นกอีแจว
นกอีแจว | |
---|---|
ชุดขนในฤดูผสมพันธุ์ของนกอีแจว มีขนหางคู่กลางยาว หน้าและปีกสีขาว ขนต้นคอสีทองเรียบ | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Aves |
อันดับ: | Charadriiformes |
วงศ์: | Jacanidae |
สกุล: | Hydrophasianus |
สปีชีส์: | H. chirurgus |
ชื่อทวินาม | |
Hydrophasianus chirurgus (Scopoli, 1786) | |
แหล่งกระจายพันธุ์ของนกอีแจว (H. chirurgus) | |
ชื่อพ้อง | |
Parra chinensis |
นกอีแจว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Hydrophasianus chirurgus;อังกฤษ: pheasant-tailed jacana) เป็นนกชนิดเดียวในสกุลนกอีแจว (Hydrophasianus) ลักษณะเด่นเช่นเดียวกับนกในวงศ์นกพริกและนกอีแจว (jacana) คือ มีนิ้วตีนและเล็บตีนยาวเพื่อช่วยพยุงตัวขณะเดินบนใบพืชลอยน้ำในถิ่นอาศัยหนองน้ำตื้น บางครั้งอาจว่ายน้ำหรือลุยน้ำที่ลึกถึงต้นขาขณะหาอาหาร นกอีแจวกินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเป็นหลัก พบได้ตามแหล่งน้ำจืดในเอเชียเขตร้อน ตั้งแต่เยเมนทางตะวันตกไปจนถึงฟิลิปปินส์ทางตะวันออกและอาจอพยพในบางช่วงตามฤดูกาล
เป็นชนิดเดียวในวงศ์ที่อพยพเป็นระยะทางไกล และมีชุดขนนอกฤดูและในฤดูผสมพันธุ์แตกต่างกัน
ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ ตัวเมียหนึ่งตัวจะจับคู่ผสมพันธุ์กับเพศผู้หลายตัวและทำรังหลายรังในบริเวณเดียวกันในแบบฮาเร็ม ลูกหลายครอกถูกเลี้ยงโดยตัวผู้หลายตัว
อนุกรมวิธาน
| |||||||||||||||||||||||||||||||||
แผนผังวิวัฒนาการชาติพันธุ์อย่างย่อ แสดงความสัมพันธ์ในวงศ์ Jacanidae ของสกุลต่าง ๆ อ้างอิงการศึกษาลำดับยีนจากไมโตคอนเดรีย [3] |
นกอีแจว (Hydrophasianus chirurgus) ได้ถูกอธิบายโดยนักสำรวจชาวฝรั่งเศสปิแอร์ ซอนเนอร์ (Pierre Sonnerat) ในปีค.ศ.1776 ในหนังสือการเดินทางสู่นิวกินี (Voyage à la Nouvelle Guinée) ซึ่งได้รวมภาพประกอบของนกที่เขาเรียกว่า "ศัลยแพทย์แห่งเกาะลูซอน" (Le Chirurgien de l'Isle de Luzon) อธิบายถึงนกที่มีนิ้วเท้ายาว มีส่วนขยายของขนหางยาวคล้ายกับมีดที่ใช้ในการถ่ายเลือดโดยศัลยแพทย์ในยุคนั้น[4][5] จากคำอธิบายนี้นกอีแจวได้รับทวินามโดยจิโอวานนี สโคโปลี (Giovanni Scopoli) ในปีค.ศ.1787 ในหนังสือ การอธิบายพืชและสัตว์อย่างละเอียดเล่มที่ 2 (Deliciae florae et faunae Insubricae, Pars II) ซึ่งนกอีแจวถูกจัดในสกุล Tringa และยังคงชื่อ chirurgus สำหรับชื่อเฉพาะ (Tringa chirurgus)[6] ต่อมานกอีแจวถูกจัดในสกุล Parra (และชื่อพ้อง Parra luzonensis) ร่วมกับนกอีแจวชนิดอื่น ๆ และต่อมาสกุลในวงศ์นกอีแจวและนกพริก (ต่อมาเรียกว่า Parridae) ก็แยกจากกัน[7]
