ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แมคดอนเนลล์ ดักลาส เอฟ-4 แฟนทอม 2"
ล โรบอต แก้ไข: en:McDonnell Douglas F-4 Phantom II |
|||
บรรทัด 136: | บรรทัด 136: | ||
[[de:McDonnell F-4]] |
[[de:McDonnell F-4]] |
||
[[el:F-4 Phantom II]] |
[[el:F-4 Phantom II]] |
||
[[en:F-4 Phantom II]] |
[[en:McDonnell Douglas F-4 Phantom II]] |
||
[[es:McDonnell Douglas F-4 Phantom II]] |
[[es:McDonnell Douglas F-4 Phantom II]] |
||
[[et:F-4 Phantom II]] |
[[et:F-4 Phantom II]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 03:08, 10 มิถุนายน 2553
บทบาท | เครื่องบินสกัดกั้นและเครื่องบินขับไล่โจมตี |
---|---|
ชาติกำเนิด | สหรัฐ |
บริษัทผู้ผลิต | แมคดอนเนลล์ ดักลาส |
บินครั้งแรก | 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2501 |
เริ่มใช้ | 30 มกราคม พ.ศ. 2503 |
สถานะ | มี 631 ลำที่ใช้โดยกองกำลังที่ไม่ใช่สหรัฐฯ สหรัฐฯ ใช้เป็นโดรนในปีพ.ศ. 2551 |
ผู้ใช้งานหลัก | กองทัพอากาศสหรัฐ กองทัพเรือสหรัฐ กองนาวิกโยธินสหรัฐ |
ช่วงการผลิต | พ.ศ. 2501-2524 |
จำนวนที่ผลิต | 5,195 ลำ |
มูลค่า | 2.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
เอฟ-4 แฟนทอม 2 (อังกฤษ: F-4 Phantom II)[1][2] เป็นเครื่องบินสกัดกั้นโจมตีพิสัยไกลทุกสภาพอากาศสองที่นั่ง สองเครื่องยนต์ ความเร็วเหนือเสียง เดิมทีสร้างมาเพื่อกองทัพเรือสหรัฐฯ โดยแมคดอนเนลล์ แอร์คราฟท์[2] ด้วยการที่มันใช้งานง่ายมันจึงได้กลายมาเป็นเครื่องบินส่วนใหญ่ของกองทัพเรือ กองนาวิกโยธิน และกองทัพอากาศสหรัฐฯ[3] มันถูกใช้อย่างกว้างขวางโดยทั้งสามกองทัพในสงครามเวียดนามโดยทำหน้าที่เป็นเครื่องบินขับไล่ครองความได้เปรียบทางอากาศหลักให้กับกองทัพเรือและกองทัพอากาศ เช่นเดียวกับทำหน้าที่ลาดตระเวนและโจมตีภาคพื้นดิน[3]
มันเข้าประจำการครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2503 แฟนทอมยังคงเป็นส่วนสำคัญของกองทัพสหรัฐฯ ตลอดจนทศวรรษที่ 1970 และ 1980 ด้วยการถูกแทนที่โดยเอฟ-15 อีเกิลและเอฟ-16 ไฟท์ติ้งฟอลคอนในกองทัพอากาศสหรัฐฯ ส่วนในกองทัพเรือสหรัฐฯ แทนที่มันด้วยเอฟ-14 ทอมแคทและเอฟ/เอ-18 ฮอร์เน็ท และเอฟ/เอ-18อี/เอฟ ซูเปอร์ฮอร์เน็ทในกองนาวิกโยธิน มันยังคงถูกใช้ทำหน้าที่ลาดตระเวนโดยสหรัฐฯ ในสงครามอ่าวจนออกจากหน้าที่ในปีพ.ศ. 2539[4][5] แฟนทอมยังถูกใช้โดยประเทศอื่นๆ อีก 11 ประเทศ อิสราเอลได้ใช้แฟนทอมอย่างกว้างขวางในสงครามอาหรับ-อิสราเอล ในขณะที่อิหร่านใช้กองบินขนาดใหญ่ในสงครามอิรัก-อิหร่าน แฟนทอมยังคงอยู่ในแนวหน้าของเจ็ดประเทศด้วยกัน และยังใช้เป็นเป้าหมายไร้คนขับของกองทัพอากาศสหรัฐฯ[6]
