การลงประชามติว่าด้วยสมาชิกภาพสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร พ.ศ. 2559
สหราชอาณาจักรควรจะยังคงเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปหรือถอนตัวจากสหภาพยุโรป ?[1] | ||||||||||||||||||||||
บัตรลงคะแนนในวันออกเสียงประชามติ | ||||||||||||||||||||||
ผลลัพธ์ | ||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| ||||||||||||||||||||||
ผลคะแนนแบ่งตามcounty |
การลงประชามติว่าด้วยสมาชิกภาพในสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร หรือรู้จักกันในสหราชอาณาจักรว่า การลงประชามติอียู (EU referendum) คือการลงประชามติที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2559[2][3] โดยมีการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปเป็นหัวข้อของแนวคิดในสหราชอาณาจักรตั้งแต่ประเทศได้เข้าร่วมกับประชาคมเศรษฐกิจยุโรป ตั้งแต่ พ.ศ. 2516
ตามที่พรรคอนุรักษนิยมแถลงการณ์การส่งร่างกฎหมายให้คณะกรรมาธิการพิจารณากฎหมายพื้นฐาน สำหรับการลงประชามติซึ่งได้รับการรับรองโดยรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรตามกฎการลงประชามติสหภาพยุโรป พ.ศ. 2558 โดยเป็นครั้งที่สองที่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวอังกฤษถูกร้องขอให้ลงคะแนนเสียงในเรื่องการเป็นสมาชิกของบริเตน โดยการลงประชามติครั้งแรกถูกจัดขึ้นในปี พ.ศ. 2518 โดยผลในครั้งนั้นคือมีผลคะแนนให้เป็นสมาชิกต่อไป 67%[4]
การลงคะแนน เขตลงคะแนนและการนับคะแนน
[แก้]การลงคะแนนจะถูกดำเนินการในตั้งแต่เวลา 07:00 BST จนถึงเวลา 22:00 BST (06:00 BST ถึง 21:00 BST ในยิบรอลตาร์) หรือตรงกับเวลา 13:00 น. ถึง 04:00 น. ตามเวลาในประเทศไทย มีหน่วยลงคะแนน 41,000 หน่วย ทั่วทั้ง 382 เขตลงคะแนน ซึ่งแต่ละหน่วยลงคะแนนจำกัดผู้ลงคะแนนสูงสุด 2,500 คน[5]
ประเทศ | เขตนับและเขตลงคะแนน |
---|---|
สหราชอาณาจักร | ประกาศออกเสียงประชามติ; 12 ภูมิภาคการนับ; 382 เขตลงคะแนน |
รัฐสมาชิก | เขตนับและเขตลงคะแนน |
---|---|
อังกฤษ | 9 ภูมิภาคการนับ; 326 เขตลงคะแนน |
ไอร์แลนด์เหนือ | National count และหนึ่งเขตลงคะแนน 18 ท้องถิ่น |
สก็อตแลนด์ | National count; 32 เขตลงคะแนน |
เวลส์ | National count; 22 เขตลงคะแนน |
ดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร | เขตลงคะแนน |
---|---|
ยิบรอลตาร์ | หนึ่งเขตลงคะแนน (ภูมิภาคการนับ: ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ) |
ผลการลงประชามติ
[แก้]ในฐานะประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งของสหราชอาณาจักร เจนนี วัตสัน จึงเป็นประธานเจ้าหน้าที่นับคะแนน (Chief Counting Officer) ผู้ซึ่งจะทำหน้าที่ประกาศผลคะแนนสุดท้ายของการลงประชามติ (รวมทั้ง 12 ภูมิภาคการนับจากทั้งสหราชอาณาจักรและยิบรอลตาร์) ในเมืองแมนเชสเตอร์ วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559[5]
การลงประชามติว่าด้วยสมาชิกภาพในสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร พ.ศ. 2559 | ||
