การจัดการทาลัสซีเมีย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ยา[แก้]

คนไข้ทาลัสซีเมียจะค่อย ๆ สะสมธาตุเหล็กเกินในร่างกาย การสะสมอาจจะเป็นเพราะโรคเอง จากเฮโมโกลบินผิดปกติที่ไม่รวมเหล็กเข้าในโครงสร้างอย่างสมควร หรืออาจจะเป็นเพราะการถ่ายเลือดหลายครั้งที่ได้ การมีภาวะเหล็กเกินสร้างปัญหาทางเคมี-ชีวภาพหลายอย่าง

สารสำคัญสองอย่างที่ขนส่งและเก็บธาตุเหล็กในร่างกายก็คือ ferritin และ transferrin. ferritin เป็นโปรตีนในเซลล์ที่ยึดกับเหล็ก (II) แล้วเก็บเป็นเหล็ก (III) โดยปล่อยออกในเลือดเมื่อจำเป็น ส่วน transferrin เป็นโปรตีนยึดเหล็กที่อยู่ในน้ำเลือด มีหน้าที่ขนส่งเหล็กในเลือด โดยให้เหล็กต่อเซลล์ผ่านกระบวนการ endocytosis โปรตีน transferrin ทำงานเฉพาะกับเหล็ก (III) โดยมีค่าคงตัวสมดุล (equilibrium constant) ที่ 1023 M−1 ที่ค่าพีเอช 7.4[4]

การมีทาลัสซีเมียทำให้มีเหล็กที่ไม่ยึดกับ transferrin ในเลือด เพราะว่า transferrin ที่มีทั้งหมดอิ่มตัว เหล็กที่เป็นอิสระเช่นนี้เป็นพิษต่อร่างกาย เพราะว่ามันเร่งปฏิกิริยาให้เกิดอนุมูลอิสระไฮดรอกซิล (free hydroxyl radical)[5] อนุมูลที่ว่านี้สามารถทำลายไขมันผ่านกระบวนการ lipid peroxidation ต่อออร์แกเนลล์ของเซลล์รวมทั้งไลโซโซม ไมโทคอนเดรีย และเยื่อหุ้ม sarcoplasm ในกล้ามเนื้อ lipid peroxide ที่เป็นผลสามารถปฏิสัมพันธ์กับโมเลกุลอื่น ๆ โดยเชื่อมโยงข้าม (cross link) และดังนั้น จึงเป็นเหตุให้ส่วนต่าง ๆ เหล่านี้ทำงานได้ไม่ดี หรือไม่ได้เลย[5]

ภาวะเหล็กเกินสามารถรักษาได้ด้วยการรักษาโดยคีเลชัน (chelation therapy) ซึ่งเป็นกระบวนการกำจัดเหล็กโดยยา deferoxamine, deferiprone, และ deferasirox เป็นยากำจัดเหล็กที่ใช้อย่างสามัญที่สุด

Deferoxamine[แก้]

โครงสร้างและการทำงาน[แก้]

ยา deferoxamine หรือที่เรียกว่า desferoxamine B และ DFO-B เป็นกรด trihydroxamic ที่ผลิตจาก actinobacteria พันธุ์ Streptomyces pilosus เป็นยาซึ่งยึดกับเหล็ก ลดพิษที่เร่งปฏิกิริยาโดยเหล็กที่เป็นอิสระ และยังลดการเก็บสะสมเหล็กภายในเนื้อเยื่อต่าง ๆ โดยทำงานเป็นลิแกนด์เกาะกับเหล็กแบบ hexadentate คือยึดกับจุดพันธะทั้ง 6 ของเหล็กที่ไม่ได้ยึดกับ transferrin ซึ่งทำให้เหล็กหมดฤทธิ์[6] แต่ยาก็ทำงานเฉพาะเจาะจงที่สุดกับ Fe3+ โดยยึดกับมันผ่านออกซิเจนที่อยู่ในกลุ่มไฮดรอกซิลและ carbonyl ของยา รวมกันเป็นโครงสร้างที่เรียกว่า ferrioxamine สารประกอบยา+เหล็กเช่นนี้โดยมากขับออกทางไตเพราะละลายน้ำได้[7] ประมาณ 1/3 ของสารประกอบก็ขับออกทางอุจจาระผ่านน้ำดีด้วย[5]

การให้ยาและฤทธิ์[แก้]

deferoxamine ให้โดยฉีดเข้าทางเส้นเลือด ในกล้ามเนื้อ หรือภายใต้ผิวหนัง ยาทานยังเป็นไปไม่ได้เพราะยาย่อยสลายได้อย่างรวดเร็วโดยเอนไซม์ และดูดซึมได้ไม่ดีผ่านทางเดินอาหาร วิธีการให้โดยฉีดเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่งเพราะว่าทำให้การรักษามีราคาสูงกว่าและทำให้เจ็บ[8]

