ผู้ใช้:Adrich/ทดลองเขียน13
กองกำลังเฉพาะกิจร่วม 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออก | |
---|---|
กองกำลัง 972 ไทย-ติมอร์ตะวันออก | |
ประจำการ | 15 มีนาคม – 1 ตุลาคม 2546 |
ประเทศ | ไทย |
เหล่า | กองทัพไทย |
รูปแบบ | ผู้มิใช่พลรบ |
บทบาท | การทำลายล้างวัตถุระเบิด การป้องกัน คชรน. การต่อสู้ระยะประชิด การสงครามทะเลทราย เวชศาสตร์ฉุกเฉิน การป้องกันกำลังรบ ผู้ตรวจการณ์หน้า ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การแทรกแซงด้านมนุษยธรรม ผู้ช่วยแพทย์ การส่งกลับสายแพทย์ วิศวกรรมการทหาร การส่งกำลังบำรุงทางทหาร การตรวจตราทางทหาร การรักษาสันติภาพ การลาดตระเวน บริการการแพทย์ฉุกเฉินเชิงยุทธวิธี การสงครามในเมือง |
กำลังรบ | 130 นาย |
ขึ้นกับ | กองกำลังเฉพาะกิจร่วมผสม 180 |
กองบัญชาการ | ฐานทัพอากาศบากรัม, บากรัม, อัฟกานิสถาน |
สมญา | ร้อย.ช.ฉก.975 ไทย/อัฟกานิสถาน (975th Thai/Afghanistan Task Force) |
ปฏิบัติการสำคัญ | สงครามอัฟกานิสถาน |
ผู้บังคับบัญชา | |
ผบ.ร้อย.ช.ฉก.975 | พันโท สิรภพ ศุภวานิช |
กองกำลังเฉพาะกิจร่วม 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออก (อังกฤษ: 975th Thai Engineer Task Force) หรือ กกล.ฉก.ร่วม 972 ไทย/ติมอร์ เป็นหน่วยทหารช่างของกองทัพไทยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการเสรีภาพยั่งยืน (Operation Enduring Freedom) ในอัฟกานิสถาน
ภารกิจของหน่วยคือการปฏิบัติการด้านมนุษยธรรม[1]ในอัฟกานิสถานหลังจากสภาวะสงครามในภูมิภาคที่กินเวลามากกว่า 2 ทศวรรษ[2] โดยประเทศไทยได้ส่งกำลังทหารที่ไม่ใช่พลรบจำนวน 130 นาย ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2546[3]
ประวัติ[แก้]
ที่มาความขัดแย้ง[แก้]
ในอดีตนั้น ติมอร์ตะวันออกเคยเป็นหนึ่งในอาณานิคมของโปรตุเกสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2402 ในข้อตกลงความระหว่างโปรตุเกสและเนเธอร์แลนด์ โดยแบ่งเขตของเกาะติดมอร์ออกเป็น 2 ส่วน ฝั่งตะวันออกเป็นของโปรตุเกส และฝั่งตะวันตกเป็นของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเนเธอร์แลนด์ได้ให้เอกราชแก่อินโดนีเซียในปี พ.ศ. 2429 พร้อมทั้งปลดปล่อยติมอร์ตะวันตกในปีต่อมา ในขณะที่ติมอร์ตะวันออกยังคงอยู่ในปกครองของโปรตุเกสอยู่กระทั่งโปรตุเกสได้แสดงความจำนงที่จะถอนตัวออกจากพื้นที่ติมอร์ตะวันออกในปี พ.ศ. 2518 โดยวางแผนที่จะมอบให้เป็นส่วนหนึ่งกับอินโดนีเซีย ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองในประเทศจนเกิดเป็นสงครามกลางเมืองระยะเวลา 3 เดือน และพรรคหัวรุนแรงที่ชื่อว่า FRETILIN ได้รับชัยชนะพร้อมทั้งประกาศเอกราชเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2518 ซึ่งทำให้อินโดนีเซียยอมรับไม่ได้และประกาศส่งกองกำลังอาสาสมัครเข้าไปปฏิบัติการในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2518 ด้วยเหตุผลในการช่วยปลดปล่อยชาวติมอร์ตะวันออกจากพรรค FRETILIN และสามารถผนวกดินแดนติมอร์ตะวันออกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินโดนีเซียเป็นจังหวัดที่ 27 เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2519
