รีเฟล็กซ์ดั้งเดิม
รีเฟล็กซ์ดั้งเดิม (อังกฤษ: primitive reflex) เป็นกลุ่มรีเฟล็กซ์ที่เกิดในระบบประสาทกลาง พบในทารกแรกเกิดปกติ แต่ไม่พบในผู้ใหญ่ปกติ เป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะ ๆ รีเฟล็กซ์กลุ่มนี้จะหายไปเมื่อสมองกลีบหน้าพัฒนาขึ้นตามปกติของเด็ก[1] รีเฟล็กซ์ยังมีชื่ออื่น ๆ ว่า infantile reflex, infant reflex และ newborn reflex
เด็กโตกว่าและผู้ใหญ่ที่มีสภาพประสาทไม่ปกติ (เช่นคนไข้อัมพาตสมองใหญ่) อาจคงมีรีเฟล็กซ์เหล่านี้ และรีเฟล็กซ์เหล่านี้ก็อาจปรากฏในผู้ใหญ่อีก โดยอาจเกิดจากสภาพทางประสาทบางอย่างรวมทั้งภาวะสมองเสื่อม (โดยเฉพาะกลุ่มโรคมีน้อยที่เรียกว่า frontotemporal degeneration), รอยโรคเหตุบาดเจ็บ (traumatic lesion) และโรคหลอดเลือดสมอง[2][3] คนไข้อัมพาตสมองใหญ่ที่ฉลาดปกติสามารถฝึกยับยั้งรีเฟล็กซ์เช่นนี้ แต่ก็ยังอาจปรากฏในสถานการณ์บางอย่าง (เช่นเมื่อสะดุ้ง) รีเฟล็กซ์อาจจำกัดอยู่กับส่วนที่มีสภาพประสาทไม่ปกติ (เช่น อัมพาตสมองใหญ่ที่มีผลต่อแค่ขาคือยังคงมี Babinski reflex แต่ก็พูดได้ปกติ) หรือสำหรับคนไข้อัมพาตครึ่งซีก (hemiplegia) รีเฟล็กซ์จะเกิดที่เท้าข้างที่มีปัญหาเท่านั้น
แพทย์โดยหลักจะตรวจว่ามีรีเฟล็กซ์เหล่านี้หรือไม่ถ้าสงสัยว่าสมองเสียหายหรือมีภาวะสมองเสื่อม เช่น โรคพาร์คินสัน เพื่อตรวจการทำงานของสมองกลีบหน้า ถ้าสมองไม่ยับยั้งรีเฟล็กซ์เหล่านี้ รีเฟล็กซ์จะเรียกว่า frontal release signs[A] รีเฟล็กซ์ดั้งเดิมนอกแบบ (atypical) ก็กำลังศึกษาว่าอาจเป็นอาการล่วงหน้าที่บ่งออทิซึมสเปกตรัม[5]
ระบบประสาทสั่งการนอกพีระมิด (extrapyramidal system) เป็นตัวอำนวยรีเฟล็กซ์ดั้งเดิม โดยหลายชนิดมีตั้งแต่คลอด และจะหายไปเมื่อลำเส้นใยประสาทพีระมิด (pyramidal tracts)[B] ทำงานได้มากขึ้นเพราะการเกิดปลอกไมอีลิน จึงอาจปรากฏอีกในผู้ใหญ่หรือในเด็กที่ระบบประสาทพีระมิดไม่ทำงานเพราะเหตุต่าง ๆ แต่เพราะวิธีการตรวจใหม่คือ Amiel Tison method of neurological assessment ความสำคัญในการประเมินรีเฟล็กซ์เช่นนี้ในเด็กอาจลดลง[6][7][8]
ประโยชน์ในการปรับตัว
[แก้]รีเฟล็กซ์มีประโยชน์ต่าง ๆ กัน บางอย่างช่วยให้รอดชีวิต เช่น rooting reflex ซึ่งช่วยทารกให้หาหัวนมของแม่ได้ ทารกจะแสดง rooting reflex ก็ต่อเมื่อหิวแล้วคนอื่นถูกตัว แต่ไม่ใช่ถูกตัวเอง มีรีเฟล็กซ์จำนวนหนึ่งที่น่าจะช่วยทารกให้รอดชีวิตในประวัติวิวัฒนาการของมนุษย์ (เช่น รีเฟล็กซ์โมโร) รีเฟล็กซ์อื่น ๆ เช่น ที่ทำให้ดูดและจับอาจช่วยให้ทารกมีปฏิสัมพันธ์ที่น่าพึงใจกับพ่อแม่ บำรุงใจพ่อแม่ให้ตอบสนองด้วยความรักความพอใจ ช่วยให้เลี้ยงทารกได้ดีกว่า และยังช่วยให้พ่อแม่ปลอบทารก ทำให้เด็กสามารถบรรเทาความทุกข์และควบคุมสิ่งเร้าที่ตนได้รับ[9]