แต่ยามีหลักฐานว่ารักษาปัญหาหลายอย่างที่มาจากภาวะเหล็กเกิน มีผลดีต่อโรคหัวใจที่เกิดจากการสะสมเหล็กในหัวใจ[9] ช่วยปรับปรุงหน้าที่การทำงานของตับโดยระงับการเกิดพังผืดตับ (hepatic fibrosis) ซึ่งเป็นผลจากการสะสมเหล็กในตับ[10] มีผลดีต่อการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อ และการเจริญเติบโต

ความผิดปกติในต่อมไร้ท่อของคนไข้ทาลัสซีเมียที่มีภาวะเหล็กเกินก็คือ การขัดขวางการผลิต insulin-like growth factor (IGF-1) และทำให้เกิดภาวะการทำงานหย่อนของอวัยวะเพศ (hypogonadism) ซึ่งสภาพทั้งสองล้วนแต่ทำให้โตช้าในช่วงวัยรุ่น งานศึกษาหนึ่งแสดงว่า คนไข้ 90% ที่รักษาด้วย deferoxamine อย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เด็กจะโตอย่างเป็นปกติในช่วงวัยรุ่น แต่ตกไปที่ระดับ 38% สำหรับคนไข้ที่รักษาด้วย deferoxamine ขนาดต่ำ ๆ เริ่มตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น[5] ความผิดปกติทางต่อมไร้ท่ออีกอย่างที่คนไข้เผชิญก็คือโรคเบาหวาน เพราะตับอ่อนมีเหล็กเกินจึงขัดขวางการหลั่งอินซูลิน งานศึกษาหลายงานแสดงว่า คนไข้ที่รักษาด้วย deferoxamine เป็นประจำมีโอกาสเสี่ยงโรคเบาหวานน้อยกว่า[11]

ผลข้างเคียง[แก้]

deferoxamine สามารถมีผลเป็นพิษถ้าใช้เกิน 50 มก./กก. ของน้ำหนักร่างกาย โดยมีผลเป็นการได้ยินและการเห็นที่ผิดปกติ ความเป็นพิษต่อปอด (pulmonary toxicity) ความเป็นพิษต่อระบบประสาท (sensorimotor neurotoxicity) และการทำงานของไตเปลี่ยน[5] ผลเป็นพิษที่พบโดยมากในเด็กก็คือการไม่สูงขึ้น ซึ่งอาจเกิดจาก deferoxamine เข้ายึดกับโลหะชนิดอื่น ๆ ที่จำเป็นในการเจริญเติบโต

ยามีค่าคงตัวสัมพรรคภาพ (affinity constant คือ Ka) ที่ 1031 สำหรับ Fe3+, 1014 สำหรับ Cu2+, และ 1010 สำหรับ Zn2+ และดังนั้นอาจจะเข้าจับทองแดงและสังกะสีเมื่อไม่มีเหล็กให้จับ สังกะสีจำเป็นต่อการทำงานของ metalloenzyme ที่มีบทบาทในการสร้างกระดูก และการยึดสังกะสีอาจจะทำให้ขาดสังกะสี แล้วทำให้โตช้า ลดการสร้างคอลลาเจน และทำกระบวนการ mineralization ของกระดูกให้เสียหาย

โดยนัยเดียวกัน ทองแดงทำงานเป็น enzyme cofactor ในการสร้างกระดูก การเข้ายึดทองแดงอาจมีผลเป็นการขาดทองแดงเช่นกัน ทำให้เกิดอาการ metaphyseal cupping (กระดูก metaphysis เป็นรูปถ้วย) และภาวะกระดูกพรุน ยกตัวอย่างเช่น จะมีคอลลาเจนผิดปกติเกิดขึ้นถ้าขาดทองแดงเพราะเอนไซม์ lysyl oxidase ซึ่งใช้ทองแดงเป็น cofactor และเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาขั้นตอน oxidative deamination ซึ่งสำคัญในการเชื่อมโยงคอลลาเจน ไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ มีงานศึกษาที่แสดงด้วยว่าแม้ว่าระดับทองแดงและสังกะสีจะไม่ขาดในเลือดของคนไข้ที่รับยา deferoxamine กระดูก metaphysis ก็ยังขาดโลหะ การขัดขวางการสูงขึ้นของยาอาจจะมาจากการมี deferoxamine สะสมในเนื้อเยื่อและรบกวนเอนไซม์ที่อาศัยเหล็ก และมีบทบาทในการปรับคอลลาเจนแบบ post-translational[12]

