ข้ามไปเนื้อหา

ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อัลกออิดะฮ์"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Saeng Petchchai (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Saeng Petchchai (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 27: บรรทัด 27:
หลังจากสงครามต่อต้านโซเวียตในอัฟกานิสถานสิ้นสุดลงนักรบมุญาฮิดีนบางกลุ่มต้องการขยายการต่อสู้ออกไปทั่วโลกในนามนักรบอิสลามเช่นความขัดแย้งใน[[อิสราเอล]]และ[[แคชเมียร์]] หนึ่งในความพยายามนี้คือการตั้งกลุ่มอัลกออิดะห์โดยบิน ลาเดนใน พ.ศ. 2531
หลังจากสงครามต่อต้านโซเวียตในอัฟกานิสถานสิ้นสุดลงนักรบมุญาฮิดีนบางกลุ่มต้องการขยายการต่อสู้ออกไปทั่วโลกในนามนักรบอิสลามเช่นความขัดแย้งใน[[อิสราเอล]]และ[[แคชเมียร์]] หนึ่งในความพยายามนี้คือการตั้งกลุ่มอัลกออิดะห์โดยบิน ลาเดนใน พ.ศ. 2531
=== สงครามอ่าวเปอร์เซียและเริ่มต้นต่อต้านสหรัฐ ===
=== สงครามอ่าวเปอร์เซียและเริ่มต้นต่อต้านสหรัฐ ===
{{บทความหลัก|สงครามอ่าวเปอร์เซีย}}
เมื่อสงครามในอัฟกานิสถานสิ้นสุดลง บินลาเดนเดินทางกลับสู่[[ซาอุดิอาระเบีย]] เมื่อเกิด[[การรุกรานคูเวตของอิรัก]]ใน พ.ศ. 2533 บิน ลาเดนได้เสนอให้ใช้นักรบมุญาฮิดีนของเขาร่วมมือกับกษัตริย์ฟาฮัด เพื่อปกป้องซาอุดิอาระเบียจากการรุกรานของอิรักที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียปฏิเสธและหันไปอนุญาติให้สหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพในซาอุดิอาระเบีย ทำให่บิน ลาเดนไม่พอใจ เพราะเขาไม่ต้องการให้มีกองทหารต่างชาติในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม (คือ[[เมกกะ]]และ[[เมดินา]]) การที่เขาออกมาต่อต้านทำให้เขาถูกบีบให้ไป[[ซูดาน]]และถูกถอนสัญชาติซาอุดิอาระเบีย<ref name=OSAMA-BIN-LADEN-A-CHRONOLOGY-OF-HIS-POLITICAL-LIFE>{{cite web
เมื่อสงครามในอัฟกานิสถานสิ้นสุดลง บินลาเดนเดินทางกลับสู่[[ซาอุดิอาระเบีย]] เมื่อเกิด[[การรุกรานคูเวตของอิรัก]]ใน พ.ศ. 2533 บิน ลาเดนได้เสนอให้ใช้นักรบมุญาฮิดีนของเขาร่วมมือกับกษัตริย์ฟาฮัด เพื่อปกป้องซาอุดิอาระเบียจากการรุกรานของอิรักที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียปฏิเสธและหันไปอนุญาติให้สหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพในซาอุดิอาระเบีย ทำให่บิน ลาเดนไม่พอใจ เพราะเขาไม่ต้องการให้มีกองทหารต่างชาติในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม (คือ[[เมกกะ]]และ[[เมดินา]]) การที่เขาออกมาต่อต้านทำให้เขาถูกบีบให้ไป[[ซูดาน]]และถูกถอนสัญชาติซาอุดิอาระเบีย<ref name=OSAMA-BIN-LADEN-A-CHRONOLOGY-OF-HIS-POLITICAL-LIFE>{{cite web
|title=Osama bin Laden: A Chronology of His Political Life
|title=Osama bin Laden: A Chronology of His Political Life
บรรทัด 39: บรรทัด 40:
การลงนามในข้อตกลงวอชิงตันในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2537 ทำให้สงครามระหว่างบอสเนีย-โครแอตสิ้นสุดลง กลุ่มมุญาฮิดีนยังสู้รบกับชาวเซิร์บต่อไป จนกระทั่งบันทึกสันติภาพไดตอนในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2538 ทำให้สงครามสิ้นสุดลง และเหล่านักรบต่างชาติถูกบีบให้ออกนอกประเทศ ส่วนผู้ที่แต่งงานกับชาวบอสเนียหรือไม่มีที่กลับได้รับสัญชาติบอสเนียและอนุญาตให้อยู่ต่อไปได้
การลงนามในข้อตกลงวอชิงตันในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2537 ทำให้สงครามระหว่างบอสเนีย-โครแอตสิ้นสุดลง กลุ่มมุญาฮิดีนยังสู้รบกับชาวเซิร์บต่อไป จนกระทั่งบันทึกสันติภาพไดตอนในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2538 ทำให้สงครามสิ้นสุดลง และเหล่านักรบต่างชาติถูกบีบให้ออกนอกประเทศ ส่วนผู้ที่แต่งงานกับชาวบอสเนียหรือไม่มีที่กลับได้รับสัญชาติบอสเนียและอนุญาตให้อยู่ต่อไปได้
===ผู้ลี้ภัยในอัฟกานิสถาน===
===ผู้ลี้ภัยในอัฟกานิสถาน===
หลังจากการถอนตัวของสหภาพโซเวียต อัฟกานิสถานอยู่ในสภาพวุ่นวายถึง 7 ปี จากการสู้รบของกลุ่มที่เคยเป็นพันธมิตรกัน ในช่วง พ.ศ. 2533 มีกลุ่มใหม่เกิดขึ้นคือกลุ่มตาลีบันหรือฏอลิบาน (แปลตามตัว = นักเรียน) เป็นกลุ่มเยาวชนที่เกิดในอัฟกานิสถานยุคสงครามได้รับการศึกษาในโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม (มัดรอซะ; madrassas) ในกันดะฮาร์ หรือค่ายผู้อพยพตามแนวชายแดนปากีสถาน – อัฟกานิสถาน
หลังจากการถอนตัวของสหภาพโซเวียต อัฟกานิสถานอยู่ในสภาพวุ่นวายถึง 7 ปี จากการสู้รบของกลุ่มที่เคยเป็นพันธมิตรกัน ในช่วง พ.ศ. 2533 มีกลุ่มใหม่เกิดขึ้นคือกลุ่มตาลีบันหรือ[[ฏอลิบาน]] (แปลตามตัว = นักเรียน) เป็นกลุ่มเยาวชนที่เกิดในอัฟกานิสถานยุคสงครามได้รับการศึกษาในโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม (มัดรอซะ; madrassas) ใน[[กันดะฮาร์]] หรือค่ายผู้อพยพตามแนวชายแดน[[ปากีสถาน]] – อัฟกานิสถาน


