เซาเออร์บราเทิน
เซาเออร์บราเทินเสิร์ฟพร้อมคาร์ท็อฟเฟิลเคลอเซอ | |
มื้อ | อาหารจานหลัก |
---|---|
แหล่งกำเนิด | เยอรมนี |
ภูมิภาค | ทั่วเยอรมนีและภูมิภาคที่ใช้ภาษาเยอรมัน |
ส่วนผสมหลัก | เนื้อสัตว์ (โดยปกติจะเป็นเนื้อวัว เนื้อลูกวัว เนื้อกวาง หรือเนื้อม้า) หมักไวน์หรือน้ำส้มสายชู ผัก และเครื่องเทศ |
เซาเออร์บราเทิน (เยอรมัน: Sauerbraten) เป็นเนื้อย่างหมักแบบเยอรมันแบบดั้งเดิม ถือได้ว่าเป็นอาหารประจำชาติของประเทศเยอรมนี และมักเสิร์ฟในร้านอาหารแบบอย่างเยอรมันทั่วโลก[1] สามารถทำได้จากเนื้อสัตว์หลายชนิด ส่วนใหญ่มักจะทำจากเนื้อวัว แต่ก็สามารถทำจากเนื้อกวาง เนื้อแกะ เนื้อหมู และเนื้อม้าได้ด้วยเช่นกัน[2][3][4] ก่อนปรุง เนื้อดิบจะถูกหมักเป็นเวลาสามถึงสิบวันในน้ำซอสที่ประกอบไปด้วยไวน์หรือน้ำส้มสายชู น้ำเปล่า สมุนไพร เครื่องเทศ และเครื่องปรุงรส โดยปกติแล้วจะใช้เนื้อสัตว์ส่วนที่เหนียว เช่น เนื้อสันนอกหรือเนื้อวัวส่วนก้น เพราะการหมักเป็นเวลานานจะทำให้เนื้อนุ่ม ในการรับประทานเป็นอาหารค่ำ มักจะรับประทานเซาเออร์บราเทินกับเกรวีจากการย่าง และมักจะเสิร์ฟพร้อมกับแพนเค้กมันฝรั่ง (คาร์ท็อฟเฟิลพุฟเฟอร์) แป้งต้มมันฝรั่ง (คาร์ท็อฟเฟิลเคลอเซอ) หรือพร้อมกับชเป็ทซ์เลอ[5]
รากศัพท์
[แก้]ชื่อ Sauerbraten มีที่มาจากภาษาเยอรมันและแปลว่า "เนื้อย่างเปรี้ยว" คำนี้มีรากศัพท์มาจากคำว่า sauer แปลว่า "เปรี้ยว" หรือ "ดอง" และ Braten ที่แปลว่า "เนื้อย่าง"[6]
การเตรียมอาหาร
[แก้]การเลือกเนื้อเพื่อย่าง
[แก้]เซาเออร์บราเทินสามารถทำได้จากเนื้อได้หลายชนิด โดยปรกติจะใช้เนื้อสัตว์ส่วนที่เหนียวและราคาไม่แพง โดยทั่วไปจะเป็นส่วนสะโพกหรือส่วนล่าง
บ่อยครั้งมีการนำเนื้อกวางหรือเนื้อสัตว์ป่าที่ล่าได้มาทำซาวเออร์บราเทิน เนื่องจากเครื่องเทศและน้ำส้มสายชูจะขจัดกลิ่นสาบของเนื้อสัตว์เหล่านั้นออกไป[7]
การหมักเนื้อย่าง
[แก้]เนื้อที่ตัดจากก้น[8] หรือสะโพกจะถูกหมักไว้สามสี่วัน[9] หรือมากถึงสิบครั้งก่อนปรุงอาหาร[10] น้ำส้มสายชูไวน์แดงและไวน์มักจะเป็นพื้นฐานของซอสหมัก ซึ่งจะผสมกับเครื่องเทศที่มีกลิ่นหอม เช่น พริกไทย จูนิเปอร์เบอร์รี กานพลู จันทน์เทศ ใบกระวาน และในบางครั้งผักชี เมล็ดมัสตาร์ด อบเชย ขิง และไทม์[3][11][12] ซอสหมักอาจผสมผักต่าง ๆ เช่น หัวหอม ขึ้นฉ่าย และแคร์รอตด้วย นอกจากนี้ยังมีการเติมบัตเตอร์มิลก์ลงไปในซอสหมักในบางภูมิภาคอีกด้วย ซอสหมักที่เป็นกรดช่วยให้เนื้อนุ่มก่อนนำไปปรุงอาหาร[5][13] มักจะแนะนำให้หมักเนื้อในภาชนะดินเผา แก้ว พลาสติก หรือภาชนะเคลือบ แทนที่จะเป็นภาชนะที่ทำจากโลหะ เนื่องจากซอสหมักที่เป็นกรดจะทำปฏิกิริยากับภาชนะโลหะระหว่างการหมักเป็นเวลานาน
การปรุงเนื้อย่าง
[แก้]หลังจากที่นำเนื้อออกจากเครื่องหมักและทำให้แห้งแล้ว ขั้นแรกคือให้ทำให้เนื้อเป็นสีน้ำตาลในน้ำมันหรือน้ำมันหมู จากนั้นจึงนำไปตุ๋นกับซอสหมักที่กรองแล้วในภาชนะที่มีฝาปิดในเตาอบขนาดกลางหรือบนเตาตั้งพื้น หลังจากเคี่ยวเป็นเวลาสี่ชั่วโมงขึ้นไป ขึ้นอยู่กับขนาดของเนื้อย่าง เครื่องหมักจะยังคงให้รสชาติกับเนื้อ และในขณะที่เนื้อปรุงอาหาร น้ำของเนื้อจะหลั่งออกมาด้วย ทำให้ได้เนื้อย่างที่นุ่มมาก
การเตรียมน้ำเกรวี
