ข้ามไปเนื้อหา

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน)
ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง
ดำรงตำแหน่ง
พ.ศ. 2337 – พ.ศ. 2352
กษัตริย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ถัดไปพระยาอภัยภูเบศร (แบน)
เจ้าฟ้าทะละหะ ผู้สำเร็จราชการกัมพูชา
ดำรงตำแหน่ง
พ.ศ. 2325 – พ.ศ. 2337
กษัตริย์สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณ
ก่อนหน้าเจ้าฟ้าทะละหะ (มู)
ถัดไปเจ้าฟ้าทะละหะ (ปก)
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
แบน
เสียชีวิตพฤศจิกายน พ.ศ. 2352
พระตะบอง
บุตร16 คน

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) หรือ พระยายมราช (แบน) หรือเจ้าฟ้าทะละหะ (แบน)[1] เป็นผู้สำเร็จราชการกรุงกัมพูชา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และต่อมาเป็นเจ้าเมืองพระตะบองภายใต้การปกครองของไทยคนแรก เป็นต้นสกุล"อภัยวงศ์"

ลี้ภัยทางการเมืองในสยาม

[แก้]

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) นั้นเดิมเป็นขุนนางกัมพูชา ดำรงตำแหน่งเป็นพระยายมราช หรือ ออกญายมราช (เขมร: ឧកញ៉ាយោមរាជ) หนึ่งในเสนาบดีจตุสดมภ์ของกัมพูชา เอกสารกัมพูชา เรื่อง บาต่ฎํบงสมัยโลกมฺจาส่ หรือ "พระตะบองสมัยท่านเจ้าคุณ" เขียนโดยชาวกัมพูชาชื่อว่า ตูจ ฌวง (Tauch Chhoung) เป็นการรวบรวมเรื่องราวมุขปาฐะจากชาวบ้านกัมพูชาเมืองพระตะบอง[2] ตีพิมพ์เมื่อพ.ศ. 2517 สมัยสาธารณรัฐเขมร ระบุว่า ออกญายมราชแบนนั้น พื้นเพเกิดที่เมืองตรัง (Treang) จังหวัดตาแก้วในปัจจุบัน[3]

พระยายมราช (แบน) ได้สวามิภักดิ์ต่อเจ้าชายนักองค์โนนมาโดยตลอด อาจได้ติดตามนักองค์โนนหลบหนีภัยการเมืองมายังกรุงศรีอยุธยา ในพ.ศ. 2300 และได้ติดตามนักองค์โนน ฝ่าวงล้อมพม่าออกไปจากกรุงศรีอยุธยา ตามเสด็จสมเด็จพระเจ้าตากสินออกไปในพ.ศ. 2310 ต่อมาในพ.ศ. 2314 สมเด็จพระเจ้าตากสินโปรดฯให้พระยายมราช (ทองด้วง) ยกทัพกรุงธนบุรีเจ้าตีกรุงกัมพูชา เพื่ออภิเษกให้นักองค์รามหรือนักองค์โนนขึ้นเป็นกษัตริย์กัมพูชา (สงครามสยาม-เวียดนาม พ.ศ. 2314) โดยที่นักองค์โนนได้ติดตามไปกับทัพของพระยายมราช (ทองด้วง) พระยายมราชฝ่ายไทย ไปในครั้งนั้นด้วย เมื่อพระยายมราช (ทองด้วง) ยึดได้เมืองอุดงราชธานีกัมพูชา สมเด็จพระนารายน์ราชานักองค์ตนกษัตริย์กัมพูชาที่ฝักใฝ่ญวน จึงเสด็จหลบหนีไปขอความช่วยเหลือจากญวนลูกหน่าย (ด่งนาย Đồng Nai) หรือญวนฝ่ายใต้ หรือญวนตระกูลเหงียน ให้ยกทัพญวนใต้ตระกูลเหงียน เข้ามาช่วยนักองค์ตนต่อสู้กับทัพฝ่ายสยามธนบุรี เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสิน มีพระราชโองการให้ถอยทัพกลับคืนสู่กรุงธนบุรี นักองค์โนนตั้งมั่นอยู่ที่เมืองกำปอด[1] ทางกัมพูชาทิศตะวันตกเฉียงใต้

เมืองญวนเวียดนามฝ่ายใต้ เกิดกบฏเต็ยเซินขึ้น ทำให้เจ้าญวนใต้ตระกูลเหงียน ไม่สามารถให้การสนับสนุนแก่พระนารายน์ราชานักองค์ตน กษัตริย์กัมพูชาที่ฝักใฝ่ญวนได้อีกต่อไป ในพ.ศ. 2318 พระนารายน์ราชานักองค์ตนจึงให้สมเด็จพระสังฆราชกัมพูชาไปเชิญนักองค์โนนมาจากเมืองกำปอด[1] มาที่ราชธานีกัมพูชาเมืองอุดง เจรจาประนีประนอมกัน ให้นักองค์โนนขึ้นครองราชสมบัติกัมพูชา เป็นสมเด็จพระรามราชาธิราช ส่วนนักองค์ตนนั้น ลดยศลงมาเป็นพระมหาอุปโยราช ต่อมาพระมหาอุปโยราชนักองค์ตนสิ้นพระชนม์ในพ.ศ. 2321

ความขัดแย้งในกัมพูชา พ.ศ. 2322

[แก้]

ในพ.ศ. 2322 เจ้าฟ้าทะละหะ (มู) และพระยาเดโช (แทน) เจ้าเมืองกำปงสวาย ขุนนางกัมพูชาสองพี่น้อง ได้เป็นกบฏขึ้นต่อสมเด็จพระรามราชานักองค์โนนกษัตริย์กัมพูชา เป็นเหตุให้นักองค์โนนต้องเสด็จยกทัพออกไปปราบกบฏของเจ้าฟ้าทะละหะ (มู) ที่เมืองกำปงธม พระยาวิบูลราช (ซู หรือ โส) ขุนนางกัมพูชาอีกคนหนึ่ง ได้อาศัยโอกาสที่นักองค์โนนเสด็จไปปราบกบฏที่กำปงธม ร้องขอให้เหงียนฟุกอั๊ญ (Nguyễn Phúc Ánh) หรือ องเชียงสือ เจ้าญวนใต้ที่เมืองไซ่ง่อน ส่งทัพญวนมาช่วยชิงราชสมบัติจากนักองค์โนน ทำการยึดอำนาจในเมืองอุดง ปลงพระชนม์พระโอรสทั้งสี่พระองค์ของนักองค์โนน แล้วยกให้นักองค์เอง พระชนม์เพียงเจ็ดชันษา เป็นโอรสของพระนารายน์ราชานักองค์ตน ขึ้นเป็นกษัตริย์กัมพูชาพระองค์ใหม่ นักองค์โนนพ่ายแพ้ให้แก่กบฏถูกสำเร็จโทษถ่วงน้ำที่บึงขยอง[1]สิ้นพระชนม์ ในเดือนสิบ (กันยายน) พ.ศ. 2322[1]