ผู้นำของฏอลิบาน 5 คนจบการศึกษาจากโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม Darul Uloom Haqqania ใกล้กับเปชาวาร์ ที่อยู่ในปากีสถาน แต่ผู้เข้าเรียนส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพจากปากีสถาน โรงเรียนนี้สอนศาสนาตามลัทธิซาลาฟีย์ และได้รับการสนับสนุนจากชาวอาหรับโดยเฉพาะบิน ลาเดน ชาวอาหรับในอัฟกานิสถานและฏอลิบานมีความเกี่ยวพันกันมาก หลังจากโซเวียตถอนตัวออกไป ฏอลิบานมีอิทธิพลมากขึ้นจนสามารถก่อตั้งรัฐเอมิเรตส์อิสลามแห่งอัฟกานิสถาน ใน พ.ศ. 2537 ฏอลิบานเข้ายึดครองพื้นที่ในกันดะฮาร์และเข้ายึดกรุงคาบูลได้เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2539
ผู้นำของฏอลิบาน 5 คนจบการศึกษาจากโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม Darul Uloom Haqqania ใกล้กับ[[เปชาวาร์]] ที่อยู่ในปากีสถาน แต่ผู้เข้าเรียนส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพจากปากีสถาน โรงเรียนนี้สอนศาสนาตามลัทธิซาลาฟีย์ และได้รับการสนับสนุนจากชาวอาหรับโดยเฉพาะบิน ลาเดน ชาวอาหรับในอัฟกานิสถานและฏอลิบานมีความเกี่ยวพันกันมาก หลังจากโซเวียตถอนตัวออกไป ฏอลิบานมีอิทธิพลมากขึ้นจนสามารถก่อตั้ง[[รัฐเอมิเรตส์อิสลามแห่งอัฟกานิสถาน]] ใน พ.ศ. 2537 ฏอลิบานเข้ายึดครองพื้นที่ในกันดะฮาร์และเข้ายึด[[กรุงคาบูล]]ได้เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2539


หลังจากซูดานได้บีบให้บิน ลาเดนและกลุ่มของเขาออกนอกประเทศ เป็นเวลาเดียวกับที่ฏอลิบานมีอำนาจในอัฟกานิสถาน บิน ลาเดนจึงเข้าไปตั้งมั่นในเขตจาลาลาบัด ในเวลานั้นมีเพียงปากีสถาน ซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เท่านั้นที่ยอมรับว่าฏอลิบานเป็นรัฐบาลของอัฟกานิสถาน บิน ลาเดนพำนักในอัฟกานิสถาน จัดตั้งค่ายฝึกนักรบมุสลิมจากทั่วโลก จนกระทั่งรัฐบาลฏอลิบานถูกขับไล่โดยกองกำลังผสมภายในประเทศร่วมกับกองทหารสหรัฐใน พ.ศ. 2544 หลังจากนั้น เชื่อกันว่า บิน ลาเดนยังคงพำนักกับกลุ่มฏอลิบานในบริเวณชายแดนปากีสถาน
หลังจากซูดานได้บีบให้บิน ลาเดนและกลุ่มของเขาออกนอกประเทศ เป็นเวลาเดียวกับที่ฏอลิบานมีอำนาจในอัฟกานิสถาน บิน ลาเดนจึงเข้าไปตั้งมั่นในเขตจาลาลาบัด ในเวลานั้นมีเพียงปากีสถาน ซาอุดิอาระเบีย และ[[สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์]]เท่านั้นที่ยอมรับว่าฏอลิบานเป็นรัฐบาลของอัฟกานิสถาน บิน ลาเดนพำนักในอัฟกานิสถาน จัดตั้งค่ายฝึกนักรบมุสลิมจากทั่วโลก .<ref>[http://209.85.229.132/search?q=cache:1AdQ7UwHB4AJ:fpc.state.gov/documents/organization/113202.pdf+al+qaeda+training+camps+in+pakistan/afghan+border&hl=en&ct=clnk&cd=9&gl=uk Islamist Militancy in the Pakistan-Afghanistan Border Region and U.S. Policy]</ref><ref>[http://islamineurope.blogspot.com/2008/06/denmark-danish-muslims-training-in-al.html Denmark: Danish Muslims training in al-Qaeda camps, planning attack against Denmark]</ref>จนกระทั่งรัฐบาลฏอลิบานถูกขับไล่โดยกองกำลังผสมภายในประเทศร่วมกับกองทหารสหรัฐใน พ.ศ. 2544 หลังจากนั้น เชื่อกันว่า บิน ลาเดนยังคงพำนักกับกลุ่มฏอลิบานในบริเวณชายแดนปากีสถาน
===เริ่มโจมตีพลเรือน===
===เริ่มโจมตีพลเรือน===
พ.ศ. 2536 Ramzi Yousef ผู้นำคนหนึ่งของอัลกออิดะห์ ใช้การวางระเบิดในรถยนต์ โจมตีตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ในนิวยอร์ก แต่ไม่สำเร็จ และ Yousef ถูกจับในปากีสถาน แต่ก็เป็นแรงดลใจให้กลุ่มของบิน ลาเดน ทำสำเร็จเมื่อ 11 กันยายน พ.ศ. 2544
พ.ศ. 2536 Ramzi Yousef ผู้นำคนหนึ่งของอัลกออิดะห์ ใช้การวางระเบิดในรถยนต์ โจมตีตึก[[เวิลด์เทรด เซ็นเตอร์]]ในนิวยอร์ก แต่ไม่สำเร็จ และ Yousef ถูกจับในปากีสถาน แต่ก็เป็นแรงดลใจให้กลุ่มของบิน ลาเดน ทำสำเร็จเมื่อ 11 กันยายน พ.ศ. 2544