คนไข้ที่ได้ยาเสริมวิตามินซีจะสามารถขับเหล็กออกพร้อมกับ deferoxamine ได้ดีขึ้น เพราะวิตามินซีเพิ่มปริมาณธาตุเหล็กที่ deferoxamine เข้าถึงได้ แต่ว่า การได้ยาวิตามินซีก็สามารถเพิ่มความเป็นพิษของเหล็กได้เพราะสร้างอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น ดังนั้น ควรให้วิตามินซีเพียงแค่ 100 มก. 30 นาทีก่อนให้ยา deferoxamine[13]

มีหลักฐานแล้วด้วยว่าการใช้ยา deferoxamine ร่วมกับ deferiprone เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการคีเลชันโดยเพิ่มการขับเหล็กออกถึงสองเท่า[14]

Deferiprone

Deferiprone[แก้]

โครงสร้าง[แก้]

Deferiprone (DFP) เป็น ลิแกนด์เกาะกับเหล็กแบบ bidentate คือเข้ายึดพันธะของเหล็กเพียงสองจุด ดังนั้น จึงต้องมีโมเลกุลของยา 3 โมเลกุลต่อเหล็กอะตอมหนึ่ง โดยมีโครงสร้างแบบ orthorhombic[15]

DFP ผลิตโดยการสังเคราะห์และมีฤทธิ์เฉพาะเจาะจงต่อเหล็ก (III)[15][16] คุณสมบัติของ DFP ที่ทำให้มีประสิทธิภาพเป็นยาก็คือ ละลายน้ำได้ มีมวลโมเลกุลต่ำ (139 Da) ไม่มีขั้ว และละลายในลิพิดได้ (lipophilicity)[15] คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ยาผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เข้าไปในเซลล์ทั่วร่างกายได้ง่าย รวมทั้งส่วนกั้นเลือด-สมอง ช่วยให้สามารถกำจัดเหล็กเกินจากอวัยวะต่าง ๆ ได้[15][17]

แม้ว่ากลไกการกำจัดเหล็กของ DFP จะยังไม่ชัดเจน คือคาดกันมาก่อนว่า ยาเข้ายึดกับเหล็กโดยการแยกพันธะคาร์บอน-คาร์บอน หรือพันธะคาร์บอน-ออกซิเจนที่อยู่ในยา แต่ว่างานศึกษาในไทยปี 2549 เสนอกลไกหนึ่งที่เป็นไปได้ โดยสรุปว่า กลไกเกิดจากการแยกพันธะคาร์บอน-คาร์บอน เพราะว่าต้องใช้พลังงานน้อยกว่าในการแยก และพลังงานที่ใช้ในการแยกพันธะพบว่าติดลบ ซึ่งแสดงนัยว่า เป็นกระบวนการเกิดขึ้นเอง (spontaneous process) และเป็นปฏิกิริยาคายพลังงาน (exergonic reaction) และโครงสร้างของผลิตผลจากกระบวนการนี้คล้ายกับโครงสร้าง 3-มิติ (tertiary structure) ของยาที่ยึดเหล็กแล้ว[18]

การให้ยาและฤทธิ์[แก้]

deferiprone (DFP) เป็นตัวยึดเหล็ก (iron chelator) ที่มีฤทธิ์ทางปาก และดังนั้นจึงใช้ได้ง่ายกว่า deferoxamine มาก[15] ระดับสารประกอบยาบวกกับเหล็กในเลือดจะถึงระดับสูงสุดหลังจาก 1 ชม. โดยยามีระยะครึ่งชีวิต 160 นาที สารประกอบยาบวกกับเหล็กจึงขับออกภายใน 3-4 ชม. หลังทาน โดยมากทางปัสสาวะ (90%)[15]

เมื่อเทียบ deferiprone กับ deferoxamine จะพบว่า ทั้งสองมีประสิทธิภาพพอ ๆ กัน แต่ว่า ยาที่มีลักษณะต่างกันจะเข้าถึงที่สะสมเหล็กต่าง ๆ ได้ต่างกัน DFP เล็กกว่า deferoxamine และสามารถเข้าไปในเซลล์ได้ง่ายกว่า อีกอย่างหนึ่ง ที่ระดับพีเอชของเลือด สัมพรรคภาพของ DFP กับเหล็กขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของยา ในระดับความเข้มข้นต่ำ สารประกอบยา+เหล็กจะแยกออก โดยให้เหล็กกับลิแกนต์อื่นที่ต้องการเหล็กเหมือนกัน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่อธิบายว่า ทำไม DFP ดูเหมือนจะกระจายจำหน่ายเหล็กไปในร่างกาย และด้วยเหตุผลเดียวกัน DFP จึงสามารถ "ขนส่ง" เหล็กออกจากเซลล์ไปยังเลือด และให้เหล็กกับ deferoxamine ซึ่งเป็นตัวขับเหล็กออกจากร่างกาย[16]

