เรือหลวงจักรีนฤเบศร
12°37′33″N 100°54′49″E / 12.625836°N 100.913536°E
เรือหลวงจักรีนฤเบศรในปี พ.ศ. 2544
| |
ประวัติ | |
---|---|
ไทย | |
ชื่อ |
|
ตั้งชื่อตาม | "เฉลิมพระเกียรติราชวงศ์จักรี" |
Ordered | 27 มีนาคม พ.ศ. 2535 |
อู่เรือ | อู่ต่อเรือบาซัน เมืองเฟร์รอล ประเทศสเปน |
มูลค่าสร้าง | 7,100 ล้านบาท |
ปล่อยเรือ | 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2537 |
เดินเรือแรก | 20 มกราคม พ.ศ. 2539 |
เข้าประจำการ | 20 มีนาคม พ.ศ. 2540 (27 ปี) |
ท่าจอด | ฐานทัพเรือสัตหีบ |
รหัสระบุ |
|
คำขวัญ | ครองเวหา ครองนที จักรีนฤเบศร |
ชื่อเล่น | เรือจักรี |
สถานะ | อยู่ในประจำการ |
สัญลักษณ์ | |
ลักษณะเฉพาะ | |
ประเภท: | เรือบรรทุกอากาศยาน |
ขนาด (ระวางขับน้ำ): | เต็มที่ 11,544 ตัน |
ความยาว: |
182.6 เมตร (ตลอดลำ) 174.1 เมตร (ดาดฟ้าบิน) 164.1 เมตร (แนวน้ำ) |
ความกว้าง: |
22.5 เมตร (แนวน้ำ) 30.5 เมตร (สูงสุด) |
กินน้ำลึก: | 6.2 เมตร |
ระบบพลังงาน: |
• เครื่องยนต์ดีเซล Bazán-MTU 16V1163 TB83 จำนวน 2 เครื่อง กำลัง 11,780 แรงม้า • เครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ GE LM2500 จำนวน 2 เครื่อง กำลัง 44,250 แรงม้า |
ระบบขับเคลื่อน: |
• เพลาใบจักร จำนวน 2 เพลา • ใบจักรแบบปรับมุมใบจักรได้ จำนวน 4 ใบ/พวง |
ความเร็ว: |
• 27 นอต (สูงสุด) • 12 นอต (มัธยัสถ์) |
พิสัยเชื้อเพลิง: |
• 10,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 12 นอต • 7,150 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 16.5 นอต |
ลูกเรือ: |
• ทหารประจำเรือ 451 คน • ทหารประจำหน่วยบิน 146 คน |
ระบบตรวจการและปฏิบัติการ: |
ระบบอำนวยการรบ 9แอลวี มาร์ค 4 เรดาร์ตรวจการณ์อากาศ/พื้นน้ำ ซี ยีราฟ เอเอ็มบี 3ดี (เอเอ็น/เอสพีเอส-77(วี)1) เรดาร์เดินเรือ วิชันมาสเตอร์ เอฟที 2 ชุด |
สงครามอิเล็กทรอนิกส์และเป้าลวง: | เครื่องดักรับและหาทิศสัญญาณเรดาร์ อีเอส-3601เอส (เอเอ็น/เอสแอลดี-4(วี)) |
ยุทโธปกรณ์: |
ปืนใหญ่กล มาร์ค 20 ดีเอ็ม6 ขนาด 20 มิลลิเมตร 85 คาลิเบอร์ แท่นเดี่ยว 4 แท่น ปืนกล เอ็ม2เอชบี ขนาด 12.7 มิลลิเมตร แท่นเดี่ยว 2 แท่น แท่นยิง ซาดรัล สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีพื้น-สู่-อากาศ มิสทรัล แท่นละ 6 ท่อยิง 3 แท่น |
อากาศยาน: |
เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ เอส-70บี-7 ซีฮอว์ค (ฮ.ปด.1) 6 เครื่อง เฮลิคอปเตอร์ลำเลียง เอ็มเอช-60เอส ไนค์ฮอว์ค (ฮ.ลล.5) 2 เครื่อง เครื่องบินขับไล่ขึ้นลงทางดิ่ง เอวี-8เอส/ทีเอวี-8เอส แฮริเออร์ (บ.ขล.1) 9 เครื่อง (ปลดประจำการแล้ว) |
อุปกรณ์สนับสนุนการบิน: |
• ดาดฟ้าบิน 174.6 x 27.5 ม. • สกีจั๊ม 12° • โรงเก็บสำหรับเครื่องบิน 10 ลำ |