อัลกออิดะห์เริ่มสงครามครูเสดใน พ.ศ. 2539 เพื่อขับไล่กองทหารต่างชาติออกไปจากดินแดนอิสลามโดยต่อต้านสหรัฐและพันธมิตร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 บิน ลาเดนและ Ayman al-Zawahiri ผู้นำของกลุ่มญิฮาดอียิปต์และผู้นำศาสนาอิสลามอีกสามคน ร่วมลงนามใน “ฟัตวาห์” หรือคำตัดสินภายใต้ชื่อแนวร่วมอิสลามโลกเพื่อญิฮาดต่อต้านยิวและครูเสด (World Islamic Front for Jihad Against the Jews and Crusaders; ภาษาอาหรับ: al-Jabhah al-Islamiyya al-'Alamiyya li-Qital al-Yahud wal-Salibiyyin)โดยประกาศว่าเป็นหน้าที่ของชาวมุสลิมทุกประเทศในการสังหารชาวสหรัฐและพันธมิตรทั้งทหารและพลเรือนเพื่อปลดปล่อยมัสยิดอัลอักซาในเยรูซาเลมและมัสยิดศักดิ์สิทธิ์ในเมกกะ หลังจากนั้นได้เกิดการวางระเบิดสถานทูตสหรัฐในแอฟริกาตะวันออกภายในปีเดียวกัน มีผู้เสียชีวิต 300 คน ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2543 เกิดระเบิดพลีชีพในกองทัพเรือสหรัฐในเยเมน
อัลกออิดะห์เริ่มสงครามครูเสดใน พ.ศ. 2539 เพื่อขับไล่กองทหารต่างชาติออกไปจากดินแดนอิสลามโดยต่อต้านสหรัฐและพันธมิตร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 บิน ลาเดนและ Ayman al-Zawahiri ผู้นำของกลุ่มญิฮาดอียิปต์และผู้นำศาสนาอิสลามอีกสามคน ร่วมลงนามใน “ฟัตวาห์” ,<ref>{{cite news
|title=Bin Laden's Fatwa
|url=http://www.pbs.org/newshour/terrorism/international/fatwa_1996.html
|publisher=Al Quds Al Arabi
|date=August 1996
|accessdate=2007-01-09}}</ref> หรือคำตัดสินภายใต้ชื่อ[[แนวร่วมอิสลามโลกเพื่อญิฮาดต่อต้านยิวและครูเสด]] (World Islamic Front for Jihad Against the Jews and Crusaders; ภาษาอาหรับ: al-Jabhah al-Islamiyya al-'Alamiyya li-Qital al-Yahud wal-Salibiyyin)โดยประกาศว่าเป็นหน้าที่ของชาวมุสลิมทุกประเทศในการสังหารชาวสหรัฐและพันธมิตรทั้งทหารและพลเรือนเพื่อปลดปล่อย[[มัสยิดอัลอักซา]]ใน[[เยรูซาเลม]]และมัสยิดศักดิ์สิทธิ์ใน[[เมกกะ]].<ref>สรุปจากการสัมภาษณ์บิน ลาเดน เมื่อ 26 พ.ค. 2541 โดย John Miller Most recently broadcast in the documentary ''Age of Terror'', part 4, with translations checked by Barry Purkis (archive researcher).</ref> หลังจากนั้นได้เกิดการวางระเบิดสถานทูตสหรัฐในแอฟริกาตะวันออกภายในปีเดียวกัน มีผู้เสียชีวิต 300 คน ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2543 เกิดระเบิดพลีชีพในกองทัพเรือสหรัฐใน[[เยเมน]]<ref>{{Citation
| last = Weir
| first = Shelagh
| authorlink =
| publication-date = July/September 1997
| title = A Clash of Fundamentalisms: Wahhabism in Yemen
| series = Middle East Report
| publisher = Middle East Research and Information Project
| issue = 204
| url = http://www.merip.org/mer/mer204/weir.htm
| accessdate = 2009-01-19
}}; cited in {{cite book
| last = Burke
| first = Jason
| authorlink = Jason Burke
| title = Al-Qaeda: Casting a Shadow of Terror
| pages = 128–129
| publisher = [[I.B. Tauris]]
| year = 2003
| location = New York
| isbn = 1850433968}}</ref>
===วินาศกรรม 11 กันยายน และปฏิกิริยาของสหรัฐ===
===วินาศกรรม 11 กันยายน และปฏิกิริยาของสหรัฐ===
{{บทความหลัก|วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544}}
การก่อวินาศกรรม 11 กันยายน ทำให้สหรัฐและนาโตออกมาต่อต้านอัลกออิดะห์ และฟัตวาห์ พ.ศ. 2541 การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นวินาศภัยครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 คน รวมทั้งความเสียหายจากการพังทลายของตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์และตึกเพนตากอนถูกทำลายลงไปบางส่วน หลังจากนั้น สหรัฐได้มีปฏิบัติการทางทหารโต้ตอบเรียกร้องให้ มุลลอหฺ โอมาร์ ผู้นำฏอลิบานส่งตัวบิน ลาเดนมาให้ แต่ฏอลิบานเลือกที่จะส่งตัวบิน ลาเดนให้ประเทศที่เป็นกลาง สหรัฐจึงส่งกองทัพอากาศทิ้งระเบิดทำลายที่มั่นที่เชื่อว่าเป็นแหล่งกบดานของอัลกออิดะห์ และส่งปฏิบัติการทางทหารภาคพื้นดินร่วมกับพันธมิตรฝ่ายเหนือเพื่อล้มล้างรัฐบาลฏอลิบาน
[[Image:September 17 2001 Ground Zero 01.jpg|thumb|250px|ความสูญเสียจากการก่อวินาศกรรม 11 กันยายน]]