รีเฟล็กซ์ดูดนม (sucking reflex)
[แก้]รีเฟล็กซ์ดูดนม (sucking reflex) สามัญในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมดและมีตั้งแต่คลอด โดยเชื่อมกับ rooting reflex และการให้นมของแม่ คือทำให้เด็กดูดทุกอย่างที่มาถูกเพดานปากซึ่งกระตุ้นการดูดนมตามธรรมชาติของเด็ก รีเฟล็กซ์มีสองระยะคือ
- Expression (การปรากฏ) เกิดเมื่อใส่หัวนมไว้ในปากเด็กแล้วแตะเพดานปาก เด็กจะอมหัวนมที่ระหว่างลิ้นกับเพดานแล้วดูดนม
- Milking (การรีดนม) เด็กจะลากลิ้นจากฐานหัวนมไปที่หัวนม ซึ่งกระตุ้นให้นมออกจากหัวนมจะได้กลืน
rooting reflex
[แก้]rooting reflex มีตั้งแต่คลอด (เกิดตั้งแต่เมื่อถึง 28 สัปดาห์ในครรภ์) และจะหายไปราว ๆ อายุ 4 เดือนเมื่อกลายไปอยู่ใต้อำนาจจิตใจ รีเฟล็กซ์ช่วยให้ดูดนมแม่ คือทารกเกิดใหม่จะหันศีรษะไปทางอะไรก็ตามที่ลูบแก้มหรือปากเพื่อหาวัตถุนั้น โดยหันแบบค่อย ๆ ลดมุมที่หันจนกว่าจะเจอ หลังจากคุ้นเคยกับการตอบสนองเช่นนี้ (ถ้าเลี้ยงด้วยนมแม่ จะเกิดประมาณ 3 อาทิตย์หลังคลอด) ทารกจะเคลื่อนเข้าไปหาวัตถุได้โดยตรงและไม่ต้องหา[10]
รีเฟล็กซ์โมโร
[แก้]รีเฟล็กซ์โมโร (Moro reflex) เป็นตัวบ่งชี้สำคัญเพื่อประเมินพัฒนาการของระบบประสาทกลาง เป็นรีเฟล็กซ์มีชื่อตามแพทย์ชาวออสเตรียผู้ค้นพบคือ Ernst Moro แม้บางทีจะเรียกว่าเป็นปฏิกิริยาตกใจ (startle reaction, startle response, startle reflex) หรือ embrace reflex แต่นักวิชาการโดยมากถือว่าต่างกับปฏิกิริยาตกใจ[11] และเชื่อว่า เป็นความกลัวที่ไม่ได้เรียนรู้อย่างเดียวของทารกเกิดใหม่[ต้องการอ้างอิง] รีเฟล็กซ์มีตั้งแต่คลอด มีกำลังสุดในเดือนแรกของชีวิต แล้วเริ่มหายไปตั้งแต่ราว ๆ 2 เดือน มีโอกาสเกิดขึ้นเมื่อศีรษะเปลี่ยนตำแหน่งอย่างฉับพลัน อุณหภูมิเปลี่ยนอย่างทันที หรือตกใจเพราะเสียง คือขาและศีรษะจะยืดออก แขนจะยกขึ้นและยืดออก มือจะแบขึ้นและนิ้วหัวแม่มือยืดออก แล้วก็จะหุบแขนอย่างรวดเร็ว มือกำเป็นกำปั้น และเด็กจะร้องไห้เสียงดัง[12]
รีเฟล็กซ์ปกติจะหายไปเมื่อถึงอายุ 3-4 เดือน[13] แต่ก็อาจคงอยู่จนถึง 6 เดือนเหมือนกัน[14] การไร้รีเฟล็กซ์ทั้งสองซีกข้างของร่างกายอาจสัมพันธ์กับความเสียหายในระบบประสาทกลาง การไร้รีเฟล็กซ์แค่ซีกเดียวอาจแสดงความเสียหายเพราะบาดเจ็บเมื่อคลอด (เช่น กระดูกไหปลาร้าแตกหัก หรือการบาดเจ็บที่ข่ายประสาทแขน) โดยอัมพาตเอิร์บ (Erb's palsy) หรืออัมพาตรูปแบบอื่น ๆ ก็จะมีด้วยในกรณีเช่นนี้[13] ในประวัติวิวัฒนาการมนุษย์ รีเฟล็กซ์นี้อาจช่วยทารกให้เกาะติดกับแม่เมื่อต้องอุ้มไปด้วย คือถ้าทารกถลำตัว รีเฟล็กซ์ก็จะทำให้กอดแม่แล้วเกาะตัวแม่ได้ใหม่[9]
