ข้ามไปเนื้อหา

อเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 77

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 77
สรุปการจี้บังคับ
วันที่11 กันยายน ค.ศ. 2001
สรุปการจี้บังคับ
จุดเกิดเหตุเดอะเพนตากอน เทศมณฑลอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา 38°52′16.2″N 77°03′29.7″W / 38.871167°N 77.058250°W / 38.871167; -77.058250
เสียชีวิต189 (รวมสลัดอากาศ 5 คน)
บาดเจ็บ106
อากาศยานลำที่เกิดเหตุ

N644AA เครื่องบินลำเกิดเหตุ ภาพใน ค.ศ. 2000
ประเภทอากาศยานโบอิง 757-223[a]
ดําเนินการโดยอเมริกันแอร์ไลน์
หมายเลขเที่ยวบิน IATAAA77
หมายเลขเที่ยวบิน ICAOAAL77
รหัสเรียกAMERICAN 77
ทะเบียนN644AA
ต้นทางท่าอากาศยานนานาชาติดัลเลส สเตอร์ลิง รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา
ปลายทางท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
จำนวนคน64 (รวมสลัดอากาศ 5 คน)
ผู้โดยสาร58 (รวมสลัดอากาศ 5 คน)
ลูกเรือ6
เสียชีวิต64 (รวมสลัดอากาศ 5 คร)
รอดชีวิต0
ผู้ประสบภัยภาคพื้นดิน
บุคคลภายนอกเสียชีวิต125
บุคคลภายนอกบาดเจ็บ106

อเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 77 เป็นเที่ยวบินโดยสารข้ามทวีปภายในประเทศตามกำหนดเวลาจากท่าอากาศยานนานาชาติดัลเลสในตอนเหนือของรัฐเวอร์จิเนียไปยังท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิสในลอสแอนเจลิส เครื่องบินโบอิง 757-200 ที่ให้บริการในเที่ยวบินนี้ถูกผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะฮ์ห้าคนจี้ในเช้าวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีในวินาศกรรม 11 กันยายน เครื่องบินโดยสารที่ถูกจี้ลำดังกล่าวถูกเจตนาให้พุ่งชนอาคารเพนตากอนในเทศมณฑลอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย ส่งผลให้ผู้ที่อยู่บนเครื่องบินเสียชีวิตทั้งหมด 64 คน และมีผู้เสียชีวิตในอาคารอีก 125 คน

เที่ยวบินที่ 77 ขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อเวลา 08:20 น. ตามเวลาตะวันออก สามสิบเอ็ดนาทีหลังเครื่องขึ้น ผู้ก่อการร้ายได้บุกเข้าไปในห้องนักบินและบังคับให้ผู้โดยสารและลูกเรือไปอยู่ท้ายห้องโดยสาร โดยข่มขู่ตัวประกันแต่แรกเริ่มไว้ชีวิตทุกคน หัวหน้าสลัดอากาศ ฮานี ฮันญูร ได้เข้าควบคุมเครื่องบินหลังจากที่เขาได้รับการฝึกบินอย่างกว้างขวางเพื่อเตรียมการสำหรับการโจมตี ในระหว่างนั้น ผู้ที่อยู่บนเครื่องสองคนได้โทรศัพท์หาครอบครัวอย่างลับ ๆ และเล่าข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ให้ทราบโดยที่ผู้โจมตีไม่รู้

ฮันญูรขับเครื่องบินพุ่งชนฝั่งตะวันตกของเพนตากอนทางเมื่อเวลา 09:37 น. ผู้คนจำนวนมากเป็นพยานในเหตุการณ์การชน และแหล่งข่าวเริ่มรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวภายในไม่กี่นาที และมีบันทึกภาพการชนโดยกล้องรักษาความปลอดภัยบริเวณประตูที่จอดรถของเพนตากอน 757 ได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อพื้นที่หนึ่งของเพนตากอนและทำให้เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ซึ่งต้องใช้เวลาหลายวันในการดับ ภายในเวลา 10:10 น. ความเสียหายที่เกิดจากเครื่องบินและเชื้อเพลิงไอพ่นที่ลุกไหม้ได้นำไปสู่การถล่มบางส่วนของปีกตะวันตกของเพนตากอน ตามมาด้วยอีกห้าชั้นของโครงสร้างในอีกสี่สิบนาทีต่อมา เที่ยวบินที่ 77 เป็นลำที่สามจากเครื่องบินโดยสารสี่ลำที่ถูกผู้ก่อการร้ายจี้ในเช้าวันนั้น และเป็นลำสุดท้ายที่ไปถึงเป้าหมายที่อัลกออิดะฮ์ตั้งใจไว้ การจี้บังคับครั้งนี้จะต้องประสานงานกับยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93 ซึ่งบินไปในทิศทางของวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐ ผู้ก่อการร้ายในเที่ยวบินที่ 93 ตั้งเป้าไปที่อาคารรัฐบาลกลางซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเพนตากอน แต่ถูกบังคับให้ตกในทุ่งโล่งในรัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อผู้โดยสารต่อสู้เพื่อควบคุมเครื่องบินหลังได้รับแจ้งถึงการโจมตีพลีชีพครั้งก่อน รวมถึงเที่ยวบินที่ 77

ส่วนที่เสียหายของเพนตากอนได้รับการสร้างขึ้นใหม่ใน ค.ศ. 2002 โดยผู้ที่ทำงานได้ย้ายกลับเข้าไปในพื้นที่ที่สร้างเสร็จในเดือนสิงหาคมปีนั้น ผู้เสียชีวิตจากการโจมตี 184 คนได้รับการรำลึกถึงในอนุสรณ์เพนตากอนที่อยู่ติดกับจุดที่เครื่องบินตก อุทยานขนาด 1.93 เอเคอร์ (7,800 ตารางเมตร) มีม้านั่งสำหรับผู้เสียชีวิตแต่ละคน ซึ่งจัดเรียงตามปีเกิดของพวกเขา

ภูมิหลัง

[แก้]

เที่ยวบินนี้ถูกยึดเป็นส่วนหนึ่งของวินาศกรรม 11 กันยายน การโจมตีดังกล่าวต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการระหว่าง 400,000 ถึง 500,000 ดอลลาร์ แต่แหล่งที่มาของเงินทุนสนับสนุนนี้ยังคงไม่ทราบแน่ชัด[1] นำโดยคอลิด ชัยค์ มุฮัมมัด ซึ่งได้รับการอธิบายว่าเป็น "ผู้วางแผนหลัก" ของการโจมตีในรายงานคณะกรรมาธิการ 9/11[2] อัลกออิดะฮ์มีแรงจูงใจจากหลายปัจจัย รวมถึงการต่อต้านตะวันตก[3] เนื่องจากอัลกออิดะฮ์มีทรัพยากรพอจะยึดเครื่องบินโดยสารเพียงสี่ลำเท่านั้น จึงมีความขัดแย้งระหว่างโมฮัมเม็ดและอุซามะฮ์ บิน ลาดินเกี่ยวกับเป้าหมายที่ควรให้ความสำคัญ โมฮัมเม็ดเห็นชอบที่จะโจมตีอาคารแฝดของกลุ่มอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนครนิวยอร์ก ขณะที่บิน ลาดินมุ่งมั่นที่จะโค่นล้มรัฐบาลกลางสหรัฐ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เขาเชื่อว่าสามารถทำได้โดยการทำลายเพนตากอน ทำเนียบขาว และอาคารรัฐสภาสหรัฐ[4] แม้บิน ลาดินเองจะแสดงความชื่นชอบการทำลายทำเนียบขาวมากกว่าอาคารรัฐสภา แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไม่เห็นด้วย โดยอ้างถึงความยากลำบากในการโจมตีทางอากาศ ฮานี ฮันญูร ซึ่งน่าจะอยู่พร้อมกับนวาฟ อัลฮาซิมี ผู้สมรู้ร่วมคิดในเที่ยวบินที่ 77 ได้สำรวจเขตมหานครวอชิงตันเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 2001 โดยการเช่าเครื่องบินและฝึกบินจากแฟร์ฟีลด์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ไปยังเกเทอส์เบิร์ก รัฐแมริแลนด์เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ของเป้าหมายที่เป็นไปได้แต่ละแห่ง[5]

ในท้ายที่สุด ผู้ก่อการร้าย 19 คนเข้าร่วมในการโจมตีสหรัฐ ประกอบด้วยสามกลุ่ม ๆ ละห้าคนและอีกหนึ่งกลุ่มมีสี่คน สลัดอากาศเก้าคนในเที่ยวบินที่ 77 และยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93 ได้รับมอบหมายให้โจมตีโครงสร้างรัฐบาลในหรือใกล้เมืองหลวงของประเทศ วอชิงตัน ดี.ซี. และด้วยเหตุนี้ เป้าหมายคือให้การจี้บังคับทั้งสองเที่ยวบินประสานงานกันโดยที่เครื่องบินทั้งสองลำพุ่งเป้าไปที่เป้าหมายในเขตมหานครวอชิงตัน[6] ความยุ่งยากที่สำคัญที่ผู้ก่อการร้ายสี่คนในเที่ยวบินที่ 93 เผชิญทำให้เที่ยวบินที่ 77 เป็นเพียงเที่ยวบินเดียวที่โจมตีเป้าหมายที่อัลกออิดะฮ์ตั้งใจไว้ได้สำเร็จเมื่อมันพุ่งชนเพนตากอนในเทศมณฑลอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนียเมื่อเวลา 09:37 น. ขณะที่การก่อการกำเริบของผู้โดยสารบังคับให้สลัดอากาศบนเที่ยวบินที่ 93 ต้องนำเครื่องไปตกในชนบทของรัฐเพนซิลเวเนีย

โดยไม่คำนึงถึง ระดับการประสานงานระหว่างเที่ยวบินที่ 77 และเที่ยวบินที่ 93 เห็นได้ชัดว่าน้อยกว่าของอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 11 และยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 175 เครื่องบินสองลำที่ถูกนำไปชนอาคารแฝดของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ห่างกัน 17 นาทีในการโจมตีร่วมกันในนครนิวยอร์ก เที่ยวบินที่ 11 และ 175 ทั้งคู่เดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติโลแกนในบอสตันไปยังท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส และพุ่งชนเป้าหมายที่ตั้งอยู่ติดกัน ต่างจากเพนตากอนและอาคารรัฐบาลกลางที่เที่ยวบินที่ 93 ถูกตั้งเป้าหมายให้พุ่งชน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ทั่วไปเดียวกัน

ความแตกต่างที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งระหว่างการโจมตีในเขตเมืองหลวงแห่งชาติและที่นิวยอร์กคือ ทีมในเที่ยวบินที่ 77 และ 93 ไม่ได้ทำตามคู่หูในเที่ยวบินที่ 11 และ 175 โดยการจองเที่ยวบินจากสนามบินเดียวกันโดยมีจุดหมายปลายทางในแคลิฟอร์เนียเหมือนกัน กลุ่มของเที่ยวบินที่ 77 จี้เครื่องบินจากท่าอากาศยานนานาชาติดัลเลสในเวอร์จิเนีย ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เพนตากอนและเมืองหลวงอย่างสะดวกสบาย ในเส้นทางการบินที่มีจุดหมายปลายทางที่ท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส กลับกัน เที่ยวบินที่ 93 ออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาตินวร์กในนิวเจอร์ซีย์ ห่างจากดี.ซี. ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเกือบ 200 ไมล์ โดยมุ่งหน้าไปยังท่าอากาศยานนานาชาติซานฟรานซิสโก นอกจากนี้ยังไม่มีการติดต่อระหว่างฮันจูร์และซีอาด ญะราห์ นักบินสลัดอากาศเที่ยวบินที่ 93 ในวันที่มีการโจมตี ขณะที่มุฮัมมัด อะฏาและมัรวาน อัชชะฮ์ฮีคุยโทรศัพท์กันขณะเตรียมขึ้นเครื่องของตน ดูเหมือนจะเพื่อยืนยันว่าการโจมตีพร้อมจะเริ่มขึ้นแล้ว[7]

สลัดอากาศ

[แก้]
สลัดอากาศอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 77
ฮานี ฮันญูร (นักบิน)
คอลิด อัลมัฮฎอร
นวาฟ อัลฮาซิมี
ซาลิม อัลฮาซิมี
มาญิด มวกิด

สลัดอากาศบนอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 77 เป็นชายชาวซาอุดีอาระเบียห้าคน อายุระหว่าง 20 ถึง 29 ปี นำโดยฮันญูร ซึ่งเป็นผู้ควบคุมเครื่องบินพุ่งชนเพนตากอน[8] ฮันญูรเดินทางมาสหรัฐครั้งแรกใน ค.ศ.1990[9]

ฮันญูรได้รับการฝึกฝนที่ศูนย์ฝึกอบรมการบินซีอาร์เอ็มในสกอตส์เดล รัฐแอริโซนา และได้รับใบรับรองนักบินพาณิชย์ FAA ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1999[10] เขาต้องการเป็นนักบินพาณิชย์ให้กับสายการบินเซาเดีย แต่ถูกปฏิเสธเมื่อสมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนการบินพลเรือนในญิดดะฮ์ใน ค.ศ. 1999 น้องชายของฮันญูรได้อธิบายในภายหลังว่าฮันญูรรู้สึกผิดหวังที่หางานไม่ได้ ทำให้เขา "หันไปสนใจคัมภีร์ทางศาสนาและเทปคาสเซ็ตของนักเทศน์อิสลามหัวรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ"[11] ฮันญูรกลับไปยังซาอุดีอาระเบียหลังได้รับการรับรองเป็นนักบินแล้ว แต่ก็เดินทางออกจากประเทศอีกครั้งในช่วงปลาย ค.ศ. 1999 โดยบอกครอบครัวว่าเขากำลังจะไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพื่อทำงานให้กับสายการบิน[12] ฮันญูรน่าจะเดินทางไปอัฟกานิสถาน ที่ซึ่งเป็นสถานที่ที่สมาชิกใหม่ของอัลกออิดะฮ์จะถูกคัดกรองความสามารถพิเศษที่อาจมีอยู่ หลังจากที่ได้คัดเลือกสมาชิกฮัมบวร์คเซลล์แล้ว ผู้นำอัลกออิดะฮ์ก็ได้เลือกฮันญูรให้เป็นผู้นำทีมสลัดอากาศที่สี่[13]

'ผมคิดว่าผมเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสกว่า ดังนั้นผมจึงเดินไปหาบุคคลที่มีตั๋วเกี่ยวกับเยเมนเซลล์ กลุ่มปฏิบัติการเยเมน และผมก็พูดกับเธอว่า "เกิดอะไรขึ้น เราต้องแจ้งเรื่องนี้ให้สำนักงาน ทราบ ชายกลุ่มนี้เป็นคนเลวอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็หนึ่งในนั้นมีวีซ่าเข้าสหรัฐแบบเข้าออกได้หลายครั้ง เราต้องบอก FBI"

จากนั้น [เจ้าหน้าที่ CIA] ก็พูดกับผมว่า "ไม่ มันไม่ใช่คดีของ FBI ไม่ใช่เขตอำนาจของ FBI

ผมก็เลยไปบอกดัก และผมก็พูดว่า "ดัก เราจะทำอะไรได้บ้าง" ถ้าเราโทรศัพท์ไปที่สำนักงาน ผมก็จะทำผิดกฎหมาย ผมจะถูกไล่ออกจากอาคารในวันนั้น การอนุมัติการทำงานของผมจะถูกระงับ และผมจะต้องไปจากที่นั่น'

มาร์ก รอสซินี, จากหนังสือ The Spy Factory[14]

ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2000 ฮันญูรเดินทางมาถึงแซนดีเอโก โดยเข้าร่วมกับสลัดอากาศ "ใช้กำลัง" นวาฟ อัลฮาซิมีและคอลิด อัลมัฮฎอร ซึ่งอยู่ที่นั่นตั้งแต่เดือนมกราคมปีนั้น[12][15] อเล็กสเตชัน หน่วยของ CIA ที่อุทิศให้กับการติดตามตัวอุซามะฮ์ บิน ลาดิน ได้ค้นพบว่าอัลฮาซิมีและอัลมัฮฎอรมีวีซ่าเข้าสหรัฐแบบเข้าออกได้หลายครั้ง เจ้าหน้าที่ FBI ที่อยู่ในหน่วยและผู้บังคับบัญชาของเขา มาร์ก รอสซินี (อดีตเจ้าหน้าที่กำกับดูแลสำนักงานสอบสวนกลาง) พยายามแจ้งเตือนสำนักงานใหญ่ FBI แต่เจ้าหน้าที่ CIA ที่กำกับดูแลรอสซินีที่อเล็กสเตชันกลับปฏิเสธเขา โดยให้เหตุผลว่า FBI ไม่มีอำนาจ[16]

หลังจากมาถึงแซนดีเอโกไม่นาน อันญูรและอัลฮาซิมีก็เดินทางไปเมซา รัฐแอริโซนา ซึ่งฮันญูรเริ่มฝึกอบรมทบทวนที่แอริโซนาเอวิเอชัน (Arizona Aviation)[12] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2001 พวกเขาย้ายไปที่ฟอลส์เชิร์ช รัฐเวอร์จิเนีย เพื่อรอการมาถึงของสลัดอากาศ "ใล้กำลัง" ที่เหลือ[12] หนึ่งในชายเหล่านี้ มาญิด มวกิด เดินทางมาถึงเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2001 พร้อมกับสลัดอากาศเที่ยวบินที่ 175 อะห์มัด อัลฆอมิดี จากดูไบที่ท่าอากาศยานนานาชาติดัลเลส พวกเขาย้ายเข้าไปอยู่ในอพาร์ตเมนต์กับอัลฮาซิมีและฮันญูร[17]

วันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2001 ฮันญูรได้เช่าห้องในแพเทอร์สัน รัฐนิวเจอร์ซีย์ ที่ซึ่งเขาพักอยู่กับสลัดอากาศคนอื่น ๆ จนถึงปลายเดือนสิงหาคม[18] สลัดอากาศ "ใช้กำลัง" คนสุดท้ายของเที่ยวบินที่ 77 คือซาลิม อัลฮาซิมี เดินทางมาถึงเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 2001 พร้อมกับอับดุลอะซีซ อัลอุมรี (สลัดอากาศเที่ยวบินที่ 11) ที่ท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดีจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พวกเขาพักอยู่กับฮันญูร[17]

ฮันญูรได้รับการสอนภาคพื้นและฝึกบินที่แอร์ฟลีตเทรนิงซิสเต็มส์ (Air Fleet Training Systems) ในทีเทอร์โบโร รัฐนิวเจอร์ซีย์ และที่โรงเรียนการบินคาลด์เวลล์ (Caldwell Flight Academy) ในแฟร์ฟีลด์ รัฐนิวเจอร์ซีย์[12] ฮันญูรย้ายออกจากห้องในแพเทอร์สันและมาถึงที่โรงแรมวาเลนเซียในลอเรล รัฐแมริแลนด์ เมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 2001[18] ขณะอยู่ในรัฐแมริแลนด์ ฮันญูรและเพื่อนสลัดอากาศได้ฝึกฝนที่โกลส์จิม (Gold's Gym) ในกรีนเบลต์[19] วันที่ 10 กันยายน เขาทำการบินเพื่อรับใบรับรอง โดยใช้ระบบการจดจำภูมิประเทศเพื่อการนำทาง ที่กฎบัตรการบินรัฐสภา ในเกเทอส์เบิร์ก รัฐแมริแลนด์[20][21]

วันที่ 10 กันยายน นาวาฟ อัลฮาซิมี พร้อมสลัดอากาศคนอื่น ๆ ได้เช็กอินที่โรงแรมแมริออทในเฮิร์นดอน รัฐเวอร์จิเนีย ใกล้ท่าอากาศยานดัลเลส[22]

ผู้ต้องสงสัยเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด

[แก้]

จากเอกสารลับของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐที่รั่วไหลในวิกิลีกส์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ระบุว่า FBI ได้สืบสวนผู้ต้องสงสัยอีกคน ​มุฮัมมัด อัลมันศูรี เขาเคยมีความสัมพันธ์กับพลเมืองกาตาร์สามคนที่บินจากลอสแอนเจลิสไปลอนดอน (ผ่านวอชิงตัน) และกาตาร์ในวันก่อนการโจมตี หลังถูกกล่าวหาว่าไปสำรวจเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์และทำเนียบขาว เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายของสหรัฐกล่าวว่าข้อมูลเกี่ยวกับชายสี่คนนี้เป็น "เพียงหนึ่งในเบาะแสหลายอย่างที่ได้รับการสืบสวนอย่างละเอียดในเวลานั้น และไม่เคยนำไปสู่การตั้งข้อหาการก่อการร้าย"[23] เจ้าหน้าที่คนหนึ่งกล่าวเพิ่มเติมว่าพลเมืองกาตาร์ทั้งสามไม่เคยถูก FBI สอบปากคำมาก่อน เอลิเนอร์ ฮิลล์ อดีตผู้อำนวยการคณะกรรมการร่วมรัฐสภาว่าด้วยวินาศกรรม 11 กันยายน กล่าวว่าเอกสารลับดังกล่าวตอกย้ำคำถามเกี่ยวกับความละเอียดถี่ถ้วนของการสืบสวนของ FBI เธอยังกล่าวอีกว่าการสอบสวนสรุปว่ากลุ่มสลัดอากาศมีเครือข่ายสนับสนุนที่ช่วยเหลือพวกเขาในหลายวิธี[23]

ชายชาวกาตาร์สามคนนั้นจองเที่ยวบินจากลอสแอนเจลิสไปวอชิงตันในวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 2001 ด้วยเครื่องบินลำเดียวกับที่ถูกจี้และขับพุ่งเข้าชนเพนตากอนในวันรุ่งขึ้น แต่พวกเขากลับบินจากลอสแอนเจลิสไปกาตาร์ ผ่านวอชิงตันและลอนดอน ขณะที่เอกสารลับระบุว่ามันศูรีกำลังอยู่ระหว่างการสืบสวน แต่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายของสหรัฐกล่าวว่าไม่มีการสืบสวนเชิงรุกเกี่ยวกับเขาหรือพลเมืองกาตาร์ที่ระบุไว้ในเอกสารลับดังกล่าวแล้ว[23]

เที่ยวบิน

[แก้]

เครื่องบินลำเกิดเหตุเป็นโบอิง 757-223 ทะเบียน N644AA ซึ่งสร้างและส่งมอบแก่อเมริกันแอร์ไลน์ใน ค.ศ. 1991[24] ลูกเรือประกอบด้วยกัปตันชาลส์ เบอร์ลิงเกม (51 ปี) (ผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือและอดีตนักบินขับไล่), นักบินผู้ช่วย เดวิด ชาร์เลบัว (39 ปี), หัวหน้าพนักงานต้อนรับ รีนี เมย์ และพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน มิเชล ไฮเดนเบอร์เกอร์, เจนนิเฟอร์และเคนเนท ลูวิส[25] เครื่องบินลำนี้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 188 คน แต่มีผู้โดยสารเพียง 58 คนในวันที่ 11 กันยายน ทำให้มีอัตราการบรรทุก 33% อเมริกันแอร์ไลน์กล่าวว่าวันอังคารเป็นวันที่เดินทางน้อยที่สุดในสัปดาห์ โดยมีอัตราส่วนบรรทุกเท่ากันในวันอังคารในช่วงสามเดือนก่อนหน้าสำหรับเที่ยวบินที่ 77[26] ผู้โดยสาร บาร์บารา โอลสัน ซึ่งสามีของเธอ ทีโอดอร์ โอลสัน ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดสหรัฐคนที่ 42 กำลังเดินทางไปบันทึกรายการโทรทัศน์ Politically Incorrect[27] นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเด็กอายุ 11 ปีสามคน ผู้ดูแล และเจ้าหน้าที่ของสมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟิกสองคนอยู่บนเครื่องด้วย โดยกำลังเดินทางไปทัศนศึกษาทางตะวันตกเพื่อไปยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์น้ำแห่งชาติหมู่เกาะแชนเนล ใกล้แซนตาบาร์บารา รัฐแคลิฟอร์เนีย[28] อดีตผู้ฝึกสอนบาสเกตบอลของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ จอห์น ทอมป์สัน ได้จองตั๋วเที่ยวบินที่ 77 ไว้แต่เดิม ตามเรื่องราวที่เขาเล่าหลายครั้งในช่วงหลายปีต่อมา รวมถึงการสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 2011 ในรายการวิทยุของจิม โรม เขามีกำหนดให้ไปปรากฏตัวในรายการนั้นในวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 2001 ทอมป์สันวางแผนไปลาสเวกัสเพื่อฉลองวันเกิดเพื่อนในวันที่ 13 กันยายน และในตอนแรกยืนยันที่จะเดินทางไปที่สตูดิโอของโรมในลอสแอนเจลิสในวันที่ 11 อย่างไรก็ดี สิ่งนี้ไม่เหมาะกับรายการ ซึ่งต้องการให้เขาเดินทางในวันที่มีรายการ หลังจากที่พนักงานคนหนึ่งของโรมรับรองกับทอมป์สันเป็นการส่วนตัวว่าเขาจะสามารถเดินทางจากลอสแอนเจลิสไปลาสเวกัสได้ทันทีหลังจบรายการ ทอมป์สันก็เปลี่ยนแผนการเดินทางของเขา หลังจากนั้นเขาจะรู้สึกถึงแรงกระแทกจากการชนที่บ้านของเขาซึ่งอยู่ใกล้กับเพนตากอน[29]