การก่อ[[วินาศกรรม 11 กันยายน]] ทำให้สหรัฐและนาโตออกมาต่อต้านอัลกออิดะห์ และฟัตวาห์ พ.ศ. 2541 การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นวินาศภัยครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 คน รวมทั้งความเสียหายจากการพังทลายของตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์และตึก[[เพนตากอน]]ถูกทำลายลงไปบางส่วน หลังจากนั้น สหรัฐได้มีปฏิบัติการทางทหารโต้ตอบเรียกร้องให้ [[มุลลอหฺ โอมาร์]] ผู้นำฏอลิบานส่งตัวบิน ลาเดนมาให้ แต่ฏอลิบานเลือกที่จะส่งตัวบิน ลาเดนให้ประเทศที่เป็นกลาง สหรัฐจึงส่งกองทัพอากาศทิ้งระเบิดทำลายที่มั่นที่เชื่อว่าเป็นแหล่งกบดานของอัลกออิดะห์ และส่งปฏิบัติการทางทหารภาคพื้นดินร่วมกับ[[พันธมิตรฝ่ายเหนือ]]เพื่อล้มล้างรัฐบาลฏอลิบาน
[[Image:Anaconda-helicopter.jpg|thumb|left|ทหารสหรัฐในอัฟกานิสถาน]]
หลังจากถูกกวาดล้าง กลุ่มอัลกออิดะห์พยายามรวมตัวอีกครั้งในเขต Gardez แต่ยังคงถูกโจมตีจากฝ่ายสหรัฐ ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2545 กองทัพอัลกออิดะห์ถูกทำลายจนลดประสิทธิภาพลงมาก ซึ่งเป็นความสำเร็จในขั้นต้นของการรุกรานอัฟกานิสถาน อย่างไรก็ตาม ฏอลิบานยังมีอิทธิพลอยู่ในอัฟกานิสถาน และผู้นำคนสำคัญของอัลกออิดะห์ยังไม่ถูกจับ ใน พ.ศ. 2547 สหรัฐกล่าวอ้างว่าจับตัวผู้นำของอัลกออิดะห์ได้ 2 – 3 คน แต่อัลกออิดะห์ก็ยังดำเนินกิจกรรมต่อไปได้
หลังจากถูกกวาดล้าง กลุ่มอัลกออิดะห์พยายามรวมตัวอีกครั้งในเขต Gardez แต่ยังคงถูกโจมตีจากฝ่ายสหรัฐ ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2545 กองทัพอัลกออิดะห์ถูกทำลายจนลดประสิทธิภาพลงมาก ซึ่งเป็นความสำเร็จในขั้นต้นของการรุกรานอัฟกานิสถาน อย่างไรก็ตาม ฏอลิบานยังมีอิทธิพลอยู่ในอัฟกานิสถาน และผู้นำคนสำคัญของอัลกออิดะห์ยังไม่ถูกจับ ใน พ.ศ. 2547 สหรัฐกล่าวอ้างว่าจับตัวผู้นำของอัลกออิดะห์ได้ 2 – 3 คน แต่อัลกออิดะห์ก็ยังดำเนินกิจกรรมต่อไปได้
===กิจกรรมในอิรัก===
===กิจกรรมในอิรัก===
บิน ลาเดน เริ่มให้ความสนใจอิรักตั้งแต่สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2533 อัลกออิดะห์ติดต่อกับกลุ่มมุสลิมชาวเคิร์ด Ansar al-islam ใน พ.ศ. 2542 ระหว่างการรุกรานอิรักใน พ.ศ. 2546 อัลกออิดะห์ให้ความสนใจเป็นพิเศษ หน่วยทหารของอัลกออิดะห์เริ่มวางระเบิดกองบัญชาการของสหประชาชาติและกาชาดสากล พ.ศ. 2547 ฐานที่มั่นของอัลกออิดะห์ในเมืองฟาลูยะห์ ถูกโจมตีและปิดล้อมด้วยกองทหารสหรัฐ แต่อัลกออิดะห์ยังคงโจมตีทั่วอิรัก แม้จะสูญเสียกำลังคนไปมาก ในระหว่างการเลือกตั้งในอิรัก พ.ศ. 2548 กลุ่มอัลกออิดะห์ออกมาประกาศความรับผิดชอบระเบิดพลีชีพ 9 ครั้งในแบกแดด
บิน ลาเดน เริ่มให้ความสนใจอิรักตั้งแต่สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2533 อัลกออิดะห์ติดต่อกับกลุ่มมุสลิม[[ชาวเคิร์ด]] Ansar al-islam ใน พ.ศ. 2542 ระหว่างการรุกรานอิรักใน พ.ศ. 2546 อัลกออิดะห์ให้ความสนใจเป็นพิเศษ หน่วยทหารของอัลกออิดะห์เริ่มวางระเบิดกองบัญชาการของ[[สหประชาชาติ]]และ[[กาชาดสากล]] พ.ศ. 2547 ฐานที่มั่นของอัลกออิดะห์ในเมือง[[ฟาลูยะห์]] ถูกโจมตีและปิดล้อมด้วยกองทหารสหรัฐ แต่อัลกออิดะห์ยังคงโจมตีทั่วอิรัก แม้จะสูญเสียกำลังคนไปมาก ในระหว่างการเลือกตั้งในอิรัก พ.ศ. 2548 กลุ่มอัลกออิดะห์ออกมาประกาศความรับผิดชอบระเบิดพลีชีพ 9 ครั้งใน[[แบกแดด]]