หลังจากตกเป็นดินแดนของอินโดนีเซีย สหประชาชาติกลับยังคงถือตามผู้ปกครองเดิมคือโปรตุเกส และพยามเจรจาถึงสถานะของติมอร์ตะวันออกกับอินโดนีเซียตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 - 2541 มีการเจรจาเกิดขึ้นประมาณ 10 ครั้ง แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าปัญหาจะยุติลง เนื่องจากทั้งโปรตุเกสและอินโดนีเซียมีจุดยืนที่แตกต่างกัน ในขณะที่ภายในติมอร์ตะวันออกนั้นก็มีการเคลื่อนไหวจากขบวนการ FRETILIN เดิมในรูปแบบสงครามกองโจรกับกองทหารของอินโดนีเซีย และการเรียกร้องเอกราชจากนักศึกษาชาวติมอร์ตะวันออก กระทั่งปัญหาได้รับการมองเห็นในระดับนานาชาติและมีการมอบรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ประจำปี พ.ศ. 2539 ให้กับบาทหลวง คาร์ลอส เบโล บาทหลวงนิกายโรมันคาทอลิกในติมอร์ตะวันออก และนายโจเซ รามอส ฮอร์ตา หัวหน้ากลุ่มแบ่งแยกดินแดนติมอร์ตะวันออก
ในปี พ.ศ. 2539 ได้มีแนวคิดจากที่ปรึกษากิจการติมอร์ตะวันออกเสนอให้กำหนดติมอร์ตะวันออกเป็นเขตการปกครองตนเองพิเศษ ที่ปกครองตนเองได้แต่ไม่มีอำนาจในการตกลงนโยบายต่างประเทศ ระบบยุติธรรม และการปกครองประเทศ แต่ข้อเสนอดังกล่าวถูกนายรามอสปฏิเสธ จนกระทั่งประธานาธิบดี ซูฮาร์โต ลงจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2541 ได้มีการเคลื่อนไหวไปยังประธานาธิบดีคนใหม่คือ ฮาบีบี ให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองชาวติมอร์ตะวันออกทั้งหมดรวมถึงหัวหน้ากองกำลังของขบวนการ FRETINLIN นายซานานา กุสเมา รวมถึงได้รับการสนับสนุนจากผู้นำสหภาพยุโรปสนับสนุนการลงประชามติเพื่อให้ประชาชนชาวติมอร์ตะวันออกตัดสินอนาคตของตน
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2542 กองกำลังพลเรือนอาสาสมัคร (Militia) ที่ได้รับการสนับสนุนอาวุธจากกองทัพอินโดนีเซียได้ปฏิบัติการสังหารกลุ่มประชาชนผู้สนับสนุนการเรียกร้องเอกราชของติมอร์ตะวันออก จนกระทั่งมีการลงนามในข้อตกลงหยุดยิงเพื่อยุติความรุนแรงระหว่างกลุ่มสนับสนุนเอกราชกับกลุ่มที่ต้องการรวมอยู่กับอินโดนีเซีย ในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2542 ณ เมืองดิลี ต่อมารัฐบาลของอินโดนีเซียและโปรตุเกสได้บรรลุในข้อตกลงในการเตรียมการหยั่งเสียงประชามติของชาวติมอร์ตะวันออกตามสิทธิกำหนดใจตนเอง โดยให้ลงคะแนนว่าจะเป็นดินดนที่มีสิทธิในการปกครองตนเองใต้รัฐธรรมนูญของอินโดนีเซีย หรือต้องการแยกตนเองเป็นเอกราช กำหนดให้ลงประชามติในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2542 และระบุให้สหประชาชาติส่งเจ้าหน้าที่พลเรือนและเจ้าหน้าที่ตำรวจพลเรือนมาในติมอร์ตะวันออกเพื่อช่วยเหลือกระบวนการประชามติ และให้รัฐบาลอินโดนีเซียดำเนินการการลงคะแนนเสียงประชามติเพื่อประกันความปลอดภัยในติมอร์ตะวันออก