การขึ้นเครื่องและออกเดินทาง

[แก้]
นวาฟและซาลิมในท่าอากาศยานดัลเลส

เช้าวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 สลัดอากาศทั้งห้าคนเดินทางมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติดัลเลส เมื่อเวลา 07:15 น. ตามเวลาตะวันออก คอลิด อัลมัฮฎอรและมาญิด มวกิดได้เช็กอินที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วของอเมริกันแอร์ไลน์สำหรับเที่ยวบินที่ 77[30] มาถึงจุดตรวจความปลอดภัยของผู้โดยสารในอีกไม่กี่นาทีต่อมาในเวลา 07:18 น.[31] ทั้งสองทำให้เครื่องตรวจจับโลหะส่งเสียงและถูกนำไปผ่านการตรวจคัดกรองขั้นที่สอง มวกิดยังคงทำให้เครื่องส่งสัญญาณเตือน ดังนั้นเขาจึงถูกตรวจค้นด้วยเครื่องตรวจโลหะมือถือ[32] พี่น้องอัลฮาซิมีเช็กอินพร้อมกันที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วเมื่อเวลา 07:29 น. ฮานี ฮันญูรเช็กอินแยกกันและมาถึงจุดตรวจความปลอดภัยผู้โดยสารเมื่อเวลา 07:35 น.[21] ฮันญูรตามมาที่จุดตรวจในอีกไม่กี่นาทีต่อมาโดยซาลิมและนวาฟ อัลฮาซิมี ซึ่งทำให้เครื่องตรวจจับโลหะส่งเสียงเตือนเช่นกัน เจ้าหน้าที่คัดกรองที่จุดตรวจไม่เคยทราบสาเหตุที่ทำให้เครื่องส่งสัญญาณเตือน จากภาพที่บันทึกไว้ของกล้องวงจรปิดซึ่งถูกเผยแพร่ในภายหลัง นวาฟ อัลฮาซิมีดูเหมือนจะมีสิ่งของที่ระบุไม่ได้อยู่ในกระเป๋าหลังของเขา มีดอเนกประสงค์ขนาดไม่เกินสี่นิ้วได้รับอนุญาตในขณะนั้นโดยองค์การบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) ให้เป็นสิ่งของที่สามารถนำขึ้นเครื่องได้[30][32] จุดตรวจความปลอดภัยผู้โดยสารที่ท่าอากาศยานนานาชาติดัลเลสดำเนินการโดยอาร์เกนไบรต์ซีเคียวริตี (Argenbright Security) ภายใต้สัญญากับยูไนเต็ดแอร์ไลน์[33]

สลัดอากาศทั้งหมดถูกเลือกให้ตรวจสอบสัมภาระโหลดใต้ท้องเครื่องเพิ่มเติม ฮันญูร, อัลมัฮฎอร และมวกิดได้รับเลือกโดยเกณฑ์ของระบบการคัดกรองผู้โดยสารโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วย (CAPPS) ขณะที่สองพี่น้องและอัลฮาซิมีได้รับเลือกเนื่องจากพวกเขาไม่ได้ให้บัตรประจำตัวที่เพียงพอและถูกเจ้าหน้าที่เช็กอินของสายการบินพิจารณาว่าน่าสงสัย ฮันญูร, อัลมัฮฎอร และนวาฟ อัลฮัาซิมีไม่ได้โหลดสัมภาระใด ๆ สำหรับเที่ยวบินนี้ สัมภาระโหลดใต้ท้องเครื่องที่เป็นของมวกิดและซาลิม อัลฮาซิมีถูกระงับไว้จนกว่าพวกเขาจะขึ้นเครื่อง[26]

ในระหว่างขั้นตอนการขึ้นเครื่อง พนักงานของเนชั่นแนลจีโอกราฟิกได้ถ่ายภาพหมู่ของครูและนักเรียนที่กำลังจะเดินทางไปทริปเกาะแชนเนลและพนักงานสองคนที่ร่วมเดินทางกับพวกเขา รวมถึงรูปภาพของเครื่องบิน ซึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจได้บันทึกภาพสุดท้ายของทั้งผู้ตกเป็นเหยื่อและ N644AA ในเบื้องหลังของภาพถ่ายหมู่ปรากฏภาพชายคนหนึ่งที่มีทรงผมและเสื้อเชิ้ตคล้ายกับนวาฟ อัลฮาซิมีจากภาพวงจรปิดของดัลเลส บ่งชี้ว่าอาจเป็นภาพสุดท้ายของสลัดอากาศเที่ยวบินที่ 77 ขณะยังมีชีวิตอยู่ด้วยเช่นกัน แต่สิ่งนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างแน่ชัด[34]

เที่ยวบินที่ 77 มีกำหนดออกเดินทางไปลอสแอนเจลิสเวลา 08:10 น. มีผู้โดยสาร 58 คนขึ้นเครื่องผ่านประตู D26 รวมถึงสลัดอากาศ5 คน ผู้โดยสารอีก 53 คนบนเครื่องไม่รวมสลัดอากาศ ได้แก่ ผู้ชาย 26 คน ผู้หญิง 22 คน และเด็ก 5 คนที่มีอายุตั้งแต่สามถึงสิบเอ็ดปี ในเที่ยวบินนี้ ฮานี ฮันญูรนั่งอยู่ด้านหน้าในที่นั่ง 1B ขณะที่ซาลิมและนวาฟ อัลฮาซิมีก็ได้นั่งในชั้นหนึ่งเช่นกันในที่นั่ง 5E และ 5F มาญิด มวกิดและคอลิด อัลมัฮฎอรนั่งอยู่ด้านหลังในที่นั่ง 12A และ 12B ในชั้นประหยัด[35] เที่ยวบินที่ 77 ออกจากประตูตามกำหนดเวลาและขึ้นบินจากรันเวย์ 30 ที่ดัลเลสเมื่อเวลา 08:20 น.[26] ณ จุดนี้ การโจมตีได้เริ่มขึ้นแล้ว เนื่องจากอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 11 ถูกจี้เมื่อหกนาทีก่อนหน้า[36] หลังเที่ยวบินที่ 77 ขึ้นบินได้ไม่นาน แดเนียล โอ'ไบรอัน ผู้ควบคุมการบิน FAA ได้ส่งมอบเที่ยวบินนี้ให้แก่เพื่อนร่วมงานที่ศูนย์อินเดียแนโพลิสของ FAA ตามปกติ ด้วยเหตุผลที่เธอไม่สามารถอธิบายได้และจะไม่มีวันเข้าใจอย่างถ่องแท้ โอ'ไบรอันไม่ได้ใช้คำพูดปกติที่เธอใช้กล่าวกับนักบิน เช่น "ขอให้เป็นวันที่ดี" หรือ "บินให้สนุก" แต่เธอกลับอวยพรพวกเขาว่า "โชคดี"[37][38]

เที่ยวบินที่ 77 บรรลุระดับความสูงการบินปกติที่ 35,000 ฟุต (10,668 เมตร) เมื่อเวลา 8:46 น. สี่นาทีหลังการจี้ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 175 เริ่มต้นขึ้น และในนาทีเดียวกันกับที่เที่ยวบินที่ 11 พุ่งชนอาคารเหนือของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์[39] การสื่อสารครั้งสุดท้ายระหว่างเที่ยวบินที่ 77 กับเจ้าหน้าที่ควบคุมภาคพื้นเกิดขึ้นสี่นาทีต่อมาเมื่อเวลา 08:50:51 น. ขณะที่ฮันญูรและทีมของเขาเตรียมการโจมตี[40]

การจี้บังคับ

[แก้]
Refer to caption
สามเฟรมจากวิดีโอของกล้องรักษาความปลอดภัยที่บันทึกภาพเที่ยวบินที่ 77 พุ่งชนเพนตากอน สามารถเห็นเครื่องบินได้ในเฟรม 2 เหนือเสาสีน้ำตาลซึ่งอยู่ไกลจากอาคารมากที่สุด

ระหว่างเวลาประมาณ 08:51 – 08:54 น. สลัดอากาศได้เริ่มการจู่โจม[41] วิธีปฏิบัติการของกลุ่มของฮันญูรนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับอีกสามกลุ่ม คือในขณะที่เหยื่อถูกข่มขู่ด้วยมีดและคัตเตอร์ แต่ไม่มีรายงานการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตก่อนเครื่องตก นักบินทั้งสองคนรอดชีวิตเมื่อห้องนักบินถูกบุกรุก และไม่มีการรายงานการใช้อาวุธเคมีหรือการขู่ว่าจะวางระเบิดโดยผู้โดยสารสองคนที่โทรศัพท์จากท้ายห้องโดยสาร[b] เวลา 08:54 น. ขณะที่เครื่องบินอยู่ใกล้กับเทศมณฑลไพก์ รัฐโอไฮโอ ก็เริ่มเบี่ยงออกจากเส้นทางการบินปกติและเลี้ยวไปทางใต้[43] สองนาทีต่อมา เครื่องรับส่งเรดาร์ (transponder) ของเครื่องบินถูกปิด[30] ระบบบินอัตโนมัติของเที่ยวบินถูกเปิดใช้งานและตั้งเส้นทางมุ่งหน้าไปทางตะวันออกไปยังวอชิงตัน ดี.ซี.[44]

ในขณะนี้ FAA ทราบว่ามีเหตุฉุกเฉินบนเครื่อง หลังทราบถึงการจี้เครื่องบินลำที่สองของอเมริกันแอร์ไลน์และการจี้เครื่องบินของยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เจอราร์ด อาร์เพย์ รองประธานบริหารของอเมริกันแอร์ไลน์ สั่งระงับการบินทั่วประเทศสำหรับสายการบิน[30] เป็นเวลาหลายนาทีที่ศูนย์ควบคุมจราจรทางอากาศอินเดียแนโพลิสและผู้ควบคุมการบินของอเมริกันแอร์ไลน์พยายามหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จในการติดต่อกับเครื่องบินที่ถูกจี้ และล้มเลิกความพยายามทันทีที่เที่ยวบินที่ 175 พุ่งชนอาคารใต้ของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์เมื่อเวลา 09:03 น.[45] ในขณะถูกจี้ เครื่องบินกำลังบินอยู่เหนือพื้นที่จำกัดสัญญาณเรดาร์[46] เมื่อผู้ควบคุมการบินไม่สามารถติดต่อเที่ยวบินทางวิทยุได้ เจ้าหน้าที่อินเดียแนโพลิสประกาศว่าเครื่องบินอาจตกเมื่อเวลา 09:09 น. ยี่สิบแปดนาทีก่อนที่เครื่องจะตกจริง[46] ในช่วงระหว่าง 09:17 ถึง 09:22 น. ฮันญูรได้ประกาศลวงผ่านระบบประกาศสาธารณะของห้องโดยสาร โดยแจ้งให้ผู้ที่อยู่บนเครื่องทราบว่าเครื่องบินถูกจี้และโอกาสที่ดีที่สุดในการเอาชีวิตรอดคือการไม่ขัดขืน[47] กลยุทธ์นี้ถูกใช้ในเที่ยวบินที่ 11 และเที่ยวบินที่ 93 โดยมีจุดประสงค์เพื่อลวงผู้โดยสารและลูกเรือให้เชื่อว่าแผนคือการลงจอดหลังได้รับค่าไถ่ อย่างไรก็ดี ในทั้งสองกรณี ความเข้าใจของกลุ่มผู้ก่อการร้ายเกี่ยวกับระบบสื่อสารภายในที่ใช้บนเครื่องบินนั้นไม่ดีเท่าของฮันญูร[48] เนื่องจากพวกเขากดไมโครโฟนผิดตัวและส่งข้อความของพวกเขาไปยังภาคพื้นแทน ไม่มีผู้โดยสารคนใดบนเที่ยวบินที่ 11 รายงานว่าได้ยินข้อความใด ๆ จากอินเตอร์คอม[49]