Abu Musab al-Zarqawi ทหารชาวจอร์แดนเป็นผู้จัดตั้งองค์กร "Jama'at al-Tawhid wal-Jihad" เมื่อ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2547 และประกาศเป็นตัวแทนของอัลกออิดะห์ในอิรัก หลังจากเขาถูกฆ่าจากการโจมตีทางอากาศโดยสหรัฐเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ที่ Baqubah เชื่อกันว่า Abu Ayyub al-Masri ขึ้นเป็นผู้นำอัลกออิดะห์ในอิรักแทน แม้ว่าการต่อสู้ของอัลกออิดะห์ในอิรักยังไม่ประสบผลในการขับไล่กองทหารอังกฤษและสหรัฐ รวมทั้งล้มล้างรัฐบาลของผู้นับถือนิกายชีอะห์ แต่ก็ได้สร้างความรุนแรงกระจายไปทั่วประเทศ
Abu Musab al-Zarqawi ทหารชาวจอร์แดนเป็นผู้จัดตั้งองค์กร "Jama'at al-Tawhid wal-Jihad" เมื่อ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2547 และประกาศเป็นตัวแทนของอัลกออิดะห์ในอิรัก หลังจากเขาถูกฆ่าจากการโจมตีทางอากาศโดยสหรัฐเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ที่ Baqubah เชื่อกันว่า Abu Ayyub al-Masri ขึ้นเป็นผู้นำอัลกออิดะห์ในอิรักแทน แม้ว่าการต่อสู้ของอัลกออิดะห์ในอิรักยังไม่ประสบผลในการขับไล่กองทหารอังกฤษและสหรัฐ รวมทั้งล้มล้างรัฐบาลของผู้นับถือนิกาย[[ชีอะห์]] แต่ก็ได้สร้างความรุนแรงกระจายไปทั่วประเทศ
===อัลกออิดะห์ในแคชเมียร์===
===อัลกออิดะห์ในแคชเมียร์===
เมื่อ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ชายลึกลับอ้างตัวเป็นสมาชิกอัลกออิดะห์โทรศัพท์ไปที่นักข่าวท้องถิ่นในศรีนคร ประกาศว่าขณะนี้อัลกออิดะห์เข้ามาในแคชเมียร์แล้ว เพื่อปกป้องชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมที่ถูกรัฐบาลอินเดียกดขี่ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า กลุ่มอัลกออิดะห์แทรกซึมเข้ามาในบริเวณนี้ตั้งแต่ก่อนการรุกรานอัฟกานิสถานของสหรัฐ และน่าจะมีความสัมพันธ์กับกลุ่มก่อการร้ายในปากีสถาน
เมื่อ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ชายลึกลับอ้างตัวเป็นสมาชิกอัลกออิดะห์โทรศัพท์ไปที่นักข่าวท้องถิ่นใน[[ศรีนคร]] ประกาศว่าขณะนี้อัลกออิดะห์เข้ามาใน[[แคชเมียร์]]แล้ว เพื่อปกป้องชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมที่ถูกรัฐบาลอินเดียกดขี่ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า กลุ่มอัลกออิดะห์แทรกซึมเข้ามาในบริเวณนี้ตั้งแต่ก่อนการรุกรานอัฟกานิสถานของสหรัฐ และน่าจะมีความสัมพันธ์กับกลุ่มก่อการร้ายในปากีสถาน


== กิจกรรม ==
== กิจกรรม ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:06, 12 กันยายน 2552

ธงของอัลกออิดะห์ในอิรัก

อัลกออิดะห์ (อาหรับ: القاعدة‎,al-Qā`ida คำแปล: ฐานที่มั่น (The Base), อังกฤษ: Al-Qaeda) เป็นกลุ่มก่อการร้ายสากลชาวอิสลาม ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2531[1] มีนายอุซามะห์ บิน ลาดิน และนาย Ayman al-Zawahiri เป็นหัวหน้า

อัลกออิดะห์ หรืออัลไกดา เป็นองค์กรทางทหารของมุสลิมนิกายซุนนี มีเป้าหมายเพื่อขับไล่อิทธิพลของต่างชาติออกไปจากประเทศมุสลิม สมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้นับถือลัทธิวะฮาบีย์หรือซาฟาอีย์ อัลกออิดะห์เป็นที่รู้จักจากการก่อวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ทำให้สหรัฐอเมริกาออกมาต่อต้านกลุ่มนี้ภายใต้คำว่า “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย” กลุ่มนี้ถูกจัดให้เป็นกลุ่มก่อการร้ายโดยสหรัฐอเมริกา[2] อังกฤษ[3] แคนาดา[4] ออสเตรเลีย[5] อินเดีย,[6] ซาอุดิอาระเบีย นาโต[7][8]สหประชาชาติ[9] สหภาพยุโรป [10] อิสราเอล,[11] ญี่ปุ่น[12] เกาหลีใต้,[13] ฝรั่งเศส,[14] เนเธอร์แลนด์,[15] รัสเซีย,[16] สวีเดน,[17] ตุรกี[18] และสวิตเซอร์แลนด์.[19]


ที่มาของชื่อ

คำว่าอัลกออิดะห์เป็นภาษาอาหรับหมายถึงมูลนิธิ ที่มั่น บินลาเดนให้สัมภาษณ์แก่วารสาร al Jazeera ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2544 ว่าคำว่าอัลกออิดะห์นี้ใช้ตั้งแต่สมัยที่กลุ่มมุญาฮิดีนต่อสู้กับสหภาพโซเวียตโดยเรียกค่ายฝึกว่าอัลกออิดะห์ คำว่าอัลกออิดะห์นำมาใช้เป็นครั้งแรกโดยกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2544 ในการสอบสวนผู้ต้องหาสี่คนที่นิวยอร์กจากคดีการวางระเบิดสถานทูตสหรัฐในแอฟริกาตะวันออกเมื่อ พ.ศ. 2541 ต่อมาในเดือนเมษายน พ.ศ. 2545 กลุ่มนี้ปรากฏในชื่อกออิดะห์ อัล ญิฮาด (ที่มั่นแห่งญิฮาด)

ประวัติ

ญิฮาดในอัฟกานิสถาน

จุดกำเนิดของกลุ่มเริ่มขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์หลังโซเวียตรุกรานอัฟกานิสถานใน พ.ศ. 2522 โดยการบริหารของชาวอาหรับจากต่างประเทศในชื่อมุญาฮิดีน สนับสนุนทางการเงินโดยบิน ลาเดนและการบริจาคของชาวมุสลิม สหรัฐมองว่าการรุกรานอัฟกานิสถานของโซเวียตเป็นส่วนหนึ่งของสงครามเย็น หน่วยสืบราชการลับได้ให้ความช่วยเหลือกลุ่มดังกล่าวผ่านทางปากีสถาน[20][21] อัลกออิดะห์พัฒนาจากกลุ่ม Maktab al-Khadamat ที่เป็นส่วนหนึ่งของมุญาฮิดีน สมาชิกส่วนใหญ่เป็นทหารชาวปาเลสไตน์ และได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐเช่นเดียวกับมุญาฮิดีนกลุ่มอื่นๆ การสู้รบดำเนินไป 9 ปี จนสหภาพโซเวียตถอนตัวออกจากอัฟกานิสถานใน พ.ศ. 2532 รัฐบาลสังคมนิยมของ โมฮัมเหม็ด นาจิบุลลอห์ ถูกมุญาฮิดีนล้มล้าง แต่เนื่องจากผู้นำกลุ่มมุญาฮิดีนไม่สามารถตกลงกันได้ ความวุ่นวายจากการแย่งชิงอำนาจจึงตามมา