ถึงแม้ว่า การกบฏของเจ้าฟ้าทะละหะ (มู) และพระยาวิบูลราช (ซู) จะทำการแยกต่อกัน ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือ การโค่นล้มนักองค์โนน ซึ่งกระทำได้สำเร็จ แล้วเจ้าฟ้าทะละหะ (มู) และพระยาวิบูลราช (ซู) จึงร่วมมือกันเป็นพันธมิตร อภิเษกนักองค์เองขึ้นเป็นกษัตริย์กัมพูชาพระองค์ใหม่ ส่วนพระยายมราช (แบน) นั้น ถึงแม้ว่าจะอยู่ฝ่ายนักองค์โนน แต่พระยายมราช (แบน) เป็น "สหายร่วมน้ำสาบาน"[1] กับพระยาวิบูลราช (ซู) ซึ่งได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยากลาโหม (ซู) เจ้าฟ้าทะละหะ (มู) จึงไว้ชีวิตพระยายมราชแบน แต่ให้พระยายมราชแบน ไปกักตัวอยู่กับพระยาเดโช (แทน) ที่เมืองกำปงสวาย

ฝ่ายกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสิน เมื่อทรงทราบว่า พระรามราชานักองค์โนน ได้ถูกขุนนางกบฏปลงพระชนม์ไปเสียแล้วนั้น ก็ทรงพระพิโรธ ดำรัสว่า พระยายมราช (แบน) เป็นข้าของนักองค์โนน ไม่รักษาพระองค์เป็นเหตุให้นักองค์โนนถูกปลงพระชนม์[1] สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงทรงส่งพระองค์แก้ว (ด้วง) ขุนนางกัมพูชาที่เป็นตัวประกันอยู่ที่กรุงธนบุรีขณะนั้น ให้พระองค์แก้ว (ด้วง) เดินทางไปยังเมืองกำปงสวาย มอบท้องตราให้แก่พระยาเดโช (แทน) เจ้าเมืองกำปงสวาย ให้ส่งตัวพระยายมราชแบนให้มารับโทษที่กรุงธนบุรี พระยาเดโช (แทน) เจ้าเมืองกำปงสวาย จึงยินยอมส่งตัวพระยายมราชแบน ให้ไปกับพระองค์แก้วด้วง ไปที่กรุงธนบุรี

บาต่ฎํบงสมัยโลกมฺจาส่ เอกสารฝ่ายกัมพูชา ระบุว่า พระยายมราช (แบน) ต้องพระราชอาญาที่กรุงธนบุรี ถูกเฆี่ยนร้อยไม้ ถูกเฉือนใบหู[3] และถูกจำคุกอยู่ที่กรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้แก้ไขให้พระยายมราช (แบน) ได้รับการปล่อยตัวออกมา พระยายมราช (แบน) จึงได้ติดตามเป็นข้าหลวงเดิม[4] สวามิภักดิ์ต่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก นับแต่นั้นมา

สงครามสยามตีกัมพูชา พ.ศ. 2324

[แก้]

ในเดือนอ้าย (ธันวาคม) พ.ศ. 2324 สมเด็จพระเจ้าตากสิน มีพระราชโองการให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ยกทัพสยามกรุงธนบุรีออกไปตีเมืองกัมพูชาในสามทาง ได้แก่ ทางเมืองเสียมราฐ ทางเมืองพระตะบอง และทางเมืองกำปงสวาย[5] เพื่อลงโทษเจ้าฟ้าทะละหะ (มู) และบรรดาขุนนางพระยาพระเขมรทั้งหลาย ที่สมคมคิดกันเป็นกบฏปลงพระชนม์พระรามราชานักองค์โนน กษัตริย์กัมพูชา ซึ่งเป็นข้าหลวงเดิมได้ติดตามสมเด็จพระเจ้าตากสินออกมาครั้งตั้งแต่ฝ่าวงล้อมพม่าออกมาจากกรุงศรีอยุธยา และเพื่ออภิเษกยกให้พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ หรือ เจ้าฟ้าจุ้ย (พงศาวดารเขมร เรียกว่า เจ้าฟ้าน้อย)[1] เป็นพระเจ้ากรุงกัมพูชา

สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพนำเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ ไปทางเมืองนครราชสีมา ลงไปทางเมืองเสียมราฐ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกบัญชาการอยู่ที่เมืองเสียมราฐ ฝ่ายกัมพูชานั้น เจ้าฟ้าทะละหะ (มู) ตั้งบัญชาการอยู่ที่กำปงหลวง เหนือเมืองอดุงขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนพระยากลาโหม (ซู) นั้น ตั้งตนขึ้นมาเป็นสมเด็จเจ้าพระยา แล้วยกทัพเรือฝ่ายกัมพูชา ออกมารับศึกทัพธนบุรีที่ทะเลสาบเขมร[1] นอกจากนี้ เจ้าฟ้าทะละหะ (มู) ยังขอความช่วยเหลือจากองเชียงสือเหงียนฟุกอั๊ญ เจ้าญวนใต้ที่ไซ่ง่อน ฝ่ายองเชียงสือส่งกองทัพญวน นำโดยแม่ทัพชื่อว่าเหงียนหิวถวิ (Nguyễn Hữu Thụy)[6] ยกมาช่วยเจ้าฟ้าทะละหะ (มู) ต้านทัพธนบุรี

แม่ทัพญวนเหงียนหิวถวิ พงศาวดารเขมรเรียกว่า"องค์ผอ"[1] ตั้งบัญชาการอยู่ที่จะโรยจังวา ใกล้กับเมืองพนมเปญ องค์ผอมีคำสั่งให้พระยายมราช (ปาง) พระยายมราชฝ่ายเจ้าฟ้าทะละหะมู นำกองกำลังเขมรญวน มารับทัพธนบุรีที่เกาะจีน ฝั่งตรงข้ามเมืองละแวก พระยายมราช (แบน) เป็นทัพหน้าของเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ และพระยากำแหงสงคราม (ขุนชนะ) เจ้าเมืองนครราชสีมา พระยายมราชแบน นำทัพเขมรไทย ไปสู้กับทัพเขมรญวน ของพระยายมราช (ปาง) ที่เปียมชำนึก (Peam Chumnik) ที่เมืองละแวก

