Channel.
  105. "Transcripts – America Under Attack". CNN. September 11, 2001. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 28, 2010. สืบค้นเมื่อ June 29, 2008.
  106. "Transcripts – America Under Attack". CNN. September 11, 2001. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 28, 2010. สืบค้นเมื่อ June 29, 2008.
  107. "Transcripts – America Under Attack: FBI and State Police Cordon Off Debris Area Six to Eight Miles from Crater Where Plane Went Down". CNN. September 13, 2001. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 13, 2010. สืบค้นเมื่อ July 22, 2008.
  108. "'Black box' from Pennsylvania crash found". CNN. September 13, 2001. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 5, 2008. สืบค้นเมื่อ June 29, 2008.
  109. 1 2 "Debunking the 9/11 Myths: Special Report". Popular Mechanics. March 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 13, 2008. สืบค้นเมื่อ June 29, 2008.
  110. "On Hallowed Ground". The Age. September 9, 2002. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 15, 2002. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  111. Perl, Peter (May 12, 2002). "Hallowed Ground; Nobody asked for this, but as September 11 recedes, a small Pennsylvania town finds itself guardian of an American legend;". The Washington Post.
  112. Pressley, Sue A (September 11, 2002). "Site of Crash Is 'Hallowed Ground'; In a Pa. Field, Thousands Pay Homage to Where America First Fought Back;". The Washington Post.
  113. Gibb, Tom (September 22, 2001). "Four Flight 93 victims identified". Pittsburgh Post-Gazette. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 9, 2009. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  114. Lyman, Brian (September 24, 2001). "Coroner identifies seven more victims of Flight 93 crash". Pittsburgh Post-Gazette. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 11, 2009. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  115. "Searchers to return to Flight 93 crash site". Pittsburgh Post-Gazette. Associated Press. September 29, 2001. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 29, 2008. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  116. Hopey, Don (October 27, 2001). "Another 14 victims of Flight 93 identified". Pittsburgh Post-Gazette. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 2, 2009. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  117. Gibb, Tom (December 20, 2001). "Flight 93 remains yield no evidence". Pittsburgh Post-Gazette. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 15, 2009. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  118. "Flight 93 Remains Returned". CBS News. Associated Press. February 26, 2002. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 19, 2010. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  119. Burger, Timothy J (August 17, 2002). "Hijackers' remains FBI gets fragments of Pentagon, Pa. 9/11 thugs". Daily News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 3, 2014. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  120. "Revised 9/11 Report Reveals New Details". Fox News. Associated Press. กันยายน 14, 2005. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ สิงหาคม 7, 2008. สืบค้นเมื่อ สิงหาคม 24, 2008.
  121. Silver, Jonathan D (September 14, 2001). "Will black box reveal Flight 93's last moments?". Pittsburgh Post-Gazette. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 7, 2008. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  122. Smith, Matthew P (September 15, 2001). "Flight 93 voice recorder found in Somerset County crash site". Pittsburgh Post-Gazette. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 20, 2008. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  123. Candiotti, Susan (December 21, 2001). "FBI won't release Flight 93 tape". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 11, 2010. สืบค้นเมื่อ July 1, 2008.
  124. Hirschkorn, Phil; Mattingly, David (April 19, 2002). "Families say Flight 93 tapes prove heroism". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 27, 2010. สืบค้นเมื่อ July 1, 2008.
  125. "Moussaoui timeline". USA Today. Associated Press. May 3, 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 11, 2008. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  126. "Flight 93 Cockpit Voice Recorder - Flight 93 National Memorial" (ภาษาอังกฤษ). U.S. National Park Service. 2023-10-31. สืบค้นเมื่อ 2025-06-10.
  127. "Senate considers medals for Flight 93 victims". CNN. September 19, 2001. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 7, 2015. สืบค้นเมื่อ June 26, 2008.
  128. "Bill Would Award Medals to Those Killed on Flight 93". Fox News. Associated Press. เมษายน 18, 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ เมษายน 24, 2008. สืบค้นเมื่อ สิงหาคม 24, 2008.
