ข้ามไปเนื้อหา

ปลาซีลาแคนท์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ปลาซีลาแคนท์
ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่:
ยุคดีโวเนียนตอนต้น – ปัจจุบัน,[1] 409–0Ma
ตัวอย่างปลาซีลาแคนท์มหาสมุทรอินเดียตะวันตกที่จับขึ้นมาใน ค.ศ. 1974 ที่ซาลิมานี แกรนด์คอโมโร หมู่เกาะคอโมโร
ปลาซีลาแคนท์ที่มีชีวิตอยู่ที่Pumula ริม KwaZulu-Natal South Coast, แอฟริกาใต้, ค.ศ. 2019
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ แก้ไขการจำแนกนี้
โดเมน: ยูแคริโอต
Eukaryota
อาณาจักร: สัตว์
Animalia
ไฟลัม: สัตว์มีแกนสันหลัง
Chordata
เคลด: ยูเทโลสโทไม
Euteleostomi
เคลด: ปลาที่มีครีบเป็นพู่
Sarcopterygii
อันดับ: Actinistia
Actinistia
Cope, 1871
ชนิดต้นแบบ
Coelacanthus granulatus
Agassiz, 1839
วงศ์และสกุล

อื่น ๆ ดูข้อความ

ซีลาแคนท์ (อังกฤษ: Coelacanth, เสียงอ่านภาษาอังกฤษ: /ˈsiːləkænθ/ ดัดแปลงมาจากคำละตินสมัยใหม่ Cœlacanthus เมื่อ cœl-us + acanth-us จากภาษากรีกโบราณ κοῖλ-ος [โพรง] + ἄκανθ-α [กระดูกสันหลัง]) เป็นชื่อสามัญของอันดับปลาที่รวมถึงสายพันธุ์ของปลาที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่รู้จักในปัจจุบันพวก gnathostomata นักวิทยาศาสตร์เคยเชื่อว่าปลาซีลาแคนท์มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับปลาปอดและเตตราพอดที่เคยเชื่อกันว่าสูญพันธุ์ไปเมื่อครั้งสิ้นสุดยุคครีเทเชียส จนกระทั่งมีการพบปลา แลติเมอเรีย ครั้งแรกที่นอกชายฝั่งด้านตะวันออกของแอฟริกาใต้เลยแม่น้ำชาลัมนาออกมาในปี ค.ศ. 1938 และปลาเหล่านั้นจึงเป็นพวกลาซูรัส ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1938 เป็นต้นมา ปลาซีลาแคนท์ Latimeria chalumnae ก็มีการถูกค้นพบในคอโมโรส เคนยา แทนซาเนีย โมซัมบิก มาดากัสการ์ และในอุทยานป่าชุ่มน้ำซิแมงกาลิโส กวาซูลู-นาทัล ในแอฟริกาใต้ สายพันธุ์ที่สอง Latimeria menadoensis พบที่เกาะซูลาเวซี อินโดนีเซีย ในปี ค.ศ. 1999[2][3] ทำให้ทราบว่าปลาซีลาแคนท์ไม่มีปอดและมีโครงสร้างที่ไม่เกี่ยวข้องกับเตตราพอดแต่อย่างใด ปลาซีลาแคนท์ไม่มีคุณค่าทางการค้าอย่างแท้จริงนอกเสียจากจะแปรสภาพเป็นวัตถุจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์และการเก็บสะสมส่วนตัว ในแง่ของการเป็นอาหารแล้ว ปลาซีลาแคนท์เกือบไม่มีค่าเอาเสียเลยด้วยเนื้อเยื่อของมันมีน้ำมันไหลซึมออกมาแม้ว่าจะตายไปแล้วก็ตาม และเนื้อของมันทั้งเหนียวและมีกลิ่นเหม็นด้วย[4]

ประวัติธรรมชาติ

[แก้]

ปลาซีลาแคนท์พบเป็นฟอสซิลครั้งแรกในยุคดีโวเนียนตอนกลาง[1][a] ปลาซีลาแคนท์ดึกดำบรรพ์อาศัยอยู่ในน้ำในช่วงปลายของมหายุคพาลีโอโซอิกและมีโซโซอิก