ในระหว่างที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกำลังบัญชาการรบอยู่ที่กัมพูชานั้น ทางฝ่ายกรุงธนบุรีได้เกิดจลาจล ในเดือนห้า (มีนาคม) พ.ศ. 2324 พระยาสรรค์เข้ายึดอำนาจ เป็นเหตุให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) จำต้องยุติศึกสงครามในกัมพูชา เจรจากับแม่ทัพญวนเหงียนหิวถวิ[6] (แม่ทัพขององเชียงสือ) แล้วสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงยกทัพกลับมาเพื่อควบคุมสถานการณ์ที่กรุงธนบุรี เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกควบคุมสถานการณ์ที่กรุงธนบุรีได้แล้ว ในเดือนหก (เมษายน) พ.ศ. 2325 เจ้าพระยาสุรสีห์จึงมีคำสั่ง[5]ให้พระยายมราช (แบน) ซึ่งเป็นทัพหน้าของเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ อยู่ที่เมืองละแวกนั้น ให้พระยายมราชแบนนำกำลังชาวเขมร จำนวน 3,000 คน[5] เข้าล้อมเพื่อควบคุมเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ และพระยากำแหงสงครามเจ้าเมืองนครราชสีมาไว้ เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์มีใบบอกเข้ามาที่ธนบุรี ว่าพระยายมราช (แบน) กบฏล้อมพระเจ้าลูกเธอไว้ สุดท้ายเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์และพระยากำแหงสงครามจึงฝ่าวงล้อมออกมา เจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพออกไปกุมเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ได้ที่แขวงเมืองสระบุรี ให้สำเร็จโทษประหารเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ที่กรุงเทพฯ[5]

การแย่งชิงอำนาจในกัมพูชา

[แก้]

โจมตีกัมพูชาครั้งแรก พ.ศ. 2325

[แก้]

สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ในขณะเดียวกันนั้นในกัมพูชา เกิดความบาดหมางระหว่างเจ้าฟ้าทะละหะ (มู) และสมเด็จเจ้าพระยา (ซู) สมเด็จเจ้าพระยาซู ซึ่งเป็น"สหายร่วมน้ำสาบาน" กับพระยายมราช (แบน) นั้น วางแผนที่จะกำจัดเจ้าฟ้าทะละหะ (มู) โดยสมเด็จเจ้าพระยา (ซู) มีจดหมายลับมาถึงพระยายมราชแบน ที่กรุงเทพฯ เชื้อเชิญให้พระยายมราชแบนไปช่วยสมเด็จเจ้าพระยาซู ยึดอำนาจเจ้าฟ้าทะละหะมูที่กัมพูชา พระยายมราช (แบน) นำความเรื่องจดหมายลับนี้ขึ้นทูลฯ จึงมีพระบรมราชานุญาต ให้พระยายมราช (แบน) ยกทัพเข้าสู่กัมพูชา ในพ.ศ. 2325 สมเด็จเจ้าพระยา (ซู) รอคอยรับพระยายมราชแบนอยู่ที่เมืองพระตะบอง แล้วสมเด็จเจ้าพระยา (ซู) นำพาพระยายมราช (แบน) ไปที่เมืองอุดง

สมเด็จเจ้าพระยา (ซู) และพระยายมราชแบน ทำการยึดอำนาจในกรุงอุดง ราชธานีของกัมพูชา เจ้าฟ้าทะละหะ (มู) หลบหนีไปยังเมืองป่าสัก (จังหวัดซ้อกจัง Sóc Trăng ในปัจจุบัน) แต่พระยาอธิกวงศาเจ้าเมืองป่าสัก จับกุมตัวเจ้าฟ้าทะละหะมูไว้ได้ แล้วส่งตัวคืนให้ทางเมืองอุดง เจ้าฟ้าทะละหะ (มู) ถูกประหารชีวิตในเดือนสิบเอ็ด[1] (ตุลาคม) พ.ศ. 2325 สมเด็จเจ้าพระยา (ซู) และพระยายมราช (แบน) ครองอำนาจในกัมพูชาอยู่สองคนที่กัมพูชา แต่ทว่าเพียงอีกสองเดือนต่อมา ในเดือนสิบสอง[1] (ธันวาคม) พระยายมราชแบนได้สังหารสมเด็จเจ้าพระยา (ซู) ไปเสีย พระยายมราช (แบน) จึงยึดอำนาจปกครองกัมพูชาแต่ผู้เดียว สถาปนาตนเองเป็นเจ้าฟ้าทะละหะ หรืออัครเสนาบดีกรุงกัมพูชา นอกจากนี้ พระยายมราชแบนยังได้รับการสนับสนุนจากพระยากลาโหม (ปก) พระยากลาโหมฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยงบริบาลนักองค์เองกษัตริย์กัมพูชามาตั้งแต่ยังพระเยาว์

แต่แล้วเหตุการณ์กลับพลิกผัน เมื่อหัวหน้าชาวจาม ชื่อว่า ตวนเสดอับดุลรามดล[7] ได้นำกำลังชาวจามจากเมืองตะโบงคมุม ยกเข้ามาโจมตียึดเมืองอุดง เป็นเหตุให้พระยายมราช (แบน) หรือ เจ้าฟ้าทะละหะ (แบน) ต้องพ่ายแพ้ถอยออกจากกรุงอุดงอย่างกระทันหัน ฝ่ายพระยากลาโหม (ปก) เกรงว่านักองค์เองกษัตริย์กัมพูชาจะทรงประสบอันตราย พระยากลาโหม (ปก) จึงนำนักองค์เอง พร้อมทั้งเสด็จพี่น้องหญิงได้แก่นักองค์อี นักองค์แป้น และนักองค์เภา เสด็จออกจากกรุงอุดงพร้อมกับเจ้าฟ้าทะละหะแบน มาถึงที่เมืองพระตะบอง แล้วทั้งหมดจึงเดินทางเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารที่กรุงเทพมหานคร

ที่กรุงเทพ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯโปรดฯให้นักองค์เองกษัตริย์กัมพูชา พระชันษาสิบปี พร้อมทั้งพระยากลาโหม (ปก) พระพี่เลี้ยง ประทับอยู่ที่คอกกระบือริมด้านนอกกำแพงพระนครทางทิศเหนือ (ปัจจุบันคือย่านบางลำพู แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร) อยู่ท่ามกลางขุนนางฝ่ายกัมพูชาผู้ลี้ภัย และชุมชนราษฏรชาวกัมพูชาที่นั้น

โจมตีกัมพูชาครั้งที่สอง พ.ศ. 2326

[แก้]

ในพ.ศ. 2326 เหงียนฟุกอั๊ญ หรือ องเชียงสือ เจ้าญวนใต้ที่เมืองไซ่ง่อน พ่ายแพ้แตกหนีจากเต็ยเซิน เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารที่กรุงเทพมหานคร ในปีเดียวกันนั้น พ.ศ. 2326 ด้วยที่ว่านักองค์เองกษัตริย์กัมพูชามีพระชนม์สิบเอ็ดชันษายังพระเยาว์ประทับอยู่ที่กรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงแต่งตั้งให้พระยายมราชแบน อดีตพระยายมราชฝ่ายกัมพูชา ผู้ซึ่งเดิมเป็นข้าของพระรามราชานักองค์โนน ขณะนั้นเป็นที่เจ้าฟ้าทะละหะ ให้ขึ้นเป็นที่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์[8] (พงศาวดารเขมรว่า พระยาอภัยธิเบศร์วิเศษสงครามรามนรินทรบดี)[1] ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนนักองค์เอง ออกไปรั้งเมืองกัมพูชา อยู่ที่เมืองพระตะบอง