รีเฟล็กซ์เดิน/ก้าวเท้า
[แก้]รีเฟล็กซ์เดิน (walking reflex) หรือรีเฟล็กซ์ก้าวเท้า (walking reflex) มีตั้งแต่คลอดแม้ทารกเล็กขนาดนี้จะยังไม่สามารถรับน้ำหนักตนเองได้ เมื่อฝ่าเท้าแตะกับผิวเรียบ ๆ เด็กจะพยายามเดินโดยวางเท้าข้างหนึ่งไว้ข้างหน้าของอีกข้างหนึ่ง รีเฟล็กซ์จะหายไปราว ๆ อายุ 5-6 เดือนและทารกก็จะเริ่มพยายามเดินหลังจากรีเฟล็กซ์นี้หายไป[15]
Asymmetrical tonic neck reflex (ATNR)
[แก้]asymmetrical tonic neck reflex หรือ "รีเฟล็กซ์ฟันดาบ" จะเกิดเมื่ออายุ 1 เดือนแล้วหายไปราว ๆ 4 เดือน คือเมื่อหันศีรษะของเด็กไปทางข้าง ๆ แขนด้านนั้นก็จะยึดออกและแขนข้างตรงข้ามจะงอ (แต่บางครั้งแสดงท่าเพียงแค่เล็กน้อย) ถ้าเด็กไม่สามารถออกจากท่านี้ได้ หรือว่ารีเฟล็กซ์ยังเกิดหลังจากถึงอายุ 6 เดือน เด็กอาจมีโรคที่เซลล์ประสาทสั่งการบน (UMN) นักวิชาการบางพวกเสนอว่า รีเฟล็กซ์นี้เป็นบุพพภาคของการประสานการทำงานของมือร่วมกับตาในเด็ก ซึ่งเตรียมตัวเด็กให้ยื่นมือกับแขนโดยอยู่ใต้อำนาจจิตใจ[9]
Symmetrical tonic neck reflex (STNR)
[แก้]symmetric tonic neck reflex (STNR) ปกติจะปรากฏราว ๆ อายุ 6-9 เดือนและหายไปราว ๆ 12 เดือน คือเมื่อศีรษะเด็กก้มลงข้างหน้า ซึ่งยืดส่วนหลังของคอ แขนก็จะงอขึ้นและขายืดออก ในนัยตรงข้าม ถ้าศีรษะน้อมไปทางข้างหลัง ซึ่งหดส่วนหลังของคอ แขนก็จะยืดออกและขาก็จะงอเข้า รีเฟล็กซ์นี้สำคัญเพราะช่วยให้เด็กดันตัวขึ้นให้น้ำหนักลงที่มือและเข่า (เพื่อจะคลาน) แต่อาจเป็นอุปสรรคในการคลานไปข้างหน้าถ้ายับยั้งรีเฟล็กซ์นี้ไม่ได้ ถ้ายังเกิดรีเฟล็กซ์นี้อยู่หลังอายุเกิน 2-3 ขวบ ร่างกายหรือประสาทอาจล่าช้าทางพัฒนาการ[16][17]
Tonic labyrinthine reflex (TLR)
[แก้]tonic labyrinthine reflex (TLR) ก็เป็นรีเฟล็กซ์ดั้งเดิมที่พบในทารกมนุษย์เกิดใหม่เหมือนกัน คือเมื่อเอนศีรษะไปทางด้านหลังเมื่อนอนหงายหลังจะทำให้หลังแข็งตัวหรือแม้แต่แอ่นไปทางด้านหลัง ขาจะยืดออก เกร็งแข็ง แล้วดันออกด้วยกัน นิ้วเท้าจะชี้ แขนจะงอที่ข้อศอกและข้อมือ มือจะกำเป็นกำปั้นหรืองอนิ้วมือเข้า การมีรีเฟล็กซ์นี้เกินระยะเกิดใหม่ยังเรียกด้วยว่า abnormal extension pattern หรือ abnormal extensor tone