DFP ยังมีประสิทธิภาพดีกว่า deferoxamine อย่างสำคัญในการรักษาภาวะเหล็กคั่งในกล้ามเนื้อหัวใจ (myocardial siderosis) ในคนไข้ที่มีทาลัสซีเมียใหญ่ (thalassemia major)[15] คือ เชื่อว่า DFP ปรับการทำงานของไมโทคอนเดรียในหัวใจโดยการกระจายจำหน่ายเหล็กที่ไม่เสถียร (labile) ในเซลล์หัวใจ

คนไข้ทาลัสซีเมียอาจเผชิญกับปัญหาออกซิเดชันในเซลล์สมองเพราะว่าสมองต้องการออกซิเจนมากกว่า แต่มีสารต้านอนุมูลอิสระในระดับที่ต่ำกว่าเพื่อป้องกันกระบวนการออกซิเดชัน ดังนั้น การมีเหล็กเกินในสมองอาจทำให้เกิดอนุมูลอิสระมากขึ้น ตัวยึดเหล็กแบบ hexadentate เช่น deferoxamine มีโมเลกุลใหญ่ และดังนั้นมีโอกาสข้ามตัวกั้นเลือด-สมองน้อยกว่า เพื่อจะยึดกับเหล็กที่เกิน แต่ DFP สามารถทำได้โดยเป็นสารประกอบยา+เหล็กที่ละลายน้ำได้ และสามารถผ่านเข้าเยื่อหุ้มเซลล์ผ่านกระบวนการแพร่ที่ไม่ต้องช่วย และการต่อยากับน้ำตาลยังอาจเพิ่มการผ่านเข้าตัวกั้นเลือด-สมองได้ เพราะว่า สมองมีตัวช่วยขนส่งน้ำตาลที่สมองต้องใช้ในระดับสูง[19]

ผลข้างเคียง[แก้]

DFP อาจเสี่ยงต่อกระบวนการ glucuronidation ในตับ ซึ่งอาจขับยาถึง 85% ออกจากร่างกายก่อนที่จะเข้ายึดเหล็กได้ ขอบเขตความปลอดภัยของ DFP เข้าใจกันดี โดยมีภาวะแกรนูโลไซต์น้อย (agranulocytosis) เป็นผลข้างเคียงที่หนักที่สุด[15] แม้ว่า ภาวะนี้จะรายงานในคนไข้น้อยกว่า 2% แต่ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้น จึงต้องตรวจตราดูจำนวนเม็ดเลือดขาวในเลือด[17] ผลข้างเคียงที่หนักน้อยกว่ารวมทั้งอาการในทางเดินอาหาร โดยพบในคนไข้ 33% ในช่วงปีแรกที่ใช้ยา แต่เหลืออยู่เพียง 3% ในปีต่อ ๆ มา, ปวดในข้อ (arthralgia), และการขาดสังกะสี ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญโดยเฉพาะในคนไข้โรคเบาหวาน[15]

Deferasirox

Deferasirox[แก้]

โครงสร้าง[แก้]

Deferasirox เป็น N-substituted bis-hydroxyphenyl-triazole และสามารถกำจัดเหล็กจากเลือดโดยใช้โมเลกุลของ deferasirox 2 โมเลกุลเข้ายึดกับเหล็กอะตอมหนึ่ง ซึ่งจะกลายเป็นสารประกอบโคออร์ดิเนชัน Fe-[deferasirox]2[20] deferasirox ซึ่งเป็นตัวยืดแบบ tridentate จะยึดกับเหล็กโดย 3 พันธะ โดยใช้อะตอมไนโตรเจนหนึ่งอะตอมและอะตอมออกซิเจนอีก 2 อะตอม ซึ่งมีผลเป็นโครงสร้างแปดด้าน (octahedral) โดยมีเหล็กอยู่ตรงกลาง สมรรถภาพกำจัดเหล็กของยามาจากขนาดที่เล็ก ซึ่งช่วยให้เข้าถึงเหล็กภายในเลือด และที่น่าสนใจกว่า ภายในเซลล์ นอกจากนั้นแล้ว deferasirox ยังจำเพาะกับ iron (+3) อย่างยิ่ง และดังนั้นการใช้ยาจะไม่ทำให้เสียโลหะสำคัญอื่น ๆ ภายในร่างกาย[21]

