พิพิธภัณฑ์หยกและวัฒนธรรมก่อนโคลัมบัส

พิกัด: 9°56′11″N 84°04′25″W / 9.93639°N 84.07361°W / 9.93639; -84.07361
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พิพิธภัณฑ์หยกและวัฒนธรรมก่อนโคลัมบัส
Museo del Jade y de la Cultura Precolombina
อาคารพิพิธภัณฑ์
แผนที่
ก่อตั้ง31 ตุลาคม พ.ศ. 2520; 46 ปีก่อน (2520-10-31)
ที่ตั้งอาเบนิดาเซนตรัล ตัดกับกาเย 13 ย่านเบยาบิสตา เขตกาเตดรัล อำเภอซานโฮเซ ซานโฮเซ,  คอสตาริกา 10104
พิกัดภูมิศาสตร์9°56′11″N 84°04′25″W / 9.93639°N 84.07361°W / 9.93639; -84.07361
ประเภทพิพิธภัณฑ์โบราณคดี
ผลงานหยก, เครื่องดินเผา และหิน
ขนาดผลงานหยก 2,500 ชิ้น, เครื่องดินเผาและหิน 6,889 ชิ้น
จำนวนผู้เยี่ยมชม20,000 คนต่อปี
ผู้ก่อตั้งฟิเดล ตริสตัน กัสโตร
สถาปนิกดิเอโก บัน เดร์ ลาอัต
เจ้าของสถาบันประกันภัยแห่งชาติ
เว็บไซต์Museo del Jade

พิพิธภัณฑ์หยกและวัฒนธรรมก่อนโคลัมบัส (สเปน: Museo del Jade y de la Cultura Precolombina) หรือเรียกทั่วไปว่า พิพิธภัณฑ์หยก (Museo del Jade) เป็นพิพิธภัณฑ์ทางด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และโบราณคดี ตั้งอยู่ในกรุงซานโฮเซ ประเทศคอสตาริกา ในสังกัดของสถาบันประกันภัยแห่งชาติ (Instituto Nacional de Seguros, INS) เป็นที่เก็บรักษาสิ่งสะสมทางโบราณคดีที่ประกอบด้วยสิ่งประดิษฐ์เครื่องดินเผา กระดูก ไม้ เปลือกหอย และหินหลากหลายประเภท เช่น รูปแกะสลัก เมตาเต ลูกบด และอื่น ๆ[1] อย่างไรก็ตามสิ่งแสดงหลักของพิพิธภัณฑ์นี้คือวัตถุทางโบราณคดีที่สร้างจากหินมีค่าจำนวนมหาศาล โดยส่วนใหญ่เป็นหยก ซึ่งถือได้ว่าเป็นชุดสะสมหยกในทวีปอเมริกาที่ใหญ่ที่สุดในโลก[2][3] จนถึง พ.ศ. 2557 พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ที่ชั้นล่างของสำนักงานใหญ่สถาบันประกันภัยแห่งชาติ ที่อาเบนิดา 7 ระหว่างกาเย 9 กับกาเย 11 จากนั้นจึงย้ายไปที่อาคารหลังสมัยใหม่ห้าชั้น ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของจัตุรัสประชาธิปไตย (Plaza de la Democracia) สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ทำการพิพิธภัณฑ์โดยเฉพาะ ปัจจุบันถือเป็นแหล่งเผยแพร่สำคัญของวัฒนธรรมคอสตาริกา

ประวัติ[แก้]

การรวบรวมชุดสะสมทางโบราณคดีนี้เริ่มจากมาร์โก ฟิเดล ตริสตัน กัสโตร (Marco Fidel Tristán Castro) อดีตประธานบริหารของสถาบันประกันภัยแห่งชาติ (Instituto Nacional de Seguros) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักในการกอบกู้มรดกของงานศิลปะคอสตาริกายุคก่อนโคลัมบัส เพื่อให้ชาวคอสตาริกาทุกคนสามารถเข้าถึงได้