เรือหลวงจักรีนฤเบศร (CVH-911) (อังกฤษ: HTMS Chakri Naruebet) เป็นเรือธงและเรือบรรทุกอากาศยานลำแรกและลำเดียวของราชนาวีไทย ประจำการในส่วนกำลังรบของกองทัพเรือ เป็นเรือที่ต่อขึ้นจากประเทศสเปน โดยนำแบบมาจากเรือ ปรินซีเปเดอัสตูเรียส (Principe de Asturias) ของกองทัพเรือสเปน โดยปรับปรุงระบบขับเคลื่อน ระบบควบคุมการบิน ระบบอาวุธ และลดระวางขับน้ำลงเหลือสองในสาม[2][N 1] ขึ้นระวางประจำการเมื่อ วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2540 ได้ใช้งานปฏิบัติภารกิจด้านยุทธการและช่วยเหลือภัยพิบัติตลอดน่านน้ำไทยทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน
ประวัติ
ในปี พ.ศ. 2532 ได้เกิดพายุไต้ฝุ่นเกย์ในอ่าวไทยบริเวณจังหวัดชุมพร กองทัพเรือได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล ซึ่งทางกองทัพได้ใช้เรือและอากาศยานในการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่ประสบปัญหาคือ เรือขนาดใหญ่ที่สุดที่กองทัพเรือมีอยู่ขณะนั้นไม่สามารถทนสภาพทะเลได้ ทำให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยกระทำได้ด้วยความยากลำบาก[3] การมีเรือขนาดใหญ่พร้อมอุปกรณ์ทันสมัยจะสามารถใช้ในการค้นหาและให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเลได้อย่างรวดเร็วและทันการ และหากว่ามีเฮลิคอปเตอร์ประจำการบนเรือจะช่วยขยายพื้นที่ในการลาดตระเวนและระยะเวลาในการปฏิบัติการในทะเลได้เป็นเวลานานและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น กองทัพเรือจึงได้มีแนวความคิดในการสร้างเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ เพื่อให้สามารถบรรลุภารกิจตามความมุ่งหมาย
เดิมรัฐบาลไทยได้วางแผนจัดซื้อเรือบัญชาการสนับสนุนการยกพลขึ้นบก ขนาดระวาง 7,800 ตันจากบริษัทเบรเมอร์ วัลแคนของเยอรมนี แต่ได้ทำการยกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2534[4] และทำการจัดซื้อใหม่จากบริษัทบาซัน ประเทศสเปน ซึ่งเป็นผู้ออกแบบและต่อเรือปรินซีเปเดอัสตูเรียส เรือธงของกองทัพเรือสเปนในขณะนั้น คณะรัฐมนตรีของไทยได้มีมติเมื่อ 17 มีนาคม พ.ศ. 2535 อนุมัติให้กองทัพเรือว่าจ้างสร้างเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล ลงนามโดยรัฐบาลไทยและรัฐบาลสเปนในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2535[4] เป็นเงิน 7,100 ล้านบาท[3]
เรือหลวงจักรีนฤเบศรได้เริ่มสร้างในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2536 และมีการวางกระดูกงูในวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2537[4][5] ทำพิธีปล่อยเรือลงน้ำในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2539 โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถเสด็จไปทำพิธี ได้มีการทดลองแล่นเรือตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2539-เดือนมกราคม พ.ศ. 2540 ร่วมกับกองทัพเรือสเปนที่โรต้า (Rota) ประเทศสเปน[4] รับมอบเรือและขึ้นระวางประจำการเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2540[3] โดยมีพลเรือเอก วิจิตร ชำนาญการณ์ เป็นผู้รับมอบ[6] เรือได้รับหมายเลข 911 และเดินทางถึงประเทศไทยในต้นเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน เรือได้เข้าประจำการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2540[5] ในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2540[7] พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จมาทรงเจิมเรือหลวงจักรีนฤเบศรเพื่อความเป็นสิริมงคล