การขยายตัว

หลังจากสงครามต่อต้านโซเวียตในอัฟกานิสถานสิ้นสุดลงนักรบมุญาฮิดีนบางกลุ่มต้องการขยายการต่อสู้ออกไปทั่วโลกในนามนักรบอิสลามเช่นความขัดแย้งในอิสราเอลและแคชเมียร์ หนึ่งในความพยายามนี้คือการตั้งกลุ่มอัลกออิดะห์โดยบิน ลาเดนใน พ.ศ. 2531

สงครามอ่าวเปอร์เซียและเริ่มต้นต่อต้านสหรัฐ

เมื่อสงครามในอัฟกานิสถานสิ้นสุดลง บินลาเดนเดินทางกลับสู่ซาอุดิอาระเบีย เมื่อเกิดการรุกรานคูเวตของอิรักใน พ.ศ. 2533 บิน ลาเดนได้เสนอให้ใช้นักรบมุญาฮิดีนของเขาร่วมมือกับกษัตริย์ฟาฮัด เพื่อปกป้องซาอุดิอาระเบียจากการรุกรานของอิรักที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียปฏิเสธและหันไปอนุญาติให้สหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพในซาอุดิอาระเบีย ทำให่บิน ลาเดนไม่พอใจ เพราะเขาไม่ต้องการให้มีกองทหารต่างชาติในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม (คือเมกกะและเมดินา) การที่เขาออกมาต่อต้านทำให้เขาถูกบีบให้ไปซูดานและถูกถอนสัญชาติซาอุดิอาระเบีย[22]

ในซูดาน

ใน พ.ศ. 2534 แนวร่วมอิสลามแห่งชาติซูดานขึ้นมามีอำนาจและเชื้อเชิญกลุ่มอัลกออิดะห์ให้ย้ายเข้ามาภายในประเทศ อัลกออิดะห์เข้าไปประกอบธุรกิจในซูดานเป็นเวลาหลายปี และสนับสนุนเงินในการสร้างทางหลวงจากเมืองหลวงไปยังท่าเรือซูดาน พ.ศ. 2539 บิน ลาเดนถูกบีบให้ออกจากซูดานเนื่องจากแรงกดดันของสหรัฐ เขาจึงย้ายกลุ่มอัลกออิดะห์ไปตั้งมั่นในจาลาลาบัด อัฟกานิสถาน

บอสเนีย

การประกาศเอกราชของบอสเนีย-เฮอร์เซโกวินา ออกจากสหพันธรัฐยูโกสลาเวียในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2534 ทำให้เกิดความขัดแย้งทางเชื้อชาติและศาสนาแห่งใหม่ในยุโรป ในบอสเนีย ชนส่วนใหญ่เป็นมุสลิมแต่ก็มีชาวเซิร์บที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายกรีกออร์ทอดอกซ์และชาวโครแอตนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ทำให้เกิดความขัดแย้งที่เป็นสามเส้าขึ้น โดยเซอร์เบียและโครเอเชียหนุนหลังชาวเซิร์บและชาวโครแอตที่มีเชื้อชาติเดียวกันตามลำดับ เหล่านักรบอาหรับในอัฟกานิสถานเห็นว่าสงครามในบอสเนียเป็นโอกาสอันดีที่จะปกป้องศาสนาอิสลาม ทำให้กลุ่มต่างๆเหล่านี้ รวมทั้งอัลกออิดะห์เข้าร่วมในสงคราม ตั้งเป็นกลุ่มมุญาฮิดีนบอสเนีย โดยนักรบส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับไม่ใช่ชาวบอสเนีย

การลงนามในข้อตกลงวอชิงตันในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2537 ทำให้สงครามระหว่างบอสเนีย-โครแอตสิ้นสุดลง กลุ่มมุญาฮิดีนยังสู้รบกับชาวเซิร์บต่อไป จนกระทั่งบันทึกสันติภาพไดตอนในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2538 ทำให้สงครามสิ้นสุดลง และเหล่านักรบต่างชาติถูกบีบให้ออกนอกประเทศ ส่วนผู้ที่แต่งงานกับชาวบอสเนียหรือไม่มีที่กลับได้รับสัญชาติบอสเนียและอนุญาตให้อยู่ต่อไปได้

ผู้ลี้ภัยในอัฟกานิสถาน

หลังจากการถอนตัวของสหภาพโซเวียต อัฟกานิสถานอยู่ในสภาพวุ่นวายถึง 7 ปี จากการสู้รบของกลุ่มที่เคยเป็นพันธมิตรกัน ในช่วง พ.ศ. 2533 มีกลุ่มใหม่เกิดขึ้นคือกลุ่มตาลีบันหรือฏอลิบาน (แปลตามตัว = นักเรียน) เป็นกลุ่มเยาวชนที่เกิดในอัฟกานิสถานยุคสงครามได้รับการศึกษาในโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม (มัดรอซะ; madrassas) ในกันดะฮาร์ หรือค่ายผู้อพยพตามแนวชายแดนปากีสถาน – อัฟกานิสถาน

ผู้นำของฏอลิบาน 5 คนจบการศึกษาจากโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม Darul Uloom Haqqania ใกล้กับเปชาวาร์ ที่อยู่ในปากีสถาน แต่ผู้เข้าเรียนส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพจากปากีสถาน โรงเรียนนี้สอนศาสนาตามลัทธิซาลาฟีย์ และได้รับการสนับสนุนจากชาวอาหรับโดยเฉพาะบิน ลาเดน ชาวอาหรับในอัฟกานิสถานและฏอลิบานมีความเกี่ยวพันกันมาก หลังจากโซเวียตถอนตัวออกไป ฏอลิบานมีอิทธิพลมากขึ้นจนสามารถก่อตั้งรัฐเอมิเรตส์อิสลามแห่งอัฟกานิสถาน ใน พ.ศ. 2537 ฏอลิบานเข้ายึดครองพื้นที่ในกันดะฮาร์และเข้ายึดกรุงคาบูลได้เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2539