ในขณะนั้น เมื่อหัวหน้าชาวจาม คือ ตวนเสด ได้ยึดเมืองอุดงราชธานีกัมพูชา ขับไล่เจ้าฟ้าทะละหะแบนออกไปแล้วนั้น ตวนเสดได้นำชาวจามทั้งหลายไปตั้งตนเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองละว้าเอม[1] พระยาเดโช (แทน) เจ้าเมืองกำปงสวาย เป็นน้องชายของเจ้าฟ้าทะละหะ (มู) ที่ถูกสังหารไปแล้วนั้น ได้ตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าฟ้าทะละหะอีกคนหนึ่ง และได้ขอความช่วยเหลือจากญวนเต็ยเซิน ที่เมืองไซ่ง่อน ให้ช่วยยกทัพมาปราบชาวจามที่เมืองละว้าเอม ญวนเต็ยเซินเมืองไซ่ง่อนส่งเจืองวันดา (Trương Văn Đa) นำกำลังญวนเต็ยเซินเข้ามา ประสานกันกับกองทัพกัมพูชาจากเมืองกำปงสวาย สามารถตีชาวจามที่เมืองละว้าเอมให้แตกพ่ายไปได้ ตวนเสดหัวหน้าชาวจามถูกสังหาร เจ้าฟ้าทะละหะ (แทน) จึงสถาปนาอำนาจขึ้นในกัมพูชา เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระเจ้ากัมพูชา ด้วยการสนับสนุนหนุนหลังจากฝ่ายญวนเต็ยเซิน แต่เจ้าฟ้าทะละหะ (แทน) นั้น มีอำนาจอยู่ที่เพียงในกัมพูชาฟากตะวันออกเท่านั้น

ในพ.ศ. 2326 เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ผู้สำเร็จราชการกัมพูชา ที่ทางกรุงเทพฯได้แต่งตั้งขึ้นมานั้น ยกทัพจากกรุงเทพฯมาตั้งบัญชาการอยู่ที่เมืองพระตะบอง ให้ขุนนางจตุสดมภ์ในฝ่ายของตนเอง ได้แก่ พระยาจักรี (แกบ) ไปตั้งทัพอยู่ที่เมืองโพธิสัตว์ และพระยายมราช (กัน) ไปตั้งอยู่ที่เมืองเสียมราฐ[1] ในขณะนั้นเมืองกัมพูชาจึงแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ได้แก่ กัมพูชาฝ่ายตะวันออก มีเจ้าฟ้าทะละหะ (แทน) เป็นผู้นำ ด้วยการหนุนหลังของญวนเต็ยเซิน และกัมพูชาฝ่ายตะวันตก นำโดยเจ้าฟ้าทะละหะ (แบน) หรือเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ได้รับการสนับสนุนจากกรุงเทพมหานคร มีอำนาจอยู่ทางฝั่งตะวันตกของกัมพูชา ประกอบด้วย เมืองพระตะบอง เมืองเสียมราฐ และเมืองโพธิสัตว์

สงครามสยาม-เวียดนาม พ.ศ. 2327

[แก้]

ในเดือนห้า (เมษายน) พ.ศ. 2327[8] พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ มีพระราชโองการให้พระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ ยกทัพนำเหงียนฟุกอั๊ญหรือองเชียงสือ ออกไปโจมตีเมืองไซ่ง่อนของฝ่ายเต็ยเซิน เพื่อกอบกูบ้านเมืองคืนให้แก่องเชียงสือ มีพระราชโองการให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) เกณฑ์ทัพชาวกัมพูชาจากเมืองพระตะบอง จำนวน 5,000 คน[8] ออกไปช่วยทัพของกรมหลวงเทพหริรักษ์ และช่วยทัพขององเชียงสือด้วย นัดหมายไปพบกันที่เมืองป่าสัก (จังหวัดซ้อกจัง) ปากแม่น้ำป่าสัก เพื่อร่วมกันยกเข้าโจมตีเมืองไซ่ง่อน แต่ทว่าเหงียนเหวะ (Nguyễn Huệ) หนึ่งในสามพี่น้องเต็ยเซิน นำกองเรือเต็ยเซิน สามารถเอาชนะทัพเรือของกรุงเทพฯได้ ในยุทธการที่สักเกิ่ม-สว่ายมุ๊ต (Battle of Rạch Gầm-Xoài Mút) ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2327 (นับอย่างปัจจุบัน พ.ศ. 2328) ทัพฝ่ายสยามแตกพ่าย แตกขึ้นบกไปทางกัมพูชาเป็นจำนวนมาก

ฝ่ายเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ยกออกจากเมืองพระตะบอง แต่ทัพฝ่ายสยามได้แตกหนีขึ้นมาเสียก่อน ทัพญวนฝ่ายเต็ยเซินติดตามขึ้นมา ตีทัพของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) แตกพ่ายที่เมืองละแวกถอยกลับมา[1]

สงครามกับเต็ยเซิน

[แก้]

หลังจากที่ฝ่ายญวนเต็ยเซิน มีชัยชนะต่อทัพกรุงเทพฯและขององเชียงสือแล้วนั้น ญวนเต็ยเซินจึงทำการขยายอำนาจมายังกัมพูชา ฝ่ายเมืองกัมพูชานั้น กษัตริย์กัมพูชาคือนักองค์เอง พระชนม์ยังเยาว์ ประทับอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นพระราชโอรสบุญธรรมของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ โดยที่กัมพูชาแบ่งออกเป็นสองฝ่าย นำโดยเจ้าฟ้าทะละหะสองคนแข่งขันสู้กัน ได้แก่ เจ้าฟ้าทะละหะ (แทน) ผู้สำเร็จราชการกัมพูชา ได้รับการสนับสนุนจากเต็ยเซิน ดำรงอำนาจอยู่ที่เมืองอุดง ราชธานีกัมพูชา ในขณะที่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) หรือเจ้าฟ้าทะละหะ (แบน) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกรุงเทพฯนั้น ตั้งมั่นอยู่ที่เมืองพระตะบอง ทั้งสองฝ่ายต่างมีสำรับขุนนางจตุสดมภ์ออกญาข้าราชการเป็นของตนเอง

หลังจากสงครามสักเกิ่ม-สว่ายมุ๊ต ฝ่ายญวนเต็ยเซินที่ไซ่ง่อน ได้ส่งผู้แทนสองคน ได้แก่ องพอมา และองทุ้งแบน[1] มากำกับราชการที่เมืองอุดงกรุงกัมพูชา ในพ.ศ. 2327 องพอมา และองทุ้งแบน ข้าหลวงญวนเต็ยเซิน ได้ส่งพระยายมราช (กุย) ซึ่งเป็นพระยายมราชฝ่ายของเจ้าฟ้าทะละหะแทน ยกทัพขึ้นมาโจมตีเมืองพระตะบอง ฝ่ายเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ออกป้องกันเมืองพระตะบองไว้ได้ พระยายมราช (กุย) ถูกยิงสิ้นชีวิตในที่รบ[1]