  129. Dorell, Oren (April 9, 2008). "Medals mulled for 9/11's Flight 93 victims". USA Today. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 20, 2011. สืบค้นเมื่อ July 3, 2008.
  130. "Flight 93 National Memorial Pennsylvania: Congressional Gold Medal". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 1, 2021. สืบค้นเมื่อ September 11, 2020.
  131. "Airport Renamed To Honor 9/11 Heroes". CBS News. Associated Press. August 30, 2002. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 26, 2008. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  132. "'Grey's,' '24' among top Emmy nominees". CNN. July 6, 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 24, 2009. สืบค้นเมื่อ July 10, 2008.
  133. Timmons, Heather (January 1, 2006). "Four Years On, a Cabin's-Eye View of 9/11". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 8, 2008. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  134. "I Missed Flight 93". A&E. 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 7, 2006. สืบค้นเมื่อ November 19, 2013.
  135. 1 2 Romero, Frances (May 18, 2011). "Flight Number Flub: United/Continental Accidentally Reinstates Flights 93 and 175". Time. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 19, 2014. สืบค้นเมื่อ February 14, 2015.
  136. McCartney, Scott (May 18, 2011). "Bad Mistake: United Revives Sept. 11 Flight Numbers". The Wall Street Journal. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 12, 2014. สืบค้นเมื่อ February 14, 2015.
  137. Mutzabaugh, Ben (May 18, 2011). "Unions slam United for mistakenly reinstating 9/11 flight numbers". USA Today. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 4, 2014. สืบค้นเมื่อ February 14, 2015.
  138. Shuster, David (September 12, 2006). "9/11 mystery: What was Flight 93's target?". Hardball with Chris Matthews. NBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 2, 2013. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  139. Sims, Marcie. Hill Pages: Young Witnesses to 200 Years of History, p. 133 (McFarland, 2018).
  140. Glass, Andrew. “U.S. Capitol likely terrorist target: Sept. 11, 2001”, Politico (11 Sep 2016).
  141. "9/11 Timeline". June 21, 2011. สืบค้นเมื่อ April 29, 2023.
  142. 1 2 3 4 "The Attack Looms". 9/11 Commission Report. National Commission on Terrorist Attacks Upon the United States. 2004. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 28, 2018. สืบค้นเมื่อ July 2, 2008.
  143. "Feds Would Have Shot Down Pa. Jet". CBS News. September 16, 2001. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 4, 2002. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  144. "White House target of Flight 93, officials say". CNN. May 23, 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 21, 2008. สืบค้นเมื่อ July 2, 2008.
  145. McIntyre, Jamie; Ure, Laurie (July 22, 2008). "Prosecution: Bin Laden's driver knew hijackers aiming for Capitol". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 24, 2009. สืบค้นเมื่อ July 22, 2008.
  146. NBC News (September 9, 2011). "Kamikaze: F-16 pilots planned to ram Flight 93". NBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 8, 2013. สืบค้นเมื่อ February 13, 2015.
  147. Hendrix, Steve (September 9, 2011). "F-16 pilot was ready to give her life on Sept. 11". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 13, 2015. สืบค้นเมื่อ February 13, 2015.
  148. 1 2 3 Farmer, John (2009). The Ground Truth: The Untold Story of America Under Attack on 9/11. Penguin Group. p. 232. ISBN 978-1101152331. – Total pages: 432
  149. Farmer, John; Azzarello, John; Kara, Miles (September 13, 2008). "Real Heroes, Fake Stories". New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 4, 2015. สืบค้นเมื่อ February 13, 2015.
  150. "Although US military forces had been alerted about the hijackings, and two Air Force F-16 jet fighters were airborne in the area, no official authorization to shoot down Flight 93 was given until the aircraft had crashed. (The question as to whether the 757 would have reached its target had those aboard not taken action on their own remained disturbingly unanswered in the report issued by a federal commission established to investigate the terrorist attack.)" p. 328 – Gero, David Gero (2006). Aviation Disasters: The World's Major Civil Airliner Crashes Since 1950. Sutton. ISBN 978-0750931465. – Total pages: 368
  151. Starr, Barbara; Benson, Pam (August 2, 2006). "9/11 panel distrusted Pentagon testimony". CNN News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 7, 2015. สืบค้นเมื่อ February 14, 2015.
