มานุษยวิทยาเมือง
มานุษยวิทยา |
---|
มานุษยวิทยาเมือง[1] หรือ มานุษยวิทยานคร (อังกฤษ: Urban anthropology) เป็นมานุษยวิทยาสาขาหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับปัญหาของการนคราภิวัฒน์ (urbanisation), ความยากจน (poverty), พื้นที่เมือง (urban space), ความสัมพันธ์ทางสังคม (social relations) และลัทธิเสรีนิยมใหม่ (neoliberalism) สาขาวิชาของมานุษยวิทยาเมืองเริ่มเป็นที่แข็งแรงขึ้นในทศวรรษ 1960s - 1970s
Ulf Hannerz เคยระบุไว้ในทศวรรษ 1960s ว่านักมานุษยวิทยาแบบแผน (traditional anthropologist) นั้น "เป็นที่รู้กันดีว่าเป็นพวกกลัวชุมชนกันมาก เป็นพวกต่อต้านเมืองโดยนิยาม" ("a notoriously agoraphobic lot, anti-urban by definition".) กระบวนการทางสังคมต่าง ๆ ในโลกตะวันตกและ "โลกที่สาม" ได้นำความสนใจของ 'ผู้เชี่ยวชาญในวัฒนธรรมอื่น' (specialists in 'other cultures') เข้าใกล้บ้านของเขามากขึ้น[2]
ภาพรวม
[แก้]มานุษยวิทยาเมืองนั้นได้รับอิทธิพลอย่างมากจากสังคมวิทยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันสังคมวิทยาเมืองแห่งชิคาโก (Chicago School of Urban Sociology) ความแตกต่างดั้งเดิมระหว่างสังคมวิทยากับมานุษยวิทยาคือ สังคมวิทยานั้นศึกษาอารยชน ส่วนมานุษยวิทยาศึกษาคนไร้อารยะ[ต้องการอ้างอิง] นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างในเชิงวิธีวิทยาระหว่างทั้งสองสาขา สังคมวิทยามักใช้การศึกษากลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่จากสังคม ในขณะที่มานุษยวิทยามักใช้การศึกษากลุ่มตัวอย่างไม่กี่คนแต่มีความสัมพันธ์ที่หยั่งรากลึกกว่า[3] หลังความสนใจในสังคมเมือง (urban societies) เพิ่มสูงขึ้น วิธีวิทยาระหว่างสองสาขาวิชาเริ่มผสมผสานเข้ากัน นำไปสู่การตั้งคำถามระหว่างสังคมวิทยาเมืองกับมานุษยวิทยาเมือง[ต้องการอ้างอิง] มานุษยวิทยาเมืองในปัจจุบันได้เริ่มขยายตัวและพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดเวลา[4]
ในปัจจุบันได้มีองค์กรต่าง ๆ ที่มุ่งศึกษาหรือสนับสนุนการศึกษามานุษยวิทยาเมือง หนึ่งในองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่เป็นที่รู้จักดีที่สุดในแวดวงนี้คือองค์กร เออร์บาน แอนธรอพอลอจี (Urban Anthropology)[5]
ประวัติศาสตร์
[แก้]ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 มานุษยวิทยาเป็นสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องมากกับการศึกษาวัฒนธรรมต่างด้าว (คือที่ไม่ใช่ตะวันตก) หรือที่เรียกว่า "exotic" (ต่างด้าว) และ "primitive" (ดึกดำบรรพ์) [6][7][8] มุมมองของนักชาติพันธุ์วรรณาต่อซับเจ็กต์ (subject) ของงานศึกษายังเป็นลักษณะขอ งการคาดคะเนว่าเป็นการปลีกออกจากวิทยาศาสตร์ (supposed scientific detachment) ในขณะที่พวกเขาทำหน้าที่รับใช้ตัวเองและมีลักษณะเป็น ยุโรปเป็นศูนย์กลาง (Eurocentric) ภารกิจในการระบุจัดกลุ่มและจัดกลุ่มวัฒนธรรมทั่วโลกตามลัทธิวิวัฒนาการด้านสังคมและวัฒนธรรม (Socio-cultural evolutionism) ของการพัฒนามนุษย์[9]