ต่อมาเกิดความขัดแย้งระหว่างสองพี่น้องเต็ยเซิน ได้แก่ เหงียนหญัค (Nguyễn Nhạc) อยู่ที่เมืองกวิเญิน และเหงียนเหวะ อยู่ที่เมืองเว้ สู้รบกัน ทำให้อำนาจของเต็ยเซินในเวียดนามภาคใต้เสื่อมถอยลง ในพ.ศ. 2331 เหงียนฟุกอั๊ญหรือองเชียงสือ ยกทัพเรือออกจากกรุงเทพ เริ่มเข้าโจมตีเวียดนามภาคใต้ เพื่อกอบกู้บ้านเมือง ในเวลาเดียวกันนี้ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ได้เริ่มส่งทัพออกโจมตีกระหนาบเต็ยเซิน ขนานกันไปกับองเชียงสือ เพื่อช่วยเหลือองเชียงสือ ในพ.ศ. 2331 เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ส่งให้พระยาจักรี (แกบ) และพระยายมราช (กัน) ยกทัพจากเมืองพระตะบอง ออกไปโจมตีเมืองอุดง สามารถเข้ายึดเมืองอุดงราชธานีกัมพูชาได้สำเร็จ เจ้าฟ้าทะละหะ (แทน) หลบหนีไปยังเมืองไซ่ง่อน อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของ"องดกเซม"[1] (ฝั่มวันทาม Phạm Văn Tham เจ้าเมืองไซ่ง่อนฝ่ายเต็ยเซิน)

ทัพขององเชียงสือ ยกจากเมืองป่าสักไปทางเมืองไซ่ง่อน "องดกเซม"ฝั่มวันทาม ยกทัพเต็ยเซินเมืองไซ่ง่อนออกมาสู้กับองเชียงสือที่แพรกทะเลิง[8] ส่วนทัพของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ นำโดยพระยาจักรี (แกบ) และพระยายมราช (กัน) ยกติดตามเจ้าฟ้าทะละหะแทน ไปถึงดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ได้เข้าช่วยเหลือองเชียงสือสู้รบกับ"องดกเซม" ที่แพรกทะเลิง[1] (Prek Thleang) จนกระทั่งองดกเซมพ่ายแพ้ถอยกลับไปที่ไซ่ง่อน ในปีเดียวกันนั้น เดือนกันยายน พ.ศ. 2331 องเชียงสือยึดเมืองไซ่ง่อนได้สำเร็จ "อกดกเซม"ฝั่มวันทาม หรือ "อ้ายเชียงซำ"[8] เจ้าเมืองไซ่ง่อนฝ่ายเต็ยเซิน หลบหนีไปอยู่ที่เมืองป่าสัก ทัพของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ นำโดยพระยาจักรี (แกบ) เข้าช่วยเหลืออองเชียงสือ ในการโจมตีเมืองป่าสัก เมื่อองดกเซม หรือ อ้ายเชียงซำ ยอมจำนนต่อองเชียงสือที่เมืองป่าสัก ในพ.ศ. 2332 แล้วนั้น องเชียงสือให้พระยาจักรี (แกบ) รักษาเมืองป่าสักไว้[8] แล้วองเชียงสือจึงตั้งตนขึ้นเป็น"เจ้าอนัมก๊ก"[8] ตั้งมั่นอยู่ที่เมืองไซ่ง่อนในเวียดนามภาคใต้

ในเดือนสี่ (กุมภาพันธ์) พ.ศ. 2333 พระยาจักรี (แกบ) แม่ทัพของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ สามารถจับกุมตัวเจ้าฟ้าทะละหะ (แทน) ได้สำเร็จ ส่งตัวเจ้าฟ้าทะละหะแทน พร้อมทั้งขุนนางพระยาพระเขมรที่ฝักใฝ่เต็ยเซิน มาให้แก่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ที่เมืองพระตะบอง เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์มีคำสั่งให้ประหารชีวิตขุนนางกัมพูชาที่อยู่ข้างฝ่ายเต็ยเซิน แต่ไว้ชีวิตเจ้าฟ้าทะละหะ (แทน) ส่งตัวเจ้าฟ้าทะละหะแทน เข้าไปถวายที่กรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯทรงให้ไว้ชีวิตเจ้าฟ้าทะละหะแทน[1]

ผู้สำเร็จราชการในกัมพูชา

[แก้]

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) หรือ เจ้าฟ้าทะละหะ (แบน) บัญชาการอยู่ที่เมืองพระตะบอง สู้รบกับเจ้าฟ้าทะละหะ (แทน) และยังได้ช่วยเหลือเหงียนฟุกอั๊ญ หรือ องเชียงสือ ในการต่อสู้กับเต็ยเซิน เนื่องจากเต็ยเซินนั้นให้การสนับสนุนแต่เจ้าฟ้าทะละหะ (แทน) ในพ.ศ. 2330 เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ส่งทัพลงไปยึดเมืองอุดงได้ และยังติดตามเจ้าฟ้าทะละหะ (แทน) ลงไปถึงดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ช่วยเหลือองเชียงสือในการต่อสู้กับเต็ยเซิน จนสามารถจับกุมเจ้าฟ้าทะละหะ (แทน) ได้สำเร็จ ในพ.ศ. 2333 ทำให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) สามารถรวบรวมอำนาจในกัมพูชาไว้ได้ทั้งหมด

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ มีพระราชดำริ ว่านักองค์เองกษัตริย์กัมพูชา มีพระชนม์เพียงสิบแปดชันษายังพระเยาว์อยู่ ด้วยสถานการณ์ในเมืองกัมพูชายังไม่สงบเรียบร้อย หากให้นักองค์เองไปปกครองกัมพูชาเลยทันที หากนักองค์เองได้รับภยันตราย วงศ์ของพระเจ้ากัมพูชาอาจสิ้นสุดลง จึงมีพระราชโองการให้นักองค์เองยุวกษัตริย์กัมพูชาประทับอยู่ที่คอกกระบือก่อน แล้วให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) เป็นผู้สำเร็จราชการแทนนักองค์เองในกัมพูชา จนกว่าเมื่อนักองค์เองเจริญพระชันษาแล้ว จึงจะพระราชทานให้นักองค์เองกลับไปปกครองกัมพูชา เจ้าฟ้าทะละหะ (แบน) ได้รับพระราชทานแต่งตั้ง ให้เป็นผู้สำเร็จราชการในกัมพูชา เป็นที่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ตั้งแต่เมื่อพ.ศ. 2326 แต่ยังต้องต่อสู้อยู่ในกัมพูชา พำนักอยู่ที่เมืองพระตะบองเป็นเวลาเจ็ดปี จนถึงปีพ.ศ. 2333 เมื่อปราบศัตรูได้หมดสิ้นแล้ว เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) จึงย้ายจากเมืองพระตะบอง ไปอยู่ที่เมืองอุดงราชธานีกัมพูชา ในพ.ศ. 2333 เป็นผู้สำเร็จราชการในกัมพูชา