[แก้]หลังจากย่างสุกแล้ว ซอสหมักจะถูกกรองและนำกลับเข้าไปในกระทะและจะทำให้ข้น (มักใช้ขนมปังขิงเลพคูเคินหรือจินเจอร์สแนปบด แป้ง ครีมเปรี้ยว น้ำตาลทรายแดง หรือรูซ์)[3][14] ซึ่งเพิ่มเนื้อและรสชาติให้กับซอส ก่อนที่จะปิดตัวลงในปี ค.ศ. 1982 ร้านอาหารเยอรมันลือโชในนครนิวยอร์กใช้คุกกี้จินเจอร์สแนปบดเพื่อปรุงรสและทำให้น้ำเกรวีของซาวเออร์บราเทนข้นขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในอาหารจานโปรดของร้าน การปรุงวิธีนี้ได้รับความนิยมในสหรัฐหลังจากการตีพิมพ์ตำราอาหารเยอรมัน Luchow: The Story and the Favorite Dishes of America's Most Famous German Restaurant โดย Jan Mitchell ในปี 1952
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Garrett 1898
- ↑ Sheraton 1965, p. 147.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 Kummer 2007, p. 553.
- ↑ Casada 1996, p. 30.
- ↑ 5.0 5.1 Saekel 2005, F-5.
- ↑ The American Heritage Dictionary of the English Language (4th Ed.) (2549)
- ↑ Schmidt 2003, p.94.
- ↑ The Culinary Institute of America Publisher 2006, p. 178.
- ↑ Mitchell 1953, p. 106.
- ↑ Sales 1977, p. 176.
- ↑ Sauerbraten Blend of Whole Spices
- ↑ Wood 1983, p.95.
- ↑ Richards 1966, p. 182.
- ↑ Youngkrantz 1997, p. 105.
การอ้างอิงทั่วไป
[แก้]- Babcock, Erika M. L. (2002). Rika's Stories from the Other Side. IUniverse.
- Barer-Stein, Thelma (1999). You Eat What You Are. A FireFly Book.
- Casada, Jim & Casada, Ann (1996). The Complete Venison Cookbook: From Field to Table. Krause Publications.
- Garrett, Theodore Francis (ed.) (1898). The Encyclopedia of Practical Cookery. L. Upcott Gill, 170, Strand, W.C. London. Vol. III.
- Hassani, Nadia (2004). Spoonfuls of Germany: Culinary Delights of the German Regions in 170 Recipes. Hippocrene Books.
- Herter, George Leonard & Herter, Berthe (1995). Bull Cook and Authentic Historical Recipes and Practices (9th ed.). Ecco.
- Jackson, Michael (1998). Ultimate Beer. DK ADULT.
- Kummer, Madison (2007). 1,001 Foods to Die For. Andrews McMeel Publishing.
- Mitchell, Jan (1953). Luchow's German Cookbook: The Story and the Favorite Dishes of America's Most Famous German Restaurant. Garden City, New York: Doubleday & Company, Inc.
- O'Neill, Molly (1992). New York Cookbook: From Pelham Bay to Park Avenue, Firehouses to Four-Star Restaurants. Workman Publishing Company.
- Richards, Lenore & Treat, Nola (1966). Quantity Cookery: Menu Planning and Cooking for Large Numbers (4th ed.). Little, Brown, & Co.
- Saekel, Karola (December 28, 2005). "Sauerbraten recipe surfaces just in time". San Francisco Chronicle, F-5.
- Sales, Georgia (1977). The Clay Pot Cookbook. Wiley & Sons.
- Schmidt, Gretchen (2003). German Pride: 101 Reasons to Be Proud You're German. Citadel Press.
- Sheraton, Mimi (1965). The German Cookbook: A Complete Guide to Mastering Authentic German Cooking. Random House.
- The American Heritage Dictionary of the English Language (4th ed.). (2006) Houghton Mifflin Company.
- The Culinary Institute of America (2011). The Professional Chef (9th ed.). Hoboken, New Jersey: John Wiley & Sons. p. 587. ISBN 978-0-470-42135-2. OCLC 707248142.
- Wood, Morrison (1983). Through Europe with a Jug of Wine. Farrar, Straus and Giroux, p. 95.
- Youngkrantz, Gini (1997). Authentic German Home Style Recipes (4th ed.). B. G. Youngkrantz Company.