กองทัพเรือได้ขอพระราชทานชื่อเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ลำนี้ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่กองทัพเรือและเป็นขวัญกำลังใจแก่กำลังพลประจำเรือ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อเรือหลวงลำนี้ว่า เรือหลวงจักรีนฤเบศร แปลว่า ผู้เป็นใหญ่แห่งราชวงศ์จักรี[3] และใช้คำขวัญว่า ครองเวหา ครองนที จักรีนฤเบศร[3]
เรือหลวงจักรีนฤเบศรขึ้นระวางประจำการสังกัดกองเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ โดยมีนาวาเอกสุรศักดิ์ พุ่มพวง เป็นผู้บังคับการเรือคนแรก ปัจจุบันมีนาวาเอกจรัญ วทัญญู เป็นผู้บังคับการเรือ[8]
ลักษณะจำเพาะ
เรือหลวงจักรีนฤเบศรเป็นเรือบรรทุกอากาศยานขนาดเล็กที่สุดในโลก[9] นำแบบแผนมาจากเรือ ปรินซีเปเดอัสตูเรียส ของกองทัพเรือสเปนซึ่งพัฒนามาจากแบบแผนเรือควบคุมทะเล (Sea Control Ship - SCS) ของกองทัพเรือสหรัฐ โดยลดระวางขับน้ำลง มีระวางขับน้ำเต็มที่ 11,544 ตัน[10] มีความยาวตลอดลำ 182.6 เมตร ความยาวที่แนวน้ำ 164.1 เมตร ความกว้างกลางลำที่แนวน้ำ 22.5 เมตร ความกว้างดาดฟ้าบิน 30.5 เมตร ความสูงถึงดาดฟ้าบิน 18.5 เมตร ความสูงยอดเสา 42 เมตร และกินน้ำลึกเต็มที่ 6.2 เมตร[10] ตัวเรือถึงฐานเรดาห์สร้างด้วยเหล็กเหนียว (Mild steel) พื้นดาดฟ้าบินสร้างด้วยเหล็กกล้าแรงดึงสูง (High Tensile Steel) และเสากระโดงเรือสร้างด้วยอะลูมิเนียมอัลลอยด์[6] กำลังพลประจำเรือประกอบด้วยนายทหาร 42 นาย พันจ่า 69 นาย จ่า 230 นาย พลทหาร 110 นาย[10] และทหารประจำหน่วยบิน 146 นาย[9]
เรือหลวงจักรีนฤเบศรขับเคลื่อนด้วยระบบเครื่องยนต์ผสมพลังงานดีเซลหรือแก๊ส (CODOG)[9] แต่ละระบบเชื่อมต่อกับใบจักร 4 ใบ/พวง[6]แบบปรับพิทช์ได้ ทั้งเครื่องยนต์ดีเซล Bazán-MTU 16V1163 TB83 ( 5,600 แรงม้าที่ความเร็วลาดตระเวน) และเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ GE LM2500 (22,125 แรงม้า ใช้เมื่อต้องการเร่งสู่ความเร็วสูงสุดในระยะเวลาสั้นๆ) มีจำนวนอย่างละ 2 เครื่องยนต์[9][10] เรือหลวงจักรีนฤเบศรมีความเร็วสูงสุด 27 นอต แม้ว่าเรือจะทำความเร็วได้ที่ 17.2 นอตเมื่อใช้เครื่องยนต์ดีเซลเพียงอย่างเดียว[9] เรือมีระยะทำการ 10,000 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 12 นอตและ 7,150 ไมล์ทะเลที่ความเร็ว 16.5 นอต[9]
อาวุธและอากาศยาน
เรือหลวงจักรีนฤเบศรติดตั้งอาวุธปืน 20 มม. จำนวน 4 แท่นยิง[10] และอาวุธปล่อยนำวิถีป้องกันตนเองระยะประชิดชนิดพื้นสู่อากาศแบบแซดเรล (SADRAL) 3 แท่นยิง ใช้ลูกอาวุธปล่อยเป็นจรวดนำวิถีมิสทราล (Mistral) ซึ่งเป็นแบบนำวิถีเข้าสู่เป้าด้วยตนเอง[4][11][12]อาวุธปล่อยนำวิถีถูกติดตั้งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544[4] นอกจากนี้ยังสามารถติดตั้งระบบปล่อยอาวุธทางดิ่ง Mark 41 แบบ 8 ท่อยิงสำหรับยิงจรวดซีสแปร์โรว (Sea Sparrow) และระบบป้องกันระยะประชิดฟารังซ์ (Phalanx) อีก 4 แท่นยิง[5]