ความขัดแย้งกับองเชียงสือ

[แก้]

ถึงแม้ว่าเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์แบน จะได้ส่งทัพเข้าช่วยเหลือองเชียงสือ ในการโจมตีฐานที่มั่นต่างๆของเต็ยเซินในเวียดนามภาคใต้ ในช่วงพ.ศ. 2330 - พ.ศ. 2333 จนองเชียงสือสามารถเข้ายึดเมืองไซ่ง่อนได้ในที่สุด แต่สุดท้ายเกิดความขัดแย้งบาดหมางขึ้น ระหว่างเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) และองเชียงสือเจ้าอนัมก๊ก เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์มีใบบอกเข้าไปกราบทูลฯที่กรุงเทพ ว่าองเชียงสือเตรียมกองเรือปืนใหญ่เพื่อเข้าโจมตีกรุงเทพ และกราบทูลฯว่า ขุนนางขององเชียงสือข่มเหงต่อขุนนางของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์[8] องเชียงสือเจ้าอนัมก๊กจึงมีใบบอกเข้าไปกราบทูลฯแก้ในพ.ศ. 2333 ว่าขุนนางของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์นั้นได้ฉุดคร่าสตรีชาวญวน เป็นเหตุให้ขุนนางขององเชียงสือต้องเข้าจับกุม และเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์นั้น ได้เตรียมกองเรือเข้ามาหมายจะโจมตีองเชียงสือที่ไซ่ง่อน

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ จึงทรงมีหนังสือตอบองเชียงสือ ว่ามิได้ทรงเชื่อที่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ได้กล่าวหาองเชียงสือ "ฝ่ายเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ก็กล่าวโทษเจ้าอนัมก๊กเข้าไปแจ้งอยู่ในหนังสือบอกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ทั้งสามฉบับนั้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหาทรงเชื่อไม่"[8]

ฝ่ายกรุงกัมพูชาธิบดีเล่า ก็ตั้งพระทัยทำนุบำรุงจะให้นักองเองออกไปครอบครองไพร่ฟ้าประชากรตามเดิม พระนครทั้งสองจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน อาณาประชาราษฎรลูกค้าวาณิชจะได้อยู่เย็นเป็นสุข แต่ถ้าว่าเจ้าอนัมก๊กยังตั้งมั่นลงมิได้ จึงให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ออกมาว่าราชการกรุงกัมพูชาธิบดี เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ก็มิได้เป็นเชื้อวงศ์เจ้า เจ้าอนัมก๊กก็แจ้งอยู่แล้ว ถ้าแล้วเสร็จการทำพระนครแล้ว ก็จะให้นักองเองไปครองกรุงกัมพูชาสืบไป

[8]

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีพระวินิจฉัย ในประเด็นเรื่องที่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ขัดแย้งกับองเชียงสือเจ้าอนัมก๊กนี้ว่า "ด้วยญวนย่อมถือว่าเคยเปนใหญ่กว่าเขมรมาแต่ก่อน การที่สมาคม ญวนคงจะถือเปรียบแลหมิ่นเขมรว่าเลวกว่าตนอย่างเคยนิยมมา ฝ่ายข้างเขมรเห็นญวนเสื่อมอำนาจลดลงคงเปนแต่เมืองประเทศราช ไม่วิเศษอันใดกว่ากรุงกัมพูชาในเวลานั้น ก็ไม่ผันผ่อนอ่อนโยนให้แก่ญวนอย่างแต่ก่อน"[4]

ขุดคลองวัดสระเกษ

[แก้]

พงศาวดารกัมพูชาระบุว่า ในพ.ศ. 2334 ทางฝ่ายกรุงเทพฯให้เจ้าฟ้าทะละหะ (แบน) เกณฑ์ชาวกัมพูชาจำนวน 10,000 คน[1] เข้ากรุงเทพ เพื่อขุดคลองที่วัดสระเกษ จากนั้นในปีต่อมา พ.ศ. 2335 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ มีพระราชโองการให้สร้างวังขึ้นใหม่ให้แก่นักองค์เอง ที่ด้านนอกของคูเมืองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณปากคลองหลอดวัดราชนัดดา ตรงข้ามทางทิศใต้ของวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เรียกว่า วังเจ้าเขมร นักองค์เองยุวกษัตริย์กัมพูชาจึงย้ายที่ประทับจากบริเวณคอกกระบือแห่งเดิม ไปยังวังเจ้าเขมรที่แห่งใหม่ ตรงกับแขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่ายในปัจจุบัน

ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง

[แก้]

นักองค์เองถวายเมืองพระตะบอง

[แก้]

เจ้าฟ้าทะละหะ (แบน) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ เป็นผู้สำเร็จราชการกัมพูชา ด้วยการสนับสนุนของกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2326 แต่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) จำต้องตั้งมั่นอยู่ที่เมืองพระตะบอง สู้ศึกกับศัตรูคือเจ้าฟ้าทะละหะ (แทน) เป็นเวลาเจ็ดปี จนถึงปีพ.ศ. 2333 จึงสามารถเอาชนะเจ้าฟ้าทะละหะ (แทน) เข้าครอบครองกัมพูชาได้ทั้งหมด จากนั้นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) จึงสำเร็จราชการกัมพูชา อยู่ที่เมืองอุดงราชธานีกัมพูชา เป็นเวลาสี่ปี จนถึงปีพ.ศ. 2337 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ มีพระบรมราชานุญาตให้นักองค์เองยุวกษัตริย์กัมพูชา ซึ่งได้มาประทับอยู่ที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่พระชันษาสิบปี เมื่อปีพ.ศ. 2325 จนถึงปีพ.ศ. 2337 พระชันษายี่สิบสองปี[8] ประทับอยู่ที่กรุงเทพเป็นเวลาสิบสองปี ให้ออกไปครองเมืองกัมพูชา อภิเษกให้เป็น"สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณฯ"[1][8] พร้อมกันนี้ ทรงแต่งตั้งให้พระยากลาโหม (ปก) ซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยงอภิบาลนักองค์เองมาตั้งแต่พระเยาว์ รับใช้นักองค์เองที่กรุงเทพฯมาโดยตลอด ให้ขึ้นเป็นที่เจ้าฟ้าทะละหะ อัครเสนาบดีกรุงกัมพูชา

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ มีพระราชดำริว่า เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการกัมพูชามาเป็นเวลาสิบสองปี[8] มีความชอบ ทำการสงครามต่อสู้ศัตรู มาโดยตลอดแต่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) เดิมเป็นข้าของพระรามราชานักองค์โนน เป็นพวกตรงข้ามกันกับฝ่ายของนักองค์เอง ครั้นจะให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ไปเป็นขุนนางของนักองค์เองที่เมืองอุดง เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์อาจเกิดความขัดแย้งกับนักองค์เองกษัตริย์กัมพูชา หรือกับเจ้าฟ้าทะละหะ (ปก) จึงทรงให้แยกเมืองพระตะบองและเมืองเสียมราฐ รวมทั้งเมืองขึ้น ซึ่งเป็นเมืองที่ใกล้เขตแดนสยาม ให้แยกออกมาจากนักองค์เอง ออกมาให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ปกครอง โดยขึ้นกับกรุงเทพฯโดยตรง ไม่ขึ้นกับกัมพูชา เป็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ที่อาจเกิดขึ้น ระหว่างเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ และนักองค์เอง[9]