---|---|---|
ทางเลือก | คะแนนเสียง | % |
ไม่เห็นชอบ | 17,410,742 | 51.9% |
เห็นชอบ | 16,141,241 | 48.1% |
บัตรดี | 33,551,983 | 99.92% |
บัตรเสียหรือไม่ลงคะแนน | 26,033 | 0.08% |
คะแนนเสียงทั้งหมด | 33,578,016 | 100.00% |
อัตราการลงคะแนน | 72.2% | |
จำนวนผู้มีสิทธิ์ลงคะแนน | 46,501,241 | |
แหล่งอ้างอิง: [6][7] |
ถอนตัว : 51.9 (17,410,742) |
คงอยู่ : 48.1 (16,141,241) | ||
▲ |
ผลคะแนนตามภูมิภาค
[แก้]ภูมิภาค | จำนวนผู้ไปใช้ สิทธิออกเสียง |
คะแนนเสียง | สัดส่วนคะแนนเสียง | |||
---|---|---|---|---|---|---|
คงอยู่ | ถอนตัว | คงอยู่ | ถอนตัว | |||
อังกฤษ (และยิบรอลตาร์) | 73.0% | 13,266,996 | 15,188,406 | 46.62% | 53.38% | |
อีสต์มิดแลนส์ | 74.2% | 1,033,036 | 1,475,479 | 41.18% | 58.82% | |
ภาคตะวันออกของอังกฤษ | 75.7% | 1,448,616 | 1,880,367 | 43.52% | 56.48% | |
ลอนดอน | 69.7% | 2,263,519 | 1,513,232 | 59.93% | 40.07% | |
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ | 69.3% | 562,595 | 778,103 | 41.96% | 58.04% | |
ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษ | 70% | 1,699,020 | 1,966,925 | 46.35% | 53.65% | |
ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ | 76.8% | 2,391,718 | 2,567,965 | 48.22% | 51.78% | |
ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษและยิบรอลตาร์ | 76.7% | 1,503,019 | 1,669,711 | 47.37% | 52.63% | |
เวสต์มิดแลนส์ | 72% | 1,207,175 | 1,755,687 | 40.74% | 59.26% | |
ยอร์กเชอร์และฮัมเบอร์ | 70.7% | 1,158,298 | 1,580,937 | 42.29% | 57.71% | |
ไอร์แลนด์เหนือ | 62.7% | 440,707 | 349,442 | 55.78% | 44.22% | |
สกอตแลนด์ | 67.2% | 1,661,191 | 1,018,322 | 62.00% | 38.00% | |
เวลส์ | 71.7% | 772,347 | 854,572 | 47.47% | 52.53% |
การตอบสนอง
[แก้]เอกราชของสกอตแลนด์
[แก้]เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559 รัฐบาลสกอตแลนด์ ได้ออกแถลงการณ์ว่าได้มีการเตรียมการที่มี "แนวโน้มสูง" ที่จะมีการทำการลงประชามติครั้งที่สอง ในเอกราชจากสหราชอาณาจักร[8] มุขมนตรีสกอตแลนด์ นิโคลา สเตอร์เจียน กล่าวว่า "เห็นได้อย่างชัดเจน ว่าประชาชนชาวสกอตแลนด์มองอนาคตของพวกเขา เป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป" และสกอตแลนด์มี "คำพูดเด็ดขาด" ด้วย "ความแข็งแกร่งที่ชัดเจน" ในการลงคะแนนให้คงอยู่ในสหภาพยุโรป[9] ขณะที่อเล็กซ์ ซัลมอนด์ อดีตมุขมนตรีกล่าวว่าการลงคะแนนครั้งนี้ "มีนัยสำคัญและการเปลี่ยนแปลงความคิด" ในจุดยืนของสก็อตแลนด์ภายในสหราชอาณาจักร[10]
โทนี แบลร์ กล่าวว่าเขาคิดว่าสกอตแลนด์จะถอนตัวจากสหราชอาณาจักร ถ้าสหราชอาณาจักรถอนตัวจากสหภาพยุโรป[11]
แมนเฟรด เวเบอร์ ผู้นำกลุ่มพรรคประชาชนยุโรป และพันธมิตรสำคัญของอังเกลา แมร์เคิล กล่าวว่าสกอตแลนด์ต้องการการต้อนรับที่จะคงอยู่เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป[12]