การผลิตแฟนทอมเริ่มขึ้นจากปีพ.ศ. 2501-2524 พร้อมมีเครื่องบินทั้งสิ้น 5,195 ลำที่ผลิตออกมา[3] การผลิตมากขนาดนี้ทำให้มันเป็นเครื่องบินไอพ่นที่ผลิตออกมามากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากเอฟ-86 เซเบอร์ที่สร้างออกมาเกือบ 10,000 ลำ
คำอธิบาย
เอฟ-4 แฟนทอมถูกออกแบบให้เป็นเครื่องบินขับไล่ป้องกันประจำกองบินสำหรับกองทัพเรือสหรัฐฯ และได้เข้าประจำการครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2503 ในปีพ.ศ. 2506 มันได้ถูกใช้โดยกองทัพอากาศสหรัฐฯ ให้ทำหน้าที่เครื่องบินขับไล่โจมตี เมื่อการผลิตสิ้นสุดลงในปีพ.ศ. 2524 แฟนทอม 2 จำนวน 5,195 ลำคือจำนวนทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมา ทำให้มันเป็นเครื่องบินทางทหารของสหรัฐฯ ที่มีจำนวนมากที่สุด[7] จนกระทั่งมีการสร้างเอฟ-15 อีเกิล เอฟ-4 ยังคงทำสถิติในการเป็นเครื่องบินขับไล่ที่มีระยะการผลิตยาวนานที่สุดคือ 24 ปี วัตกรรมของเอฟ-4 รวมทั้งเรดาร์พัลส์และการใช้ไทเทเนียมในการทำโครงสร้าง[8]
แม้ว่าจะมีมิติที่โอ่อ่าและน้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุดมากกว่า 27,000 กิโลกรัม[9] เอฟ-4 ก็ยังทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 2.23 มัคและมีการไต่ระดับมากกว่า 41,000 ฟุตต่อนาที[10] ไม่นานหลังจากนำมันมาใช้แฟนทอมก็ทำสถิติโลกไว้ 15 สถิติด้วยกัน[11] ซึ่งรวมทั้งความเร็วสัมบูรณ์ที่ 2,585 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและความสูงสัมบูรณ์ที่ 98,557 ฟุต[12] แม้ว่าจะเกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2502-2505 ทั้งห้าสถิติความเร็วก็ยังอยู่จนกระทั่งถึงปีพ.ศ. 2518 เมื่อเอฟ-15 อีเกิลเข้าประจำการ[11]
เอฟ-4 สามารถบรรทุกอาวุธได้มากถึง 8,480 กิโลกรัมบนที่ตั้งเก้าตำบลรวมทั้งขีปนาวุธอากาศสู่อากาศทั้งที่นำและไม่นำวิถี และระเบิดนิวเคลียร์[13] ตั้งแต่ที่เอฟ-8 ครูเซเดอร์ถูกใช้เพื่อการต่อสู้ระยะใกล้ เอฟ-4 จึงถูกออกแบบมาเหมือนกับเครื่องบินสกัดกั้นลำอื่นๆ คือไม่มีปืนใหญ่[14] ในการต่อสู้ผู้ควบคุมเรดาร์หรือผู้ควบคุมระบบอาวุธ (มักเรียกว่าผู้นั่งหลังหรือแบ็คซีทเตอร์ (backseater)) จะช่วยในการหาตำแหน่งข้าศึกด้วยสายตาเช่นเดียวกันเรดาร์ มันได้กลายมาเป็นเครื่องบินขับไล่โจมตีหลักทั้งของกองทัพเรือและกองทัพอากาศเมื่อจบสงครามเวียดนาม
เนื่องมาจากรูลักษณ์ที่โดดเด่นและการใช้งานอย่างแพร่หลายโดยกองทัพและพันธมิตรของสหรัฐฯ เอฟ-4 จึงเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่โด่งดังของสงครามเย็น มันได้ทำหน้าที่ในเวียดนามและสงครามอาหรับ-อิสราเอล พร้อมกับนักบินเอฟ-4 ของอเมริกาที่ได้ชัยชนะ 227 ครั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และการโจมตีภาคพื้นดินอีกนับไม่ถ้วน[15]