ตั้งแต่ พ.ศ. 2514 ภายใต้การผลักดันของฟิเดล ตริสตัน กัสโตร สถาบันประกันภัยแห่งชาติเริ่มได้รับชิ้นส่วนทางโบราณคดีจำนวนมากจากนักสะสมระดับชาติหลายราย โดยอิงจากการประกาศใช้กฎหมายฉบับที่ 4809 ลงวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2514 ซึ่งสนับสนุนให้สถาบันสาธารณะส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมของชาติ

ในปี พ.ศ. 2516 สถาบันประกันภัยแห่งชาติได้รับวัตถุมา 470 ชิ้น ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นตามกฎหมายฉบับที่ 5176 ซึ่งสนับสนุนให้สถาบันสาธารณะจัดสรรสิ่งของเฉพาะสำหรับกิจกรรมทางวัฒนธรรมอื่น ๆ เพื่อการได้มาซึ่งชิ้นส่วนทางโบราณคดี โดยมีวัตถุจำนวนมากที่โดดเด่นเป็นหยกที่อยู่ในครอบครองของนักสะสมชาวคอสตาริกา หยกยุคก่อนโคลัมบัสของคอสตาริกาเป็นงานศิลปะที่สาธารณชนทั่วไปยังไม่รู้จัก ขณะเดียวกันก็มีผู้เชี่ยวชาญเพียงไม่กี่คนในสาขาโบราณคดีคอสตาริกา ดังนั้นพิพิธภัณฑ์จึงเริ่มงานความเชี่ยวชาญด้านวัสดุนี้ ในปีเดียวกันนั้นสถาบันประกันภัยแห่งชาติได้รวบรวมชุดสะสมหยกล้ำค่าจำนวน 1,092 ชิ้น และอีกหนึ่งปีต่อมาก็ได้ชุดสะสมล้ำค่าอีกจำนวน 250 ชิ้นที่เป็นของการ์โลส บัลเซร์ (Carlos Balser) นักวิจัยคนสำคัญของหยกมีโซอเมริกายุคก่อนโคลัมบัส ในชุดสะสมนี้มีต้นกำเนิดจากวัฒนธรรมโอลเมกและวัฒนธรรมมายาหลายชิ้น การได้ครอบครองชุดสะสมที่สำคัญมากเกิดขึ้นในช่วงต่อมาระหว่าง พ.ศ. 2520 ถึง 2524

เมื่อชุดสะสมหยกของสถาบันประกันภัยแห่งชาติเพิ่มมากขึ้น มีการเตรียมการใน พ.ศ. 2518 เพื่อสร้างพิพิธภัณฑ์ ซึ่งแล้วเสร็จในอีกสองปีต่อมา ด้วยความช่วยเหลือจากนักโบราณคดีและนักวิจัยระดับชาติที่สำคัญ เช่น การ์โลส อุมเบร์โต อากิลาร์ (Carlos Humberto Aguilar), ไมเคิล เจย์ สนาร์สกีส์ (Michael Jay Snarskis), การ์โลส บัลเซร์ (Carlos Balser), ซูไล โซโต เมนเดซ (Zulay Soto Méndez) โดยพิพิธภัณฑ์เปิดในวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2520 โดยใช้ชื่อว่า "ชุดสะสมทางโบราณคดีของสถาบันประกันภัยแห่งชาติ" (Colección Arqueológica del Instituto Nacional de Seguros) และเปลี่ยนชื่อเป็นพิพิธภัณฑ์หยกใน พ.ศ. 2522 ต่อมาใน พ.ศ. 2527 เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้สนับสนุนหลัก ห้องนิทรรศการศิลปะหมุนเวียนได้รับการตั้งชื่อตามฟิเดล ตริสตัน กัสโตร