การสร้างเอกภาพไอร์แลนด์
[แก้]การลงประชามติในเอกราชได้รับการสนับสนุนโดยพรรคซีนน์ไฟน์ของไอร์แลนด์เหนือ[13] มาร์ติน แมกกินเนสส์ รองมุขมนตรีไอร์แลนด์เหนือ เรียกร้องการลงประชามติบนเอกภาพของไอริช ตามที่สหราชอาณาจักรลงคะแนนเพื่อถอนตัวจากสหภาพยุโรป[14]
การพิพาทเหนือยิบรอลตาร์ของสเปน–สหราชอาณาจักร
[แก้]โคเซ-การ์ซีอา มาร์กาโย อี มาร์ฟิล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสเปนกล่าวว่า "มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์ของภาพรวมที่เปิดขึ้นความเป็นไปได้ใหม่ในยิบรอลตาร์ ซึ่งไม่ได้เห็นมานานมากแล้ว ฉันหวังว่าวิธีการการร่วมอำนาจอธิปไตยจะชัดเจนยิ่งขึ้น ธงชาติสเปนบนเดอะร็อก (ยิบรอลตาร์) จะเป็นไปได้มากกว่าแต่ก่อน"[15]
อย่างไรก็ตาม เฟเบียน ปิการ์โด มุขมนตรีของยิบรอลตาร์เมินเฉยต่อความคิดเห็นของการ์ซีอา มาร์กาโยทันที โดยระบุว่า "จะไม่มีการพูดคุย รวมทั้งการพูดคุยเกี่ยวกับการพูดคุยใด ๆ ที่เกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของยิบรอลตาร์" และขอให้พลเมืองยิบรอลตาร์ "ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อเสียงรบกวนเหล่านั้น"[16]
สถานะของลอนดอน
[แก้]ลอนดอนลงคะแนนให้คงอยู่ในสหภาพยุโรป และนิโคลา สเตอร์เจียน มุขมนตรีของสก็อตแลนด์ กล่าวว่าเธอได้พูดคุยกับซาดิค ข่าน นายกเทศมนตรีเมืองลอนดอน เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการคงอยู่ในสหภาพยุโรปและกล่าวว่าเขาได้แบ่งปันความยุติธรรมนั้นสำหรับลอนดอน คำร้องให้ข่านประกาศให้ลอนดอนเป็นเอกราชจากสหราชอาณาจักร ได้รับลายเซ็นนับหมื่น[17][18][19][20][21][22]
ผู้สนับสนุนเอกราชของลอนดอนอ้างว่าจำนวนประชากรของลอนดอน วัฒนธรรม และค่าความแตกต่างจากส่วนที่เหลือของอังกฤษ และนั่นควรให้เป็นนครรัฐ คล้ายสิงคโปร์ ขณะที่ยังคงอยู่เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป[23][24][25][26][27]
สเปนเซอร์ลิเวอร์มอร์ บารอนลิเวอร์มอร์ กล่าวว่าเอกราชของลอนดอน "ควรถึงจุดมุ่งหมาย" ด้วยเหตุผลที่นครรัฐลอนดอนจะมีจีดีพีเป็นสองเท่าของสิงคโปร์[28]
ผู้นำทางการเมือง
[แก้]เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน เดวิด แคเมอรอน ผู้นำพรรคอนุรักษนิยมและนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งในเดือนตุลาคม แม้ว่าฝ่ายสนับสนุนพรรคอนุรักษนิยมทั้งสองข้างของการโต้วาทีการลงประชามติ กระตุ้นให้เขาอยู่ในตำแหน่งต่อไป อย่างไรก็ตามไนเจล เฟเรจ ผู้นำพรรคชาตินิยม เรียกร้องให้แคเมอรอนออกจากตำแหน่ง "ในทันที"[29]
เจเรมี คอร์บิน ผู้นำพรรคแรงงาน ต้องเผชิญกับคำวิจารณ์ที่เพิ่มขึ้นจากภายในพรรค ซึ่งมีการสนับสนุนให้คงอยู่ภายในสหภาพยุโรปสำหรับการรณรงค์พูร์แคมเปญ[30] และมีสองสมาชิกพรรคแรงงานลงคะแนนไม่ไว้วางใจคอร์บินในวันที่ 24 มิถุนายน[31]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ แปลจากต้นฉบับ: Should the United Kingdom remain a member of the European Union or leave the European Union?