เอฟ-4 แฟนทอมยังได้เป็นเครื่องบินขับไล่แบบสุดท้ายของอเมริกาที่ได้สถานะยอดเยี่ยมในศตวรรษที่ 20 ในสงครามเวียดนามนักบินหนึ่งนายและผู้ควบคุมอาวุธสองนายจากกองทัพอากาศ[16] และนักบินหนึ่งนายและผู้ควบคุมเรดาร์หนึ่งนายจากกองทัพเรือ[17]ได้ทำการรบทางอากาศที่ยอดเยี่ยม มันยังสามารถทำหน้าที่ลาดตระเวนทางยุทธวิธีและทำการกดดันการป้องกันทางอากาศของศัตรู โดยได้ทำหน้าที่ในปีพ.ศ. 2534 ในสงครามอ่าว[4][5]
การทำงานของเครื่องบินขับไล่ชั้น 2 มัคพร้อมพิสัยไกลและขนาดบรรทุกเท่าเครื่องบินทิ้งระเบิดได้กลายมาเป็นแม่แบบของเครื่องบินขับไล่รุ่นต่อๆ มา แฟนทอมได้ถูกแทนที่โดยเอฟ-15 อีเกิลและเอฟ-16 ไฟท์ติ้งฟอลคอนในกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในกองทัพเรือนั้นมันถูกแทนที่โดยเอฟ-14 ทอมแคทและเอฟ/เอ-18 ฮอร์เน็ท ฮอร์เน็ทนั้นได้รับหน้าที่เป็นเครื่องบินขับไล่สองบทบาท[18]
การออกแบบและการพัฒนา
ต้นกำเนิด
ในปีพ.ศ. 2495 หัวหน้าด้านอากาศพลศาสตร์ของแมคดอนเนลล์เดวิด เอส ลีวิสได้ถูกแต่งตั้งโดยจิม แมคดอนเนลล์ให้เป็นผู้จัดการในการออกแบบของบริษัท[19] เมื่อไม่มีเครื่องบินลำใดเข้าแข่งขัน ทางกองทัพเรือมีความต้องการเครื่องบินแบบใหม่อย่างมากซึ่งมันก็คือเครื่องบินขับไล่โจมตี[20]
ในปีพ.ศ. 2496 แมคดอนเนลล์ แอร์คราฟท์เริ่มทำการปรับปรุงเอฟ3เอช ดีมอนเพื่อขยายขีดความสามารถและการทำงานที่ดีขึ้น บริษัทได้สร้างโครงการมากมายรวมทั้งแบบที่ใช้เครื่องยนต์ไรท์ เจ67[21] และไรท์ เจ65 สองเครื่องหรือเครื่องยน์เจเนรัล อิเลคทริก เจ79 สองเครื่อง[22] รุ่นที่ใช้เจ79 ได้แสดงให้เห็นถึงความเร็วสูงสุดที่ 1.97 มัค เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2496 แมคดอนเนลล์ตรงเข้าหากองทัพเรือสหรัฐฯ พร้อมข้อเสนอสำหรับซูเปอร์ดีมอน ด้วยความไม่เหมือนใครเครื่องบินลำนี้สามารถใช้ได้หนึ่งหรือสองที่นั่งสำหรับภารกิจที่แตกต่างกันไป มันมีเรดาร์ กล้องถ่ายภาพ ปืนใหญ่ขนาด 20 ม.ม.สี่กระบอกหรือจรวดไม่วำวิถี 56 ลูกในเก้าตำบลทั้งใต้ปีกและใต้ลำตัว กองทัพเรือสนใจมันอย่างมากเพื่อเติมเต็มเอฟ3เอช/จี/เอช แต่ก็รู้สึกว่ากรัมแมน เอ็กซ์เอฟ9เอฟ-9 และวอท เอ็กซ์เอฟ8ยู-1 ที่กำลังมาก็มีความเร็วเหนือเสียงอยู่แล้ว[23]
แบบของแมคดอนเนลล์ได้ถูกทำใหม่ให้เป็นเครื่องบินขับไล่โจมตีทุกสภาพอากาศพร้อมที่ติดตั้งอาวุธ 11 ตำบลและในวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2497 บริษัทได้รับจดหมายที่แสดงความสนใจต้นแบบวายเอเอช-1 สองลำ ในวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2498 นายทหารสี่นายจากกองทัพเรือได้มาถึงที่สำนักงานแมคดอนเนลล์และภายในหนึ่งชั่วโมง พวกเขาได้แสดงความต้องการใหม่ทั้งหมดต่อบริษัท เพราะว่ากองทัพเรือมีเครื่องเอ-4 สกายฮอว์คสำหรับการโจมตีภาคพื้นดินและเอฟ-8 ครูเซเดอร์สำหรับการต่อสู้ทางอากาศอยู่แล้ว โครงการจึงเปลี่ยนมาเพื่อเติมเต็มความต้องการเครื่องบินสกัดกั้นในทุกสภาพอากาศแทน โดยใช้ลูกเรือสองนายในการใช้เรดาร์ที่ทรงพลัง[2]