การมี TLR และรีเฟล็กซ์ดั้งเดิมอื่น ๆ เช่น ATNR เกิน 6 เดือนแรกของชีวิตอาจระบุว่า เด็กมีความล่าช้าทางพัฒนาการหรือความผิดปกติทางประสาท[18] เช่น ในเด็กที่มีอัมพาตสมองใหญ่ รีเฟล็กซ์อาจคงยืนและอาจยิ่งมากขึ้น ทั้ง TLR และ ATNR ที่เป็นรีเฟล็กซ์ผิดปกติอาจสร้างปัญหาสำหรับเด็กที่กำลังโต เพราะทั้งสองเป็นอุปสรรคของกิจกรรมที่มีประโยชน์ เช่น กลิ้งตัว เอามือเข้าหากัน หรือแม้แต่เอามือมาที่ปาก ในระยะยาว ทั้งสองอาจสร้างความเสียหายอย่างหนักแก่ข้อต่อและกระดูกของเด็กที่กำลังโต ทำให้หัวกระดูกต้นขาหลุดเป็นบางส่วนออกจากเบ้า (subluxation) หรือเคลื่อนออกทั้งหมดออกจากเบ้า (dislocation)
รีเฟล็กซ์จับ (palmar grasp reflex)
[แก้]รีเฟล็กซ์จับ (palmar grasp reflex) มีตั้งแต่คลอดและคงยืนจนกระทั่งถึงอายุ 5-6 เดือน คือเมื่อเอาวัตถุไปไว้ที่มือแล้วลูบที่ฝ่ามือ นิ้วก็จะงอเข้าจับวัตถุไว้ในมือ เพื่อให้เห็นรีเฟล็กซ์นี้ได้ดีสุด ให้วางเด็กไว้บนหมอนที่สามารถตกลงได้อย่างปลอดภัยลง ยกนิ้วก้อยของทั้งสองมือให้เด็กจับ (เพราะนิ้วชี้ปกติใหญ่เกินที่เด็กจะจับ) แล้วค่อย ๆ ยกขึ้น มือที่จับอยู่อาจรองรับน้ำหนักของเด็กได้ แต่เด็กอยู่ ๆ ก็อาจปล่อยมือได้ สามารถให้เด็กคลายมือโดยนัยตรงข้ามคือให้ลูบหลังมือ
รีเฟล็กซ์ฝ่าเท้า (plantar reflex)
[แก้]รีเฟล็กซ์ฝ่าเท้า (plantar reflex) เกิดเมื่อฝ่าเท้าถูกกับวัตถุทื่อ ๆ โดยมีสองรูปแบบอย่างใดอย่างหนึ่ง ในผู้ใหญ่ปกติ รีเฟล็กซ์ทำให้นิ้วหัวแม้เท้างอลง (flexion) ถ้านิ้วหัวแม่เท้ากลับงอขึ้น (extension) นี้เรียกว่า Babinski response หรือ Babinski sign หรือ Babinski reflex ซึ่งระบุความผิดปกติของไขสันหลังและสมองในผู้ใหญ่ เช่น รอยโรคในเซลล์ประสาทสั่งการบน (upper motor neuron lesion)[19]
แต่การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติในผู้ใหญ่คือนิ้วหัวแม่เท้างอขึ้นเมื่อฝ่าเท้าถูกวัตถุทื่อ ๆ ก็เกิดเป็นปกติสำหรับทารกอายุน้อยกว่า 1 ขวบเช่นกันเพราะลำเส้นใยประสาท corticospinal tract ยังมีปลอกไมอีลินน้อย เมื่อลำเส้นใยประสาทพัฒนาขึ้น รีเฟล็กซ์ที่ทำให้นิ้วหัวแม้เท้างอลงก็จะเกิดขึ้นกลายเป็นปกติแทน[20]
Galant reflex
[แก้]Galant reflex หรือ Galant's infantile reflex มีตั้งแต่คลอดและหายไปเมื่อถึงอายุระหว่าง 4-6 เดือน คือเมื่อลูบผิวตามหลังของเด็ก เด็กจะหมุนไปทางข้างที่ลูบ ถ้ารีเฟล็กซ์คงยืนเกิน 6 เดือน นี่เป็นความผิดปกติ ชื่อมาจากประสาทแพทย์ชาวรัสเซีย Johann Susman Galant[21]
รีเฟล็กซ์ว่ายน้ำ (swimming reflex)
[แก้]รีเฟล็กซ์ว่ายน้ำ (swimming reflex) เริ่มเมื่อวางทารกเอาหน้าคว่ำลงในน้ำ เด็กจะใช้แขนและขาพยายามว่ายน้ำ รีเฟล็กซ์นี้หายไปในระหว่างอายุ 4-6 เดือน แม้การตอบสนองโดยกวาดแขนและเตะขาเช่นนี้เกิดเป็นปกติ แต่การวางเด็กไว้ในน้ำก็อาจเสี่ยงมาก เพราะเด็กอาจกลืนน้ำในปริมาณมาก ดังนั้น คนดูแลต้องคอยระมัดระวังอย่างมาก แนะนำว่าอย่าสอนเด็กว่ายน้ำจนกระทั่งอย่างน้อยถึงอายุ 3 เดือน เพราะเด็กที่จมอยู่ในน้ำยังอาจเสียชีวิตเพราะภาวะน้ำเป็นพิษ (water intoxication) อีกด้วย[9]