- ↑ "European Union Referendum Act 2015". legislation.gov.uk. สืบค้นเมื่อ 14 May 2016.
- ↑ Rowena Mason; Nicholas Watt; Ian Traynor; Jennifer Rankin (20 February 2016). "EU referendum to take place on 23 June, David Cameron confirms". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 2 February 2016.
- ↑ Adrian Williamson, The Case for Brexit: Lessons from the 1960s and 1970s, History and Policy (2015).
- ↑ 5.0 5.1 European Referendum Act 2015 Section 11.
- ↑ "EU Referendum Results - BBC News". BBC News.
- ↑ "EU Referendum Results". election.news.sky.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-06-24. สืบค้นเมื่อ 2016-06-24.
- ↑ "'Brexit' Triggers New Bid for Scottish Independence".
- ↑ Dickie, Mure (24 June 2016). "Scots' backing for Remain raises threat of union's demise" – โดยทาง Financial Times.
- ↑ Carrell, Severin (24 June 2016). "Nicola Sturgeon prepares for second Scottish independence poll".
- ↑ "Tony Blair: 'Brexit will lead to Scottish independence' - BBC News".
- ↑ Membership, FT. "Fast FT".
- ↑ "Brexit after EU referendum: UK to leave EU and David Cameron quits".
- ↑ "EU referendum result: Sinn Fein's Martin McGuinness calls for border poll on united Ireland after Brexit". The Independent. 24 June 2016.
- ↑ "Spain to seek co-sovereignty on Gibraltar after Brexit". Reuters. 24 June 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-11-28. สืบค้นเมื่อ 2016-06-24.
- ↑ "Gibraltar stands defiant against Spain after Brexit vote". The Local. 24 June 2016. สืบค้นเมื่อ 24 June 2016.
- ↑ "Petition for London independence signed by thousands after Brexit vote".
- ↑ "Second Scotland Referendum 'Highly Likely'". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-06-24. สืบค้นเมื่อ 2016-06-24.
- ↑ Hedges-Stocks, Zoah. "Londoners call for independence from UK". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-06-25. สืบค้นเมื่อ 2016-06-24.
- ↑ "It's time for London to leave the UK". 24 June 2016.
- ↑ "Thousands call on Sadiq Khan to declare London's independence". 24 June 2016.
- ↑ "'Londependence' petition calls for London to join the EU on its own". 24 June 2016.
- ↑ "Londoners want their own independence after Brexit result".
- ↑ Metro.co.uk, Nicole Morley for (24 June 2016). "70,000 sign petition for London to become independent and rejoin the EU".
- ↑ "One expert argues that following Brexit, London needs to take back control".
- ↑ Sullivan, Conor (24 June 2016). "Londoners dismayed at UK's European divorce" – โดยทาง Financial Times.
- ↑ "Petition organiser could stage 'Londependence' rally after Brexit vote". 24 June 2016.
- ↑ "London Independence Goes Beyond A Twitter Joke With Politicians Seriously Discussing It". 24 June 2016.
- ↑ "Brexit: David Cameron to quit after UK votes to leave EU". BBC New. 24 June 2015. สืบค้นเมื่อ 24 June 2016.
- ↑ "Labour 'Out' Votes Heap Pressure On Corbyn". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-06-27. สืบค้นเมื่อ 2016-06-24.
- ↑ http://www.bbc.com/news/live/uk-politics-36570120 at 13:00