ใน พ.ศ. 2542 พิพิธภัณฑ์ต้องปิดปรับปรุงเป็นเวลา 20 เดือน โดยเปิดอีกครั้งในวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2543 มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางของพิพิธภัณฑ์โดยมีการจัดแสดงวัตถุจำนวนมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชิ้นหยก

ใน พ.ศ. 2557 การก่อสร้างอาคารห้าชั้นในรูปแบบสถาปัตยกรรมหลังสมัยใหม่เสร็จสมบูรณ์ด้วยราคา 21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งช่วยให้สามารถจัดแสดงชิ้นงานทางโบราณคดีทั้งหมดได้ ทำให้ที่นี่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเมื่อเทียบกับพิพิธภัณฑ์อื่น ๆ ในกรุงซานโฮเซ การออกแบบอาคารเป็นผลงานของดิเอโก บัน เดร์ ลาอัต (Diego Van der Laat) สถาปนิกชาวคอสตาริกา อาคารครอบคลุมพื้นที่ 6,970 ตารางเมตร โดยพัฒนาแนวความคิดจากรูปแท่งหยกดิบที่แยกออกเป็นสองส่วน ช่วยให้แสงส่องเข้ามายังพื้นที่ส่วนกลางของอาคารได้สะดวก ประกอบด้วยห้าชั้น แต่ละชั้นมีหนึ่งห้อง ยกเว้นชั้นที่สามซึ่งมีสองห้อง มีระบบระบายอากาศพิเศษและได้รับการออกแบบให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม มีห้องนิทรรศการชั่วคราว หอประชุมที่มีอุปกรณ์ครบครัน ห้องเรียนสำหรับกิจกรรมวิชาการ โรงอาหาร ร้านค้า และห้องรับฝากของ เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม และเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2557[4]

ชุดสะสม[แก้]

พิพิธภัณฑ์หยกมีโบราณวัตถุ 6,889 ชิ้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นชิ้นงานเครื่องดินเผา มีวัตถุทำจากหยก 2,500 ชิ้น ถือเป็นชุดสะสมหยกในทวีปอเมริกาที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังมีวัตถุทำจากหิน ทอง เปลือกหอย และกระดูกจำนวนมาก และยังมีชุดสะสมบัสตอนเดมันโด (bastón de mando) ซึ่งเป็นคทาทำจากไม้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ[5]