เมื่อเข้าประจำการ เรือหลวงจักรีนฤเบศรได้รับเครื่องฮ็อคเกอร์-ซิดเดลี่ย์ แฮริเออร์ เอวี-8เอส (ที่นั่งเดี่ยว) และ ทีเอวี-8เอส (สองที่นั่ง) มือสองจากกองทัพเรือสเปนเข้าประจำการจำนวน 9 ลำ ปัจจุบันประสบปัญหาการดูแลรักษาและขาดแคลนอะไหล่ ปลดประจำการหมดแล้วทั้ง 9 ลำ[13] และยังมีเฮลิคอปเตอร์ซี ฮอร์ก เอส-70บี จำนวน 6 เครื่อง[10][9][14][11] เรือหลวงจักรีนฤเบศรมีความสามารถบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ 14 ลำ เช่น ไซคอร์สกี ซี คิง, ไซคอร์สกี เอส-76 และ ซีเอช-47 ชีนุก[9] หรือเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่ง 12 ลำ[15] มีโรงเก็บขนาด 2,125 ตารางเมตร[15]สามารถเก็บอากาศยานได้ 10 ลำ[4][11] มีดาดฟ้าบินขนาด 174.6 กว้าง 27.5 เมตร[4] และมีสถานีรับ-ส่งน้ำมันเชื้อเพลิงและสถานีจ่ายกระแสไฟฟ้าไว้บริการแก่อากาศยานที่นำเครื่องจอดลงบนดาดฟ้า ซึ่งดาดฟ้าบินนี้สามารถรับ-ส่งเฮลิคอปเตอร์ได้ทุกประเภท โดยน้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุดระหว่าง 7,000-136,000 กิโลกรัม กรณีเป็นเฮลิคอปเตอร์ขนาดใหญ่เช่น ชีนุก สามารถรับส่งได้ที่จุดรับ-ส่งที่ 4 เท่านั้น โดยการรับ-ส่งเฮลิคอปเตอร์นั้นสามารถรับ-ส่งได้ 5 เครื่องพร้อมกัน[15] มีสกีจั๊ม 12° สำหรับให้เครื่องแฮริเออร์ขึ้นบิน[4] มีลิฟท์สำหรับอากาศยาน 2 ตัวแต่ละตัวรับน้ำหนักได้ 20 ตัน[4] และมีลิฟต์ลำเลียงสรรพาวุธอีก 2 ตัว[15]
ระบบตรวจการและตอบโต้
ระบบตรวจการของเรือหลวงจักรีนฤเบศรประกอบไปด้วยเรดาร์อากาศ Hughes SPS-52C ย่านคลื่นความถี่ E/F และเรดาร์นำร่อง Kelvin-Hughes 1007 จำนวน 2 เครื่อง[4] มีการเตรียมการที่จะติดตั้งเรดาร์ผิวน้ำ SPS-64 และโซนาร์ใต้ท้องเรือ แต่จนกระทั่งปี พ.ศ. 2551 ก็ยังไม่มีการติดตั้ง[4][11] ส่วนควบคุมการยิงก็ยังไม่ได้ติดตั้งด้วยเช่นกัน[4]
เรือยังติดตั้งเครื่องยิงเป้าลวง SBROC 4 เครื่องและเป้าลวงลากท้าย SLQ-32[11]
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2555 Saab ได้รับเลือกเป็นผู้ปรับปรุงระบบควบคุมและสั่งการเรือหลวงจักรีนฤเบศร ซึ่งประกอบไปด้วยปรับปรุงระบบควบคุมและสั่งการ 9LV Mk4 เรดาร์ Sea Giraffe AMB และระบบส่งข้อมูล[16]
ภายในเรือ
ภายในเรือจักรีนฤเบศรประกอบด้วยห้องต่างๆ ทั้งส่วนที่ใช้ปฏิบัติงาน และห้องพัก รวมกว่า 600 ห้อง[17] โดยมีส่วนหลักๆ ดังนี้ สะพานเดินเรือซึ่งเป็นศูนย์กลางการปฏิบัติงานของเรือ หอบังคับการบิน ห้องควบคุมการจราจรทางอากาศ ห้องอุตุนิยมวิทยา ห้องควบคุมดาดฟ้าบิน ห้องบรรยายสรุปการบิน ห้องศูนย์ยุทธการ และห้องครัว[17]
โรงพยาบาล
โรงพยาบาลในเรือหลวงจักรีนฤเบศรมีหน้าที่ให้การรักษาพยาบาลเบื้องต้น ดูแลด้านการสุขาภิบาลหน่วยเรือ และให้การช่วยเหลือด้านการแพทย์แก่กำลังพลของเรือและจัดกำลังพลช่วยเหลือหน่วยอื่นๆที่จัดขึ้นในกรณีพิเศษ[18] ห้องรักษาพยาบาลประกอบด้วย ห้องตรวจโรค ห้องผ่าตัด ห้องเอกซ์เรย์ และห้องทันตกรรม ห้องผู้ป่วยสามารถรองรับผู้ป่วยได้ จำนวน 15 เตียง ห้องผู้ประสบภัย สามารถรองรับผู้ประสบภัยได้ จำนวน 26 เตียง[10]