โทรศัพท์

[แก้]

ผู้โดยสารสองคนบนเครื่องบินได้โทรศัพท์หาคนรู้จักบนภาคพื้นรวมทั้งหมดสามครั้ง เวลา 09:12 น. พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน รีนี เมย์ โทรศัพท์หาแม่ของเธอ แนนซี เมย์ ที่ลาสเวกัส ใช้เวลาไม่ถึงสองนาที[35] ระหว่างการโทร เธออ้างอย่างผิดพลาดว่า "หกคน" ได้บังคับให้ "พวกเรา" ไปอยู่ท้ายเครื่อง แต่ไม่ได้อธิบายว่าคนที่อัดแน่นกันอยู่เป็นลูกเรือ ผู้โดยสาร หรือทั้งสองอย่าง[50][30][35] เมย์ขอให้แม่ของเธอติดต่อสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ ซึ่งเธอกับสามีก็ทำทันที[30] แม้ว่าบริษัทจะทราบเรื่องการจี้เครื่องบินแล้วก็ตาม

เวลา 09:16 น. บาร์บารา โอลสัน โทรหาสามีของเธอ เท็ด โดยอธิบายอย่างเงียบ ๆ ว่าเครื่องบินถูกจี้ และผู้ก่อเหตุติดอาวุธด้วยมีดและคัตเตอร์[30][51] เธอเปิดเผยว่าทุกคน รวมถึงนักบิน ถูกย้ายไปที่ด้านหลังของห้องโดยสารและการโทรนี้ทำขึ้นโดยที่ผู้จับตัวประกันไม่รู้ การเชื่อมต่อหลุดไปหนึ่งนาทีในการสนทนา[52] ทีโอดอร์ โอลสันติดต่อศูนย์บัญชาการที่กระทรวงยุติธรรม และพยายามติดต่ออัยการสูงสุด จอห์น แอชครอฟต์ แต่ไม่สำเร็จ[30] บาร์บารา โอลสัน โทรมาอีกครั้งในห้านาทีต่อมา แจ้งสามีของเธอเกี่ยวกับการประกาศที่ฮันญูร ผู้เป็น "นักบิน" ประกาศผ่านลำโพง[53] และถามเขาว่า "ฉันต้องบอกให้นักบินทำอะไร"[54] เมื่อถูกถามว่าอยู่ที่ไหน บาร์บาราตอบว่าพวกเขากำลังบินต่ำเหนือย่านที่อยู่อาศัย[55] ในพื้นหลัง เท็ดได้ยินผู้โดยสารอีกคนพูดถึงว่าเครื่องบินกำลังบินไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ[56] จากนั้นเขาก็ทำให้ภรรยารับรู้ถึงการโจมตีพลีชีพที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ทำให้เธอเงียบไป เท็ดสงสัยว่านี่หมายถึงเธอตกใจจนพูดไม่ออก หลังแสดงความรู้สึกและให้กำลังใจ การโทรก็ตัดขาดเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อเวลา 09:26 น.[57]

การตก

[แก้]
ภาพจากกล้องวงจรปิดขณะเที่ยวบินที่ 77 ชนเพนตากอน การปะทะเกิดขึ้นในนาที 01:27[58]
"ความเร็ว การหลบหลีก วิธีที่เขาเลี้ยว เราทุกคนในห้องเรดาร์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศที่มีประสบการณ์ คิดว่านั่นคือเครื่องบินทหาร คุณไม่สามารถขับ 757 ในลักษณะนั้นได้ มันไม่ปลอดภัย"

—แดเนียล โอ'ไบรอัน, เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศที่ท่าอากาศยานนานาชาติดัลเลส[59]

เวลา 09:29 น. หนึ่งนาทีหลังเที่ยวบินที่ 93 ถูกจี้ ผู้ก่อการร้ายบนเที่ยวบินที่ 77 ได้ปลดระบบินอัตโนมัติและเข้าควบคุมเครื่องบินด้วยตนเอง[44] เครื่องบินลำนี้เลี้ยวและลดระดับลงอย่างรวดเร็วขณะที่เข้าใกล้วอชิงตันเป็นครั้งสุดท้าย ได้รับการตรวจพบอีกครั้งบนจอเรดาร์โดยเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศที่ดัลเลส ซึ่งเข้าใจผิดว่าเป็นเครื่องบินขับไล่ของทหารในแวบแรกเนื่องจากความเร็วและท่วงท่าการเลี้ยวที่สูง[60]

ขณะที่เที่ยวบินที่ 77 อยู่ห่างจากเพนตากอนไปทางตะวันตก-ตะวันตกเฉียงใต้ 5 ไมล์ (8.0 กิโลเมตร) ในเทศมณฑลอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย มันได้เลี้ยววนตามเข็มนาฬิกา 330 องศา เมื่อสิ้นสุดการวน 757 ลดระดับลง 2,200 ฟุต (670 เมตร) โดยหันหน้าไปทางเพนตากอนและใจกลางวอชิงตัน ฮันญูรเร่งเครื่องยนต์เต็มกำลังและเริ่มพุ่งดิ่งลงสู่เป้าหมายอย่างรวดเร็ว[61] ปีกได้เฉี่ยวเสาไฟห้าต้นขณะบินต่ำเหนือพื้นดิน ขณะที่ปีกขวาชนกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบพกพา ทำให้เกิดควันขึ้นเป็นทางก่อนจะพุ่งชนกับเพนตากอนในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา[62][63]

ขณะบินด้วยความเร็ว 530 ไมล์ต่อชั่วโมง (850 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 240 เมตรต่อวินาที; 460 นอต) เหนืออาคารกองทัพเรือซึ่งอยู่ติดกับสุสานแห่งชาติอาร์ลิงตัน[64] เที่ยวบินที่ 77 ได้พุ่งชนปีกตะวันตกของเพนตากอนเมื่อเวลา 09:37:46 น.[65] เครื่องบินพุ่งชนอาคารในระดับชั้นหนึ่ง[66] และเอียงไปทางซ้ายเล็กน้อย โดยปีกขวายกขึ้นขณะพุ่งชน[67] ส่วนหน้าของลำตัวเครื่องแตกสลายทันทีเมื่อปะทะ ขณะที่ส่วนกลางและส่วนหางยังคงเคลื่อนที่ต่อไปอีกเสี้ยววินาที โดยเศษซากส่วนหางทะลุเข้าไปในอาคารได้ไกลที่สุด[66] โดยรวมแล้ว เครื่องบินใช้เวลา 0.8 วินาทีในการทะลุผ่านความยาว 310 ฟุต (94 เมตร) ของวงแหวนสามวงนอกสุดจากทั้งหมดห้าวงของโครงสร้าง[68] และปลดปล่อยลูกไฟที่พุ่งสูงขึ้น 200 ฟุต (61 เมตร) เหนืออาคาร[66] ผู้โดยสาร 64 คนบนเครื่องเสียชีวิตทันที ขณะที่อีก 125 คนในเพนตากอนเสียชีวิตทันทีหรือได้รับบาดเจ็บสาหัส

ในช่วงไม่กี่นาทีก่อนเครื่องตก เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศเรแกนได้ขอให้เครื่องบินล็อกฮีด ซี-130 เฮอร์คิวลิสของหน่วยรักษาชาติทางอากาศที่บินผ่านไปมาช่วยระบุและติดตามเครื่องบินลำดังกล่าว นักบิน พันโท สตีเวน โอ'ไบรอัน บอกพวกเขาว่าเขาเชื่อว่าเป็นโบอิง 757 หรือ 767 โดยสังเกตว่าลำตัวเครื่องสีเงินหมายความว่าน่าจะเป็นเครื่องบินของอเมริกันแอร์ไลน์มากที่สุด โอ'ไบรอันกล่าวว่าเขามีปัญหาในการมองเห็นเครื่องบินใน "หมอกควันชายฝั่งตะวันออก" แต่ในไม่กี่นาทีต่อมาเขารายงานว่าเห็นลูกไฟ "ขนาดมหึมา" สมมติฐานแรกของเขาเมื่อเขาเข้าใกล้จุดที่เครื่องตกคือเครื่องตกกระแทกพื้นดินเท่านั้น แต่เมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิดเขาก็เห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเพนตากอนฝั่งตะวันตกและแจ้งไปยังศูนย์ควบคุมเรแกนว่า "ดูเหมือนว่าเครื่องบินลำนั้นจะชนเพนตากอน"[30][69]

Refer to caption
เศษซากจากเที่ยวบินที่ 77 กระจายอยู่ใกล้เพนตากอน

ในขณะเกิดเหตุโจมตี มีผู้คนประมาณ 18,000 คนทำงานอยู่ในเพนตากอน น้อยกว่าก่อนเริ่มการปรับปรุงใน ค.ศ. 1998 อยู่ 4,000 คน[70] ส่วนของเพนตากอนที่ถูกชน ซึ่งเพิ่งได้รับการปรับปรุงด้วยงบประมาณ 250 ล้านดอลลาร์ (~378 ล้านดอลลาร์ในปี 2024)[71] เป็นที่ตั้งของศูนย์บัญชาการกองทัพเรือ[72]

Refer to caption
เพลิงไหม้ที่เพนตากอน โดยมีตำรวจและหน่วยแพทย์ฉุกเฉินในภาพ

ผู้เสียชีวิตในเพนตากอนประกอบด้วยบุคลากรทางทหาร 55 คนและพลเรือน 70 คน[73] จากผู้เสียชีวิต 125 คนนั้น 92 คนเสียชีวิตที่ชั้นหนึ่ง 31 คนที่ชั้นสอง และสองคนอยู่ที่ชั้นสาม[74] พนักงานพลเรือนของสำนักงานข่าวกรองกลาโหมเจ็ดคนเสียชีวิตขณะที่สำนักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสูญเสียผู้รับเหมาไปหนึ่งคน กองทัพบกสหรัฐมีผู้เสียชีวิต 75 คน – พลเรือน 53 คน (พนักงาน 47 คนและผู้รับเหมาหกคน) และทหาร 22 นาย – ขณะที่กองทัพเรือสหรัฐมีผู้เสียชีวิต 42 คน – พลเรือนเก้าคน (พนักงานหกคนและผู้รับเหมาสามคน) และทหารเรือ 33 นาย[75] พลโท ทิโมที มอด รองเสนาธิการกองทัพบก เป็นนายทหารยศสูงสุดที่เสียชีวิตที่เพนตากอน นอกจากนี้ พลเรือตรี วิลสัน แฟล็กก์ ซึ่งเป็นผู้โดยสารบนเครื่องก็เสียชีวิตเช่นกัน[76] เรือโท มารี-เร ซอปเปอร์, JAGC, USNR ก็อยู่บนเที่ยวบินด้วย และเป็นทนายความผู้พิพากษากองทัพเรือคนแรกที่เสียชีวิตในหน้าที่[77] อีก 106 คนได้รับบาดเจ็บภาคพื้นและได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลในพื้นที่[74]

"ผมไม่ต้องการสร้างความตกใจให้ใครตอนนี้ แต่เห็นได้ชัดว่า  เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมามันรู้สึกเหมือนมีการระเบิดบางอย่างที่นี่ในเพนตากอน"

จิม มิคลาสเชฟสกี ผู้สื่อข่าว NBC ประจำเพนตากอนรายงานจากภายในเพนตากอนเมื่อเวลา 09:39 น.[78]