รีเฟล็กซ์แบ็บกิน (Babkin reflex)
[แก้]รีเฟล็กซ์แบ็บกิน (Babkin reflex) ก็เกิดในทารกเกิดใหม่ด้วย เป็นการตอบสนองแบบต่าง ๆ เมื่อกดที่ฝ่ามือทั้งสองมือ เด็กอาจก้มคอ หันศีรษะ อ้าปาก หรือตอบสนองแบบรวม ๆ กัน[22] ทารกที่เล็กกว่าหรือคลอดก่อนกำหนดมีโอกาสเกิดรีเฟล็กซ์มากกว่า โดยเห็นในเด็กที่คลอดหลังอยู่ในครรภ์แม่ 26 สัปดาห์[23] รีเฟล็กซ์นี้ตั้งชื่อตามนักสรีรวิทยาชาวรัสเซียคือ บอริส แบ็บกิน (Boris Babkin)
รีเฟล็กซ์ร่มชูชีพ (parachute reflex)
[แก้]รีเฟล็กซ์ร่มชูชีพ (parachute reflex) เกิดในทารกที่แก่กว่า เริ่มราว ๆ 6-7 เดือน)[24] แล้วหายไปหลังถึงอายุ 1 ปี เกิดเมื่ออุ้มเด็กให้ตัวตรงแล้วหมุนตัวอย่างรวดเร็วให้หน้าคว่ำลงขนานกับพื้น (เหมือนกับจะล้ม) เด็กจะยืดแขนทั้งสองออกเหมือนกับจะชะงักตัวไม่ให้ล้มถึงพื้น แต่รีเฟล็กซ์จะเกิดก่อนนานกว่าจะเดิน
Unintegrated reflexes
[แก้]รีเฟล็กซ์ที่ไม่ระงับไปในช่วงวัยทารกเรียกว่า unintegrated reflex หรือ persistent reflex (รีเฟล็กซ์คงยืน)[C] ซึ่งสัมพันธ์กับปัญหาทางการเรียน เช่น เด็กที่มีปัญหาการเรียนพบว่า ยังมีรีเฟล็กซ์ดั้งเดิมที่คงยืน[25] อนึ่ง ATNR ที่คงยืนยังพบว่า สัมพันธ์กับคะแนนการอ่านและการสะกดที่ลดลง[26] และเด็กที่ปัญหาการอ่านมักจะมี TLR มากกว่าเด็กที่ไม่มี[27] โรคสมาธิสั้นยังพบว่าสัมพันธ์กับ ATNR[28] กับรีเฟล็กซ์โมโรและกับ Galant reflex ที่คงยืนอีกด้วย[29]
รีเฟล็กซ์ดั้งเดิมอื่น ๆ ที่ตรวจในผู้ใหญ่
[แก้]ดังที่กล่าวไว้ตั้งแต่ต้น รีเฟล็กซ์ดั้งเดิมที่ระบบประสาทไม่สามารถยับยั้งอย่างสมควรเรียกว่า frontal release signs[A] แม้นี้อาจเป็นชื่อที่ไม่สมควร นอกจากที่กล่าวไปแล้ว รีเฟล็กซ์ดั้งเดิมอื่น ๆ ที่ตรวจในผู้ใหญ่รวมทั้ง
- palmomental reflex คือกล้ามเนื้อคางจะกระตุกถ้าลูบบางส่วนของฝ่ามือ
- snout reflex คือปากจะยื่นถ้าเคาะปากที่ปิดใกล้ ๆ ตรงกลางอย่างเบา ๆ
- glabellar reflex เป็นการกะพริบตาที่เกิดโดยเคาะหน้าผากซ้ำ ๆ ไม่กี่ครั้งแรก ถ้ายังกะพริบต่อจากนั้น จัดว่าผิดปกติ
ในทารกมีความเสี่ยงสูง
[แก้]ทารกมีความเสี่ยงสูง หมายถึงเด็กเกิดใหม่ที่มีโอกาสตายหรือเจ็บป่วยอย่างสำคัญโดยเฉพาะในเดือนแรกหลังคลอด เด็กมีความเสี่ยงสูงบ่อยครั้งมีรีเฟล็กซ์ดั้งเดิมที่ผิดปกติ หรือไม่มีโดยสิ้นเชิง ซึ่งจะต่าง ๆ กันขึ้นอยู่กับรีเฟล็กซ์ (เช่น รีเฟล็กซ์โมโรอาจปกติ แต่รีเฟล็กซ์เดินไม่มีหรือผิดปกติ) การมีรีเฟล็กซ์ตามปกติของทารกเกิดใหม่สัมพันธ์กับการมีคะแนน Apgar score[D] ที่สูงกว่า กับการหนักมากกว่า กับการอยู่ใน รพ. น้อยกว่าหลังเกิด และกับสภาพจิตที่ดีกว่า
