ข้ามไปเนื้อหา

วัดคอนเซ็ปชัญ

พิกัด: 13°46′37″N 100°30′13″E / 13.776942°N 100.503715°E / 13.776942; 100.503715
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วัดคอนเซ็ปชัญ
Immaculate Conception Church
บริเวณด้านหน้าโบสถ์เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566
แผนที่
ที่ตั้ง167 ซอยสามเสน 11 ถนนสามเสน แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
ประเทศไทย ประเทศไทย
นิกายโรมันคาทอลิก
ประวัติ
สถานะเปิดใช้งาน
ก่อตั้ง24 พฤษภาคม พ.ศ. 2380[1]
ผู้ก่อตั้งบาทหลวงฌ็อง-บาติสต์ ปาลกัว[2]
สถาปัตยกรรม
สถาปนิกโจอาคิม กรัสซี (ส่วนหอระฆัง)
ประเภทสถาปัตย์ผังสี่เหลี่ยมผืนผ้าปลายมน โครงสร้างผนังรับน้ำหนัก
รูปแบบสถาปัตย์วิลันดา
เรเนอซองส์
ปีสร้างคาดว่าราว ปี พ.ศ. 2426[3]
(เพิ่มส่วนหอระฆัง)
โครงสร้าง
อาคารยาว47 เมตร
อาคารกว้าง14.6 เมตร[4]
พื้นที่ใช้สอย686.2 ตร.ม.
การปกครอง
อัครมุขมณฑลกรุงเทพฯ[5]
นักบวช
อัครมุขนายกพระคาร์ดินัลเกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช
อธิการโบสถ์บาทหลวงวิจิตต์ แสงหาญ

วัดคอนเซ็ปชัญแห่งพระแม่เจ้า (อังกฤษ: Immaculate Conception Church) เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิกในประเทศไทย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในซอยสามเสน 11 ถนนสามเสน แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร วัดคอนเซ็ปชัญประกอบด้วย ตัวอาคารหลังเดิม ซึ่งเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ทรงหลังคาจั่วแบบไทย เป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดคาดว่าก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงสมัยอยุธยาตอนปลาย[6] ปัจจุบันได้ปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์ และส่วนของตัวโบสถ์คอนเซ็ปชัญซึ่งสร้างขึ้นโดยบาทหลวงฌ็อง-บาติสต์ ปาลกัว ชาวฝรั่งเศส ที่ได้เดินทางมาเป็นอธิการโบสถ์ โดยได้ทำการเสกในวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2380 (รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) นอกจากนี้ในบริเวณที่ตั้งของวัด ยังมีวัดนักบุญฟรังซีสเซเวียร์ ซึ่งตั้งอยู่ข้างกับวัดอีกด้วย ปัจจุบันตัวโบสถ์นี้มีอายุรวมแล้ว 187 ปี ทำให้เป็นหนึ่งในโบสถ์คาทอลิกที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย[2]

วัดคอนเซ็ปชัญ มีประวัติมาตั้งแต่ครั้นสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งพระองค์พระราชทานที่ดินให้กับชาวโปรตุเกสที่ร่วมรับราชการทำสงครามให้กับพระองค์ ในราวปี พ.ศ. 2217 ต่อมาในปี พ.ศ. 2325 ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดให้ชาวเขมร 500 คน ที่หลบหนีลี้ภัยมาจากเขมร มาอยู่รวมกับชาวโปรตุเกสในหมู่บ้านนี้ และตั้งแต่นั้นมาก็มีการเรียกหมู่บ้านนี้ว่า "บ้านเขมร"[5] จนในเวลาต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานที่กับชาวญวน เข้ามารวมกับที่อยู่เดิมของชาวเขมร[1] ทำให้ชาวญวนในเวลาต่อมาก็ได้เข้ารีตนิกายคริสต์กันเป็นส่วนใหญ่