ซีลาแคนท์เป็นปลาที่มีครีบมีลักษณะเป็นพูอยู่ที่ทรวงอกและก้นอยู่บนแท่งก้านเนื้อเยื่อที่รองรับโดยกระดูกและมีครีบหางที่แตกออกแยกเป็น 3 พู โดยที่พูตรงกลางจะรวมถึงชุดของโนโตคอร์ด ปลาซีลาแคนท์มีเกล็ดที่บางกว่าเกล็ดของปลาพวกคอสมอยด์จริง ๆ ปลาซีลาแคนท์มีอวัยวะพิเศษสำหรับตอบรับทางไฟฟ้าที่เรียกกันว่าอวัยวะคล้ายตะขออยู่ทางด้านหน้าของกะโหลกที่อาจจะใช้ช่วยในการตรวจจับเหยื่อ อวัยวะเล็ก ๆ นี้อาจช่วยรักษาสมดุลของตัวปลาได้ด้วย การค้นหาตำแหน่งด้วยคลื่นเสียงสะท้อนก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งในวิถีทางการเคลื่อนที่ของตัวปลา

ซากดึกดำบรรพ์

[แก้]

แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการค้นพบรู้จักปลาซีลาแคนท์ที่มีชีวิตอยู่เพียง 2 ชนิดเท่านั้น แต่พบว่าครั้งหนึ่งพวกมันกลับเคยประสบความสำเร็จด้วยการพบเป็นฟอสซิลที่หลากหลายสกุลและหลากหลายชนิดจากยุคดีโวเนียนจนถึงสิ้นสุดยุคครีเทเชียสซึ่งเป็นจุดช่วงเวลาที่พวกมันต้องเผชิญกับความยากลำบากจนเกือบต้องสูญพันธุ์ไปทั้งหมด มักจะมีความเข้าใจกันว่าปลาซีลาแคนท์แทบจะไม่มีลักษณะที่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ตลอดช่วงระยะเวลาหลายล้านปีมานี้ แต่ที่แท้จริงแล้วชนิดที่มีชีวิตทั้งสองชนิดหรือแม้แต่สกุลก็ตามไม่เคยพบในรูปของฟอสซิลเลย อย่างไรก็ตามสายพันธุ์ฟอสซิลบางชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งฟอสซิลยุคครีเทเชียสสกุล มาโครโปมา ที่มีลักษณะใกล้ชิดกันกับสกุลมีชีวิตในปัจจุบันมาก[5] เหตุผลในเรื่องนี้เป็นไปได้ว่าพวกที่สูญพันธุ์ไปนั้นเป็นพวกที่อาศัยอยู่ในน้ำตื้น ขณะที่สายพันธุ์ฟอสซิลชนิดที่อาศัยอยู่ในน้ำลึกพบว่าเป็นการยากที่จะถูกยกตัวขึ้นมาให้นักบรรพชีวินวิทยาให้สามารถค้นพบเพื่อทำการศึกษาได้ ทำให้พวกที่เป็นปลาน้ำลึกไม่พบบันทึกเป็นฟอสซิลให้เห็น สิ่งเหล่านี้ยังคงอยู่ภายใต้การสำรวจและศึกษาต่อไปโดยนักวิทยาศาสตร์

อนุกรมวิธาน

[แก้]
ตัวอย่างปลาซีลาแคนท์ที่ถูกเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติในกรุงลอนดอน
ในสัตว์มีกระดูกสันหลังสายพันธุ์ใหม่ในช่วงตอนปลายของยุคดิโวเนียน ลูกหลานช่วงปลายที่มีครีบเป็นพูอย่าง Eusthenopteron แสดงถึงการปรับตัวเป็นลำดับ:
  • Panderichthys เหมาะกับโคลนตื้น ๆ;
  • Tiktaalik มีระยางค์คล้ายครีบที่สามารถนำมันขึ้นมาบนบกได้;
  • Early tetrapods อยู่ในหนองน้ำที่เต็มไปด้วยวัชพืช อย่างเช่น:
ผู้สืบทอดยังรวมถึงพวกปลาที่มีครีบเป็นพูด้วยอย่างเช่น พวกปลาซีลาแคนท์