งานศึกษาตามขวางปี 2011 ที่ประเมินรีเฟล็กซ์ดั้งเดิมของทารกเกิดใหม่ที่เสี่ยงสูง 67 คน โดยตรวจการตอบสนองของรีเฟล็กซ์ดูดนม รีเฟล็กซ์ฝ่าเท้า และรีเฟล็กซ์โมโร พบว่า มีรีเฟล็กซ์ดูดนมปกติมากที่สุด (63.5%) ตามด้วยรีเฟล็กซ์ฝ่าเท้า (58.7%) และรีเฟล็กซ์โมโร (42.9%) แล้วสรุปว่า ทารกความเสี่ยงสูงจำนวนมากกว่าตอบสนองทางรีเฟล็กซ์อย่างผิดปกติหรือไม่ตอบสนอง และรีเฟล็กซ์แต่ละอย่างจะตอบสนองต่าง ๆ กัน[30]
อย่างไรก็ดี เพราะการออกแบบวิธีตรวจประสาทที่มีประสิทธิภาพเช่น Amiel Tison method of neurological assessment ซึ่งสามารถพยากรณ์ผลทางประสาทของทารกความเสี่ยงสูงและอื่น ๆ ได้ดี ความสำคัญในการประเมินรีเฟล็กซ์ดั้งเดิมก็ได้ลดลงในเด็ก[6][7][8]
เชิงอรรถ
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 frontal release signs เป็นรีเฟล็กซ์ดั้งเดิมที่จัดว่าเป็นอาการของโรคที่มีผลต่อสมองกลีบหน้า การปรากฏของอาการเช่นนี้สะท้อนถึงบริเวณสมองที่ทำงานผิดปกติ ไม่ได้ระบุโรคอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งอาจกระจายไปทั่วเช่นภาวะสมองเสื่อม หรืออยู่ที่บริเวณโดยเฉพาะ ๆ เช่นเนื้องอก[4]
- ↑ pyramidal tract (ลำเส้นใยประสาทพีระมิด) รวมทั้ง corticospinal tract และ corticobulbar tract เป็นการรวมใยประสาทนำออก (efferent nerve fiber) จากเซลล์ประสาทสั่งการบน (UMN) ที่ส่งไปจากเปลือกสมองไปยุติไม่ที่ก้านสมอง (คือ corticobulbar tract) ก็ที่ไขสันหลัง (คือ corticospinal tract) ซึ่งมีบทบาทในกิจสั่งการ (motor functions) ของร่างกาย
- ↑ รีเฟล็กซ์ที่ระงับไปในช่วงวัยทารกเรียกว่า integrated reflex
- ↑ Apgar score เป็นวิธีการตรวจสุขภาพเด็กเกิดใหม่ทั่วไป
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Primitive & Postural Reflexes". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (php)เมื่อ 2011-04-27. สืบค้นเมื่อ 2008-10-23.
- ↑ Rauch, Daniel (2006-10-05). "Infantile reflexes". MedlinePlus. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-02-04. สืบค้นเมื่อ 2007-10-11.
- ↑ Schott, JM; Rossor, MN (2003). "The grasp and other primitive reflexes". J. Neurol. Neurosurg. Psychiatry. 74 (5): 558–60. doi:10.1136/jnnp.74.5.558. PMC 1738455. PMID 12700289.