ด้านข้างที่เครื่องบินชนนั้น เพนตากอนมีอาณาเขตติดกับอินเตอร์สเตต 395 และวอชิงตันบูเลอวาร์ด แมรี ไลแมน ผู้ขับรถยนต์ที่อยู่บน I-395 เห็นเครื่องบินบินผ่านไปใน "มุมที่ชันเข้าหาพื้นและไปอย่างรวดเร็ว" จากนั้นก็เห็นเมฆควันจากเพนตากอน[79] โอมาร์ แคมโป พยานอีกคนหนึ่ง อยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน:

ผมกำลังตัดหญ้าอยู่และมันก็มาพร้อมกับเสียงร้องที่ดังมากอยู่เหนือหัวผม ผมรู้สึกได้ถึงแรงกระแทก พื้นดินทั้งหมดสั่นสะเทือนและพื้นที่ทั้งหมดเต็มไปด้วยไฟ ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ที่นี่[80]

อาฟเวิร์ก ฮาโกส โปรแกรมเมอร์คอมพิวเตอร์ กำลังเดินทางไปทำงานและรถติดอยู่ใกล้เพนตากอนเมื่อเครื่องบินบินผ่าน "มีเสียงร้องที่ดังมากและผมก็ออกจากรถเมื่อเครื่องบินมาถึง ทุกคนวิ่งหนีไปทุกทิศ มันกำลังเอียงปีกขึ้นลงเหมือนกำลังพยายามรักษาสมดุล มันชนกับเสาไฟบางต้นระหว่างทาง"[80] แดริล ดอนลีย์ เป็นพยานในเหตุการณ์เครื่องบินตกและได้ถ่ายภาพแรก ๆ ของสถานที่นี้[81]

Refer to caption
มุมมองทางอากาศของพื้นที่ที่ถล่มและความเสียหายจากเพลิงไหม้ที่ตามมา

ไมก์ วอลเตอร์ ผู้สื่อข่าวของยูเอสเอทูเดย์ กำลังขับรถบนวอชิงตันบูเลอวาร์ด เมื่อเขาเป็นพยานในเหตุการณ์เครื่องบินตก:

ผมมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นเครื่องบินลำนี้ เครื่องบินไอพ่น เครื่องบินไอพ่นของอเมริกันแอร์ไลน์กำลังมา และผมคิดว่า 'นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย มันบินต่ำมาก' และผมก็เห็นมัน ผมหมายถึงมันเหมือนกับขีปนาวุธร่อนที่มีปีก มันตรงไปที่นั่นและชนเพนตากอน[82]

เทอร์เรนซ์ คีน ซึ่งอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ใกล้เคียง ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ไอพ่นที่ดังมาก เหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง และเห็น "เครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่มาก" ขณะที่เขามองดู "มันก็แค่พุ่งชนด้านข้างเพนตากอน จมูกเครื่องบินทะลุเข้าไปในมุข และจากนั้นมันก็หายไป และมีไฟและควันอยู่ทุกที่"[83] ทิม ทิมเมอร์แมน ซึ่งเป็นนักบินด้วยตนเอง สังเกตเห็นเครื่องหมายของอเมริกันแอร์ไลน์บนเครื่องบินขณะที่เขาเห็นมันชนเพนตากอน[84] ผู้ขับขี่รถยนต์คนอื่น ๆ บนวอชิงตันบูเลอวาร์ด อินเตอร์สเตต 395 และโคลัมเบียไพก์ และผู้คนในเพนตากอนซิตี คริสตัลซิตี และสถานที่ใกล้เคียงอื่น ๆ ก็เป็นพยานในเหตุการณ์เครื่องบินตกเช่นกัน[79]

การกู้ภัยและกู้ซาก

[แก้]
"ในบริเวณนี้ ... มันร้อนมากจนเศษซากกำลังหลอมละลายและหยดลงมาจากเพดานถูกผิวหนังของคุณ ซึ่งมันจะทำให้ผิวหนังไหม้เกรียมและละลายเครื่องแบบของคุณ เราเดินไปอีกเล็กน้อย เลี้ยวหัวมุมและเข้าไปในพื้นที่สำนักงานที่ถูกทำลายซึ่งกลายเป็นนรกที่โหมกระหน่ำไปด้วยความพินาศ ควัน ไฟ และความร้อนที่รุนแรงที่คุณรู้สึกได้ว่ามันกำลังเผาใบหน้าคุณ"

นาวาตรี เดวิด ทาแรนติโน บรรยายถึงเหตุการณ์ใกล้ศูนย์บัญชาการกองทัพเรือบนชั้นหนึ่ง[85]

การช่วยเหลือเริ่มขึ้นทันทีหลังเครื่องบินตก การช่วยเหลือผู้รอดชีวิตที่ประสบความสำเร็จเกือบทั้งหมดเกิดขึ้นภายในครึ่งชั่วโมงหลังจากเครื่องบินปะทะ[86] ในตอนแรก ความพยายามกู้ภัยนำโดยเจ้าหน้าที่ทหารและพลเรือนภายในอาคาร ภายในไม่กี่นาที หน่วยดับเพลิงหน่วยแรกก็มาถึงและพบอาสาสมัครเหล่านี้กำลังค้นหาอยู่ใกล้จุดที่เครื่องบินปะทะ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงสั่งให้พวกเขาออกไป เนื่องจากพวกเขาไม่มีอุปกรณ์ที่เหมาะสมหรือได้รับการฝึกฝนเพื่อรับมืออันตราย[86]

กรมดับเพลิงเทศมณฑลอาร์ลิงตัน (ACFD) เข้าควบคุมปฏิบัติการกู้ภัยทันทีภายในสิบนาทีหลังเครื่องตก ผู้ช่วยหัวหน้า ACFD เจมส์ ชวาตซ์ นำระบบบัญชาการเหตุการณ์ (ICS) มาใช้เพื่อประสานงานความพยายามในการตอบสนองระหว่างหลายหน่วยงาน[87] ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าที่โครงสร้าง ICS จะเริ่มปฏิบัติการได้อย่างเต็มที่[88] นักดับเพลิงจากฟอร์ตไมเออร์และท่าอากาศยานแห่งชาติเรแกนมาถึงภายในไม่กี่นาที[89][90] ความพยายามกู้ภัยและการดับเพลิงถูกขัดขวางโดยข่าวลือว่ามีเครื่องบินเพิ่มเติมกำลังเข้ามา หัวหน้าชวาตซ์สั่งให้อพยพสองครั้งในระหว่างวันเพื่อตอบสนองต่อข่าวลือเหล่านี้[91]

An injured victim being loaded into an ambulance at the Pentagon
เหยื่อผู้บาดเจ็บกำลังถูกนำขึ้นรถพยาบาลที่เพนตากอน

ขณะที่นักดับเพลิงพยายามดับไฟ พวกเขาก็จ้องดูอาคารด้วยความกลัวว่าโครงสร้างจะถล่มลงมา นักดับเพลิงคนหนึ่งให้ความเห็นว่าพวกเขา "รู้ค่อนข้างดีว่าอาคารกำลังจะถล่ม เพราะมันเริ่มส่งเสียงแปลก ๆ และมีเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าด"[91] เจ้าหน้าที่เห็นบัวอาคารขยับและสั่งให้อพยพ หลายนาทีต่อมา เวลา 10:10 น. ชั้นบนของพื้นที่ที่เสียหายของเพนตากอนก็ถล่ม[91] พื้นที่ที่ถล่มมีความกว้างประมาณ 95 ฟุต (29 เมตร) ณ จุดกว้างที่สุด และลึก 50 ฟุต (15 เมตร) ณ จุดลึกที่สุด[91] ระยะเวลาที่ผ่านไประหว่างการชนและการถล่มทำให้ทุกคนในชั้นสี่และห้าสามารถอพยพได้อย่างปลอดภัยก่อนที่โครงสร้างจะถล่ม[92][93] หลังเวลา 11:00 น. นักดับเพลิงได้โจมตีเพลิงไหม้จากสองด้าน เจ้าหน้าที่ประเมินอุณหภูมิไว้สูงถึง 2,000 องศาฟาเรนไฮต์ (1,090 องศาเซลเซียส)[93] ขณะที่สามารถคืบหน้าในการต่อสู้กับเพลิงไหม้ภายในได้ในช่วงบ่ายคล้อย นักดับเพลิงก็ตระหนักว่าชั้นไม้ที่ติดไฟได้ซึ่งอยู่ใต้หลังคาหินชนวนของเพนตากอนได้ลุกเป็นไฟและเริ่มลุกลาม[94] กลยุทธ์การดับเพลิงทั่วไปใช้ไม่ได้ผลเพราะโครงสร้างเสริมแรงทำให้นักดับเพลิงไม่สามารถเข้าถึงไฟเพื่อดับได้[94] นักดับเพลิงจึงสร้างแนวกันไฟบนหลังคาในวันที่ 12 กันยายนเพื่อป้องกันไม่ให้ไฟลุกลามต่อไป เวลา 18:00 น. ของวันที่ 12 เทศมณฑลอาร์ลิงตันได้ออกข่าวประชาสัมพันธ์ระบุว่าไฟอยู่ภายใต้ "การควบคุม" แต่ยังไม่ "ดับ" โดยสมบูรณ์ นักดับเพลิงยังคงดับไฟขนาดเล็กที่ปะทุขึ้นในวันต่อ ๆ มา[94]

ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของซากเครื่องบินถูกพบในซากปรักหักพังที่เพนตากอน ขณะที่ไฟไหม้และหลบหนีออกจากศูนย์บัญชาการกองทัพเรือ เรือโท เควิน เชฟเฟอร์ สังเกตเห็นชิ้นส่วนของกรวยจมูกของเครื่องบินและล้อลงจอดของจมูกในถนนบริการระหว่างวงแหวน B และ C[95] ในช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 14 กันยายน สมาชิกทีมค้นหาและกู้ภัยในเมืองเทศมณฑลแฟร์แฟกซ์ คาร์ลตัน เบิร์กแฮมเมอร์และไบรอัน โมราวิตซ์พบ "ที่นั่งที่สมบูรณ์จากห้องนักบินของเครื่องบิน"[96] ขณะที่เจ้าหน้าที่แพทย์และนักดับเพลิงพบกล่องดำสองกล่องใกล้รูทะลุในทางขับ A–E[97] ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในอาคารเกือบ300 ฟุต (91 เมตร)[67] เครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบินเสียหายและไหม้เกรียมเกินกว่าจะกู้คืนข้อมูลใด ๆ[98] แม้เครื่องบันทึกข้อมูลการบินจะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์[65] เจ้าหน้าที่สืบสวนยังพบส่วนหนึ่งของใบขับขี่ของนวาฟ อัลฮาซิมีในกองเศษซากที่ลานจอดรถด้านเหนือ[99] พบของใช้ส่วนตัวของผู้เสียชีวิตและถูกนำไปยังฟอร์ตไมเออร์[100]

ชิ้นส่วนมนุษย์

[แก้]
Refer to caption
แผนภาพแสดงชิ้นส่วนศพที่พบในเพนตากอน ชิ้นส่วนศพส่วนใหญ่พบใกล้บริเวณปะทะ

เวลา 17:30 น. ของวันแรก วิศวกรของกองทัพบกสรุปว่าไม่มีผู้รอดชีวิตเหลืออยู่ในส่วนที่เสียหายของอาคาร[101] ในช่วงหลายวันหลังเกิดการตก มีรายงานข่าวออกมาว่ามีผู้เสียชีวิตมากถึง 800 คน[102] ทหารจากกองทัพบกที่ฟอร์ตเบลวัวร์เป็นทีมแรกที่สำรวจภายในจุดตกและสังเกตเห็นว่ามีชิ้นส่วนศพอยู่[103] ทีมค้นหาและกู้ภัยในเมืองของสำนักจัดการภาวะฉุกเฉินกลาง (FEMA) รวมถึงทีมค้นหาและกู้ภัยในเมืองของเทศมณฑลแฟร์แฟกซ์ ได้ให้ความช่วยเหลือในการค้นหาชิ้นส่วนศพ โดยทำงานผ่านระบบการจัดการเหตุการณ์ร่วมระหว่างหน่วยงานแห่งชาติ (NIIMS)[103][104] เควิน ริมรอดต์ ช่างภาพกองทัพเรือที่สำรวจศูนย์บัญชาการกองทัพเรือหลังการโจมตี ให้ความเห็นว่า "มีศพมากมายจนผมเกือบจะเหยียบพวกมัน ดังนั้นผมจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งที่จะมองย้อนกลับไปในขณะที่ผมกำลังถอยหลังอยู่ในความมืด ส่องไฟฉาย และตรวจสอบให้แน่ใจว่าผมไม่ได้เหยียบใคร"[105] ซากปรักหักพังจากเพนตากอนถูกนำไปยังลานจอดรถทางเหนือของเพนตากอนเพื่อการค้นหาชิ้นส่วนศพและหลักฐานที่ละเอียดมากขึ้น[106]