หลังจากซูดานได้บีบให้บิน ลาเดนและกลุ่มของเขาออกนอกประเทศ เป็นเวลาเดียวกับที่ฏอลิบานมีอำนาจในอัฟกานิสถาน บิน ลาเดนจึงเข้าไปตั้งมั่นในเขตจาลาลาบัด ในเวลานั้นมีเพียงปากีสถาน ซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เท่านั้นที่ยอมรับว่าฏอลิบานเป็นรัฐบาลของอัฟกานิสถาน บิน ลาเดนพำนักในอัฟกานิสถาน จัดตั้งค่ายฝึกนักรบมุสลิมจากทั่วโลก .[23][24]จนกระทั่งรัฐบาลฏอลิบานถูกขับไล่โดยกองกำลังผสมภายในประเทศร่วมกับกองทหารสหรัฐใน พ.ศ. 2544 หลังจากนั้น เชื่อกันว่า บิน ลาเดนยังคงพำนักกับกลุ่มฏอลิบานในบริเวณชายแดนปากีสถาน

เริ่มโจมตีพลเรือน

พ.ศ. 2536 Ramzi Yousef ผู้นำคนหนึ่งของอัลกออิดะห์ ใช้การวางระเบิดในรถยนต์ โจมตีตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ในนิวยอร์ก แต่ไม่สำเร็จ และ Yousef ถูกจับในปากีสถาน แต่ก็เป็นแรงดลใจให้กลุ่มของบิน ลาเดน ทำสำเร็จเมื่อ 11 กันยายน พ.ศ. 2544

อัลกออิดะห์เริ่มสงครามครูเสดใน พ.ศ. 2539 เพื่อขับไล่กองทหารต่างชาติออกไปจากดินแดนอิสลามโดยต่อต้านสหรัฐและพันธมิตร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 บิน ลาเดนและ Ayman al-Zawahiri ผู้นำของกลุ่มญิฮาดอียิปต์และผู้นำศาสนาอิสลามอีกสามคน ร่วมลงนามใน “ฟัตวาห์” ,[25] หรือคำตัดสินภายใต้ชื่อแนวร่วมอิสลามโลกเพื่อญิฮาดต่อต้านยิวและครูเสด (World Islamic Front for Jihad Against the Jews and Crusaders; ภาษาอาหรับ: al-Jabhah al-Islamiyya al-'Alamiyya li-Qital al-Yahud wal-Salibiyyin)โดยประกาศว่าเป็นหน้าที่ของชาวมุสลิมทุกประเทศในการสังหารชาวสหรัฐและพันธมิตรทั้งทหารและพลเรือนเพื่อปลดปล่อยมัสยิดอัลอักซาในเยรูซาเลมและมัสยิดศักดิ์สิทธิ์ในเมกกะ.[26] หลังจากนั้นได้เกิดการวางระเบิดสถานทูตสหรัฐในแอฟริกาตะวันออกภายในปีเดียวกัน มีผู้เสียชีวิต 300 คน ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2543 เกิดระเบิดพลีชีพในกองทัพเรือสหรัฐในเยเมน[27]

วินาศกรรม 11 กันยายน และปฏิกิริยาของสหรัฐ

ความสูญเสียจากการก่อวินาศกรรม 11 กันยายน

การก่อวินาศกรรม 11 กันยายน ทำให้สหรัฐและนาโตออกมาต่อต้านอัลกออิดะห์ และฟัตวาห์ พ.ศ. 2541 การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นวินาศภัยครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 คน รวมทั้งความเสียหายจากการพังทลายของตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์และตึกเพนตากอนถูกทำลายลงไปบางส่วน หลังจากนั้น สหรัฐได้มีปฏิบัติการทางทหารโต้ตอบเรียกร้องให้ มุลลอหฺ โอมาร์ ผู้นำฏอลิบานส่งตัวบิน ลาเดนมาให้ แต่ฏอลิบานเลือกที่จะส่งตัวบิน ลาเดนให้ประเทศที่เป็นกลาง สหรัฐจึงส่งกองทัพอากาศทิ้งระเบิดทำลายที่มั่นที่เชื่อว่าเป็นแหล่งกบดานของอัลกออิดะห์ และส่งปฏิบัติการทางทหารภาคพื้นดินร่วมกับพันธมิตรฝ่ายเหนือเพื่อล้มล้างรัฐบาลฏอลิบาน

ทหารสหรัฐในอัฟกานิสถาน

หลังจากถูกกวาดล้าง กลุ่มอัลกออิดะห์พยายามรวมตัวอีกครั้งในเขต Gardez แต่ยังคงถูกโจมตีจากฝ่ายสหรัฐ ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2545 กองทัพอัลกออิดะห์ถูกทำลายจนลดประสิทธิภาพลงมาก ซึ่งเป็นความสำเร็จในขั้นต้นของการรุกรานอัฟกานิสถาน อย่างไรก็ตาม ฏอลิบานยังมีอิทธิพลอยู่ในอัฟกานิสถาน และผู้นำคนสำคัญของอัลกออิดะห์ยังไม่ถูกจับ ใน พ.ศ. 2547 สหรัฐกล่าวอ้างว่าจับตัวผู้นำของอัลกออิดะห์ได้ 2 – 3 คน แต่อัลกออิดะห์ก็ยังดำเนินกิจกรรมต่อไปได้

กิจกรรมในอิรัก

บิน ลาเดน เริ่มให้ความสนใจอิรักตั้งแต่สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2533 อัลกออิดะห์ติดต่อกับกลุ่มมุสลิมชาวเคิร์ด Ansar al-islam ใน พ.ศ. 2542 ระหว่างการรุกรานอิรักใน พ.ศ. 2546 อัลกออิดะห์ให้ความสนใจเป็นพิเศษ หน่วยทหารของอัลกออิดะห์เริ่มวางระเบิดกองบัญชาการของสหประชาชาติและกาชาดสากล พ.ศ. 2547 ฐานที่มั่นของอัลกออิดะห์ในเมืองฟาลูยะห์ ถูกโจมตีและปิดล้อมด้วยกองทหารสหรัฐ แต่อัลกออิดะห์ยังคงโจมตีทั่วอิรัก แม้จะสูญเสียกำลังคนไปมาก ในระหว่างการเลือกตั้งในอิรัก พ.ศ. 2548 กลุ่มอัลกออิดะห์ออกมาประกาศความรับผิดชอบระเบิดพลีชีพ 9 ครั้งในแบกแดด