- ↑ "Clinical Methods: The History, Physical, and Laboratory Examinations". 1990. PMID 21250236.
{{cite journal}}
: Cite journal ต้องการ|journal=
(help) - ↑ Teitelbaum, O.; Benton, T.; Shah, P. K.; Prince, A.; Kelly, J. L.; Teitelbaum, P. (2004). "Eshkol-Wachman movement notation in diagnosis: the early detection of Asperger's syndrome". Proc. Natl. Acad. Sci. U.S.A. 101 (32): 11909–14. Bibcode:2004PNAS..10111909T. doi:10.1073/pnas.0403919101. PMC 511073. PMID 15282371.
- ↑ 6.0 6.1
Amiel-Tison, C; Grenier, A (1986). Neurological Assessment during first year of life. New York: Oxford University Press. pp. 46–94.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ 7.0 7.1 Paro-Panjan, D; Neubauer, D; Kodric, J; Bratanic, B (Jan 2005). "Amiel-Tison Neurological Assessment at term age: clinical application, correlation with other methods, and outcome at 12 to 15 months". Developmental Medicine and Child Neurology. 47 (1): 19–26. doi:10.1111/j.1469-8749.2005.tb01035.x. PMID 15686285.
- ↑ 8.0 8.1 Leroux, BG; N'guyen The Tich, S; Branger, B; Gascoin, G; Rouger, V; Berlie, I; Montcho, Y; Ancel, PY; Rozé, JC; Flamant, C (2013-02-22). "Neurological assessment of preterm infants for predicting neuromotor status at 2 years: results from the LIFT cohort". BMJ Open. 3 (2): e002431. doi:10.1136/bmjopen-2012-002431. PMC 3586154. PMID 23435797.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 Berk, Laura E (2009). Child Development (8th ed.). USA: Pearson.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Odent, M (1977). "The early expression of the rooting reflex". Proceedings of the 5th International Congress of Psychosomatic Obstetrics and Gynaecology, Rome. London: Academic Press: 1117–1119.
{{cite journal}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Fletcher, Mary Ann (1998). Physical Diagnosis in Neonatology. Philadelphia: Lippincott-Raven. p. 472. ISBN 978-0397513864. สืบค้นเมื่อ 2013-02-07.
- ↑ The American Academy of Pediatrics (1998). Shelov, Stephen P.; Hannemann, Robert E. (บ.ก.). Caring for Your Baby and Young Child: Birth to Age 5. Illustrations by Wendy Wray and Alex Gray (Revised ed.). New York, NY: Bantam. ISBN 978-0-553-37962-4. LCCN 90-47015.