ชิ้นส่วนศพที่กู้มาจากเพนตากอนได้รับการถ่ายภาพ และถูกส่งมอบแก่สำนักงานแพทย์นิติเวชกองทัพที่ตั้งอยู่ในฐานทัพอากาศโดเวอร์ในรัฐเดลาแวร์ สำนักงานแพทย์นิติเวชสามารถระบุชิ้นส่วนศพที่เป็นของเหยื่อ 179 คน[107] ในที่สุดเจ้าหน้าที่สอบสวนสามารถระบุตัวตนของผู้เสียชีวิต 184 จาก 189 คนในการโจมตีครั้งนี้[108] ชิ้นส่วนศพของสลัดอากาศทั้งห้าถูกระบุตัวตนผ่านกระบวนการคัดออก และถูกส่งมอบเป็นหลักฐานแก่สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI)[109] วันที่ 21 กันยายน กรมดับเพลิงเทศมณฑลอาร์ลิงตัน (ACFD) ได้ส่งมอบการควบคุมสถานที่เกิดเหตุอาชญากรรมแก่ FBI สำนักงานภาคสนามวอชิงตัน หน่วยตอบสนองเมืองหลวงแห่งชาติ (NCRS) และหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามการก่อการร้ายร่วม (JTTF) เป็นผู้นำการสืบสวนสถานที่เกิดเหตุอาชญากรรมที่เพนตากอน[90]

ภายในวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 2001 การค้นหาหลักฐานและชิ้นส่วนศพก็เสร็จสมบูรณ์และสถานที่ดังกล่าวถูกส่งมอบแก่ทางการเพนตากอน[106] ใน ค.ศ. 2002 ชิ้นส่วนของเหยื่อ 25 คนถูกฝังรวมกันที่สุสานแห่งชาติอาร์ลิงตัน โดยมีป้ายหินแกรนิตห้าด้านจารึกชื่อเหยื่อทั้งหมดในเพนตากอน[110] พิธีดังกล่าวยังเป็นการให้เกียรติแก่เหยื่อห้าคนที่ไม่พบชิ้นส่วน[110]

เครื่องบันทึกการบิน

[แก้]
The cockpit voice recorder from American Airlines Flight 77, as used in an exhibit at the Moussaoui trial
เครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบินของอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 77 ที่ใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีของมูซาวี

ประมาณเวลา 03:40 น. ของวันที่ 14 กันยายน เจ้าหน้าที่พยาบาลและนักดับเพลิงที่กำลังค้นหาเศษซากบริเวณที่เครื่องตกได้พบกล่องสีดำสองกล่อง ยาวประมาณ 1.5 คูณ 2 ฟุต (46 คูณ 61 เซนติเมตร) พวกเขาได้เรียกเจ้าหน้าที่ FBI ซึ่งได้เรียกเจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติ (NTSB) ต่อ เจ้าหน้าที่ NTSB ยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้คือเครื่องบันทึกการบิน ("กล่องดำ") จากเที่ยวบินที่ 77[111] ดิก บริดส์ รองผู้จัดการเทศมณฑลอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย กล่าวว่าเครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบินได้รับความเสียหายภายนอก และเครื่องบันทึกข้อมูลการบินมีรอยไหม้ บริดส์กล่าวว่าพบเครื่องบันทึก "ตรงจุดที่เครื่องบินชนอาคาร"[112]

เครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบินถูกนำส่งไปยังห้องปฏิบัติการของ NTSB ในวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อดูว่าสามารถกู้คืนข้อมูลใดได้บ้าง ในรายงาน NTSB ระบุว่าเครื่องนี้เป็นเครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบินรุ่น A-100A ของ L-3 Communications, Fairchild Aviation Recorders ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่บันทึกบนเทปแม่เหล็ก มีเศษเทปแม่เหล็กหลายชิ้นที่หลุดออกมาและพบอยู่ภายในกล่องเทป ไม่พบส่วนของเทปที่ใช้งานได้ภายในเครื่องบันทึก ตามรายงานของ NTSB "เทปบันทึกเสียงส่วนใหญ่หลอมรวมเป็นก้อนพลาสติกแข็งที่ไหม้เกรียม"[113] ในทางกลับกัน ข้อมูลทั้งหมดจากเครื่องบันทึกข้อมูลการบินซึ่งใช้ซอลิดสเตตไดรฟ์ ได้รับการกู้คืนทั้งหมด[114]

ความต่อเนื่องของปฏิบัติการ

[แก้]

ในขณะที่เกิดการชน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดอนัลด์ รัมส์เฟลด์ อยู่ในสำนักงานของเขาซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของเพนตากอน ห่างจากจุดตก เขาวิ่งไปยังที่เกิดเหตุและให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ[115] รัมส์เฟลด์กลับไปที่สำนักงานของเขา และเข้าไปในห้องประชุมที่ศูนย์สนับสนุนผู้บริหาร ซึ่งเขาได้เข้าร่วมการประชุมทางไกลผ่านวิดีโอที่ปลอดภัยกับรองประธานาธิบดี ดิก ชีนีย์ และเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ[116] ในวันที่เกิดการโจมตี เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมได้พิจารณาย้ายการปฏิบัติการบัญชาการของพวกเขาไปยังไซต์อาร์ (Site R) ซึ่งเป็นสถานที่สำรองในรัฐเพนซิลเวเนีย แต่รัมส์เฟลด์ยืนกรานจะยังคงอยู่ที่เพนตากอน และได้ส่งพอล วูลโฟวิตซ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ไปยังไซต์อาร์แทน ศูนย์บัญชาการทหารแห่งชาติ (NMCC) ยังคงปฏิบัติการอยู่ที่เพนตากอน แม้จะมีควันเข้ามาในอาคาร[117] วิศวกรและผู้จัดการอาคารได้ปรับเปลี่ยนระบบระบายอากาศและระบบอาคารอื่น ๆ ที่ยังคงใช้งานได้ เพื่อดึงควันออกจากศูนย์บัญชาการทหารแห่งชาติและนำอากาศบริสุทธิ์เข้ามา[118]

ระหว่างการแถลงข่าวที่จัดขึ้นภายในเพนตากอนในเวลา 18:42 น. รัมส์เฟลด์ได้ประกาศว่า "เพนตากอนยังคงทำงานได้ และจะเปิดทำการในวันพรุ่งนี้"[119] พนักงานของเพนตากอนกลับมาทำงานในวันรุ่งขึ้นในสำนักงานที่ส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ และเมื่อสิ้นเดือนกันยายน พนักงานจำนวนมากขึ้นก็ได้กลับมาทำงานในพื้นที่ของเพนตากอนที่ได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย[106]

ผลพวง

[แก้]
Refer to caption
ส่วนที่ได้รับความเสียหายของเพนตากอน

ประมาณการเบื้องต้นในการสร้างส่วนที่เสียหายของเพนตากอนขึ้นมาใหม่คือจะใช้เวลาสามปีจึงจะแล้วเสร็จ[106] อย่างไรก็ดี โครงการนี้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วกว่ากำหนดและแล้วเสร็จภายในวันครบรอบหนึ่งปีของการโจมตี[120] ส่วนที่สร้างขึ้นใหม่ของเพนตากอนมีอนุสรณ์และโบสถ์น้อยในอาคาร ณ จุดปะทะ[121] อนุสรณ์สถานกลางแจ้ง ซึ่งได้รับมอบหมายจากเพนตากอนและออกแบบโดยจูลี เบ็กแมนและคีท เคสแมน สร้างเสร็จตามกำหนดสำหรับการเปิดใช้งานเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2008[122]

วิดีโอจากกล้องวงจรปิด

[แก้]
วิดีโอจากกล้องวงจรปิดตัวที่สอง การปะทะเกิดขึ้นในนาที 0:25

กระทรวงกลาโหมสหรัฐเผยแพร่ภาพวิดีโอเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 ที่บันทึกโดยกล้องวงจรปิด แสดงให้เห็นเหตุการณ์อเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 77 พุ่งชนเพนตากอน โดยมีภาพเครื่องบินปรากฏให้เห็นในหนึ่งเฟรมเป็น "เงาสีขาวบาง ๆ ที่พร่ามัว" และตามมาด้วยการระเบิด[123] ภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะเพื่อตอบสนองต่อคำขอตามรัฐบัญญัติเสรีภาพการเข้าถึงข้อมูลในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2004 ของกลุ่มจูดิเชียลวอตช์ (Judicial Watch)[124] ภาพนิ่งบางส่วนจากวิดีโอได้ถูกเผยแพร่และเผยแพร่สู่สาธารณะก่อนหน้านี้แล้ว แต่ครั้งนี้เป็นการเผยแพร่อย่างเป็นทางการครั้งแรกของวิดีโอเหตุการณ์การตกที่ผ่านการตัดต่อแล้ว[125]

ปั๊มน้ำมันซิตโกที่อยู่ใกล้เคียงก็มีกล้องวงจรปิดเช่นกัน แต่วิดีโอที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 2006 ไม่ได้แสดงภาพเหตุการณ์การตกเนื่องจากกล้องหันไปในทิศทางอื่น[126][127]

โรงแรมดับเบิลทรีในคริสตัลซิตีที่อยู่ใกล้เคียงก็มีวิดีโอจากกล้องวงจรปิดด้วยเช่นกัน FBI ได้เผยแพร่วิดีโอดังกล่าวเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 2006 เพื่อตอบสนองต่อคดีความตามรัฐบัญญัติเสรีภาพการเข้าถึงข้อมูลที่ยื่นโดยสกอตต์ บิงแฮม ภาพจากวิดีโอนั้น "เป็นเม็ดและโฟกัสไม่ชัด แต่สามารถมองเห็นกลุ่มควันขนาดใหญ่ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วอยู่ไกล ๆ บริเวณขอบบนของเฟรม ขณะที่เครื่องบินพุ่งชนอาคาร"[128]

อนุสรณ์

[แก้]
มีการใช้ธงเพื่อรำลึกถึงจุดเกิดเหตุ
Refer to caption
แผง S-69 ที่สระใต้ของอนุสรณ์สถานแห่งชาติ 11 กันยายน เป็นหนึ่งในหกแห่งที่จารึกชื่อของเหยื่อที่เพนตากอน[129]
อนุสรณ์สถานเพนตากอน ไม่นานก่อนเปิดในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2011

วันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 2002 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดอนัลด์ รัมส์เฟลด์ และพลเอก ริชาร์ด ไมเออส์ ประธานคณะเสนาธิการร่วม ได้เปิดอนุสรณ์เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจากการโจมตีของผู้ก่อการร้ายที่เพนตากอน ณ สุสานแห่งชาติอาร์ลิงตัน[130] อนุสรณ์นี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่บุคคลห้าคนโดยเฉพาะ ซึ่งไม่พบร่างที่สามารถระบุตัวตนได้[131] รวมถึง เดนา ฟอลเคนเบิร์ก เด็กหญิงวัย 3 ขวบที่อยู่บนอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 77 พร้อมกับพ่อแม่และพี่สาวของเธอ[131] ชิ้นส่วนของร่างผู้เสียชีวิตอีก 25 คนก็ถูกฝังไว้ที่บริเวณนั้นเช่นกัน [132] อนุสรณ์เป็นป้ายหินแกรนิตรูปห้าเหลี่ยม[133] สูง 4.5 ฟุต (1.4 เมตร)[131] บนห้าด้านของอนุสรณ์ตามแนวขอบด้านบนสลักคำว่า "เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจากการโจมตีของผู้ก่อการร้ายที่เพนตากอน 11 กันยายน 2001" มีแผ่นโลหะอะลูมิเนียมพ่นสีดำสลักชื่อเหยื่อ 184 คนจากการโจมตีของผู้ก่อการร้าย[131] สถานที่ตั้งอยู่ในเซ็กชัน 64[134] บนเนินเล็ก ๆ ซึ่งทำให้สามารถมองเห็นเพนตากอนได้[131]

ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ 11 กันยายน ชื่อของเหยื่อที่เพนตากอนถูกจารึกไว้บนแผงหกแผงที่สระใต้[135]

อนุสรณ์สถานเพนตากอน ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเพนตากอนในเทศมณฑลอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย เป็นอนุสรณ์สถานกลางแจ้งถาวรสำหรับ 184 คนที่เสียชีวิตในอาคารและบนเครื่องอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 77 ระหว่างการโจมตีวินาศกรรม 11 กันยายน[136] ออกแบบโดยจูลี เบ็กแมนและคีท เคสแมน จากบริษัท Kaseman Beckman Advanced Strategies[137] โดยมีวิศวกรจากบริษัท Buro Happold[138] อนุสรณ์สถานแห่งนี้เปิดเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2019 เจ็ดปีหลังจากวินาศกรรม

สัญชาติของเหยื่อบนเครื่อง

[แก้]

ผู้โดยสาร 53 คน (ไม่รวมสลัดอากาศ) และลูกเรือหกคนมาจาก:

สัญชาติผู้โดยสารลูกเรือรวม
 สหรัฐ47653
 จีน202[139]
 ออสเตรเลีย101
 เอธิโอเปีย101
 เกาหลีใต้101
 สหราชอาณาจักร101
รวม 53 6 59