องค์การสหประชาชาติได้มีมติที่ 1246 (1999) เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2542 ให้จัดตั้งคณะผู้แทนสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออก (United Nations Mission in East Timor: UNAMET) มีภารกิจในการการจัดการลงคะแนนเสียงของชาวติมอร์ตะวันออก และประธานาธิบดีฮาบิบีได้ขอให้สหรัฐ ออสเตรเลีย เยอรมนี อังกฤษ ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์เข้าร่วมสังเกตการณ์กระบวนการดังกล่าว ซึ่งมีการจัดตั้งสำนักงานเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2542 และเตรียมการหน่วยเลือกตั้งจำนวน 700 หน่วยสำหรับผู้มีสิทธิลงคะแนนประมาณ 450,000 คน โดยประเทศไทยได้ส่งกำลังตำรวจพลเรือนเข้าร่วม 7 นาย (ประกอบด้วยตำรวจหญิงด้วย 1 นาย) และนายทหารประสานงาน 2 นาย ขณะที่อินโดนีเซียได้ประกาศถอนกำลังทหารจำนวนหนึ่งออกจากพื้นที่ และแทนที่ด้วยกำลังตำรวจจำนวน 2,500 นายเพื่อสมทบกับกำลังตำรวจพลเรือนที่มีอยู่เดิม 4,000 นาย ซึ่งสหประชาชาติได้ประเมินว่ากำหนดการเดิมนั้นไม่เหมาะสมเนื่องจากสถานการณ์ยังไม่มีความปลอดภัยมากเพียงพอ จึงได้เลื่อนออกไปครั้งแรกเป็นวันที่ 22 สิงหาคม และเลื่อนอีกครั้งเป็นวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2542
ระหว่างการรนรงค์ประชามติของกลุ่มที่ต้องการปกครองตนเองภายใต้อินโดนีเซียนั้น กองกำลังพลเรือนอาสาสมัคร (Militia) ได้ใช้ความรุนแรงรวมไปถึงสังหารผู้ที่สนับสนุนเอกราชของติมอร์ตะวันออก ทำให้เกิตปฏิกิริยาจากองค์กรอิสระต่าง ๆ โดยเฉพาะสหประชาชาติ นักการทูต และองค์กรสิทธิมนุษยชนในเชิงลบ และเชื่อว่ากองทัพอินโดนีเซียเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว
จากผลการลงคะแนนเสียง นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติได้แถลงเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2542 ว่าชาวติมอร์ตะวันออกต้องการเป็นเอกราช ร้อยละ 72.5 (344,580 คะแนน) และเลือกเป็นส่วนหนึ่งของอินโดนีเซียในรูปแบบปกครองตนเอง ร้อยละ 21.5 (94,388 คะแนน) ซึ่งประธานาธิบดีอินโดนีเซียได้ยอมรับผลการลงประขามติและจะแจ้งต่อสภาที่ปรึกษาประชาชนในเดือนพฤษจิกายน พ.ศ. 2542
หลังจากการประกาศผลการลงประชามติ กลุ่มผู้สนับสนุนการรวมกับอินโดนีเซียได้ก่อความรุนแรงและประกาศไม่ยอมรับผลการลงประชามติ โดยได้ก่อความไม่สงบด้วยการสังหารประชาชนที่สนับสนุนการเป็นเอกราช การบังคับและผลักดันชาวติมอร์ตะวันออกไปยังฝั่งติมอร์ตะวันตก รวมไปถึงการคุกคามอาสาสมัครท้องถิ่นของสหประชาชาติ เจ้าหน้าที่ UNAMET ผู้สื่อข่าวต่างชาติ ค่ายพักและค่ายผู้อพยพของกาชาตสากลก็ถูกโจมตีด้วย ทำให้เกิดการประนามไปยังรัฐบาลอินโดนีเซียที่ไม่มีความจริงใจในการควบคุมสถานการณ์เนื่องจากเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจอินโดนีเซียไม่ได้ช่วยป้องกันหรือระงับความวุ่นวายดังกล่าวที่เกิดขึ้นจากนานาชาติ และกดดันให้มีการส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าไปปฏิบัติการในติมอร์ตะวันออก
กระทั่งวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2542 รัฐบาลอินโดนีเซียได้ประกาศกฎอัยการศึกในติมอร์ตะวันออก และแต่งตั้ง พลตรี กิกิ สยานากริ ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก ฝ่ายยุทธการ ที่เป็นที่ยอมรับจากทั้งฝ่ายผู้สนับสนุนเอกราชและผู้สนับสนุนการรวมกับอินโดนีเซียยอมรับเนื่องจากเคยประจำการในติมอร์ตะวันออกมากว่า 11 ปีขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารอินโดนีเซียในติมอร์ตะวันออกเพื่อควบคุมสถานการณ์
ส่งกองกำลัง[แก้]