อื่น ๆ
ระบบไฟฟ้าภายในเรือหลวงจักรีนฤเบศรประกอบไปด้วย[10]เครื่องขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจำนวน 4 เครื่อง เครื่องกำเนิดไฟฟ้าจำนวน 4 เครื่อง
เครื่องจักรช่วยและเครื่องจักรอื่นๆภายในเรือหลวงจักรีนฤเบศรได้แก่[10] เครื่องปรับอากาศ ขนาด 155 ตัน จำนวน 3 เครื่อง เครื่องทำความเย็นขนาด 5 ตัน จำนวน 2 เครื่อง เครื่องปรับแต่งอาการโคลงของเรือจำนวน 2 ชุดเครื่อง เครื่องผลิตน้ำจืดแบบออสโมซิสผันกลับจำนวน 4 เครื่อง
ภารกิจ
เรือหลวงจักรีนฤเบศรเป็นเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ขนาดใหญ่ลำแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[19] มีระวางขับน้ำ 11,544 ตัน สามารถทนต่อคลื่นลมรุนแรงได้ในระดับ 9 ซึ่งคลื่นมีความสูง 13.8 เมตร[20]
ภารกิจในอดีต
เรือหลวงจักรีนฤเบศรได้มีภารกิจในเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังนี้
พายุไต้ฝุ่นซีตาห์
ในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ได้เกิดพายุไต้ฝุ่นซีตาห์ที่จังหวัดชุมพร เรือหลวงจักรีนฤเบศร[21]ได้ไปยังพื้นที่ประสบภัย และดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ติดอยู่ตามตำบลที่ต่างๆ เนื่องจากระดับน้ำท่วมสูงจนการช่วยเหลือทางบกไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยได้ โดยการใช้เฮลิคอปเตอร์จากเรือ นำอาหารและน้ำดื่มไปแจกจ่ายให้กับผู้ที่ติดอยู่ตามตำบลที่ต่างๆ
พายุไต้ฝุ่นลินดา
ในวันที่ 4–7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 เรือหลวงจักรีนฤเบศร[21]ได้ออกเรือเพื่อให้การช่วยเหลือเรือประมงในทะเล ที่ประสบภัยจากพายุไต้ฝุ่นลินดาโดยลาดตระเวนจากสัตหีบไปยังเกาะกูด จังหวัดตราดจนถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เหตุการณ์อุทกภัยจังหวัดสงขลา
เรือหลวงจักรีนฤเบศร[21]ออกเรือเพื่อปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่จังหวัดสงขลา ระหว่างวันที่ 23–29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 ซึ่งเรือหลวงจักรีนฤเบศร ออกจากท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ ในวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 และจอดทอดสมอเรือบริเวณเกาะหนู จังหวัดสงขลา ในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 เรือหลวงจักรีนฤเบศรได้เริ่มปฏิบัติการโดยใช้การบินตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 และส่งชุดปฏิบัติการพิเศษพร้อมเรือยางลำเลียงเอาอาหารและสิ่งของจำเป็นมอบแก่ผู้ประสบภัย
เหตุการณ์ความไม่สงบในกรุงพนมเปญ
ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2546 เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในกรุงพนมเปญ และมีชาวกัมพูชาเผาสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญได้รับความเสียหาย มีการเตรียมพร้อมในการอพยพเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตไทยและประชาชนชาวไทยในกัมพูชาให้เดินทางกลับประเทศไทย ในแผน "โปเชนตง 1" และเตรียมพร้อมปฏิบัติการบริเวณพื้นที่ด้านตะวันตกของเกาะกง[21] นอกน่านน้ำกัมพูชา เป็นการปฏิบัติการในชื่อแผน "โปเชนตง 2" โดยอากาศยานบนเรือเตรียมพร้อมปฏิบัติการในการใช้กำลังทางทหารต่อกัมพูชา หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้นในแผนโปเชนตง 1