ทรงพระราชดำริว่าเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) นั้น ก็ได้ว่าการกรุงกัมพูชาเรียบร้อยราบคาบมาได้สิบสองปี มีความชอบ แต่ว่าเป็นพวกนักองโนนสมเด็จพระรามราชา ซึ่งเคยวิวาทกับบิดานักองเองมาแต่ก่อน เกรงจะไม่สนิทกับสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี และสมเด็จฟ้าทะละหะจึงได้ทรงขอเขตแว่นแคว้นเมืองพระตะบองและเมืองขึ้น และเมืองนครเสียมราฐ ซึ่งเป็นเมืองใกล้เขตแดนไทยตัดออกเป็นส่วนหนึ่ง ให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ว่ากล่าวบังคับบัญชาให้มาขึ้นต่อกรุงเทพมหานครทีเดียว เพื่อจะไม่ให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์มีความโทมนัส สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี กับสมเด็จฟ้าทะละหะก็มีความยินดียอมถวาย เมืองพระตะบองและเมืองนครเสียมราฐจึงได้ขาดจากเมืองเขมร มาขึ้นกรุงเทพมหานครแต่นั้นมา

[8]

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบองที่แต่งตั้งจากกรุงเทพฯและขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ไม่ขึ้นต่อกษัตริย์กัมพูชา เป็นคนแรก ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบองลำดับถัดมามีราชทินนาม"อภัยภูเบศร์"ต่อเนื่องกันไป ส่วนเจ้าเมืองเสียมราฐนั้นมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยานุภาพไตรภพ เป็นเหตุให้เขตเมืองพระตะบองและเมืองเสียมราฐ (รวมทั้งเมืองศรีโสภณที่ตั้งขึ้นมาในภายหลัง ในสมัยรัชกาลที่ 3) อยู่ภายใต้การปกครองสยาม เป็นเวลาทั้งสิ้น 112 ปี จนกระทั่งสนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส พ.ศ. 2449 ได้ยกเขตเมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้แก่กัมพูชาซึ่งในขณะนั้นเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศส

การแบ่งกัมพูชาระหว่างนักองค์เอง และเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ในพ.ศ. 2337 นั้น เป็นช่วงเวลาที่อิทธิพลของสยามในกัมพูชานั้นอยู่ในช่วงจุดสูงสุด ในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย นักองค์เองกษัตริย์กัมพูชายินยอมให้พระตะบองและเสียมราฐมาขึ้นกับกรุงเทพฯโดยตรง แต่ในทางปฏิบัตินักองค์เองทรงเป็นยุวกษัตริย์กัมพูชาที่ปราศจากพระราชอำนาจมาโดยตลอดรัชสมัยและตลอดพระชนม์ชีพ นักองค์เองไม่อยู่ในฐานะที่จะสามารถต้านทานอำนาจอิทธิพลของสยามกรุงเทพมหานครในขณะนั้นได้เลย ประวัติศาสตร์นิพนธ์กัมพูชา ระบุว่า นักองค์เองนั้นมีความคาดหวังว่า เมื่อเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว เมืองพระตะบองและเสียมราฐจะกลับคืนไปเป็นของนักองค์เองเป็นของกัมพูชาดังเดิม[3]

ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการพระตะบอง

[แก้]

สมเด็จพระนารายณ์ราชาฯนักองค์เองกษัตริย์กัมพูชากราบบังคมทูลลา ยกออกไปพร้อมกับบรรดานักพระสนม พระโอรส รวมทั้งเจ้าฟ้าทะละหะ (ปก) ออกไปครองเมืองกัมพูชา ในเดือนยี่[8] (มกราคม) พ.ศ. 2337 (นับอย่างปัจจุบัน พ.ศ. 2338) ที่เมืองอุดงราชธานีของกัมพูชา เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) จัดพระราชพิธี ถวายตราตั้งแผ่นดินกัมพูชาแด่สมเด็จพระนารายณ์ราชาฯนักองค์เอง แล้วเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) นำบรรดาขุนนางออกญามุขมนตรีเขมรทั้งปวง ถวายบังคมสมเด็จพระนารายณ์ราชาฯโดยพร้อมกัน[1] จากนั้นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) จึงเดินทางออกจากเมืองอุดง มาดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง ในปีเดียวกันนั้น พ.ศ. 2338

เมื่อเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง ในพ.ศ. 2338 ได้นำบุตรชายของตนเอง ชื่อ รศ และธิดาชื่ออยู่ เข้ามาถวายตัวไว้รับราชการที่กรุงเทพ[10]

สมเด็จพระนารายณ์ราชาฯนักองค์เองกษัตริย์กัมพูชา ปกครองเมืองกัมพูชาได้เพียงสามปี จึงประชวรถึงแก่พิราลัย เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2340[1] ด้วยพระชนมายุยี่สิบสี่ชันษา เมื่อสิ้นสมเด็จพระนารายณ์ราชาฯนักองค์เองกษัตริย์กัมพูชาแล้วนั้น ทางฝ่ายกรุงเทพฯยังไม่ได้อภิเษกให้เจ้านายกัมพูชาพระองค์ใด ขึ้นเป็นพระเจ้ากัมพูชาต่อมา เนื่องจากพระโอรสทั้งสี่พระองค์ของนักองค์เองนั้น ล้วนแต่ยังพระเยาว์ทั้งสิ้น โอรสองค์โตคือ นักองค์จัน มีพระชนม์เพียงหกชันษาเท่านั้น เจ้าฟ้าทะละหะ (ปก) จึงต้องทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการ ในช่วงนี้เมืองกัมพูชานั้นยังว่างเว้นไม่มีกษัตริย์ปกครอง

เหงียนฟุกอั๊ญ หรือ องเชียงสือ ได้สู้รบกับเต็ยเซินจนได้รับชัยชนะ ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นพระจักรพรรดิยาล็อง (Gia Long) ที่เมืองเว้ สถาปนาราชวงศ์เหงียนขึ้น ในพ.ศ. 2345 เจ้าฟ้าทะละหะ (ปก) ผู้สำเร็จราชการกัมพูชา แต่งคณะทูตกัมพูชาไปแสดงความยินดีต่อพระเจ้ายาล็องที่เมืองเว้ ต่อมาเมื่อพระเจ้าเวียดนามยาล็องได้สถาปนาอำนาจอย่างมั่นคงในเวียดนามแล้ว เวียดนามจึงเริ่มเป็นคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์ของสยามในภูมิภาค จักรพรรดิยาล็องส่งทูตญวนมาที่กรุงอุดงในพ.ศ. 2348 เสนอให้กัมพูชาเข้าไปอยู่ในความคุ้มครองของเวียดนาม ถึงแม้ว่าเจ้าฟ้าทะละหะ (ปก) จะจัดพิธีต้อนรับทูตญวนอย่างสมเกิยรติ แต่คณะทูตญวนครั้งนี้ทำให้เจ้าฟ้าทะละหะ (ปก) ซึ่งภักดีต่อทางกรุงเทพนั้น มีความกระอักกระอ่วน[9]