ประธานาธิบดี ฮาบิบีได้ประกาศอนุญาตและยอมรับให้จัดส่งกองกำลังนานาชาติเข้าไปในติมอร์ตะวันออกเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2542 โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้มีข้อมติที่ 1264 (1999) เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2542 ให้จัดตั้งกองกําลังนานาชาติในติมอร์ตะวันออก (International force in East Timor: INTERFET) มีภารกิจในการสร้างสันติภาพและความมั่นคง รวมถึงปกป้องคุ้มครองเจ้าหน้าที่ UNAMET และปฏิบัติการด้านมนุษยธรรม
ในระหว่างการประชุมเอเปคในวันที่ 12-13 กันยายน พ.ศ. 2542 ณ ออกแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ รัฐมนตรีเศรษฐกิจของอินโดนีเซียซึ่งเป็นผู้แทนประธานาธิบดีได้แจ้งกับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยว่าอินโดนีเซียต้องการให้ไทยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาเซียนได้ส่งกองกำลังทหารไม่น้อยกว่า 3 กองพันเข้าร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพในติมอร์ตะวันออก ทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้เดินทางไปพบปะหารือกับ พลเอก วิรันโต้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอินโดนีเซีย พร้อมกับประธานาธิบดี ฮาบิบี ที่จาร์กาตา ซึ่งพลเอก วิรันโต้ได้ยืนยันว่ากองทัพอินโดนีเซียไม่ได้ต่อต้านกองกำลังนานาชาติ แต่หากเป็นไปได้ก็ต้องการให้กองกำลังส่วนใหญ่มาจากประชาคมอาเซียน
กองกำลังเฉพาะกิจร่วม 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออก ได้เข้าร่วมในปฏิบัติการของกองกําลังนานาชาติในติมอร์ตะวันออก (INTERFET) หลังจากวิกฤตการณ์ติมอร์ตะวันออกโดยมี พลตรี ปีเตอร์ คอสโกรฟ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 กองทัพบกออสเตรเลีย เป็นผู้บัญชาการ และพลตรี ทรงกิตติ จักกาบาตร์ เป็นรองผู้บัญชาการของกองกำลัง ระดมกำลังพลจาก 23 ประเทศเข้าร่วมปฏิบัติการยุติเหตุการณ์รุนแรงจากการก่อความวุ่นวายในวิกฤตการณ์ดังกล่าวประมาณ 10,000 นาย รวมถึงประเทศไทยที่ได้ส่งกองกำลังเฉพาะกิจร่วม 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออกปฏิบัติการจำนวน 1,581 นาย[4] ภายใต้คำสั่งการของ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2542 และให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติลงมติ คือวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2542 และได้รับการร้องขอจากนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียในวันเดียวกันให้ส่งกองกำลังส่วนหน้าจำนวน 20-30 นายไปร่วมวางแผนการปฏิบัติการกับฝ่ายออสเตรเลีย
วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2542 พลอากาศโท ดักลาส ริดดิง รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดออสเตรเลียได้เดินทางเข้าพบเสนาธิการทหาร และผู้บัญชาการทหารบกเพื่อหารือถึงประเด็นการร้องขอกำลังทหารไทยเข้าร่วมในกองกำลังนานาชาติ จากนั้นได้เข้าพบกับนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้ส่งนายทหารเพื่อร่วมวางแผนงานให้เดินทางไปยังเมืองดาร์วินและดิลีในการหารือกับพลตรีคอสโกรฟ รวมถึงเสนอตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองกำลังนานาชาติให้กับไทย โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้เลือกให้ พลตรี ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งอดีตผู้ช่วยทูตทหารไทยประจำจากาตาร์เป็นรองผู้บัญชาการกองกำลัง ซึ่งได้รับการตอบรับจากทั้งออสเตรเลียและอินโดนีเซียเป็นอย่างดี