บางทีชั้นย่อย Coelacanthimorpha (Actinistia) ก็ถูกจัดให้เป็นกลุ่มของปลา Sarcopterygian ด้วยที่รวมถึง Coelacanthiformes ด้านล่างนี้เป็นการจำแนกวงศ์และสกุลของปลาซีลาแคนท์[6]

ชั้น Sarcopterygii
ชั้นย่อย Coelacanthimorpha

ความสำคัญทางวัฒนธรรม

[แก้]

เนื่องด้วยธรรมชาติอันน่าประหลาดในการค้นพบซีลาแคนท์ ทำให้มีผลงานสมัยใหม่ หัตถศิลป์ และวรรณกรรมได้แรงบันดาลใจจากสิ่งนี้มาก มีอย่างน้อย 22 ประเทศที่มีมันบนแสตมป์ โดยเฉพาะคอโมโรสที่มีแสตมป์ซีลาแคนท์ถึง 12 ชุด ปลานี้ยังปรากฏในธนบัตร 1000 ฟรังก์คอโมโรสและเหรียญ 5 ฟรังก์คอโมโรส[7]

เชิงอรรถ

[แก้]
  1. ฟอสซิลกรามปลาซีลาแคนท์พบในชั้นหินอายุ 410 ล้านปีมาแล้ว ถูกค้นพบใกล้ ๆ กับบูจันในวิกตอเรียกิปป์แลนด์ทางตะวันออกของออสเตรเลีย ซึ่งจนถึงปัจจุบันถือว่าเป็นปลาซีลาแคนท์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด ได้รับการตั้งชื่อว่า Eoactinistia foreyi ที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2006

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 Johanson, Z.; Long, J. A; Talent, J. A; Janvier, P.; Warren, J. W (2006). "Oldest coelacanth, from the Early Devonian of Australia". Biology Letters. 2 (3): 443–6. doi:10.1098/rsbl.2006.0470. PMC 1686207. PMID 17148426.
  2. "Reference for divergence dated on mitochondrial genome". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-02-27. สืบค้นเมื่อ 2009-05-14.
  3. Erdmann, Mark V. (April 1999). "An Account of the First Living Coelacanth known to Scientists from Indonesian Waters". Environmental Biology of Fishes. Springer Netherlands. 54 (4): 439–443. doi:10.1023/A:1007584227315. 0378-1909 (Print) 1573-5133 (Online). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-09-11. สืบค้นเมื่อ 2007-05-18. {{cite journal}}: ระบุ |archivedate= และ |archive-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archiveurl= และ |archive-url= มากกว่าหนึ่งรายการ (help)
  4. Piper, Ross (2007), Extraordinary Animals: An Encyclopedia of Curious and Unusual Animals, Greenwood Press.
  5. Palmer, D., บ.ก. (1999). The Marshall Illustrated Encyclopedia of Dinosaurs and Prehistoric Animals. London: Marshall Editions. p. 44. ISBN 1-84028-152-9.
  6. Nelson, Joseph S. (2006). Fishes of the World. John Wiley & Sons. ISBN 0-471-25031-7.
  7. Smith, J. L. B. (2017). The Annotated Old Four legs. Cape Town: Struik Travel & Heritage. pp. 322–327. ISBN 978-1-77584-501-0. OCLC 1100871937.

อ่านเพิ่มเติม

[แก้]
  • Smith, J. L. B. (1956). Old Fourlegs: the Story of the Coelacanth. Longmans Green.
  • Fricke, Hans (June 1988). "Coelacanths – The Fish That Time Forgot". National Geographic. Vol. 173 no. 6. pp. 824–838. ISSN 0027-9358. OCLC 643483454.
  • Wade, Nicholas (18 April 2013). "Fish's DNA May Explain How Fins Turned to Feet". The New York Times. pp. A3.
  • Thomson, Keith S. (1991). Living Fossil: the Story of the Coelacanth. W. W. Norton.
  • Sepkoski, Jack (2002). "A compendium of fossil marine animal genera". Bulletins of American Paleontology. 364: 560. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 February 2009. สืบค้นเมื่อ 2011-05-17.
  • Weinberg, Samantha (1999). A Fish Caught in Time: The Search for the Coelacanth. Fourth Estate.
  • Bruton, Mike (2015). When I Was a Fish: Tales of an Ichthyologist. Jacana Media(Pty)Ltd.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]