พื้นที่อพยพที่ 2
พื้นที่อพยพที่ 2 | |
---|---|
พิกัด: 14°07′35″N 102°53′49″E / 14.126359°N 102.896900°E | |
ประเทศ | ไทย |
จังหวัด | สระแก้ว |
อำเภอ | ตาพระยา |
เปิดโดย รัฐบาลไทย | มกราคม 2528 |
พื้นที่ | |
• ทั้งหมด | 7.5 ตร.กม. (2.9 ตร.ไมล์) |
ประชากร (2532) | |
• ทั้งหมด | 198,000 คน |
• ความหนาแน่น | 26,400 คน/ตร.กม. (68,000 คน/ตร.ไมล์) |
พื้นที่อพยพที่ 2[a] หรือ พื้นที่อพยพ 2[1] (อังกฤษ: Site 2 หรือ Site II) หรือ ค่ายผู้อพยพพื้นที่ 2[b] (อังกฤษ: Site Two Refugee Camp) เป็นค่ายผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดบนชายแดนไทย–กัมพูชา และเป็นค่ายผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเวลาหลายปี ค่ายนี้ก่อตั้งขึ้นในเดือนมกราคม พ.ศ. 2528 ระหว่างการบุกโจมตีกองกำลังเวียดนามในช่วงฤดูแล้งระหว่าง พ.ศ. 2527–2528[2] ตั้งอยู่ที่พื้นที่ตำบลทัพไทย อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว[3]
พื้นที่อพยพที่ 2 ถูกปิดในกลางปี พ.ศ. 2536 และประชากรส่วนใหญ่ถูกส่งตัวกลับกัมพูชาโดยสมัครใจ[4]
การก่อสร้างค่าย
[แก้]ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2528 รัฐบาลไทยร่วมกับหน่วยบรรเทาทุกข์ชายแดนแห่งสหประชาชาติ (UNBRO) และหน่วยงานสหประชาชาติอื่น ๆ ตัดสินใจย้ายประชากรที่พลัดถิ่นจากค่ายผู้ลี้ภัยที่ถูกทำลายจากกิจกรรมทางทหารไปอยู่ในค่าย ๆ เดียว ซึ่งหน่วยงานบรรเทาทุกข์สามารถให้บริการร่วมกันได้[5] พื้นที่อพยพที่ 2 ตั้งอยู่ในประเทศไทย ห่างจากอรัญประเทศไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 70 กิโลเมตร ใกล้กับตาพระยา ห่างจากชายแดนกัมพูชาประมาณ 4 กิโลเมตร
ประชากรค่าย
[แก้]พื้นที่อพยพที่ 2 คลุมพื้นที่ 7.5 ตารางกิโลเมตร (2.9 ตารางไมล์) ประกอบด้วยประชากรของค่ายผู้อพยพหนองเสม็ด (ฤทธิเสน), ค่ายผู้อพยพบางปู, ค่ายผู้อพยพหนองจาน, ค่ายผู้อพยพน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี (ค่ายที่ตั้งอยู่บนชายแดนไทย-กัมพูชาทางตะวันออก ใกล้กับลาว[6]) ค่ายซานโร (ค่ายซานโรชางอัน), ค่ายผู้อพยพโอบก จังหวัดบุรีรัมย์, ค่ายบานซังแก (ค่ายอัมพิล) และค่ายผู้อพยพพนมดงรัก[7][5]: 88 ซึ่งทั้งหมดถูกขับไล่จากการสู้รบระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2527 ถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2528 ค่ายเหล่านี้สนับสนุนการต่อต้านที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ซึ่งนำโดยแนวร่วมปลดปล่อยชาติเขมร (KPNLF) ของซอน ซาน[8] อย่างไรก็ตามพื้นที่อพยพที่ 2 นั้นมีความตั้งใจที่จะให้เป็นค่ายผู้ลี้ภัยสำหรับพลเรือนและต้องการให้กองกำลังของแนวร่วมปลดปล่อยชาติเขมร (KPNLAF) ไปตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่สถานที่อื่น[9]
ส่วนหนึ่งของค่ายได้รับการสงวนไว้สำหรับผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2531 ประเทศไทยได้ย้ายผู้อพยพทางเรือชาวเวียดนามไปยังพื้นที่อพยพที่ 2 โดยตรง[10][11]
ระหว่างปี พ.ศ. 2532 ถึง พ.ศ. 2534 จำนวนประชากรในค่ายเพิ่มขึ้นจาก 145,000 คนเป็นมากกว่า 198,000 คน[12]
บริการในค่าย