ต้นแบบเอ็กซ์เอฟ4เอช-1
เอ็กซ์เอฟ4เอช-1 ถูกออกแบบมาเพื่อบรรทุกขีปนาวุธนำวิถีด้วยเรดาร์เอเอเอ็ม-เอ็น-6 สแปร์โรว์ 3 และใช้เครื่องยนต์เจ79-จีอี-8 สองเครื่องยนต์ เช่นเดียวกับเอฟ-101 วูดูที่เครื่องยนต์อยู่ในระดับต่ำเพื่อเพิ่มความจุของเชื้อเพลิงและตักอากาศเข้าสู่ช่องรับลม ปีที่บางทำมุม 45° และติดตั้งระบบควบคุมสำหรับเพิ่มการควบคุมความเร็วในระดับต่ำ[24]
การทดสอบในอุโมงค์ลมได้เผยให้เห็นความไม่สเถียรที่ต้องการมุมปีกเพิ่มอีก 5°[25] เพื่อหลีกเลี่ยงการออกแบบใหมา วิศวกรของแมคดอนเนลล์ได้เพิ่มมุมขึ้นอีก 12° ซึ่งเฉลี่ยแล้วก็เท่ากับ 5° ของปลายปีกทั้งสอง นอกจากนั้นปีกยังได้รับส่วนที่เรียกว่าเขี้ยวสุนัข (dogtooth) สำหรับเพิ่มมุมปะทะ ส่วนหางของเครื่องบินทั้งหมดถูกเลื่อนเพิ่มทำมุม 23° เพื่อให้ทำมุมปะทะได้ในขณะที่หางเองก็ไม่ไปบังท่อไอเสีย[24] นอกจากนี้ที่รับลมถูกติดตั้งเข้าไปพร้อมส่วนลาดเอียงที่เคลื่อนที่ได้เพื่อควบคุมทิศทางการไหลเวียนของอากาศสู่เครื่องยนต์ในความเร็วเหนือเสียง ความสามารถในการเข้าสกัดกั้นทุกสภาพอากาศนั้นมาจากเรดาร์แบบเอเอ็ฯ/เอพีคิว50 เพื่อทำงานบนเรือบรรทุกเครื่องบินอุปกรณ์ลงจอดจึงได้ติดตั้งลงไปพร้อมอัตราจม 23 ฟุตต่อวินาที ในขณะที่ส่วนจมูกยืดอีก 20 นิ้ว (50 ซ.ม.) เพื่อเพิ่มมุมปะทะตอนวิ่งขึ้น[25]
การตั้งชื่อ
ตอนแรกนั้นมีการเสนอชื่อให้เอฟ4เอชเป็น"ซาตาน"และ"มิธราส"เทพแห่งแสงของเปอร์เซีย[26] สุดท้ายเครื่องบินก็ได้ชื่อ"แฟนทอม 2" แฟนทอมแรกนั้นคือเครื่องบินไอพ่นอีกแบบของแมคดอนเนลล์คือเอฟเอช แฟนทอม แฟนทอม 2 ถูกใช้ชื่อเอฟ-110เอและ"สเปกเตอร์"โดยกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ใช้อย่างจริงจัง[27]
การทดสอบต้นแบบ
ในวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2498 กองทัพเรือได้สั่งซื้อเอ็กซ์เอฟ4เอช-1 สำหรับทดสอบจำนวนสองลำและวายเอฟ4เอช-1 ห้าลำที่เป็นการสั่งซื้อก่อนการผลิต แฟนทอมทำการบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2501 พร้อมโรเบิร์ต ซีลิตเติลผู้ควบคุม ปัญหาไฮดรอลิกของล้อลงจอดนั้นปรากฏขึ้นแต่ก่อนบินเที่ยวต่อๆ มาก็ราบรื่น การทดสอบก่อนหน้าทำให้เกิดการออกแบบช่องรับลมใหม่ รวมทั้งช่องปล่อยลมบนแผ่นลาด และไม่นานเครื่องบินก็เตรียมแข่งกับเอ็กซ์เอฟ8ยู-3 ครูเซเดอร์ 3 เนื่องมาจากปริมาณที่มันทำงานได้กองทัพเรือต้องการเครื่องบินสองที่นั่งและในวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2501 เอฟ4เอชถูกประกาศว่าเป็นผู้ชนะ ความล้าช้าของเครื่องยนต์เจ79-จีอี-8 หมายความว่าเครื่องบินในการผลิตครั้งแรกใช้เครื่องยนต์เจ79-จีอี-2 และ -2เอแทน ซึ่งแต่ละเครื่องให้กำลัง 16,100 ปอนด์เมื่อใช้สันดาปท้าย ในปีพ.