Deferasirox-Iron (III) complex

การใช้ยาและฤทธิ์[แก้]

deferasirox วางขายใต้ชื่อการค้า Exjade โดยสามัญที่สุด มีประโยชน์สำคัญเหนือกว่า desferoxamine เพราะสามารถทานได้ ไม่ต้องให้ผ่านเส้นเลือดหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนัง โดยมีระยะครึ่งชีวิต (terminal elimination half life) ที่ 8-16 ชม. ยาอาจทานได้วันละครั้ง การทานยาที่ขนาด 20 มก./กก. ของน้ำหนักร่างกาย จะพอในคนไข้โดยมากเพื่อดำรง (maintenance) ระดับความเข้มข้นของเหล็กในตับ (liver iron concentration, LIC) ซึ่งปกติจะวัดเป็น มก. ของเหล็ก ต่อกรัมของเนื้อเยื่อตับ แต่เพื่อลดระดับ LIC อาจจะต้องใช้ยาในขนาดสูงขึ้น[22]

สมรรถภาพของ deferasirox ในการลดระดับ LIC มีหลักฐานมากมาย งานศึกษาหนึ่งแสดงว่า หลังจากใช้ยา 4-5 ปี ระดับมัชฌิมของ LIC ลดลงจาก 17.4 ± 10.5 mg Fe/g ไปเป็น 9.6 ± 8.0 mg Fe/g งานศึกษานี้แสดงว่า การรักษาระยะยาวมีผลลดระดับเหล็กอย่างคงยืนสำหรับคนไข้ที่ต้องถ่ายเลือดเพราะเหตุแห่งโรค[23]

ประโยชน์สำคัญอีกอย่างของการใช้ deferasirox แทน desferoxamine ก็คือ งานวิจัยเบื้องต้นไม่พบว่า ยามีผลสำคัญต่อการเจริญเติบโตของคนไข้เด็ก งานศึกษาปี 2554 พบว่า เด็กที่รักษาเติบโตได้เกือบปกติตลอดระยะ 5 ปีช่วงงานศึกษา[23]

ผลข้างเคียง[แก้]

deferasirox สามารถมีผลข้างเคียงมากมายหลายหลาก รวมทั้งปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน และปวดในข้อ[24] มีหลักฐานบ้างว่า มีปัญหาทางเดินอาหารเนื่องจากยา[23]

indicaxanthin ซึ่งเป็นสีเหลืองของผลต้นกระบองเพชร

Indicaxanthin[แก้]

โครงสร้าง[แก้]

indicaxanthin เป็นสีที่ทำมาจากผลของต้นกระบองเพชร และสามารถใช้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ การเสริม indicaxanthin พบว่ามีผลป้องกันเม็ดเลือดแดงต่อคนที่มีทาลัสซีเมียแบบบีตา[25] สารมีโครงสร้างคล้ายกับกรดอะมิโนและชอบทั้งน้ำและลิพิด (amphiphilic) คือ มันสามารถยึดกับโครงสร้างที่เป็นหัวขั้ว (polar head groups) ของเยื่อหุ้มเซลล์ผ่านปฏิสัมพันธ์ทางไฟฟ้า แต่ก็สามารถดูดซับ (adsorption) เข้าไปในลิพิดของเซลล์ได้อีกด้วย เมื่อใส่ indicaxanthin กับเลือดในหลอดของคนไข้ทาลัสซีเมีย ก็พบว่า เซลล์เม็ดเลือดแดงจะเริ่มสะสม indicaxanthin ภายในเซลล์[25]

หน้าที่[แก้]

เฮโมโกลบินจะผ่านปฏิกิริยาออกซิเดชันต่อไปนี้ เป็นกระบวนการที่ในที่สุดทำลายเม็ดเลือดแดงโดยปกติธรรมดา

Hb → Oxy-Hb → Met-Hb → [Perferryl-Hb] → Oxoferryl → ขั้นตอนออกซิเดชันอื่น ๆ

แต่ว่า ปฏิกิริยานี้มีกับคนไข้ทาลัสซีเมียมากกว่า ไม่ใช่เพราะเพียงว่า มีอนุมูลอิสระมากกว่าในเลือดเท่านั้น แต่เม็ดเลือดแดงของคนไข้ยังป้องกันสารอนุมูลอิสระได้จำกัดกว่าอีกด้วย และ indicaxanthin สามารถลดระดับ perferryl-Hb โดยเปลี่ยนมันกลับเป็น met-Hb โดยมีผลคือ เฮโมโกลบินจึงเสื่อมช้ากว่า ซึ่งช่วยป้องกันการทำลายเม็ดเลือดของระบบ[25]