ในศตวรรษที่ 20 ปัจจัยหลายประการได้ทำให้นักมานุษยวิทยาหลายคนเริมหันเหออกจากมุมมองแบบสองขั้วที่ว่ามีแค่อนารยชนต่างด้าวกับอารยชนตะวันตกเท่านั้น และเริ่มหันเหไปสู่การศึกษาวัฒนธรรมเมือง (urban culture) โดยทั่วไป แรงผลักดันสำคัญหนึ่งคือการค้นพบพื้นที่กว่างใหญ่ไพศาลของโลกจากการเคลื่อนย้ายประชากร (Population mobility) ที่เพิ่มขึ้นมาก ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยโดยเฉพาะการขยายตัวอย่ารวดเร็วของระบบรางรถไฟ และการเกิดความนิยม (popularisation) ในการท่องเที่ยวในสมัยปลายยุควิกตอเรีย[10] สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 โดยทั่วไปแล้วเหลือวัฒนธรรม "เอ็กโซติก" (exotic) อยู่ไม่มากที่ยังรอคอยการ “first contact”[11][12]
นอกจากนี้ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากได้เกิดขึ้น[13] นักมานุษยวิทยาบางส่วนจึงเกิดความสนใจที่จะศึกษา "สังคมชาวนา" (“peasant societies”) ที่ซึ่งแตกต่างกันกับ "สังคมพื้นบ้าน" ("folk societies”) ที่นักชาติพันธุ์วรรณาเคยศึกษา นักมานุษยวิทยา Robert Redfield เป็นหนึ่งในนักมานุษยวิทยาคนสำคัญที่ศึกษาทั้งสังคมชาวนาและสังคมพื้นเมือง ขณะที่เขาทำลังทำการศึกษาสังคมชาวนาในประเทศกำลังพัฒนา เช่น ประเทศอินเดีย เขาพบว่าสังคมเหล่านี้แตกต่างกันกับสังึมพื้นบ้าน ในลักษณะที่ว่าสังคมชาวนานนั้นไม่ได้ "ไม่สุงสิงกับใคร" (self-contained) ยกตัวอย่างเช่น สังคมชาวนานั้นมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับแรงขับภายนอก พูดง่าย ๆ คือสังคมชาวนาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอื่นที่ใหญ่กว่า และสังคมที่ใหญ่กว่านั้นคือสังคมเมือง (city)[14]
การค้นพบนี้เปิดประตูให้นักมานุษยวิทยาเริ่มหันมาสนใจการศึกษาสังคมมากขึ้น (โดยไม่ได้สนใจว่าเป็นสังคมตะวันตกหรือไม่) ผ่านมุมมองของเมือง (city) ในฐานะองค์ประกอบโครงสร้าง (structuring element) สิ่งนี้ถือว่ามีบทบาทสำคัญในการพัฒนามานุษยวิทยาเมืองในฐานะสาขาการศึกษาหนึ่งที่แยกออกมาเป็นเอกเทศของตัวเอง[15] นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สังคมศึกษาได้ออกมาพุ่งเป้าการศึกษาเมือง ตัวอย่างเช่น โบราณคดีเองก็ได้ลงหลักปักฐานศึกษาต้นกำเนิดของนครนิยม (urbanism)[16] และมานุษยวิทยาเองก็ได้พัฒนาแนวคิดที่ให้เมืองเป็นตัวแทนในการศึกษาของสังคมยุคก่อนอุตสาหกรรม (pre-industrial society)[17] Their efforts, however, were largely unrelated.