- ↑ 13.0 13.1 Rauch, Daniel (2006-10-05). "MedlinePlus Medical Encyclopedia: Moro Reflex". สืบค้นเมื่อ 2007-10-11.
- ↑ "Keeping Kids Healthy: Newborn Reflexes". 2001-10-14. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2001-11-22. สืบค้นเมื่อ 2007-10-11.
- ↑ Siegler, R.; Deloache, J.; Eisenberg, N. (2006). How Children Develop. New York: Worth Publishers. p. 188. ISBN 978-0-7167-9527-8.
- ↑ O'Dell, Nancy. "The Symmetric Tonic Neck Reflex (STNR)" (PDF). NDC Brain.com. Pediatric Neuropsychology Diagnostic and Treatment Center. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2019-04-11. สืบค้นเมื่อ 2017-03-09.
- ↑ "Symmetrical Tonic Neck Reflex". Vision Therapy at Home. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-01-07. สืบค้นเมื่อ 2017-03-09.
- ↑ Shelov, Steven (2009). Caring for your baby and young child. American Academy Of Pediatrics.
- ↑ "Babinski's reflex". MedlinePlus. สืบค้นเมื่อ 2010-01-11.
- ↑ Khwaja (2005). "Plantar Reflex". JIACM. 6 (3): 193–197.
{{cite journal}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ "The Galant Reflex". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-11-23.
- ↑ Pedroso, Fleming S.; Rotta, Newra T. (2004). "Babkin Reflex and Other Motor Responses to Appendicular Compression Stimulus of the Newborn". Journal of Child Neurology. 19 (8): 592–596. doi:10.1177/088307380401900805. PMID 15605468.
- ↑ Parmelee, Arthur H., Jr. (1963-05-05). "The Hand-Mouth Reflex of Babkin in Premature Infants". Pediatrics. 31 (5): 734–740. PMID 13941546.
- ↑ "THE NEUROLOGICAL EXAMINATION OF INFANT AND CHILD". Case Western Reserve University School of Medicine. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-01-11. สืบค้นเมื่อ 2019-09-16.
- ↑ Grzywniak, C. (2016). "Role of early-childhood reflexes in the psychomotor development of a child, and in learning". Acta Neuropsychologica. 14 (2): 113-129. doi:10.5604/17307503.1213000 (inactive 2019-08-20).
{{cite journal}}
: CS1 maint: DOI inactive as of สิงหาคม 2019 (ลิงก์) - ↑ McPhillips, M. (2007). "Primary reflex persistence in children with reading difficulties (dyslexia) : A cross-sectional study". Neuropsychologia. 45 (4): 748–54. doi:10.1016/j.neuropsychologia.2006.08.005. PMID 17030045.
- ↑ Ramirez Gonzalez, S.; Ciuffreda, K.J.; Castillo Hernandez, L.; Bernal Escalante, J. (2008). "The correlation between primitive reflexes and saccadic eye movements in 5th grade children with teacher-reported reading problems". Optometry & Vision Development. 39 (3): 140-145.
- ↑ Konicarova, J.; Bob, P. (2013). "Asymmetric tonic neck reflex and symptoms of attention deficit and hyperactivity disorder in children". International Journal of Neuroscience. 123 (11): 766–9. doi:10.3109/00207454.2013.801471. PMID 23659315.
- ↑ Konicarova, J.; Bob, P. (2012). "Retained primitive reflexes and ADHD in children". Activitas Nervosa Superior. 54 (3–4): 135-138. doi:10.1007/BF03379591.
- ↑ Sohn, M.; Ahn, L.; Lee, S. (2011). "Assessment of Primitive Reflexes in Newborns". Journal of Clinical Medicine Research. 3 (6): 285–290. doi:10.4021/jocmr706w. PMC 3279472. PMID 22393339.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- "PediNeuroLogic Exam - Movies of infant reflex testing". สืบค้นเมื่อ 2007-10-11.
- "Medri Vodcast: Neonatology - Movies of the neurological examination of the newborn infant". สืบค้นเมื่อ 2008-05-02.[ลิงก์เสีย]