เครื่องประดับหยกรูปนกยุคก่อนโคลัมบัส ชิ้นงานเหล่านี้มีด้านหน้าเป็นรูปสามเหลี่ยมกลับหัวซึ่งแสดงถึงจะงอยปากนก (หรือหน้ากากนก) ซึ่งมักจะนูนออกมา โดยมีปลายรูปทรงแบบขวานบาง ๆ คล้ายกับหางหรือปีกของนก และมีเส้นรอยบากที่แสดงถึงขนนก มาจากจังหวัดกัวนากัสเต (Guanacaste) และแนวลาดเขาแคริบเบียนของคอสตาริกา ชิ้นงานหยกวัฒนธรรมโอลเมกที่พบในคอสตาริกา งานแกะสลักประเภท "หน้าทารก" (rostros de bebé) มีความโดดเด่น มีอายุตั้งแต่ประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล ถึงประมาณคริสต์ศักราช 500
เครื่องประดับหยกเจไดต์มานุษยรูปนิยมยุคก่อนโคลัมบัส ที่แสดงถึงรูปมนุษย์ที่สวมหมวก มีอายุตั้งแต่ประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล ถึงคริสต์ศักราช 800 เครื่องประดับหยกวัฒนธรรมโอลเมกลายกรงเล็บมีปีก (กรงเล็บของมนุษย์เสือจากัวร์ที่ยื่นนิ้วออกมา) วัตถุดังกล่าวถูกพบในคอสตาริกาทางตอนใต้ของภูมิภาคทางโบราณคดีกรันนิโกยา (Gran Nicoya) มีอายุตั้งแต่ประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล ถึงคริสต์ศักราช 800
เครื่องประดับหยกยุคก่อนโคลัมบัสรูปนก หยกเป็นวัตถุในพิธีการที่ใช้เป็นเครื่องประกอบของอำนาจและบรรดาศักดิ์ในสังคมคอสตาริกายุคก่อนโคลัมบัส
หยกรูปเทพเจ้าขวานจากจังหวัดกัวนากัสเต เป็นชิ้นงานหยกแบบที่พบมากที่สุดในคอสตาริกา รูปกะโหลกที่มีลักษณะเฉพาะแล่งเป็นรูปตัว V แบบหมวกของเชมัน สามเหลี่ยมหน้าจั่วตรงกลางสร้างเป็นรูปใบหน้า ดวงตา จมูก และปาก สามารถแยกแยะบุคลิกจากส่วนบนสุดของชิ้นงาน
รูปแกะสลักหินที่มีฐานแหลมสมัยชิริกี (Chiriquí) จากอนุภูมิภาคดิกิส (Diquís) ทางชายฝั่งแปซิฟิกตอนใต้ของคอสตาริกา รูปแกะสลักประเภทนี้บางชิ้นมีขนาดมหึมา ตั้งไว้หน้าวิหารและบ้านหลัก เช่น บ้านของหัวหน้า ทำหน้าที่ในฐานะองค์ประกอบของเกียรติยศสาธารณะ ตรงข้ามกับทองคำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของฐานะและอำนาจส่วนบุคคล
นกฮูกหินจากอนุภูมิภาคดิกิสทางชายฝั่งแปซิฟิกตอนใต้ของคอสตาริกา แกะสลักจากหินก้อนเดียว ลักษณะรูปนกวางขาไว้บนลำตัวโดยพับปีกไปด้านหลัง และที่ด้านหน้าจะมีหัวมนุษย์คว่ำลงบริเวณจะงอยปากของนก นกฮูกเป็นนกออกหากินเวลากลางคืน ตามความเชื่อทางศาสนาเป็นผู้ประกาศความมหัศจรรย์และความตาย นกบางชนิดนำวิญญาณไปสู่ชีวิตหลังความตายหรือไปสู่โลกแห่งวิญญาณ (คริสต์ศักราช 1000–1550)
ภาชนะดินเผาเคลือบสีนิโกยา (cerámica nicoyana) ในแบบปาปากาโย (Papagayo) มีฐานเป็นรูปวงแหวน ตกแต่งด้วยสีส้มแดงและสีดำบนน้ำยาเคลือบสีขาวครีม มีการออกแบบที่เป็นนามธรรมและเป็นอุปมา มีลวดลายตะกร้าบนแถบแนวนอนด้านบน สามารถมองเห็นรูปมนุษย์ที่มีเครื่องสวมศีรษะประดับขนนก (คริสต์ศักราช 800–1350)
ด้านหน้าเป็นภาชนะหลากสีรูปแบบปาปากาโย ด้านหลังมีภาชนะสามขารูปแบบปาตากิ (Pataky) หลากสีพร้อมลวดลายเสือจากัวร์ ทั้งสองรูปแบบนี้ถูกใช้บ่อยที่สุดโดยวัฒนธรรมนิโกยา (ประมาณคริสต์ศักราช 800) พร้อมกับการมาถึงของชาวโชโรเตกา (Chorotega) ซึ่งสามารถแยกแยะรูปแบบการตกแต่งของชาวมีโซอเมริกาทั้งสองกลุ่มได้
รูปแกะสลักหินภูเขาไฟจากบริเวณเนินลาดแอตแลนติกของคอสตาริกา เป็นตัวแทนของเชมัน ภูมิภาคตอนกลางและแอตแลนติกของคอสตาริกาโดดเด่นด้วยการมีรูปแกะสลักจำนวนมาก
ประติมากรรมศีรษะรางวัล (cabeza-trofeo) ทำจากหินแอนดีไซต์จากบริเวณชายฝั่งแคริบเบียนของคอสตาริกา โดดเด่นด้วยรายละเอียดของลักษณะและสิ่งประดับผม
ภาชนะสามขารูปแบบแอฟริกา จากบริเวณชายฝั่งแคริบเบียนตอนกลางของคอสตาริกาช่วงลาเซลบา (La Selva, คริสต์ศักราช 300 ถึง 800) ใช้เป็นเครื่องสังเวยในงานศพ และใช้บรรจุช็อกโกแลตและชิชาที่ทำให้ร้อนแล้วนำมาดื่มในพิธีกรรม
ภาชนะนิโกยาหลากสีในรูปทรงไก่งวงรูปแบบปาปากาโย ซึ่งตกแต่งแบบชาวมีโซอเมริกา เครื่องดินเผาแบบนิโกยาเข้าถึงความเป็นเลิศของการตกแต่งในระดับสูง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงกลายเป็นผลิตภัณฑ์อันล้ำค่าสำหรับการแลกเปลี่ยนทางการค้ากับภูมิภาคอื่น ๆ ของมีโซอเมริกาและอเมริกาใต้