นอกจากนั้นแล้ว indicaxathin ยังสามารถลดความเสียหายจากกระบวนการออกซิเดชันในเซลล์และเนื้อเยื่อโดยเข้าไปยึดสารอนุมูลอิสระ แต่กลไกการทำงานเช่นนี้ยังไม่ชัดเจน[25] indicaxanthin ดูดซึมได้ง่ายและมีผลข้างเคียงน้อย เช่นการอาเจียนและท้องเสีย

การตรวจจับความเป็นพาหะ[แก้]

  • ประเทศไซปรัสมีนโยบายการตรวจคัดกรองเพื่อลดความชุกของทาลัสซีเมีย ซึ่งตั้งแต่เริ่มโปรแกรมในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 (ซึ่งรวมทั้งการตรวจคัดกรองก่อนมีครรภ์และการทำแท้ง) ได้ลดจำนวนเด็กที่เกิดพร้อมกับโรคเลือดทางกรรมพันธุ์จาก 1 คนใน 158 คน จนเกือบเหลือ 0[26]
  • ประเทศอิหร่านมีการตรวจคัดกรองก่อนแต่งงาน โดยเช็คเม็ดเลือดแดงของชายก่อน ถ้ามีเม็ดเลือดแดงเล็ก (microcytosis) คือมีปริมาณเฉลี่ยของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง (MCH) < 27 pg หรือปริมาตรของเม็ดเลือดแดงโดยเฉลี่ย (MCV) < 80 fl ก็จะเช็คหญิงต่อไป และถ้าทั้งสองมีเม็ดเลือดแดงเล็ก ก็จะเช็คอัตราของเฮโมโกลบินแบบ A2 ต่อไป ถ้าทั้งสองมีระดับความเข้มข้นสูงกว่า 3.5% (ซึ่งเป็นลักษณะของพาหะทาลัสซีเมียบีตา คือ มี thalassemia trait) ก็จะส่งทั้งสองไปเพื่อปรึกษาผู้ชำนาญการในเรื่องกรรมพันธุ์ต่อ-[27]

ในปี 2551 ในประเทศสเปน มีการผสมเทียมทารกคนหนึ่งโดยเฉพาะเพื่อช่วยรักษาทาลัสซีเมียในพี่ชายของเขา คือ เด็กเกิดจากตัวอ่อนที่ได้ตรวจคัดกรองว่าไม่มีโรคก่อนฝังลงในมดลูกแม่ เลือดจากสายรกที่เข้ากับพี่ชายของเขาได้ก็เก็บไว้เพื่อปลูกถ่ายไขกระดูกให้กับพี่ชาย แพทย์จัดว่าประสบความสำเร็จ[28]

ในปี 2552 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญในประเทศอินเดียได้แสดงผลการรักษาทาลัสซีเมียในเด็กหญิงที่สำเร็จ โดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากเลือดที่ได้จากสายรกของน้องชายเพื่อปลูกถ่ายให้กับพี่สาว[29]

การปลูกถ่ายไขกระดูก[แก้]

การรักษาโรคให้หายโดยไม่ต้องถ่ายเลือดอีกต่อไปเป็นไปได้โดยปลูกถ่ายไขกระดูกจากผู้บริจาคที่เข้ากันได้ ในคนไข้ความเสี่ยงน้อยที่อายุน้อย อัตราการรอดชีวิตโดยไม่เป็นทาลัสซีเมียอยู่ที่ 87% อัตราเสี่ยงตายอยู่ที่ 3%[30] ข้อเสียอย่างเดียวคือต้องมีคนบริจาคที่มี Human leukocyte antigen (HLA) เข้ากันได้ แต่ว่าถ้าคนไข้ไม่มีผู้บริจาคที่เข้ากันได้ทาง HLA ก็ยังสามารถถ่ายปลูกไขกระดูกจากแม่ได้ (haploidentical mother, mismatched donor) ผลที่ได้ก็คือ การรอดชีวิตโดยไม่มีทาลัสซีเมียอยู่ที่อัตรา 70% การไม่ยอมรับไขกระดูก 23% และอัตราการตายที่ 7% ผลจะดีที่สุดในเด็กเล็กที่สุด[31]