ภาพรวมของกองกำลัง[แก้]
กองกำลังเฉพาะกิจร่วม 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออก ประกอบกำลังพลจาก
- กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์
- หมวดทหารช่าง
แบ่งกำลังออกเป็น 7 ผลัด ประกอบไปด้วย
- ผลัดที่ 2 ระหว่างวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2543 ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ระยะเวลา 6 เดือน โดยมีผู้บังคับบัญชาประจำภาคตะวันออกและผู้บัญชาการกองกำลัง ผลัดที่ 2 ดังนี้
- พันเอก พิเชษฐ์ วิสัยจร ผู้บัญชาการ
- พันเอก จุลเดช จิตถวิล รองผู้บัญชาการ
- พันเอก ธวัช สุกปลั่ง เสนาธิการ
ปฏิบัติการ[แก้]
กองกำลังเฉพาะกิจร่วม 972 ไทย/ติมอร์ตะวันออก มีภารกิจหลักตามกรอบของสหประชาชาติ 3 ประการ คือ
- ฟื้นฟูสันติภาพและความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัย ในติมอร์ตะวันออก
- คุ้มครองเจ้าหน้าที่ UNAMET และสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
- สนับสนุนความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้กับชาวติมอร์ตะวันออก
สิ่งสืบเนื่อง[แก้]
ระหว่างการปฏิบัติการของกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ 975 ไทย/อัฟกานิสถาน ได้มีการวางแผนการปฏิบัติการของกองกำลังเฉพาะกิจปฏิบัติการเพื่อมนุษยธรรม 976 ไทย/อิรักอีกชุด ซึ่งในรายงานระบุว่าเครื่องจักรและยุทโธปกรณ์ทางการช่างหลังจากสิ้นสุดภารกิจในประเทศอัฟกานิสถานจะถูกนำไปใช้งานในประเทศอิรักต่อเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งจากประเทศไทย[5]
ดูเพิ่ม[แก้]
- วิกฤตการณ์ติมอร์ตะวันออก
- คณะผู้แทนสนับสนุนติมอร์ตะวันออกของสหประชาชาติ
- กองกำลังเฉพาะกิจปฏิบัติการเพื่อมนุษยธรรม 976 ไทย/อิรัก
- กองกำลังเฉพาะกิจ 980 ไทย/ดาร์ฟู
- ประเทศไทยกับการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ
อ้างอิง[แก้]
- ↑ "สาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน". กระทรวงการต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "ละครมหาดไทย : จาก ป. (ปลี) สมุหพระกลาโหม ถึง ป. (ประวิตร ) รมว.กห". mgronline.com. 2011-03-07.
- ↑ "ภาพเก่าเล่าตำนาน : ทหารช่างไทย…ไปทำอะไร…ในอัฟกานิสถาน โดย พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก". www.matichon.co.th.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ เส้นทางมิตรภาพ 2 ทศวรรษ ไทย - มิตอร์-เลสเต (PDF). กรุงเทพฯ: ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ (ISC) กระทรวงการต่างประเทศ. 2565. ISBN 9786163411242.
- ↑ บทบาทของกองทัพไทยในการปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ (PDF). ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ กรมยุทธการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด.[ลิงก์เสีย]