ห้องนิทรรศการ[แก้]

หลังจากการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ในสถานที่แห่งใหม่แล้ว ทำให้ผู้ชมมีโอกาสที่จะเห็นสิ่งสะสมทางโบราณคดีเกือบทั้งหมดที่สถาบันดูแลอยู่ มีการจัดแสดงวัตถุที่ทำด้วยหยก เครื่องดินเผา ทองคำ หิน และอื่น ๆ สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้สนับสนุนเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสภาพการณ์ของมนุษย์ ธรรมชาติ และโลก ซึ่งบ่งบอกถึงวิถีชีวิตและการพัฒนาทางสังคม เทคโนโลยี วัฒนธรรม และศิลปะของชนก่อนโคลัมเบียที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศคอสตาริกาในปัจจุบัน นิทรรศการของพิพิธภัณฑ์หยกแบ่งออกเป็น 6 ห้องตามลักษณะทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ได้แก่[4]

  • การเริ่มต้น : ตั้งอยู่ที่ชั้นหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ มีภาพจิตรกรรมฝาผนังโดยเซซาร์ บัลเบร์เด เบกา (César Valverde Vega) จิตรกรชาวคอสตาริกา นอกจากนี้ยังมีแท่งหยกดิบซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ พื้นที่นี้นำเสนอสภาพการณ์ทางวัฒนธรรมและระบบนิเวศของสังคมคอสตาริกายุคก่อนโคลัมบัสที่ทำการพัฒนาการใช้หยก โดยเทคนิคคำอธิบายของพิพิธภัณฑ์นำผู้เข้าชมค้นพบความมหัศจรรย์ของชิ้นหยก ผ่านการจัดแสดงในกล่องจัดแสดงรูปงูขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถชื่นชมชิ้นงานหยกจากชุดสะสมได้
  • หยก : ตั้งอยู่บนชั้นสอง ห้องนี้จะพูดถึงกระบวนการทำหยกและที่มาของหยก ผู้ชมสามารถดูแผนที่แสดงเส้นทางการค้าสมัยก่อนโคลัมเบียซึ่งมีการซื้อขายหินมีค่าได้ นอกจากนี้ยังจัดแสดงวิธีการทำงาน สัญลักษณ์ การใช้ทางสังคม และหน้าที่ในพิธีกรรมของเชมันด้วย
  • กลางวัน : บนชั้น 3 ห้องนี้เน้นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้คน ความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ตลอดจนการแสดงรูปสัตว์ต่าง ๆ ที่ทำด้วยหยก หิน เครื่องดินเผา และวัสดุอื่น ๆ มีกิจกรรมปริทัศน์ที่เกี่ยวข้องกับการหาอาหารโดยการล่าสัตว์ การตกปลา และการเกษตร กิจกรรมประจำวัน ผังรายละเอียดรายการและลักษณะของอาหาร
  • ค่ำคืน : ตั้งอยู่บนชั้น 3 เช่นกัน ห้องนี้กล่าวถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับยมโลก กลางคืน และความเชื่อทางวัฒนธรรม ตลอดจนความหมายเชิงสัญลักษณ์ของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เช่น ค้างคาวและนกฮูก หัวข้อเรื่องสงคราม พิธีฝังศพ และทรรศนะโดยทั่วไปเกี่ยวกับจักรวาลและโลกของวัฒนธรรมเหล่านี้
  • ความทรงจำของบรรพชน : ห้องจัดแสดงบนชั้นสี่ให้คุณค่ากับความสำคัญของโบราณคดีผ่านพื้นที่ปฏิสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังแสดงเสื้อผ้าในสมัยก่อนโคลัมเบีย ประเภทของดนตรีและความหมายของดนตรี เทคโนโลยีที่ใช้ทำเครื่องดนตรีและเครื่องมือเครื่องใช้ ความหลากหลายทางเพศและบทบาททางเพศ ตลอดจนประเพณีที่สืบทอดมาจากคนพื้นเมืองที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ในคอสตาริกา
  • ชุดสะสมที่น่าชม : ตั้งอยู่บนชั้น 5 ห้องนี้จัดแสดงวัตถุจากภูมิภาคทางโบราณคดีที่แตกต่างกันสามแห่งของประเทศได้แก่ กรันนิโกยา; ภาคกลาง, แปซิฟิกกลาง และแอตแลนติก; และภูมิภาคดิกิส ซึ่งทำจากวัสดุที่แตกต่างกัน