  152. Deborah Jacobs Welsh เก็บถาวร กรกฎาคม 27, 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Memorial Guide: National 9/11 Memorial. Retrieved September 11, 2016.
  153. Pickels, Mary (กรกฎาคม 2, 2008). "Flight 93 memorial work set after 4th". Pittsburgh Tribune-Review. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กรกฎาคม 8, 2008. สืบค้นเมื่อ กรกฎาคม 10, 2008.
  154. "Miami foundation backs memorial to Flight 93 victims". Pittsburgh Post-Gazette. October 11, 2001. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 11, 2001. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  155. "Secretary Norton Installs New Federal Advisory Commission for Flight 93 National Memorial" (Press release). National Park Service. กันยายน 11, 2003. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ มกราคม 16, 2009. สืบค้นเมื่อ สิงหาคม 24, 2008.
  156. "Flight 93 memorial design selected". NBC News. Associated Press. September 7, 2005. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 9, 2014. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  157. Ward, Paula (September 8, 2005). "Flight 93 marker design picked". Pittsburgh Post-Gazette. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 10, 2006. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  158. Tapper, Jake; Callahan, Michael (April 26, 2006). "Memorial for Flight 93 Faces Opposition". ABC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 9, 2021. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  159. Frankel, Glenn (September 10, 2006). "The Architecture of Loss". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 10, 2012. สืบค้นเมื่อ August 24, 2008.
  160. Hamill, Sean D (May 5, 2008). "Critics See Symbols of Islam in Flight 93 Memorial Design". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 13, 2011. สืบค้นเมื่อ July 10, 2008.
  161. "September 9 Tower of Voices Dedication". National Park Service. September 9, 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 17, 2018. สืบค้นเมื่อ September 17, 2018.
  162. Shainman, Jon (September 11, 2013). "Cee Cee Lyles: 9/11 flight attendant remembered at Ft. Pierce ceremony" เก็บถาวร ตุลาคม 16, 2015 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. WPTV-TV West Palm Beach, Florida.
  163. "To Honor 9/11 Heroes, Governor Rendell Signs Bill Designating Somerset County Road, 'Flight 93 Memorial Highway'". WTHR. มิถุนายน 12, 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กรกฎาคม 14, 2014.
  164. About: The Memorial Names Layout เก็บถาวร กรกฎาคม 27, 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Memorial Guide: National 9/11 Memorial. Retrieved December 11, 2011.
  165. "Pence: Flight 93 passengers might have saved my life on 9/11". mail.com. September 11, 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 9, 2021. สืบค้นเมื่อ September 11, 2017.
  166. "Remaining wreckage of Flight 93 is buried at memorial". Associated Press. July 9, 2018.
  167. "Crew and Passengers of Flight 93 – Flight 93 National Memorial (U.S. National Park Service)". www.nps.gov (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 27, 2020. สืบค้นเมื่อ 2021-09-11.

หนังสืออ่านเพิ่ม

[แก้]
  • Buell, Tonya (2003). The Crash of United Flight 93 on September 11, 2001. Rosen Publishing Group. [for children]
  • Homer, Melodie (2012). From Where I Stand: Flight #93 Pilot's Widow Sets the Record Straight. Langdon Street Press.
  • Jefferson, Lisa D.; Middlebrooks, Felicia (2006). Called: Hello, This Is Mrs. Jefferson. I Understand Your Plane Is Being Hijacked. 9:45 a.m., Flight 93, September 11, 2001. Northfield Publishers.
  • Kashurba, Glenn J. (2002). Courage After the Crash: Flight 93 Aftermath: An Oral and Pictorial Chronicle. Saj Publishing.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]

40°03′04″N 78°54′17″W / 40.05111°N 78.90472°W / 40.05111; -78.90472