การพัฒนาก้าวสำคัญของมานุษยวิทยาเมืองนั้นเกิดขึ้นโดยสถาบันระบบนิเวศเมืองแห่งชิคาโก (Chicago School of Urban Ecology) นับตั้งแต่ทศวรรษ 1920s สถาบันได้นิยาม "เมือง" ในแง่ของระบบนิเวศเมือง (urban ecology) ว่าเป็นการรวมกันของเวิ้งระบบนิเวศที่อยู่ติดกันอันประกอบด้วยกลุ่มคนใน...วงแหวนที่ล้อมรอบแกนกลาง" (“made up of adjacent ecological niches accompanied by human groups in... rings surrounding the core”)[18] สถาบันชิคาโกจึงกลายมาเป็นหลักอ้างอิงสำคัญของสาขามานุษยวิทยาเมือง และได้ตั้งแนวคิดและกระแสต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อสาขาวิชาจนถึงปัจจุบัน[19]
หนึ่งในผู้วางรากฐานของมานุษยวิทยาเมือง คือนักสังคมวิทยา Louis Wirth ผู้ขียนเรียงความ "นครนิยมในฐานะวิถีของชีวิต" (“Urbanism as a Way of Life”) ซึ่งแสดงให้เห็นความสำคัญในการแยกนครนิยม (urbanism) ออกมาเป็นรูปแบบของสังคมเฉพาะที่สามารถศึกษาได้จากสามมุม โครงสร้างทางกายภาพ, ในฐานะของหน่วยงานทางสังคม, และกลุ่มของมุมมองและแนวคิด (a physical structure, as a system of social organization, and as a set of attitudes and ideas)[20] อีกหนึ่งนักวิชาการคนสำคัญคือ Lloyd Warner ผู้นำ “ชุมชนศึกษา” (Community Study) และเป็นหนึ่งในผู้ที่ริเริ่มใช้กระบวนการแบบมานุษยวิทยาในการศึกษาเมือง อิทธิพลสำคัญหนึ่งของเขาคือการมองเมืองในฐานะชุมชนสำหรับการศึกษาค้นคว้า[21] William Whyte later expanded Warner’s methods for small urban centers in his study of larger neighborhoods.[22]
สาขาวิชาหลักที่ศึกษา
[แก้]ในการศึกษามานุษยวิทยาเมืองนั้นประกอบด้วยสองแนวทางหลักคือ โดยการศึกษาชนิดของเมือง หรือโดยการศึกษาปัญหาสังคมในเมือง ซึ่งทั้งเป็นเอกเทศและเหลื่อมซ้อนกันในตัวของมันเอง ในการนิยามเมืองชนิดต่าง ๆ นั้น ก็ควรนำปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองมาประกอบ และในการศึกษาปัญหาสังคมที่แตกต่างกันนั้นก็ควรจะศึกษาจากมุมมองที่ว่ามันส่งผลกระทบต่อมิติต่าง ๆ ของเมืองอย่างไร[23]
สี่การเข้าถึง (approaches) หลักกลางของการศึกษาเมืองในเชิงมานุษยวิทยา ประกอบด้วย หนึ่งโมเดลระบบนิเวศเมือง (urban ecology model) ที่ซึ่งมีชุมชนและเครือข่ายครอบครัวเป็นศูนย์กลาง สองคืออำนาจและความรู้ เจาะจงไปที่เมืองนั้นถูกวางแผนขึ้นมาอย่างไร สามคือการศึกษาท้องถิ่น (local) และยิ่งกว่าท้องถิ่น (supralocal) รสมถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองหน่วยของเมือง สี่คือการพุ่งเป้าที่เศรษฐศาสตร์การเมือง (political economy) เป็นศูนย์กลางของสาธารณูปโภคเมือง เซธา โลว์ (Setha Low) ได้ใช้การศึกษาสำคัญหลายชิ้นจากมานุษยวิทยาเมืองเพื่อสร้างรายชื่อของชนิดต่าง ๆ ของเมือง โดยที่เมืองหนึ่งอาจไม่ได้อยู่ในหมวดหมู่เดียว และปัจจัยที่ทำให้เมืองนั้นเป็นปัจเจกของตน (individualise factor) ชนิดต่าง ๆ ของเมืองนั้นรวมถึงที่เน้นไปที่ศาสนา, เศรษฐกิจ และกระบวนการทางสังคม เช่น เมืองศาสนา (religious city) คือสิ่งที่โลว์เรียกว่าเป็น "เมืองศักดิ์สิทธิ์" (“sacred city”) คือเมืองที่มีศาสนาเป็นศูนย์กลางของกระบวนการการใช้ชีวิตประจำวันของเมือง[24] เมืองเศรษฐกิจ (economic centered city) คือภาพของเมืองที่เลิกอุตสาหกรรมแล้ว (“Deindustrialised city”)[25] เป็นต้น
ดูเพิ่ม
[แก้]- สังคมวิทยาเมือง (Urban Sociology)
- ความเป็นเมือง (Urbanities)
อ้างอิง
[แก้]- ↑ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. คำศัพท์: Urban Anthropology. https://www.sac.or.th/databases/anthropology-concepts/glossary/154
- ↑ Hannerz, Ulf (1980). Exploring the City: Inquiries Toward an Urban Anthropology, p.1
- ↑ Basham, Richard. Urban Anthropology, The Cross-Cultural Study of Complex Societies. Palo Alto, CA: Mayfield Publishing Company, 1978. p 11.