ศ. 2503 แฟนทอมเริ่มทำการทดสอบความเหมาะสมกับเรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส อินดีเพนเดนซ์[25]
การผลิต
ในการผลิตช่วงแรกเรดาร์ถูกพัฒนาให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นแบบเอเอ็น/เอพีคิว-72 และห้องนักบินถูกดัดแปลงเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยและทำให้ห้องนักบินส่วนหนัลงมีพื้นที่มากขึ้น[28] แฟนทอมประสบกับการเปลี่ยนแปลงมากมายทำให้มีแบบต่างๆ จำนวนมาก
กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้รับแฟนทอมตามที่รัฐมนตรีกลาโหมฌรเบิร์ต แมคนามาราได้ผลักดันให้มีการสร้างเครื่องบินที่เหมาะกับทุกกองทัพ หลังจากที่เอฟ-4บีได้ชัยชนะใน"ปฏิบัติการไฮสปีด" (Operation Highspeed) เหนือคู่แข่งที่เป็นเอฟ-106 เดลต้า ดาร์ท กองทัพอากาศจึงได้ยืมเอฟ-4บีของกองทัพเรือมาสองลำ และใช้ชื่อว่าเอฟ-110เอ เปกเตอร์ชั่วคราวในเดือนมกราคม พ.ศ. 2505 และได้เพิ่มความต้องการในแบบของพวกเขาเอง มันไม่เหมือนกับของกองทัพเรือตรงที่กองทัพอากาศนั้นเน้นไปที่บทบาททิ้งระเบิด ด้วยการรวมชื่อของแมคนามาราเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2505 แฟนทอมได้กลายมาเป็นเอฟ-4 โดยที่กองทัพเรือเรียกมันว่าเอฟ-4บีและกองทัพอากาศเรียกว่าเอฟ-4ซี แฟนทอมของกองทัพอากาศทำการบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2506 โดยทำความเร็วได้ 2 มัคในการบินครั้งนั้น[29]
การผลิตแฟนทอม 2 ในสหรัฐฯ สิ้นสุดลงในปีพ.ศ. 2522 หลังจากที่ผลิตออกมาได้ 5,195 ลำ (5,057 ลำผลิตโดยแมคดอนเนลล์ ดักลาสและ 138 ลำผลิตโดยมิตซูบิชิในญี่ปุ่น) ทำให้มันเป็นเครื่องบินอันดับสองที่ส่งออกและผลิตออกมามากที่สุดรองจากเอฟ-86 เซเบอร์ที่ยังคงเป็นเครื่องบินไอพ่นที่มีจำนวนมากที่สุดของสหรัฐฯ มี 2,874 ลำเป็นของกองทัพอากาศ 1,264 ลำเป็นของกองทัพเรือและนาวิกโยธินสหรัฐฯ และของลูกค้าต่างชาติ[30] เอฟ-4 ลำสุดท้ายที่สร้างโดยสหรัฐฯ เป็นของตุรกีในขณะที่เอฟ-4 ลำท้ายสุดเสร็จในปีพ.ศ. 2524 ซึ่งเป็นของอุตสาหกรรมมิตซูบิชิมนญี่ปุ่น ในปีพ.ศ. 2551 มีแฟนทอม 631 ลำยังคงอยู่ในประจำการทั่วโลก</ref>[31] ในขณะที่แฟนทอมยังคงถูกใช้เป็นโดรนโดยกองทัพสหรัฐฯ
แบบต่างๆ
- เอฟ-4เอ, บี, เจ, เอ็น และเอส
- แบบของกองทัพเรือและกองนาวิกโยธินสหรัฐฯ เอฟ-4บีถูกพัฒนาเป็นเอฟ-4เอ็น และเอฟ-4เจถูกพัฒนาเป็นเอฟ-4เอส