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "9/11 Commission Staff Report" (PDF). September 2005. pp. 202–203. สืบค้นเมื่อ May 6, 2023.
  2. 9/11 Commission 2004a, p. 372.
  3. Bergen, Peter (September 23, 2006). "What were the causes of 9/11?". Prospect. สืบค้นเมื่อ August 11, 2025. Three of the four 9/11 pilots and two key planners, Ramzi bin al Shibh and Khalid Sheikh Mohammed, became more militant while living in the west. Perceived discrimination, alienation and homesickness seem to have turned them all in a more radical direction. This is true for other anti-western terrorists.
  4. "9/11 Commission Staff Report" (PDF). September 2005. p. 18. สืบค้นเมื่อ May 6, 2023.
  5. "9/11 Commission Staff Report" (PDF). September 2005. p. 19. สืบค้นเมื่อ May 6, 2023.
  6. 9/11 Commission 2004a, p. 50.
  7. 9/11 Commission 2004a, p. 20.
  8. David W. Chen (September 19, 2001). "A Nation Challenged: The Suspect – Man Traveled Across U.S. In His Quest to Be a Pilot". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 12, 2014. สืบค้นเมื่อ February 8, 2015.
  9. Yardley, Jim; Thomas, Jo (June 19, 2002). "Traces of Terror: The F.B.I.; For Agent in Phoenix, the Cause of Many Frustrations Extended to His Own Office". The New York Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 17, 2009. สืบค้นเมื่อ June 4, 2008.
  10. "Four Planes, Four Coordinated Teams". The Washington Post. 2001. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 24, 2011. สืบค้นเมื่อ June 17, 2001.
  11. Sennott, Charles M. (March 3, 2002). "Why bin Laden plot relied on Saudi hijackers". The Boston Globe. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 13, 2008. สืบค้นเมื่อ May 29, 2008.
  12. 1 2 3 4 5 "The Attack Looms". 9/11 Commission Report. National Commission on Terrorist Attacks Upon the United States. 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 23, 2013. สืบค้นเมื่อ May 29, 2008.
  13. Wright, Lawrence (2006). "Chapter 18, "Boom"". Looming Tower. Alfred P. Knopf. ISBN 978-0375414862. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 10, 2020. สืบค้นเมื่อ November 14, 2019.
  14. Bamford, James; Willis, Scott (February 3, 2009). "The Spy Factory". PBS. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 11, 2014. สืบค้นเมื่อ July 2, 2013.
  15. Goldstein, Amy (September 30, 2001). "Hijackers Led Core Group". The Washington Post. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 5, 2008. สืบค้นเมื่อ May 29, 2008.
  16. The Spy Factory, PBS Frontline episode based on James Bamford's book, Shadow Factory เก็บถาวร เมษายน 11, 2014 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  17. 1 2 "Chronology". Monograph on 9/11 and Terrorist Travel (PDF). National Commission on Terrorist Attacks Upon the United States. p. 22. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ May 29, 2008. สืบค้นเมื่อ May 25, 2008.
  18. 1 2 Martin, John P. (September 27, 2001). "Landlord Identifies Terrorists as Renters". The Star-Ledger.
  19. Masters, Brooke A.; Smith, Leef; Shear, Michael D. (September 19, 2001). "Dulles Hijackers Made Maryland Their Base; Residents Recall Men as Standoffish". The Washington Post. The men who hijacked Flight 77 also made a concerted effort to stay in shape. All five visited the Gold's Gym on Greenbelt Road during the first week of September
  20. Olson, Bradley (September 9, 2006). "MD. Was Among Last Stops For Hijackers; Those Who Recall Encounters Are Haunted By Proximity To Agents Of Tragic Event". The Baltimore Sun. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 22, 2012. สืบค้นเมื่อ May 30, 2008.
  21. 1 2 9/11 Commission (2004). "Notes". 9/11 Commission Report. National Commission on Terrorist Attacks Upon the United States. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 30, 2008. สืบค้นเมื่อ May 30, 2008.
  22. Federal Bureau of Investigation (February 4, 2008). "Hijackers' Timeline" (PDF). 9/11 Myths. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ August 3, 2008. สืบค้นเมื่อ August 1, 2008.
  23. 1 2 3 Isikoff, Michael (February 2, 2011). "WikiLeaks cable revives talk of 9/11 support network". MSNBC. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 11, 2011. สืบค้นเมื่อ February 18, 2011.
  24. "Flight Path Study – American Airlines Flight 77" (PDF). National Transportation Safety Board. February 19, 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ August 24, 2006. สืบค้นเมื่อ May 30, 2008.
  25. "American Airlines Flight 77". CNN. 2001. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 12, 2008. สืบค้นเมื่อ May 29, 2008.
  26. 1 2 3 "Staff Monograph on the "Four Flights and Civil Aviation Security"" (PDF). National Commission on Terrorist Attacks Upon the United States. September 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ March 6, 2008. สืบค้นเมื่อ August 14, 2008.
  27. Moraes, Lisa (September 17, 2001). "Letterman's Back Tonight, but Don't Expect a Biting Monologue". The Washington Post.
  28. "Team from National Geographic Killed in Pentagon Crash". National Geographic Society. September 12, 2001. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 18, 2008. สืบค้นเมื่อ June 10, 2008.
  29. Brennan, Eamonn (September 12, 2011). "John Thompson's surreal 9/11 story". College Basketball Nation Blog. ESPN.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 8, 2014. สืบค้นเมื่อ September 16, 2011.
  30. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 "'We Have Some Planes'". 9/11 Commission Report. National Commission on Terrorist Attacks Upon the United States. 2004. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 14, 2008. สืบค้นเมื่อ May 30, 2008.
  31. "The Aviation Security System and the 9/11 Attacks – Staff Statement No. 3" (PDF). National Commission on Terrorist Attacks Upon the United States. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ May 28, 2008. สืบค้นเมื่อ May 30, 2008.
  32. 1 2 "New Video of 9/11 hijackers at Dulles Airport before attacks". Anderson Cooper 360. July 21, 2004. CNN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 1, 2013.
  33. Orecklin, Michele; Land, Greg (November 19, 2001). "Why Argenbright Sets Off Alarms". Time. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 23, 2013. สืบค้นเมื่อ May 30, 2008.
  34. "Out of the Ashes: How the Tragedy of September 11 Left Its Mark on the National Marine Sanctuary System".
  35. 1 2 3 "Summary of Flight 77". United States District Court for the Eastern District of Virginia. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 1, 2014. สืบค้นเมื่อ February 4, 2007.
  36. National Commission on Terrorist Attacks Upon the United States (2004). "Chapter 1". 9/11 Commission Report. Government Printing Office. p. 21.
  37. "Dulles air traffic controller recalls 'chilling' day - October 24, 2001". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 18, 2021.
  38. "Air Traffic Controllers Recall 9/11". ABC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 24, 2009. สืบค้นเมื่อ June 27, 2020.
  39. (9/11 Commission 2004a, p. 25, chpt. 1)
  40. Gregor, Joseph A. (December 21, 2001). "ATC Report American Airlines Flight 77" (PDF). National Transportation Safety Board. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ October 29, 2012. สืบค้นเมื่อ September 25, 2011.
  41. (9/11 Commission 2004a, p. 27, chpt. 1)
  42. "Final Report of the 9/11 Commission" (PDF). National Commission on Terrorist Attacks Upon the United States. 2004. p. 26.
  43. Sciolino, Elaine; Cushman, John H. Jr. (2001-09-13). "After the Attacks: American Flight 77; A Route Out of Washington, Horribly Changed". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2021-04-27.
  44. 1 2 O'Callaghan, John; Bower, Daniel (February 13, 2002). "Study of Autopilot, Navigation Equipment, and Fuel Consumption Activity Based on United Airlines Flight 93 and American Airlines Flight 77 Digital Flight Data Recorder Information" (PDF). National Transportation Safety Board. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ June 4, 2011. สืบค้นเมื่อ June 1, 2008.
  45. "Flight Path Study - American Airlines Flight 77" (PDF). February 19, 2002. สืบค้นเมื่อ May 27, 2023.
  46. 1 2 Phillips, Don (November 3, 2001). "Pentagon Crash Highlights a Radar Gap". The Washington Post.
  47. (9/11 Commission 2004a, p. 29, chpt. 1)
  48. "The First 109 Minutes: 9/11 and the U.S. Air Force" (PDF). 2011. p. 37.
  49. "Final Report of the 9/11 Commission" (PDF). National Commission on Terrorist Attacks Upon the United States. 2004. pp. 36 and 46.
  50. "Home | National Security Archive". nsarchive.gwu.edu.
  51. Johnson, Glen (November 23, 2001). "Probe reconstructs horror, calculated attacks on planes". The Boston Globe. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 8, 2008. สืบค้นเมื่อ June 1, 2008.
  52. O'Brien, Tim (September 11, 2001). "Wife of Solicitor General alerted him of hijacking from plane". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 10, 2013. สืบค้นเมื่อ September 25, 2011.
  53. (9/11 Commission 2004a, p. 26, chpt. 1)
  54. Laura Parker (September 13, 2001). "Four flights, four tales of terror". USA Today. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 8, 2016. สืบค้นเมื่อ February 8, 2015.
  55. Producers: Colette Beaudry and Michael Cascio (September 23, 2005). "Zero Hour". Inside 9/11. National Geographic Channel.
  56. National Commission on Terrorist Attacks Upon the United States (2004). "Chapter 1". 9/11 Commission Report. Government Printing Office. p. 9.
  57. Harnden, Toby (March 5, 2002). "'She Asked Me How to Stop the Plane'". The Telegraph. United Kingdom: Telegraph Group Limited. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-09-05.
  58. "Flight 77, Video 2". Judicial Watch. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 12, 2009.
  59. "Air Traffic Controllers Recall 9/11". 20/20. ABC News. October 24, 2001. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 29, 2013. สืบค้นเมื่อ June 5, 2008.
  60. Fisher, Marc; Phillips, Don (September 12, 2001). "On Flight 77: 'Our Plane Is Being Hijacked'". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 11, 2016. สืบค้นเมื่อ June 1, 2008.
  61. National Commission on Terrorist Attacks Upon the United States (2004). "Chapter 1". 9/11 Commission Report. Government Printing Office. p. 27.
  62. "9/11 Survivor Wants Life For Moussaoui". WRC-TV. April 25, 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 9, 2008. สืบค้นเมื่อ June 2, 2008.
  63. Curiel, Jonathan (September 3, 2006). "The Conspiracy to Rewrite 9/11". San Francisco Chronicle. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 19, 2008. สืบค้นเมื่อ June 2, 2008.
  64. Goldberg et al., p. 14.
  65. 1 2 "American Airlines Flight 77 FDR Report" (PDF). National Transportation Safety Board. January 31, 2002. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ September 26, 2007. สืบค้นเมื่อ June 2, 2008.
  66. 1 2 3 Goldberg, Alfred; และคณะ (2007). Pentagon 9/11. Washington, D.C.: United States Government Printing Office. p. 17. ISBN 978-0160783289.
  67. 1 2 Mlakar, Paul F.; Dusenberry, Donald O.; Harris, James R.; Haynes, Gerald; Phan, Long T.; Sozen, Mete A. (January 2003). The Pentagon Building Performance Report (PDF). American Society of Civil Engineers. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ June 24, 2008. สืบค้นเมื่อ June 19, 2008.
  68. John N. Maclean (August 1, 2008). "America Under Attack". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 18, 2014. สืบค้นเมื่อ February 8, 2015.
  69. Schmitt, Eric; Lichtblau, Eric (June 18, 2004). "To the Minute, Panel Paints a Grim Portrait of Day's Terror". The New York Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 9, 2014. สืบค้นเมื่อ June 1, 2008.
  70. Goldberg et al., p. 3.
  71. "Phoenix Rising: The Rebuilding of the Pentagon" (Flash). The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 9, 2008. สืบค้นเมื่อ June 2, 2008.
  72. Zablotsky, Sarah (June 11, 2003). "Survivor of Pentagon attack has a positive attitude". Pittsburgh Post-Gazette. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 5, 2011. สืบค้นเมื่อ June 2, 2008.
  73. Andrea Stone (August 20, 2002). "Military's aid and comfort ease 9/11 survivors' burden". USA Today. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 11, 2015. สืบค้นเมื่อ February 8, 2015.
  74. 1 2 Goldberg et al., pp. 23–24.
  75. Goldberg, Alfred, Pentagon 9/11, pp. 208–212.
  76. "Sept. 11 fallen warrior memorialized in building dedication" (Press release). United States Army. April 30, 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 3, 2010. สืบค้นเมื่อ June 10, 2008.
  77. "Mari-Rae Sopper: 9112001". Mari-rae.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 5, 2013. สืบค้นเมื่อ April 8, 2014.
  78. "'Hardball with Chris Matthews' for May 16". Hardball with Chris Matthews. NBC News. May 16, 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 30, 2014. สืบค้นเมื่อ May 30, 2008.
  79. 1 2 "Terrible Tuesday". The Washington Post. September 16, 2001.
  80. 1 2 Borger, Julian (September 12, 2001). "'Everyone was screaming, crying, running. It's like a war zone'". The Guardian. London. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 16, 2008. สืบค้นเมื่อ June 19, 2008.
  81. "Documentary Photographs". Library of Congress, Prints and Photographs Division. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 11, 2006. สืบค้นเมื่อ November 12, 2006.
  82. Anderson, Porter (September 11, 2001). "Witnesses to the moment: Workers' voices". CNN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 30, 2009. สืบค้นเมื่อ June 10, 2008.
  83. Sheridan, Mary B (September 12, 2001). "Loud Boom, Then Flames In Hallways; Pentagon Employees Flee Fire, Help Rescue Injured Co-Workers". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 12, 2018. สืบค้นเมื่อ October 12, 2018.
  84. "Transcripts – America Under Attack: Eyewitness Discusses Pentagon Plane Crash". CNN. September 11, 2001. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 19, 2013. สืบค้นเมื่อ June 10, 2008.
  85. Goldberg et al., pp. 55–56.
  86. 1 2 Goldberg et al., p. 51.
  87. Goldberg et al., p. 72.
  88. Goldberg et al., p. 77.
  89. Goldberg et al., p. 78.
  90. 1 2 "Arlington, Virginia After-Action Report" (PDF). Arlington County Fire Department. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ September 27, 2007. สืบค้นเมื่อ June 10, 2008.
  91. 1 2 3 4 Goldberg et al., pp. 80–82.
  92. Goldberg et al., p. 20.
  93. 1 2 Goldberg et al., pp. 86–90.
  94. 1 2 3 Goldberg et al., pp. 91–95.
  95. Swift, Earl (September 9, 2002). "Inside the Pentagon on 9/11: The Call of Duty". The Virginian-Pilot (Hampton Roads). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 30, 2004.
  96. "Web Exclusive: Washington's Heroes – On the ground at the Pentagon on Sept. 11". MSNBC. September 28, 2001. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 10, 2010.
  97. Creed, Patrick; Rick Newman (2008). "Chapter 41: A Great Find". Firefight: Inside the Battle to Save the Pentagon on 9/11. Random House.
  98. Murray, Frank J. (September 15, 2001). "Pentagon plane voice recorder is too 'cooked' to aid in probe". The Washington Times.
  99. "Prosecution Trial Exhibits – Exhibit Number PE00102". United States District Court for the Eastern District of Virginia. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 9, 2014. สืบค้นเมื่อ June 19, 2008.
  100. Wilkinson, Marian (September 9, 2002). "Capital punishment". Melbourne: The Age (Australia). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 14, 2013. สืบค้นเมื่อ June 24, 2008.
  101. Goldberg et al., p. 97.
  102. "Twin Towers Demolished, Pentagon Hit in Terrorist Attacks". Foxnews.com. September 12, 2001. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 1, 2013. สืบค้นเมื่อ June 10, 2008.
  103. 1 2 Goldberg et al., p. 119.
  104. Eversburg, Rudy (November 1, 2002). "The Pentagon Attack on 9-11: Arlington County (VA) Fire Department Response". Fire Engineering. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 4, 2014. สืบค้นเมื่อ June 10, 2008.
  105. Goldberg et al., pp. 121–122.
  106. 1 2 3 4 Vogel, Steve (October 3, 2001). "Search for Remains Ends at Pentagon". The Washington Post.
  107. "Mass Fatality Management for Incidents Involving Weapons of Mass Destruction" (PDF). U.S. Army Research Development and Engineering Command and the Office for Domestic Preparedness. August 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ August 2, 2008. สืบค้นเมื่อ June 24, 2008.
  108. Kelly, Christopher (November 29, 2001). "Forensic feat IDs nearly all Pentagon victims". Stripe. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 13, 2011. สืบค้นเมื่อ June 27, 2008.
  109. Vogel, Steve (November 21, 2001). "Remains Unidentified For 5 Pentagon Victims; Bodies Were Too Badly Burned, Officials Say". The Washington Post.
  110. 1 2 Steve Vogel (September 13, 2002). "Lost and, Sometimes, Never Found". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 17, 2014. สืบค้นเมื่อ February 8, 2015.
  111. Rosenberg, Debra (September 28, 2001). "Washington's Heroes: On the ground at the Pentagon on Sept. 11". MSNBC. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 26, 2004. สืบค้นเมื่อ November 2, 2009.
  112. "Searchers find Pentagon black boxes". USA Today. Associated Press. September 14, 2001. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 8, 2014. สืบค้นเมื่อ February 8, 2015.
  113. "Specialist's Factual Report of Investigation: Cockpit Voice Recorder". National Transportation Safety Board. April 30, 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 11, 2014. สืบค้นเมื่อ November 2, 2009.
  114. "Specialist's Factual Report of Investigation: Digital Flight Data Recorder" (PDF). NTSB. January 31, 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ October 10, 2012. สืบค้นเมื่อ February 28, 2014.
  115. Vobejda, Barbara (September 11, 2001). "'Extensive Casualties' in Wake of Pentagon Attack". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 25, 2011. สืบค้นเมื่อ June 20, 2008.
  116. Creed, Patrick; Rick Newman (2008). Firefight: Inside the Battle to Save the Pentagon on 9/11. Presidio Press. pp. 276–277. ISBN 978-0891419051.
  117. "Battling the Pentagon Blaze After 9/11". NPR/WHYY – Fresh Air. May 22, 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 27, 2014. สืบค้นเมื่อ June 24, 2008.
  118. Creed and Newman, p. 278
  119. "DoD News Briefing on Pentagon Attack". United States Department of Defense. September 11, 2001. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 7, 2008. สืบค้นเมื่อ June 24, 2008.
  120. "Project Phoenix: Pentagon offices rise from rubble". CNN. September 4, 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 10, 2009. สืบค้นเมื่อ June 24, 2008.
  121. Kevin Freking (September 9, 2006). "Public Honors 9/11 Fallen at Pentagon". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 8, 2015. สืบค้นเมื่อ February 8, 2015.
  122. Shaughnessy, Larry (May 24, 2008). "Nearly complete Pentagon memorial tells story of 9/11". CNN. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 25, 2012. สืบค้นเมื่อ September 12, 2011.
  123. "Video of 9/11 plane hitting Pentagon is released". NBC News. Associated Press. May 16, 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 30, 2014. สืบค้นเมื่อ June 10, 2008.
  124. "Judicial Watch Obtains September 11 Pentagon Video" (Press release). Judicial Watch. May 16, 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 11, 2008. สืบค้นเมื่อ June 11, 2008.
  125. "Images show September 11 Pentagon crash". CNN. March 8, 2002. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 31, 2008. สืบค้นเมื่อ June 11, 2008.
  126. "CITGO Gas Station Cameras Near Pentagon Evidently Did Not Capture Attack" (Press release). Judicial Watch. September 15, 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 1, 2008. สืบค้นเมื่อ June 11, 2008.
  127. "Videotapes dispel conspiracy; Plane, not missile seen hitting Pentagon on 9/11". The Washington Times. May 17, 2006.
  128. "FBI Releases New Footage of 9/11 Pentagon Attack". KWTX-TV. December 4, 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 8, 2006. สืบค้นเมื่อ June 11, 2008.
  129. "South Pool: Panel S-74 – Timothy J. Maude". National September 11 Memorial & Museum. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 27, 2013. สืบค้นเมื่อ October 29, 2011.
  130. Garamone, Jim. "Remains of Pentagon Attack Victims Buried at Arlington". American Forces Press Service. September 12, 2002. Accessed September 7, 2011.
  131. 1 2 3 4 5 Cass, Connie. "Cremated Remains of Pentagon Victims Are Laid to Rest at National Cemetery". Associated Press. September 13, 2002.
  132. "Arlington Funeral Honors Unidentified Victims". CNN.com. September 12, 2002. Accessed September 7, 2011.
  133. Pusey, Allen. "Final Service Honors Victims of Pentagon Attack". Dallas Morning News. September 13, 2002.
  134. Vogel, Steve. "Lost and, Sometimes, Never Found". Washington Post. September 13, 2002.
  135. About: The Memorial Names Layout. Memorial Guide: National 9/11 Memorial. Retrieved December 11, 2011. เก็บถาวร กรกฎาคม 27, 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  136. "Pentagon Memorial Project Schedule". Pentagon Renovation Program. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 13, 2003. สืบค้นเมื่อ October 12, 2006.
  137. Miroff, Nick (September 11, 2008). "Creating a Place Like No Other". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 20, 2011. สืบค้นเมื่อ July 26, 2011.
  138. "Pentagon Memorial". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 10, 2010. สืบค้นเมื่อ September 12, 2010.
  139. "Spokesman on the terrorist attacks on New York and Washington". Consulate General of China, New York. 2001-09-13. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 3, 2002. สืบค้นเมื่อ 2002-06-03.
  1. เครื่องบินลำดังกล่าวเป็นโบอิง 757-200; โบอิงจะกำหนดรหัสเฉพาะสำหรับแต่ละบริษัทที่ซื้อเครื่องบินของตน ซึ่งจะถูกใช้แทรกในหมายเลขรุ่นในขณะสร้าง ดังนั้น "757-223" จึงหมายถึง 757-200 ที่สร้างขึ้นสำหรับอเมริกันแอร์ไลน์ (รหัสลูกค้า 23)
  2. Although the two people who made phone calls did not mention the use of chemical weapons or bomb threats, the 9/11 Commission noted that both of them were originally from the first-class cabin and had been moved to the rear, implying the first class area may have been uninhabitable.[42]

ผลงานอ้างอิง

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]

38°52′15″N 77°03′30″W / 38.87095°N 77.05827°W / 38.87095; -77.05827