[แก้]ในช่วงแรก โครงการที่พื้นที่อพยพที่ 2 นั้นจำกัดอยู่แค่บริการสนับสนุนขั้นพื้นฐานที่สุดเท่านั้น ได้แก่ การดูแลทางการแพทย์ โปรแกรมสาธารณสุข สุขอนามัย การก่อสร้าง และการฝึกทักษะในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินการของค่าย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย "การป้องปรามอย่างมีมนุษยธรรม" ของไทย ซึ่งก็คือหลักการที่ว่าค่ายไม่ควรกลายเป็นที่ตั้งถิ่นฐานถาวรหรือให้ความช่วยเหลือในระดับที่เกินกว่าที่ผู้ลี้ภัยคาดว่าจะพบในกัมพูชา[5]: 100
บริการในค่ายส่วนใหญ่จัดทำโดย คณะกรรมการผู้ลี้ภัยอเมริกัน (ARC), สำนักงานคาธอลิกเพื่อการบรรเทาทุกข์ฉุกเฉินและผู้ลี้ภัย (COERR), Concern, Christian Outreach (COR), Handicap International, International Rescue Committee, Catholic Relief Services (CRS), Japan International Volunteer Center (JVC), Malteser-Hilfsdienst Auslandsdienst (MHD), องค์การแพทย์ไร้พรมแดน, Operation Handicap International (OHI), International Rescue Committee (IRC), Japan Sotoshu Relief Committee (JSRC) และ YWAM[13] องค์กรเหล่านี้ได้รับการประสานงานโดย UNBRO ซึ่งรับผิดชอบโดยตรงในการแจกจ่ายอาหารและน้ำ[13]
อาหารและน้ำ
[แก้]ในแต่ละสัปดาห์จะมีการแจกข้าว ปลากระป๋องหรือปลาแห้ง ไข่ 1 ฟอง และผัก 1 อย่างให้กับพื้นที่อพยพที่ 2 ส่วนของถั่วแห้ง น้ำมัน เกลือ และแป้งสาลีจะได้รับเดือนละครั้ง[14] ปริมาณที่แน่นอนของปันส่วนรายสัปดาห์และรายเดือนในปี พ.ศ. 2533 มีดังนี้:
- ข้าว: 3.4 กิโลกรัม/สัปดาห์
- ไข่: 100 กรัม/สัปดาห์
- ผัก: 500 กรัม/สัปดาห์
- ผลิตภัณฑ์จากปลา: 210 กรัม/สัปดาห์
- ถั่วเมล็ดแห้ง: 500 กรัม/เดือน
- น้ำมัน: 700 กรัม/เดือน
- เกลือ: 280 กรัม/เดือน
- แป้งสาลี: 700 กรัม/เดือน[5]: 134–140
น้ำเป็นปัญหาเฉพาะที่พื้นที่อพยพที่ 2 UNBRO ได้สร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่บ้านวัฒนา ห่างจากค่ายประมาณ 12 กิโลเมตร น้ำส่วนใหญ่ของพื้นที่อพยพที่ 2 มาจากอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ แต่ในฤดูแล้ง แม้แต่แหล่งน้ำนี้ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของค่าย ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2533 UNBRO เริ่มเจาะบ่อน้ำบาดาลหลายแห่งในค่าย ซึ่งแหล่งน้ำเหล่านี้ได้กลายเป็นแหล่งน้ำเสริมที่ช่วยเติมความต้องการใช้น้ำภายในค่ายได้มาก[5]: 96
การบริการด้านสุขภาพ
[แก้]บริการทางการแพทย์มีให้โดยโรงพยาบาลที่มีพื้นดินมุงจากไม้ไผ่ 5 แห่ง และคลินิกผู้ป่วยนอก 8 แห่ง ซึ่งมีแพทย์และพยาบาลจากหน่วยงานอาสาสมัครระหว่างประเทศ ตลอดจนแพทย์และพยาบาลชาวเขมร ไม่มีศูนย์ผ่าตัดและภาวะฉุกเฉิน การผ่าตัดจะถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาลคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ที่ศูนย์ฯ เขาอีด่าง[15] แม้ว่าสมาชิกในครอบครัวของทหารแนวร่วมปลดปล่อยชาติเขมร (KPNLAF) สามารถรับการรักษาพยาบาลและการผ่าตัดได้ที่โรงพยาบาลทหารเชียงดาว (Chiang Daoy Military Hospital) ซึ่งอยู่บริเวณนอกค่ายทางรอบนอกด้านเหนือ[5]: 75
การศึกษา
[แก้]การศึกษาที่พื้นที่อพยพที่ 2 ดำเนินไปอย่างช้า ๆ เนื่องมาจากนโยบาย "การป้องปรามอย่างมีมนุษยธรรม" ของรัฐบาลไทย ซึ่งขัดขวางโครงการและบริการที่จะดึงดูดผู้ลี้ภัยจากกัมพูชา ในปี พ.ศ. 2531 ด้วยข้อตกลงของรัฐบาลไทย UNBRO ได้เปิดตัวโครงการความช่วยเหลือทางการศึกษาใหม่ที่สำคัญ โดยมุ่งเน้นที่ระดับประถมศึกษาและให้การสนับสนุนการพัฒนาหลักสูตร การพิมพ์สื่อการสอน การฝึกอบรมครูและการฝึกอบรมผู้ฝึกอบรมครู การจัดหาอุปกรณ์ การก่อสร้างและอุปกรณ์ในห้องเรียน
ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2532 ระบบโรงเรียนประกอบด้วยโรงเรียนประถมศึกษาประมาณ 50 แห่ง ซึ่งมีนักเรียนประมาณ 70,000 คน โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น (collèges) 3 แห่งและโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย (lycées) สามแห่งซึ่งมีนักเรียนประมาณ 7,000 คน และผู้ใหญ่มากกว่า 10,000 คนในโครงการทักษะการอ่านเขียนและอาชีพ การเรียนการสอนเป็นภาษาเขมรโดยครูประถมศึกษาประมาณ 1,300 คน และครูมัธยมศึกษาตอนปลายมากกว่า 300 คน ซึ่งคัดเลือกมาจากภายในค่ายเกือบทั้งหมด[16]
ความปลอดภัย
[แก้]ตำรวจเขมรทำหน้าที่ดูแลหน้าที่ตำรวจแบบดั้งเดิมภายในพื้นที่อพยพที่ 2 จนถึงปี พ.ศ. 2530 การรักษาความปลอดภัยโดยรวมของพื้นที่อพยพที่ 2 เป็นความรับผิดชอบของหน่วยทหารพรานพิเศษที่รู้จักกันในชื่อ หน่วยเฉพาะกิจ 80 อย่างไรก็ตาม หน่วยนี้ถูกกล่าวหาว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง[17][18][19] จนกระทั่งถูกยุบในเดือนเมษายน พ.ศ. 2531[20] และแทนที่ด้วยหน่วยควบคุมผู้หลบหนีเข้าเมืองจากกัมพูชา (นกค.88; Displaced Persons Protection Unit: DPPU) ซึ่งเป็นกำลังกึ่งทหารที่ได้รับการฝึกเป็นพิเศษที่ถูกจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2531 เพื่อรักษาความปลอดภัยบนชายแดนไทย–กัมพูชา โดยมีหน้าที่ปกป้องขอบเขตค่ายและป้องกันไม่ให้โจรหรือกลุ่มใดรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ค่าย[5]: 104
การปิดค่าย
[แก้]พื้นที่อพยพที่ 2 ถูกปิดลงช่วงกลางปี พ.ศ. 2536 และประชากรส่วนใหญ่ถูกส่งตัวกลับกัมพูชาโดยสมัครใจ[4]
การพัฒนา
[แก้]หลังจากการปิดพื้นที่อพยพที่ 2 รวมถึงค่ายผู้อพยพอื่น ๆ และประชากรในค่ายถูกส่งตัวกลับกัมพูชาแล้ว พื้นที่ดังกล่าวถูกทูลเกล้าถวายข้อมูลโครงการฟื้นฟูศูนย์อพยพจำนวน 3 แห่งในคราวที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ฯ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนกองกำลังบูรพาเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2536 โดยได้พระราชทานชื่อว่า "โครงการทับทิมสยาม" มีจุดประสงค์ในการเป็นหมู่บ้านยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศ เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้ที่เสื่อมโทรม ลดการบุกรุกพื้นที่ป่า และการอนุรักษ์แหล่งน้ำตามธรรมชาติ ซึ่งพื้นที่อพยพที่ 2 ได้พัฒนาเป็นโครงการทับทิมสยาม 03 อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และก่อตั้งเป็นหมู่บ้านทับทิมสยาม 03 ในปี พ.ศ. 2536 ดำเนินการโดยสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์[21]และหน่วยงานราชการต่าง ๆ ในพื้นที่[3]
ดูเพิ่ม
[แก้]- วิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมของกัมพูชา
- วิกฤตผู้ลี้ภัยอินโดจีน
- ศูนย์ที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หลบหนีเข้าเมืองจากกัมพูชาเขาอีด่าง
- ค่ายผู้อพยพหนองจาน
- ค่ายผู้อพยพหนองเสม็ด
- ค่ายผู้อพยพสระแก้ว
หมายเหตุ
[แก้]- ↑ ชื่อที่ใช้เรียกขานและติดบนป้ายหน้าศูนย์เป็นภาษาไทย จากแหล่งข้อมูลเปิดที่สืบค้นได้บนภาพถ่ายในเฟสบุ๊กแฟนเพจ อดีตนักรบ หน่วยเฉพาะกิจ 80 ฉก.80
- ↑ ชื่อแปลตามภาษาอังกฤษที่เรียกขานโดยชาวต่างชาติ
อ้างอิง
[แก้]- ↑ กาลานุกรม หน่วยรบพิเศษกองทัพบกไทยจากอดีตสู่ปัจจุบัน. หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ.