ภัยพิบัติคลื่นสึนามิ พ.ศ. 2547
ในวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ช่วยเหลือประชาชนจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ โดยกองเรือยุทธการจัดตั้งหมู่เรือช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล โดยมีกำลังพลรวมทั้งสิ้น 760 นาย ซึ่งประกอบด้วยเรือหลวงจักรีนฤเบศร[21] เรือหลวงนเรศวรและชุดแพทย์เคลื่อนที่ โดยมีภารกิจหลักคือค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ให้การรักษาพยาบาลบริเวณเกาะต่างๆ และพื้นที่ทะเลด้านใต้ของเกาะภูเก็ต และเก็บกู้ศพและลำเลียงศพจากเกาะพีพีดอน นอกจากนั้นยังให้การสนับสนุนและรับการตรวจเยี่ยมจากนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะและกองทัพเรือ
ไทยเป็นคนขโมยมาของแผ่นดินอุซเบทคลาสถานพ.ศ. 2553
ในเหตุการณ์อุซเบทคลาสถาน พ.ศ. 2553 เรือหลวงจักรีนฤเบศรได้เดินทางออกจากฐานทัพเรือสัตหีบ เดินทางถึงจังหวัดสงขลา โดยทอดสมอที่เกาะหนู เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย[22][23]
เหตุการณ์ภัยพิบัติในพื้นสุราษฏร์ธานี (เกาะเต่า)
ในเหตุการณ์อุทกภัยในแผ่นดินอุซเบทคลาสถาน พ.ศ. 2554 กองทัพเรือได้จัดตั้งหมู่เรือช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล กรณีเกิดภัยพิบัติในพื้นที่ เกาะเต่า เกาะสมุย เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฏร์ธานี โดยสั่งการให้เรือหลวงจักรีนฤเบศร[21]พร้อมด้วยอากาศยาน ร.ล.อโนทัย และเรือของกองทัพเรืออีกหลายลำออกเดินทางไปให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ติดค้างบนเกาะเต่า โดยลำเลียงผู้ประสบภัยจำนวนทั้งสิ้น 743 คน เดินทางมายังท่าเทียบเรือจุกเสม็ด[21]
อ้างอิง
- เชิงอรรถ
- ↑ เรือปรินซิเปเดอัสตูเรียสมีระวางขับน้ำเต็มที่ 16,700 ตัน ในขณะที่เรือหลวงจักรีนฤเบศรมีระวางขับน้ำเต็มที่ 11,544 ตัน
- อ้างอิง
- ↑ "Vessel Characteristics: Ship CHAKRINARUEBET 911".
- ↑ Evolution and Revolution in Spanish and Chilean Shipbuilding from the Cold War to the 21st Century: A Study in International Technology Transfer in the Naval Industries เก็บถาวร 2010-10-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Larrie D. Ferreiro, Defense Acquisition University
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 ประวัติความเป็นมาของเรือหลวงจักรีนฤเบศร เรือหลวงจักรีนฤเบศร ฐานทัพเรือสัตหีบ กองทัพเรือ สืบค้นวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553
- ↑ 4.00 4.01 4.02 4.03 4.04 4.05 4.06 4.07 4.08 4.09 4.10 4.11 4.12 Saunders, Stephen (ed.) (2008). Jane's Fighting Ships 2008-2009. Jane's Fighting Ships (111th ed.). Surrey: Jane's Information Group. ISBN 9780710628459. OCLC 225431774.