ตัวโบสถ์คอนเซ็ปชัญ มีความโดดเด่นในด้านงานสถาปัตยกรรมกว่าโบสถ์ทั่วๆไป เนื่องจากเป็นโบสถ์ลูกครึ่งไทยและฮอลันดา หรือที่เรียกว่า "วิลันดา" ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมในสมัยอยุธยาตอนปลายจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีลักษณะคือใช้ระบบผนังรับน้ำหนัก มีเสาไม้รับโครงของหลังคาแบบไทย และตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้น ซึ่งโดยมากจะเป็นลายเทศ เลียนแบบฝรั่ง โดยลดลายเส้นกนกออกไป[7] จนในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วัดได้มีการเพิ่มเติมส่วนของหอระฆัง (Bell Tower) โดยมีโยอาคิม กรัสซี (Joachim Grassi) สถาปนิกชาวออสเตรีย เป็นผู้ออกแบบ[8] ซึ่งเป็นการออกแบบหอระฆัง ด้วยสถาปัตยกรรมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา มีหัวเสาแบบโรมาเนสก์รองรับช่วงชั้นต่างๆของอาคาร และการวางเป็นซุ้มโค้งแบบโรมัน[9] ด้วยเหตุนี้เองทำให้โบสถ์คอนเซ็ปชัญ ประกอบด้วยงานสถาปัตยกรรมถึง 3 รูปแบบ คือ ไทย ฮอลันดา และโรมัน

โบสถ์น้อย

[แก้]

ด้านหลังของวัดคอนเซ็ปชัญ ยังมีโบสถ์น้อยหรือ "โรงสวด" เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนขนาดเล็กตั้งอยู่ ตามคำบอกเล่าของชาวชุมชน เชื่อว่าแต่เดิมเคยเป็นหอนั่งของพระยาวิเศษสงคราม ผู้นำชุมชนในสมัยโบราณ แต่ก็มีข้อเสนอว่า อาจจะเป็นอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นศาลาสวดศพก็ได้ โดยเฉพาะในงานศพของพระสังฆราชปัลเลอกัวซ์ ซึ่งจัดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 มีบันทึกว่ามีการสร้างอาคารสำหรับตั้งศพของท่านโดยเฉพาะ

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 วัดคอนเซ็ปชัญ, ล่องเรือเจ้าพระยา.com .สืบค้นเมื่อ 29/05/2559
  2. 2.0 2.1 พัฒนาการสถาปัตยกรรมวัดคอนเซ็ปชัญ, tci-thaijo.org/ .สืบค้นเมื่อ 29/05/2559
  3. “ตำนานสังเขปวัดคอนเซ็ปชัญ”. 2467. ที่ระลึกงานฉลองวัดคอนเซ็ปชัญแห่งพระแม่เจ้า คฤตศักราช 1924 ครบ 250 ปี. กรุงเทพฯ: เจตนาผล. .สืบค้นเมื่อ 29/05/2559
  4. “ประวัติอาสนวิหารอัสสัมชัญ.” ในวัชรสมโภชอาสนวิหาร อัสสัมชัญ. กรุงเทพฯ: อัสสัมชัญ], ถนอมศักดิ์ เลื่อนประไพ, 2537: 75-76 .สืบค้นเมื่อ 29/05/2559
  5. 5.0 5.1 ประวัติวัดคอนเซ็ปชัญ, catholic.or.th/ .สืบค้นเมื่อ 29/05/2559
  6. ทำเนียบวัดคาทอลิกในประเทศไทย. จำเนียร กิจเจริญ. (2541), กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์อัสสัมชัญ. สืบค้นเมื่อ 29/05/2559
  7. โบสถ์วิลันดา, bloggang.com/ .สืบค้นเมื่อ 29/05/2559
  8. สถาปัตยกรรมของโยอาคิม กราซีในสยาม .พิริยา พิทยาวัฒนชัย. (2554), วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร .สืบค้นเมื่อ 29/05/2559
  9. Cyril M. Harris, 1977. Historic Architecture Sourcebook. New York: Mcgraw-Hill. สืบค้นเมื่อ 29/05/2559

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]

13°46′37″N 100°30′13″E / 13.776942°N 100.503715°E / 13.776942; 100.503715

ดูเพิ่ม

[แก้]