- เอฟ-110 สเปกเตอร์, เอฟ-4ซี, ดี และอี
- แบบของกองทัพอากาศสหรัฐฯ เอฟ-4อีเริ่มใช้เอ็ม61 วัลแคน เอฟ-4ดีและอีเป็นแบบส่งออกที่กว้างขวาง
- เอฟ-4จี ไวลด์วีเซล 5
- แบบสำหรับการกดดันการป้องกันทางอากาศของศัตรูพร้อมเรดาร์และระบบอิเลคทรอนิกที่พัฒนาดัดแปลงมาจากเอฟ-4อี
- เอฟ-4เคและเอ็ม
- แบบของกองทัพอังกฤษที่ดัดแปลงเครื่องบนต์เป็นของโรลส์รอยซ์แทน
- เอฟ-4อีเจ
- เอฟ-4อีรุ่นส่งออกและสร้างในญี่ปุ่น
- เอฟ-4เอฟ
- เอฟ-4อีส่งออกสำหรับเยอรมนี
- คิวเอฟ-4บี, อี, จี, เอ็นและเอส
- เครื่องบินที่ปลดประการที่ถูกดัดแปลงเป็นเป้าหมายควบคุมจากระยะไกลที่ใช้เพื่อการวิจัยระบบอาวุธและการป้องกัน
- อาร์เอฟ-4บี, ซี, และอี
- แบบสำหรับภารกิจสอดแนมทางยุทธวิธี
รายละเอียด เอฟ-4 แฟนทอม 2
- ผู้สร้าง:บริษัทแมคดอนเนลล์ ดักลาส (สหรัฐอเมริกา)
- ประเภท:เจ๊ตขัลไล่ครองอากาศและสนับสนุนหน่วยกำลังภาคพื้น 2 ที่นั่ง
- เครื่องยนต์:เทอร์โบเจ๊ต เยเนอรัล อีเล็คตริค เจ-79-ยีอี-17 เอ ให้แรงขับเครื่องละ 5,385 กิโลกรัม และ 8,120 กิโลกรัมเมื่อใช้สันดาปท้าย 2 เครื่อง
- กางปีก:11.77 เมตร
- ยาว:19.20 เมตร
- สูง:5.02 เมตร
- พื้นที่ปีก:49.2 ตารางเมตร
- น้ำหนักเปล่า:13,757 กิโลกรัม
- น้ำหนักวิ่งขึ้นทำการรบ:18,818 กิโลกรัม
- น้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุด:28,030 กิโลกรัม
- อัตราเร็วขั้นสูง:2.27 มัค ที่ระยะความสูง 12,190 เมตร และ 1.2 มัค ที่ระยะความสูง 305 เมตร
- รัศมีทำการรบ:1,266 กิโลเมตร เมื่อปฏิบัติภาระกิจสกัดกั้น และ 795 กิโลเมตร เมื่อปฏิบัตภาระกิจครองอากาศ
- เพดานการบิน:กว่า 100,000 ฟุต
- อาวุธ:ปืนใหญ่อากาศ เอ็ม 61 เอ-1 ขนาด 20 มม. 1 กระบอกที่ลำตัวส่วนหัว
- อาวุธปล่อยอากาศสู่อากาศ AIM-4ฟัลคอน(Falcon) เอไอเอ็ม-7 สแปร์โรว์ AIM-9ไซด์ไวน์เดอร์(Sidewinder)
- อาวุธปล่อยอากาศสู่พื้น AGM-45ไซรค์(Shrike) AGM-62วอลล์อาย(Walleye) บูลพับ(Bullpup)
- ลูกระเบิดนิวเคลียร์แบบ บี-27,43,57,61 ลูกระเบิดทำลายแบบเอ็มแอลยู-1ลูกระเบิดเพลิงแบบ บีแอลยู-1 27,52,76
- ลูกระเบิดพวง
- พรุส่องแสง
- กระเประจรวด กระเประต่อต้านข่าวกรองอีเล็คทรอนิคส์ กระเประบรรจุกล้องถ่ายภาพทางอากาศ
- ถังน้ำพ่นน้ำยาเคมี
- รวมน้ำหนักอาวุธ 7,250 กิโลกรัม ที่ใต้ลำตัว 5 ตำบล และ ใต้ปีกละ 2 ตำบล รวม 9 ตำบล
อ้างอิง
- ↑ เดิมทีได้ชื่อว่าเอเอชและต่อมาเป็นเอฟ4เอช เอฟ-4 ใช้ในปีพ.ศ. 2505 เมื่อมีการเปลี่ยนระบบบอกชื่อของกองทัพสหรัฐฯ ในบ.แมคดอนเนลล์ ดักลาสเครื่องบินได้ชื่อว่าโมเดล 98
- ↑ 3.0 3.1 3.2 Integrated Defense Systems: F-4 Phantoms Phabulous 40th. Boeing. Retrieved: 19 January 2008.