เชิงอรรถและอ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 "Pediatric Thalassemia Treatment & Management". Medical Care. Open Publishing. 30 April 2010. สืบค้นเมื่อ 27 September 2011.
  2. Burdick, Claude Owen. "Separating Thalassemia Trait and Iron Deficiency by Simple Inspection". American Society for Clinical Pathology. สืบค้นเมื่อ 27 September 2011.
  3. Harrison's Principles of Internal Medicine 17th Edition. McGraw-Hill medical. September 2008. p. 776. ISBN 0-07-164114-9.
  4. Aisen, P; Leibman, A; Zweier, J; Leibman; Zweier (March 1978). "Stoichiometric and site characteristics of the binding of iron to human transferrin". J. Biol. Chem. 253 (6): 1930–7. PMID 204636.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 Brittenham, Gary M; Olivieri, Nancy F (1997). "Iron-chelating therapy and the treatment of thalassemia". Journal of the American Society of Hematology. 89 (3): 739–761. PMID 9028304. สืบค้นเมื่อ 28 February 2013.
  6. Brittenham, Gary M.; Griffith, Patricia M.; Nienhuis, Arthur W.; McLaren, Christine E.; Young, Neal S.; Tucker, Eben E.; Allen, Christopher J.; Farrell, David E.; Harris, John W. (1994). "Efficacy of Deferoxamine in Preventing Complications of Iron Overload in Patients with Thalassemia Major". New England Journal of Medicine. 331 (9): 567–73. doi:10.1056/NEJM199409013310902. PMID 8047080.
  7. Cozar, O.; Leopold, N.; Jelic, C.; Chiş, V.; David, L.; Mocanu, A.; Tomoaia-Cotişel, M. (2006). "IR, Raman and surface-enhanced Raman study of desferrioxamine B and its Fe (III) complex, ferrioxamine B". Journal of Molecular Structure. 788: 1. Bibcode:2006JMoSt.788....1C. doi:10.1016/j.molstruc.2005.04.035.
  8. Cohen, Alan; Martin, Marie; Schwartz, Elias (1981). "Response to long-term deferoxamine therapy in thalassemia". The Journal of Pediatrics. 99 (5): 689–94. doi:10.1016/S0022-3476(81)80385-X. PMID 7299539.
  9. Pennell, D. J.; Berdoukas, V; Karagiorga, M; Ladis, V; Piga, A; Aessopos, A; Gotsis, ED; Tanner, MA; และคณะ (2006). "Randomized controlled trial of deferiprone or deferoxamine in beta-thalassemia major patients with asymptomatic myocardial siderosis". Blood. 107 (9): 3738–44. doi:10.1182/blood-2005-07-2948. PMID 16352815.
  10. Jin, Haiyan; Terai, Shuji; Sakaida, Isao (2007). "The iron chelator deferoxamine causes activated hepatic stellate cells to become quiescent and to undergo apoptosis". Journal of Gastroenterology. 42 (6): 475–84. doi:10.1007/s00535-007-2020-5. PMID 17671763.
  11. Kaye, Todd B.; Guay, André T.; Simonson, Donald C. (1993). "Non-insulin-dependent diabetes mellitus and elevated serum ferritin level". Journal of Diabetes and its Complications. 7 (4): 245. doi:10.1016/S0002-9610(05)80252-1.
  12. Olivieri, Nancy F.; Koren, Gideon; Harris, Jonathan; Khattak, Sohail; Freedman, Melvin H.; Templeton, Douglas M.; Bailey, John D.; Reilly, B. J. (1992). "Growth Failure and Bony Changes Induced by Deferoxamine". Journal of Pediatric Hematology/Oncology. 14: 48. doi:10.1097/00043426-199221000-00007.
  13. Ambruso, DR; Mahony, BS; Githens, JH; Rhoades, ED (1982). "Effect of subcutaneous deferoxamine and oral vitamin C on iron excretion in congenital hypoplastic anemia and refractory anemia associated with the 5q-syndrome". The American journal of pediatric hematology/oncology. 4 (2): 115–23. PMID 7114394.
  14. Kattamis, Antonis (2005). "Combined therapy with deferoxamine and deferiprone". Annals of the New York Academy of Sciences. 1054: 175–82. Bibcode:2005NYASA1054..175K. doi:10.1196/annals.1345.020. PMID 16339663.
  15. 15.0 15.1 15.2 15.3 15.4 15.5 15.6 15.7 15.8 Wiwanitkit, Viroj (2006). "Quantum chemical analysis of the deferiprone-iron binding reaction". International Journal of Nanomedicine. 1 (1): 111–3. doi:10.2147/nano.2006.1.1.111. PMC 2426763. PMID 17722270.