Abu Musab al-Zarqawi ทหารชาวจอร์แดนเป็นผู้จัดตั้งองค์กร "Jama'at al-Tawhid wal-Jihad" เมื่อ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2547 และประกาศเป็นตัวแทนของอัลกออิดะห์ในอิรัก หลังจากเขาถูกฆ่าจากการโจมตีทางอากาศโดยสหรัฐเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ที่ Baqubah เชื่อกันว่า Abu Ayyub al-Masri ขึ้นเป็นผู้นำอัลกออิดะห์ในอิรักแทน แม้ว่าการต่อสู้ของอัลกออิดะห์ในอิรักยังไม่ประสบผลในการขับไล่กองทหารอังกฤษและสหรัฐ รวมทั้งล้มล้างรัฐบาลของผู้นับถือนิกายชีอะห์ แต่ก็ได้สร้างความรุนแรงกระจายไปทั่วประเทศ

อัลกออิดะห์ในแคชเมียร์

เมื่อ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ชายลึกลับอ้างตัวเป็นสมาชิกอัลกออิดะห์โทรศัพท์ไปที่นักข่าวท้องถิ่นในศรีนคร ประกาศว่าขณะนี้อัลกออิดะห์เข้ามาในแคชเมียร์แล้ว เพื่อปกป้องชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมที่ถูกรัฐบาลอินเดียกดขี่ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า กลุ่มอัลกออิดะห์แทรกซึมเข้ามาในบริเวณนี้ตั้งแต่ก่อนการรุกรานอัฟกานิสถานของสหรัฐ และน่าจะมีความสัมพันธ์กับกลุ่มก่อการร้ายในปากีสถาน

กิจกรรม

กิจกรรมทางอินเตอร์เน็ต

กลุ่มอัลกออิดะห์ใช้อินเตอร์เน็ตในการสร้างเครือข่ายและประชาสัมพันธ์ผลงาน

กิจกรรมทางการเงิน

อ้างอิง

  1. Wright, Looming Tower (2006), p.133-4
  2. United States Department of State. "Foreign Terrorist Organizations (FTOs)". สืบค้นเมื่อ 2006-07-03.
  3. United Kingdom Home Office. "Proscribed terrorist groups". สืบค้นเมื่อ 2006-07-03.
  4. Public Safety and Emergency Preparedness Canada. "Entities list". สืบค้นเมื่อ 2006-07-03.
  5. Australian Government. "Listing of Terrorist Organisations". สืบค้นเมื่อ 2006-07-03.
  6. The Hindu : Centre bans Al-Qaeda
  7. NATO. "Press Conference with NATO Secretary General, Lord Robertson". สืบค้นเมื่อ 2006-10-23.
  8. NATO Library (2005). "AL QAEDA" (PDF). สืบค้นเมื่อ 2007-06-11.
  9. Commission of the European Communities (2004-10-20). "COMMUNICATION FROM THE COMMISSION TO THE COUNCIL AND THE EUROPEAN PARLIAMENT" (DOC). สืบค้นเมื่อ 2007-06-11.
  10. Israel Ministry of Foreign Affairs (March 21, 2006). 21, 2006.htm "Summary of indictments against Al-Qaeda terrorists in Samaria". สืบค้นเมื่อ 2007-06-10. {{cite web}}: ตรวจสอบค่า |url= (help)
  11. Diplomatic Bluebook (2002). "B. TERRORIST ATTACKS IN THE UNITED STATES AND THE FIGHT AGAINST TERRORISM" (PDF). สืบค้นเมื่อ 2007-06-11.
  12. Korean Foreign Ministry (August 14, 2007). "Seoul confirms release of two Korean hostages in Afghanistan". สืบค้นเมื่อ 2007-09-16.
  13. "La France face au terrorisme" (PDF) (ภาษา(ฝรั่งเศส)). Secrétariat général de la défense nationale (France). สืบค้นเมื่อ 2009-08-06.{{cite web}}: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์)
  14. General Intelligence and Security Service. "Annual Report 2004" (PDF). สืบค้นเมื่อ 2007-06-11.
  15. "Russia Outlaws 17 Terror Groups; Hamas, Hezbollah Not Included".
  16. Ministry for Foreign Affairs Sweden (March – June 2006). "Radical Islamist Movements in the Middle East" (PDF). สืบค้นเมื่อ 2007-06-11. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  17. "Türkiye'de halen faaliyetlerine devam eden başlıca terör örgütleri listesi" (Emniyet Genel Müdürlügü)
  18. "Report on counter-terrorism submitted by Switzerland to the Security Council Committee established pursuant to resolution 1373 (2001)" (PDF). December 20, 2001. สืบค้นเมื่อ 2007-06-11.
  19. "How the CIA created Osama bin Laden". Green Left Weekly. 2001-09-19. สืบค้นเมื่อ 2007-01-09.
  20. "1986-1992: CIA and British Recruit and Train Militants Worldwide to Help Fight Afghan War". Cooperative Research History Commons. สืบค้นเมื่อ 2007-01-09.
  21. "Osama bin Laden: A Chronology of His Political Life". PBS. สืบค้นเมื่อ 2007-01-12.
  22. Islamist Militancy in the Pakistan-Afghanistan Border Region and U.S. Policy
  23. Denmark: Danish Muslims training in al-Qaeda camps, planning attack against Denmark
  24. "Bin Laden's Fatwa". Al Quds Al Arabi. August 1996. สืบค้นเมื่อ 2007-01-09.
  25. สรุปจากการสัมภาษณ์บิน ลาเดน เมื่อ 26 พ.ค. 2541 โดย John Miller Most recently broadcast in the documentary Age of Terror, part 4, with translations checked by Barry Purkis (archive researcher).
  26. Weir, Shelagh (July/September 1997), A Clash of Fundamentalisms: Wahhabism in Yemen, Middle East Report, Middle East Research and Information Project, สืบค้นเมื่อ 2009-01-19 {{citation}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |publication-date= (help); cited in Burke, Jason (2003). Al-Qaeda: Casting a Shadow of Terror. New York: I.B. Tauris. pp. 128–129. ISBN 1850433968.

แหล่งข้อมูลอื่น