ชื่อสกุล Hydrophasianus หมายถึง "ไก่ฟ้าน้ำ" หรือ "ไก่น้ำ" ถูกสร้างขึ้นโดยโยฮันน์ เกออก วากเลอร์ (Johann Georg Wagler) ในปีค.ศ. 1832 เนื่องจากนกอีแจวมีความโดดเด่น คือ จะงอยปากแหลมเรียวยาว ไม่มีกระดูกอกด้านหน้า นิ้วตีนหลังที่สั้นกว่านกสกุล Metopidius ขนปลายปีกนอกสุดสองเส้นรูปใบหอกและเส้นที่สี่ชี้แหลม และขนสองชุดนอกฤดูและในฤดูผสมพันธุ์แตกต่างกัน[8][9]
ลักษณะทางสรีรวิทยา
เป็นนกขนาดเล็ก ปลายปากถึงโคนหางยาว 30 เซนติเมตร จะงอยปากแหลมตรง ปีกแต่ละข้างมีเดือยออกมา[10] ตัวเมียจะมีขนาดโตกว่าตัวผู้เล็กน้อย สีของปาก ขา และนิ้วเป็นสีเทาอมฟ้า หน้าผาก รอบตาและคอด้านล่างสีขาว กระหม่อมสีน้ำตาล คอด้านบนสีเหลือง สลับแถบสีดำขั้นกลางระหว่างคอสองด้าน ปีกสีขาวตัดกับสีของลำตัวด้านบนน้ำตาลดำ[11] และลำตัวด้านล่างซึ่งมีสีดำเป็นมันชัดเจน[10] ขณะบินปีกขาวปลายปีกดำ[11]
นิ้วตีนที่ยาวมากและเล็บตีนยาวช่วยในการกระจายน้ำหนักตัว ทำให้สามารถเดินบนกอพืชลอยน้ำ ใบพืชลอยน้ำหรือใบบัวที่ลอยอยู่เหนือน้ำเพื่อหาอาหารได้ นิ้วตีน 4 นิ้ว ด้านหน้า 3 นิ้ว และด้านหลัง 1 นิ้ว[12]
นกอีแจวมีลักษณะโดดเด่นมากที่สีขนและขนหางที่ยาว ซึ่งยาวที่สุดในวงศ์นกพริกและนกอีแจว และเป็นชนิดเดียวในวงศ์มีชุดขนนอกฤดูผสมพันธุ์และในฤดูผสมพันธุ์ที่แตกต่างกัน
ชุดขนนอกฤดูผสมพันธุ์ หน้าผากถึงท้ายทอยน้ำตาลเข้ม หน้าและคอขาวมีแถบตาต่อเนื่องถึงแถบอกสีดำ ข้างคอเหลือง ลำตัวด้านบนน้ำตาล ลำตัวด้านล่างขาว คล้ายนกพริกไม่เต็มวัย แต่ขณะบินปีกขาวปลายปีกดำ
ชุดขนในฤดูผสมพันธุ์ ขนหางคู่กลางจะยื่นยาวออกไปอีก 25 เซนติเมตร ยาวมากกว่าปกติถึง 10 เท่า[10] เป็นที่มาของชื่อนกอีแจวในภาษาอังกฤษ นกอีแจวหางไก่ฟ้า (pheasant-tailed jacana)
การวัดขนาด
การวัดขนาดนกตามมาตรฐานจากการศึกษาตัวอย่างมีชีวิตในช่วงฤดูผสมพันธุ์ในประเทศไทย โดยเฉลี่ยจากตัวผู้ 17 ตัว และตัวเมีย 4 ตัว ร่วมกับข้อมูลบางส่วนของการวัดส่วนหัวจาก Rasmussen and Anderton (2005)[13] (จากปลายจะงอยปากถึงด้านหลังของกะโหลกหัว)
ขนาดนกในช่วงฤดูผสมพันธุ์ | ||
---|---|---|
ตัวผู้ | ตัวเมีย | |
น้ำหนัก (กรัม) | 129.2 | 140.7 |
จะงอยปาก (เซนติเมตร) | 2.89 | 3.12 |
ปีก (เซนติเมตร) | 24.76 | 25.83 |
กระดูกข้อเท้า (เซนติเมตร) | 5.72 | 6.33 |
หาง (เซนติเมตร) | 25.75 | 28.34 |
หัว (เซนติเมตร) | 5.3-5.5 | 5.8-6.3 |
ความยาว (เซนติเมตร) | 45.91 | 50.27 |
พฤติกรรม
มักอาศัยตามแหล่งน้ำ เพื่อหากินอาหารที่จับและจิกกินได้ตามผิวน้ำ อาหารได้แก่สัตว์น้ำเล็กๆ รวมทั้งแมลงต่างๆ และพืชน้ำบางชนิดบางส่วน[10]เช่น เมล็ดพืช สามารถว่ายน้ำได้คล่อง[12] และบินได้ไกลในการอพยพ แต่ในแหล่งน้ำมักบินไม่นานเพื่อหลบหนี
เสียงร้อง : "มี-อู่ย" หรือ "แจว-แจว"[11][14]
การผสมพันธุ์และทำรัง
ผสมในช่วงเดือนพฤษภาคม–สิงหาคม นกอีแจวตัวเมียเป็นฝ่ายเกี้ยวพาราสี[10] โดยเมื่อเลือกคู่แล้ว นกตัวเมียเดินหาจุดที่เหมาะสมในการรับน้ำหนักนกสองตัว โดยยืนก้มหัวและยกก้นขึ้น นกตัวผู้จะร่อนลงบนหลังของตัวเมียและกระพือปีกในการทรงตัวขณะผสมพันธุ์