นิทรรศการประกอบไปด้วยทรัพยากรสามมิติ เช่น ผลงานมิติทัศน์ การฉายภาพสามมิติ เกมแบบโต้ตอบ และการเข้าถึงคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานง่าย ซึ่งช่วยให้ผู้เข้าชมได้ชมฉากต่าง ๆ จากยุคก่อนโคลัมบัส ตลอดจนค้นหาบัญชีรายการของสิ่งสะสมและเรียนรู้เพิ่มเติมโดยละเอียด

นิทรรศการหมุนเวียน[แก้]

  • ทองคำ หยก และป่าไม้ของคอสตาริกา (Oro, jade y bosque de Costa Rica; 2533) นิทรรศการนี้นำสิ่งสะสมจากพิพิธภัณฑ์หยกไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์บางแห่งในสหรัฐ เอเชีย และยุโรป และสิ้นสุดที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติคอสตาริกา

อ้างอิง[แก้]

  1. Costa Rica. Bibliothèque du voyageur (ภาษาฝรั่งเศส). แปลโดย Alice Seelow; Pierre-Gilles Bellin. Gallimard. 2005. ISBN 2-7424-1661-7.
  2. Christopher P. Baker (2011). Costa Rica. Guides Voir (ภาษาฝรั่งเศส). แปลโดย Florence Paban. Paris: Hachette. ISBN 978-2-01-244990-9.
  3. Christian Rudel (2004). "Volcans, fleurs et quetzals". Le Costa Rica (ภาษาฝรั่งเศส). Karthala. ISBN 2-84586-468-X. สืบค้นเมื่อ 28 ธันวาคม 2014.
  4. 4.0 4.1 "Inaugurado nuevo Museo del Jade". Cambio Político (ภาษาสเปน). 5 พฤษภาคม 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 สิงหาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2014.
  5. Soto Méndez, Zulay (2002). Arte Precolombino Costarricense del Museo del Jade Marco Fidel Tristán (ภาษาสเปน). San José, Costa Rica: Instituto Nacional de Seguros. ISBN 9977-933-55-3. สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2014.

บรรณานุกรม[แก้]

  • Baker, Christopher P. (2005). Costa Rica. DK Eye Witness Travel Guides. Dorling Kindersley. p. 67. ISBN 978-1-4053-1063-5.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]