- ↑ Mann, B. (1976) "The Ethics of Fieldwork in an Urban Bar". In Maim, B. J. Rynkiewick, M. and Spradley, J. (eds) Ethics and Anthropology: Dilemmas in Fieldwork pp. 99-110.
- ↑ http://www.urban-anthropology.org/
- ↑ Morgan, Lewis Ancient Society, or Researches in the Lines of Human Progress from Savagery through Barbarism to Civilization (1877).
- ↑ Tylor, Edward Burnett Primitive Society (1871).
- ↑ Frazer, James The Golden Bough (1890).
- ↑ The History of Anthropology. Early 20th century antecedents
- ↑ Schivelbusch, Wolfgang The railway journey: the industrialization of time and space in the 19th century (1983).
- ↑ MacClancy, Jeremy Exotic no more: anthropology on the front line (2002)
- ↑ Marcus, George Rereading cultural anthropology (1992): viii.
- ↑ Golove, David “Treaty-Making and the Nation: The Historical Foundations of the Nationalist Conception of the Treaty Power” in Michigan Law Review, Vol. 98, No. 5 (Mar. 2000): 1075-1319.
- ↑ Redfield, Robert The Folk Society. In American Journal of Sociology 52 (1947): 293-308.
- ↑ Eames, Edwin. Anthropology of the City, An Introduction to Urban Anthropology. Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall. p 10-11
- ↑ Childe, V. Gordon The Urban Revolution. Town Planning Review 21 (1950):3-17.
- ↑ Sherman, Daniel "Peoples Ethnographic": Objects, Museums, and the Colonial Inheritance of French Ethnography. In French Historical Studies - Volume 27, Number 3 (2004): 669-703.
- ↑ Wirth, Louis Urbanism as a way of life (1938).
- ↑ Overtveldt, Johan The Chicago School: How the University of Chicago Assembled the Thinkers Who Revolutionized Economics and Business (2007)
- ↑ Basham, Richard. Urban Anthropology, The Cross-Cultural Study of Complex Societies. Palo Alto, CA: Mayfield Publishing Company (1978).
- ↑ Bell, Collin and Newby, Howard Community Studies (1972).
- ↑ Basham, Richard. Urban Anthropology, The Cross-Cultural Study of Complex Societies. Palo Alto, CA: Mayfield Publishing Company (1978): 17
- ↑ Griffiths, Michael. B., Flemming Christiansen, and Malcolm Chapman. (2010) 'Chinese Consumers: The Romantic Reappraisal’. Ethnography, Sept 2010, 11, 331-357.
- ↑ Low, Setha. Theorizing the City: The New Urban Anthropology Reader. Rutgers University Press, 2005. p 20
- ↑ Low, S. p 12
บรรณานุกรม
[แก้]- Basham, Richard (1978) "Urban Anthropology. The Cross-Cultural Study of Complex Societies", Mayfield Publishing Company.
- Fox, Richard G. (1977) "Urban Anthropology. Cities in their Cultural Settings", Prentice-Hall.
- Ulf Hannerz (1980) Exploring the City: Inquiries Toward an Urban Anthropology, ISBN 0-231-08376-9
- Gregory Eliyu Guldin, Aidan William Southall (eds.) (1993) Urban Anthropology in China, ISBN 90-04-08101-1
- Jacqueline Knörr (2007) Kreolität und postkoloniale Gesellschaft. Integration und Differenzierung in Jakarta, Frankfurt & New York: Campus Verlag, ISBN 978-3-593-38344-6
- Eames, Edwin. Anthropology of the City, An Introduction to Urban Anthropology. Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall.
- Gmelch, George. Urban Life: Readings in the Anthropology of the City. 4th ed. Waveland Press, 2002.
- Low, Setha. Theorizing the City: The New Urban Anthropology Reader. Rutgers University Press, 2005. p 20
- Pardo, Italo. Managing Existence in Naples: Morality, Action, and Structure. Cambridge: Cambridge University Press., 1996
- Pardo, Italo and Prato, Giuliana B eds. Anthropology in the City: Methodology and TheoryFarnham: Ashgate Publishers.2012.
- Prato, Giuliana B. and Pardo, italo. ‘Urban Anthropology’ Urbanities, Vol. 3 • No 2 • November 2013, pp 80–110.
- Pardo, Italo and Prato, Giuliana B. The Palgrave Handbook of Urban Ethnography. New York: Palgrave Macmillan, 2017.