นกอีแจวตัวเมียหลังจากเลือกคู่และผสมพันธุ์แล้วจะหาที่วางไข่ ตัวเมียเป็นฝ่ายทำรังแบบง่าย ๆ ส่วนมากใช้จอกหูหนูและพืชจำพวกสาหร่ายมากองรวมกันอย่างลวก ๆ บนแพของจอกหูหนู หรือพืชลอยน้ำ วางไข่ ครอกละประมาณ 3–4 ฟอง[10] ไข่สีเขียวแกมน้ำตาล ระยะเวลาฟักไข่ 22–28 วัน จากนั้นปล่อยให้นกอีแจวตัวผู้ซึ่งมีรูปร่างขนาดที่เล็กกว่ารับภาระฟักไข่และเลี้ยงลูกตามลำพัง ส่วนตัวเมียจะไปจับคู่ใหม่ ซึ่งอาจมีการจับคู่ถึง 4 คู่ในช่วงเวลาฤดูผสมพันธุ์หนึ่ง ๆ [10] (เรียก polyandry)
พฤติกรรมของนกตัวเมียที่จับคู่กับตัวผู้หลายตัวนี้ยังพบได้ในญาติร่วมวงศ์อย่างนกพริก วงศ์นกคุ่มอืด รวมไปถึงนกในเครือญาติของนกชายเลนที่ตัวเมียมีสีสันสวยงามกว่าตัวผู้อย่าง นกโป่งวิด และนกลอยทะเล
ลูกนกมีขนสีเหลืองอ่อนคล้ายลูกไก่ แต่มีขาและตีนที่ใหญ่โต เมื่อภัยมา ตัวพ่อจะส่งเสียงร้อง แจ๊วๆ แจวๆ เพื่อให้ลูกดำน้ำแล้วใช้ปลายปากโผล่สำหรับหายใจได้ยาวนาน
ถิ่นอาศัยและนิเวศวิทยา
นกอีแจว (H. chirurgus) มีถิ่นอาศัยตามแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่[10] เช่น บึง หนอง ทะเลสาบที่มีพืชน้ำลอยตัวมากพอ[11] ในปากีสถาน เนปาล อินเดียเขตร้อน ศรีลังกา ไปถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พม่า ไทย คาบสมุทรมลายู บอร์เนียวใต้ หมู่เกาะฟิลิปปินส์ จีนตอนใต้ และเกาะไต้หวัน[15][12][14]
นกอีแจวมีถิ่นอาศัยส่วนใหญ่ทับซ้อนกับนกพริก ยกเว้นในศรีลังกาที่พบเฉพาะนกอีแจว
นกอีแจวที่อพยพส่วนมากเป็นประชากรในทางใต้ของจีนและแถบเทือกเขาหิมาลัย และมักอพยพไปยังแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดียตอนใต้ตามลำดับ ในหนานจิงนกอีแจวเริ่มอพยพในเดือนพฤศจิกายนและกลับมาในฤดูร้อนประมาณสัปดาห์ที่สามของเดือนเมษายน นกบางตัวเมื่อมาถึงมีขนชุดนอกฤดูผสมพันธุ์[16] ประชากรนกอีแจวที่อาศัยบนเกาะไต้หวันถูกระบุว่าใกล้สูญพันธุ์ บางครั้งประชากรนกในฤดูร้อนอาจแยกย้ายกันไปหลายทิศทางและมีบันทึกว่าเป็นนกนกพลัดหลงในโซโคตรา[17] กาตาร์ [18] ออสเตรเลียและทางตอนใต้ของญี่ปุ่น นกอีแจวมีแนวโน้มที่จะพบได้ทั่วไปในที่ราบระดับความสูงที่ไม่มาก แต่บางครั้งมีบันทึกว่าพบบนเทือกเขาหิมาลัยในฤดูร้อนที่ความสูง 3650 เมตร ในแคชเมียร์ (Vishansar Lake) และ 3800 เมตร ใน Lahul[19][20][21]
ในประเทศไทย
นกอีแจวเป็นทั้งนกประจำถิ่นและนกอพยพนอกฤดูผสมพันธุ์[10][22][23] และตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ปี 2535 นกอีแจวเป็นสัตว์คุ้มครอง[10] บัญชีรายชื่อ ปี 2546 ในลำดับที่ 838[24][25]
อ้างอิง
- ↑ BirdLife International (2012). "Hydrophasianus chirurgus". IUCN Red List of Threatened Species. 2012. สืบค้นเมื่อ 26 November 2013.