- ↑ 4.0 4.1 Donald Spring 1991, p. 26.
- ↑ 5.0 5.1 Donald Summer 1991, p. 22.
- ↑ Carrara 2006, p. 48.
- ↑ F-4 Phantoms Phabulous 40th: First to Last. Boeing Integrated Defense Systems. Retrieved: 19 November 2007.
- ↑ F-4 Phantoms Phabulous 40th: Current Uses of Titanium: F-4 Boeing Integrated Defense Systems. 1971. "F-4B/C 1,006 lb. 7.7% of Structure, F-J/E 1,261 lb. 8.5% of Structure". Retrieved: 14 February 2008.
- ↑ Donald and Lake 1996, p. 268.
- ↑ Dorr and Donald 1990, p. 198.
- ↑ 11.0 11.1 Integrated Defense Systems: F-4 Phantoms Phabulous 40th - Phantom "Phirsts". Boeing. Retrieved: 14 December 2007.
- ↑ Integrated Defense Systems: F-4 Phantoms Phabulous 40th - World Record Holder. Boeing. Retrieved: 14 December 2007.
- ↑ McDonnell Douglas F-4D “Phantom II”. National Museum of the USAF. Retrieved: 20 January 2008
- ↑ Angelucci 1987, p. 310.
- ↑ Angelucci 1987, p. 312.
- ↑ Dorr and Bishop 1996, pp. 200–201.
- ↑ Dorr and Bishop 1996, pp. 188–189.
- ↑ Donald, David. Warplanes of the Fleet. London: AIRtime Publishing Inc., 2004. ISBN 1-880588-81-1.
- ↑ Thornborough and Davies 1994, p. 13.
- ↑ Thornborough and Davies 1994, p. 11.
- ↑ Dorr 2008, p. 61.
- ↑ F-4 Phantoms Phabulous 40th - Phantom Development 1978 Commemorative Book. Boeing Integrated Defense Systems. Retrieved 14 February 2008
- ↑ Lake 1992, p. 15.
- ↑ 24.0 24.1 24.2 Loftin, Laurence K. Quest for Performance: The Evolution of Modern Aircraft, SP-468. Washington, DC: National Aeronautics and Space Administration, History Office, Scientific and Technical Information Branch, 1985. Retrieved: 19 November 2007.
- ↑ 25.0 25.1 25.2 Donald and Lake 2002
- ↑ Kunsan Airbase F-4 Phantom II
- ↑ Angelucci 1987, p. 316.
- ↑ Lake 1992, p. 21.
- ↑ Knaack 1978, p. 266.
- ↑ Integrated Defense Systems: F-4 Phantoms Phabulous 40th. Boeing. Retrieved: 22 May 2007.
- ↑ "DIRECTORY: WORLD AIR FORCES". Flight International, 11-17 November 2008.pp.52-76.
- ↑ อภิวัตน์ โควินทรานนท์,อากาศยาน1979ฉบับเครื่องบิน,เอวิเอชั่น ออบเซิร์ฟเวอร์,กรุงเทพ,2522