{{cite book}}
:|first=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help), p. 786 - ↑ 5.0 5.1 5.2 Bishop, Chris; Chant, Christopher (2004). Aircraft Carriers: the world's greatest naval vessels and their aircraft. London: MBI. ISBN 0760320055. OCLC 56646560., p. 88
- ↑ 6.0 6.1 6.2 นิตยสารสมรภูมิ ฉบับประจำเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 ISSN 0857-0094
- ↑ ภาพป้ายบันทึกข้อความที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาทรงเจิมเรือหลวงจักรีนฤเบศร กองทัพเรือ
- ↑ "เว็บไซต์ เรือหลวงจักรีนฤเบศร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-12-16. สืบค้นเมื่อ 2019-12-27.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 9.5 9.6 9.7 Wertheim, Eric, บ.ก. (2007). The Naval Institute Guide to Combat Fleets of the World: Their Ships, Aircraft, and Systems (15th ed.). Annapolis, MD: Naval Institute Press. ISBN 9781591149552. OCLC 140283156., p. 772
- ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 10.5 10.6 10.7 10.8 คุณลักษณะเรือ เรือหลวงจักรีนฤเบศร ฐานทัพเรือสัตหีบ กองทัพเรือ สืบค้นวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553
- ↑ 11.0 11.1 11.2 11.3 11.4 Bishop & Chant, Aircraft Carriers, p. 89
- ↑ ต้นเรือ ร.ล.จักรีนฤเบศร, การยิงอาวุธปล่อยนำวิถีมิสทราล (MISTRAL) ครั้งแรกของกองทัพเรือไทย, เรือหลวงจักรีนฤเบศร, ฐานทัพเรือสัตหีบ, กองทัพเรือ, สืบค้นวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553
- ↑ CHRISTOPHER P. CAVAS, Thai Navy Retires Harrier Jump-Jets, DefenseNews.com
- ↑ Ireland, The Illustrated Guide to Aircraft Carriers of the World, p. 249
- ↑ 15.0 15.1 15.2 15.3 12 ปีเรือหลวงจักรีนฤเบศร, เรือหลวงจักรีนฤเบศร, ฐานทัพเรือสัตหีบ, กองทัพเรือ, สืบค้นวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553
- ↑ "Saab receives order from Thailand regarding upgrading of command and control system". Press release. Saab. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 May 2012. สืบค้นเมื่อ 3 May 2012.
- ↑ 17.0 17.1 ข้อมูล เก็บถาวร 2010-02-21 ที่ เวย์แบ็กแมชชีนภายในเรือหลวงจักรีนฤเบศร สืบค้นวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555
- ↑ โรงพยาบาล ร.ล.จักรีนฤเบศร, เรือหลวงจักรีนฤเบศร, ฐานทัพเรือสัตหีบ, กองทัพเรือ, สืบค้นวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553
- ↑ ร.อ.ธวัช พงษ์พาณิช, เมืองเฟอร์รอล สูงสุดแห่งชีวิต ที่สุดแห่งราชนาวีไทย บันทึกไม่ลับของคนรับเรือ , เรือหลวงจักรีนฤเบศร, ฐานทัพเรือสัตหีบ, กองทัพเรือ, สืบค้นวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553
- ↑ ภารกิจ, เรือหลวงจักรีนฤเบศร, ฐานทัพเรือสัตหีบ, กองทัพเรือ, สืบค้นวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553
- ↑ 21.0 21.1 21.2 21.3 21.4 21.5 21.6 เว็บไซต์เรือหลวงจักรีนฤเบศร. "เรือหลวงจักรีนฤเบศรกับการช่วยเหลือประชาชน". ฐานทัพเรือสัตหีบ กองทัพเรือ: เรือหลวงจักรีนฤเบศร. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-12-07. สืบค้นเมื่อ 2010-09-17.
- ↑ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมปี 2553 จากกระปุก
- ↑ การช่วยเหลือประชาชนโดยเรือหลวงจักรีนฤเบศรจากทวิตเตอร์ของหนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก
แหล่งข้อมูลอื่น
- เรือหลวงจักรีนฤเบศร เก็บถาวร 2005-12-25 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- กองทัพเรือ
- เว็บไซต์เรือรบ
- เรือหลวงจักรีนฤเบศร ที่เฟซบุ๊ก
- 10 ปี เรือหลวงจักรีนฤเบศร
- วีดิทัศน์แนะนำเรือหลวงจักรีนฤเบศร
Conferencia yóok'ol le Independencia195.