- ↑ Viscount Walden, Arthur (1877). "A list of the bird known to inhabit the Philippine Archipelago". Transactions of the Zoological Society of London. 9 (2): 125–252. doi:10.1111/j.1096-3642.1875.tb00238.x.
- ↑ Whittingham, L.A.; Sheldon, F.H.; Emlen, S.T. (2000). "Molecular phylogeny of jacanas and its implications for morphologic and biogeographic evolution" (PDF). The Auk. 117 (1): 22–32. doi:10.1642/0004-8038(2000)117[0022:MPOJAI]2.0.CO;2.
- ↑ Hoffmann, Alfred (1950). "Zur Brutbiologie des polyandrischen Wasserfasans Hydrophasianus chirurgus". Scop. Ornithol. Ber. (in German). 2: 119–126.
- ↑ Sonnerat, Pierre (1776). Voyage à la Nouvelle Guinée : dans lequel on trouve la description des lieux, des observations physiques & morales, & des détails relatifs à l'histoire naturelle dans le regne animal & le regne végétal. Paris: Chez Ruault. pp. 82–84.
- ↑ Scopoli, Giovanni Antonio (1787). Deliciae florae et faunae Insubricae. Pars II (PDF). p. 92.
- ↑ Blanford, W.T. (1898). The Fauna of British India. Birds. Volume IV. Calcutta: Taylor and Francis. pp. 219–221.
- ↑ Baker, E.C. Stuart (1929). The Fauna of British India. Birds. Volume VI (2 ed.). London: Taylor and Francis. pp. 42–43.
- ↑ Mitchell, P. Chalmers (1905). "On the anatomy of Limicoline birds; with special reference to the correlation of modification". Proceedings of the Zoological Society of London. 2: 155–169.
- ↑ 10.00 10.01 10.02 10.03 10.04 10.05 10.06 10.07 10.08 10.09 "ข้อมูลนกบึงบอระเพ็ด". 123.242.166.5.
- ↑ 11.0 11.1 11.2 11.3 "นกอีแจว Pheasant-tailed Jacana ( Hydrophasianus chirurgus (Scopoli, 1786) )". www.lowernorthernbird.com.
- ↑ 12.0 12.1 12.2 ""อีแจว"ราชินีแห่งนกน้ำ ไอดอล"เรยา"บึงบอระเพ็ด". www.thairath.co.th. 2011-09-13.
- ↑ Rasmussen, P.C.; Anderton, J. (2005). Birds of South Asia. The Ripley guide. Volume 2. Smithsonian Institution and Lynx edicions. p. 150.
- ↑ 14.0 14.1 "นกอีแจว - eBird". ebird.org.
- ↑ "Hydrophasianus chirurgus (Pheasant-tailed Jacana) - Avibase". avibase.bsc-eoc.org.
- ↑ Hoffmann, Alfred (1949). "Über die Brutpflege des polyandrischen Wasserfasans, Hydrophasianus chirurgus (Scop.)". Zoologische Jahrbücher (in German). 78: 367–403.
- ↑ Demey, Ron, ed. (2005). "Recent report". Bulletin of the African Bird Club. 12 (1): 71.
- ↑ Balmer, D.; Betton, K., eds. (2006). "Around the region". Sandgrouse. 28 (2): 184–192.
- ↑ Betterton, F.A. (1947). "The altitudinal limit of the Pheasant-tailed Jacana [Hydrophasianus chirurgus (Scopoli)]". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 47 (2): 384.
- ↑ Ali, Salim; Ripley, S. Dillon (1980). Handbook of the Birds of India and Pakistan. Volume 2. Megapodes to Crab Plover (2 ed.). Oxford University Press. pp. 199–200.
- ↑ Whistler, Hugh (2008-04-03). "VIII.-The Birds of Lahul, N.W. Himalaya". Ibis (ภาษาอังกฤษ). 67 (1): 152–208. doi:10.1111/j.1474-919X.1925.tb02913.x.
- ↑ "นกอีแจว Pheasant-tailed Jacana". Birds of Thailand: Siam Avifauna.
- ↑ "นกอีแจว Pheasant-tailed Jacana – ภาพถ่ายนกทุกชนิดที่พบในประเทศไทย".
- ↑ "สัตว์ป่าคุ้มครอง - โลกสีเขียว". www.verdantplanet.org.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 109 ตอนที่ 15.