  16. 16.0 16.1 Olivieri, Nancy F.; Brittenham, Gary M. (1997). "Iron-Chelating Therapy and the Treatment of Thalassemia". Blood. 89 (3): 739–61. PMID 9028304.
  17. 17.0 17.1 Galanello, R.; Campus, S. (2009). "Deferiprone Chelation Therapy for Thalassemia Major". Acta Haematologica. 122 (2–3): 155–64. doi:10.1159/000243800. PMID 19907153.
  18. Wiwanitkit, Viroj (2006). "Quantum Chemical Analysis of the Deferiprone-Iron Binding Reaction". International journal of nanomedicine. 1 (1): 111–3. doi:10.2147/nano.2006.1.1.111. PMC 2426763. PMID 17722270.
  19. Heli, Hossein; Mirtorabi, Siamak; Karimian, Khashayar (2011). "Advances in iron chelation: An update". Expert Opinion on Therapeutic Patents. 21 (6): 819–56. doi:10.1517/13543776.2011.569493. PMID 21449664.
  20. Cappellini, M. D.; Cohen, A; Piga, A; Bejaoui, M; Perrotta, S; Agaoglu, L; Aydinok, Y; Kattamis, A; และคณะ (2006). "A phase 3 study of deferasirox (ICL670), a once-daily oral iron chelator, in patients with beta-thalassemia". Blood. 107 (9): 3455–62. doi:10.1182/blood-2005-08-3430. PMID 16352812.
  21. R Galanello; Piga, A; Forni, GL; Bertrand, Y; Foschini, ML; Bordone, E; Leoni, G; Lavagetto, A; และคณะ (2006-01-01). "Phase II clinical evaluation of deferasirox, a once-daily oral chelating agent, in pediatric patients with β-thalassemia major". Haematologica. 91 (10): 1343–51. PMID 17018383.
  22. Nisbet-Brown, Eric; Olivieri, Nancy F; Giardina, Patricia J; Grady, Robert W; Neufeld, Ellis J; Séchaud, Romain; Krebs-Brown, Axel J; Anderson, Judith R; และคณะ (2003). "Effectiveness and safety of ICL670 in iron-loaded patients with thalassaemia: A randomised, double-blind, placebo-controlled, dose-escalation trial". The Lancet. 361 (9369): 1597. doi:10.1016/S0140-6736(03)13309-0.
  23. 23.0 23.1 23.2 Cappellini, M. D.; Bejaoui, M.; Agaoglu, L.; Canatan, D.; Capra, M.; Cohen, A.; Drelichman, G.; Economou, M.; และคณะ (2011). "Iron chelation with deferasirox in adult and pediatric patients with thalassemia major: Efficacy and safety during 5 years' follow-up". Blood. 118 (4): 884–93. doi:10.1182/blood-2010-11-316646. PMID 21628399.
  24. "How Are Thalassemias Treated?". National Heat, Lung and Blood institute. สืบค้นเมื่อ 2 March 2013.
  25. 25.0 25.1 25.2 25.3 Tesoriere, L.; Allegra, M.; Butera, D.; Gentile, C.; Livrea, M. A. (2006). "Cytoprotective effects of the antioxidant phytochemical indicaxanthin in β-thalassemia red blood cells". Free Radical Research. 40 (7): 753–61. doi:10.1080/10715760600554228. PMID 16984002.
  26. Leung, TN; Lau, TK; Chung, TKH (April 2005). "Thalassaemia screening in pregnancy". Current Opinion in Obstetrics and Gynecology. 17 (2): 129–34. doi:10.1097/01.gco.0000162180.22984.a3. PMID 15758603.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  27. Samavat, A; Modell, B; Modell (November 2004). "Iranian national thalassaemia screening programme". BMJ (Clinical Research Ed.). 329 (7475): 1134–7. doi:10.1136/bmj.329.7475.1134. PMC 527686. PMID 15539666.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  28. "Spanish Baby Engineered To Cure Brother". October 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 December 2008.
  29. "His sister's keeper: Brother's blood is boon of life". Times of India. 17 September 2009.
  30. Sabloff, M; Chandy, M; Wang, Z; Logan, BR; Ghavamzadeh, A; Li, CK; Irfan, SM; Bredeson, CN; และคณะ (2011). "HLA-matched sibling bone marrow transplantation for β-thalassemia major". Blood. 117 (5): 1745–50. doi:10.1182/blood-2010-09-306829. PMC 3056598. PMID 21119108.
  31. Sodani, P; Isgrò, A; Gaziev, J; Paciaroni, K; Marziali, M; Simone, MD; Roveda, A; De Angelis, G; และคณะ (2011). "T cell-depleted hla-haploidentical stem cell transplantation in thalassemia young patients". Pediatric reports. 3 Suppl 2 (Suppl 2): e13. doi:10.4081/pr.2011.s2.e13. PMC 3206538. PMID 22053275.