- ↑ Robinson C. Terms of refuge: The Indochinese Exodus and the International Response. London ; New York, New York: Zed Books; Distributed in the USA exclusively by St. Martin's Press, 1998, p. 92.
- ↑ 3.0 3.1 โครงการหมู่บ้านทับทิมสยาม 03 (PDF). กรมพัฒนาที่ดิน.
- ↑ 4.0 4.1 Grant M, Grant T, Fortune G, Horgan B. Bamboo & Barbed Wire: Eight Years as a Volunteer in a Refugee Camp. Mandurah, W.A.: DB Pub., 2000.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 5.5 5.6 French LC. Enduring Holocaust, Surviving History: Displaced Cambodians on the Thai-Cambodian Border, 1989-1991. Harvard University, 1994.
- ↑ Lynch, James F. Border Khmer: A Demographic Study of the Residents of Site II, Site B,and Site 8. The Ford Foundation, 1989.
- ↑ "TRẠI TỊ NẠN ĐƯỜNG BỘ VIỆT NAM TẠI BIÊN GIỚI". ttnbg.blogspot.com.
- ↑ Normand, Roger, "Inside Site 2," Journal of Refugee Studies, 1990;3:2:156-162, p. 158.
- ↑ Reynell J. Political Pawns: Refugees on the Thai-Kampuchean Border. Oxford: Refugee Studies Programme, 1989.
- ↑ Robinson, p. 96.
- ↑ "TRẠI TỊ NẠN ĐƯỜNG BỘ VIỆT NAM TẠI BIÊN GIỚI". ttnbg.blogspot.com.
- ↑ "Site II Demographic Survey,"
- ↑ 13.0 13.1 "Services at Site II,"
- ↑ Reynell, J., "Socio-economic Evaluation of the Khmer camps on the Thai/Kampuchean Border," Oxford University Refugee Studies Programme. Report Commissioned by World Food Programme, Rome, 1986.
- ↑ Soffer, Allen and Wilde, Henry, "Medicine in Cambodian Refugee Camps," Annals of Internal Medicine, 1986;105:618-621, p. 619.
- ↑ Gyallay-Pap, Peter, "Reclaiming a Shattered Past: Education for the Displaced Khmer in Thailand," Journal of Refugee Studies, 1989;2:2:257-275, p. 266.
- ↑ Abrams F, Orentlicher D, Heder SR. Kampuchea: After the Worst: A Report on Current Violations of Human Rights. New York: Lawyers Committee for Human Rights, 1985. ISBN 0-934143-29-3
- ↑ Lawyers Committee for Human Rights (U.S.). Seeking Shelter: Cambodians in Thailand: A Report on Human Rights. New York: Lawyers Committee for Human Rights, 1987. ISBN 0-934143-14-5
- ↑ Al Santoli, Eisenstein LJ, Rubenstein R, Helton AC, Refuge Denied: Problems in the Protection of Vietnamese and Cambodians in Thailand and the Admission of Indochinese Refugees into the United States. New York: Lawyers Committee for Human Rights, No.: ISBN 0-934143-20-X, 1989.
- ↑ New York Times, "Thailand to Phase Out Unit Accused of Abusing Refugees," April 7, 1988.
- ↑ "พื้นที่ดำเนินงาน". Chulabhorn Research Institute.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- French Lindsay Cole, Mam B, Wuthy T, Grant T, Veasna M. Displaced Lives: Stories of Life and Culture from the Khmer in Site II, Thailand. International Rescue Committee, 1980.
- French, Lindsay Cole. Enduring Holocaust, Surviving History: Displaced Cambodians on the Thai-Cambodian Border, 1989-1991. Harvard University, 1994
- Thai-Cambodian Border Camps: Site Two
- Braile, L. E. (2005). We Shared the Peeled Orange: the letters of "Papa Louis" from the Thai-Cambodian Border Refugee Camps, 1981-1993. Saint Paul, Syren Book Co.
- Vietnamese Refugees at Site II
- Tim Grant's Site Two Photo Album
- More of Tim Grant's Site Two Photos at Flickr[1]