เจ้าฟ้าทะละหะ (ปก) สำเร็จราชการกัมพูชา อยู่เป็นเวลาเก้าปี ตั้งแต่พ.ศ. 2340 จนถึงพ.ศ. 2349 ในช่วงเวลาที่กัมพูชายังมีไม่กษัตริย์ การที่พระเจ้าเวียดนามองเชียงสือ ส่งทูตญวนมาที่กัมพูชา ในพ.ศ. 2348 ทำให้เจ้าฟ้าทะละหะ (ปก) เดือดร้อน[9] ต้องนำเจ้าชายกัมพูชาพระโอรสของนักองค์เองสองพระองค์ ได้แก่ นักองค์จัน พระชนม์สิบหกชันษา และนักองค์สงวน พระชนม์สิบสามชันษา มาเข้าเฝ้าฯที่กรุงเทพ ในเดือนอ้าย[1] (ธันวาคม) พ.ศ. 2348 กราบทูลขอพระราชทานให้ทรงอภิเษกกษัตริย์กัมพูชาพระองค์ใหม่[8] ซึ่งในขณะที่อยู่ที่กรุงเทพนั้น เจ้าฟ้าทะละหะ (ปก) อัครเสนาบดีผู้สำเร็จราชการกัมพูชา ได้ล้มป่วยถึงแก่อสัญกรรมที่กรุงเทพ เมื่อเดือนแปดปฐมาษาฒ (กรกฎาคม) พ.ศ. 2349 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ จึงทรงอภิเษกนักองค์จัน โอรสองค์โตของนักองค์เอง พระชันษาสิบหกปี ขึ้นเป็น"สมเด็จพระอุทัยราชาธิราชรามาธิบดีศรีสุริโยพรรณฯ" ในเดือนแปดทุติยาษาฒ (สิงหาคม)

สมเด็จพระอุทัยราชานักองค์จัน พระเจ้ากัมพูชาพระองค์ใหม่ เสด็จถึงเมืองอุดงในเดือนเก้า (สิงหาคม) พ.ศ. 2349 ต่อมาในเดือนสิบ[1] (กันยายน) เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) เดินทางไปยังกรุงอุดง เข้าเฝ้าสมเด็จพระอุทัยราชานักองค์จัน ถวายบุตรชายชื่อมา และธิดาชื่อเทพ ถวายให้รับราชการอยู่ที่เมืองอุดงกัมพูชา เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์แบน นำบุตรชายชื่อรศ บุตรสาวชื่ออยู่ ไปทำราชการที่กรุงเทพ และนำบุตรชายชื่อมา และบุตรหญิงชื่อเทพ ไปทำราชการที่เมืองอุดงกัมพูชา ต่อมาบุตรสาวชื่อเทพ ได้เป็นนักนางเทพ พระสนมของพระอุทัยราชานักองค์จันกษัตริย์กัมพูชา เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์พำนักอยู่ที่เมืองอุดงเป็นเวลาหกเดือน จากนั้นจึงเดินทางกลับเมืองพระตะบองในเดือนสาม[1] (มีนาคม พ.ศ. 2349 นับอย่างปัจจุบัน พ.ศ. 2350)

ในเดือนอ้าย (ธันวาคม) พ.ศ. 2351 สมเด็จพระอุทัยราชานักองค์จัน กษัตริย์กัมพูชา เสด็จไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯที่กรุงเทพ ระหว่างถึงเมืองพระตะบอง นักนางเทพพระสนมมีครรภ์ นักองค์จันจึงฝากนักนางเทพไว้ที่เมืองพระตะบอง ฝากไว้กับบิดาคือเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ และฝากไว้กับมารดาคือนักถิ (พงศาวดารกัมพูชาระบุว่า ภรรยาของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ชื่อว่า นักถิ "ไปถึงเมืองปัตบอง นักนางเทพนั้นมีครรภ์ จึ่งให้อยู่กับเจ้าพระยาอภัยธิเบศร แลนักถีผู้เปนบิดามารดา")[1] จากนั้นพระอุทัยราชานักองค์จันกษัตริย์กัมพูชา จึงเสด็จต่อไปเข้าเฝ้าฯที่กรุงเทพ ระหว่างที่นักนางเทพอาศัยอยู่ที่เมืองพระตะบองกับบิดามารดานั้น ได้ให้กำเนิดพระธิดาองค์โตของสมเด็จพระอุทัยราชา ในเดือนหก (เมษายน) พ.ศ. 2352[1] คือ เจ้าหญิงนักองค์แบน

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เสด็จสวรรคต เมื่อเดือนเก้า (กันยายน) พ.ศ. 2352[8] อีกสองเดือนต่อมา ในเดือนสิบสอง (พฤศจิกายน) พ.ศ. 2352[1] เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง ล้มป่วยถึงแก่อสัญกรรม

บุตรธิดา

[แก้]

มีบุตรธิดา รวม 16 คน

เหตุการณ์สืบเนื่อง

[แก้]

ความขัดแย้งในกัมพูชา พ.ศ. 2354

[แก้]

เมื่อเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อเดือนสิบสอง (พฤศจิกายน) พ.ศ. 2352 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงแต่งตั้งให้พระยาพิบูลราช (แบน) ขึ้นเป็นพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบองคนต่อมา และพร้อมกันนี้ ได้ทรงแต่งตั้งให้นายรศ บุตรของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) เป็นพระวิเศษสุนทร ผู้ช่วยราชการเมืองพระตะบอง[10] ประวัติศาสตร์นิพนธ์ฝ่ายกัมพูชาระบุว่า สมเด็จพระอุทัยราชานักองค์จัน กษัตริย์กัมพูชา มีพระประสงค์ว่า เมื่อเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว เขตเมืองพระตะบอง เมืองเสียมราฐ และเมืองขึ้นต่างๆ จะกลับคืนไปเป็นของนักองค์จัน ไปเป็นของกัมพูชาดังเดิม[11] ประกอบกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่นักองค์จันได้ประสบ ได้แก่ เหตุการณ์เข้าเฝ้าฯเมื่อพ.ศ. 2351 เหตุที่ขอพระราชทานเจ้าหญิงนักองค์อีและนักองค์เภากลับคืนกัมพูชา และการกบฏของพระยาเดโช (เม็ง) เจ้าเมืองกำปงสวาย ซึ่งนักองค์จันมองว่าทางกรุงเทพฯไม่ช่วยเหลือ[4] ทั้งหมดนี้เป็นเหตุให้สมเด็จพระอุทัยราชานักองค์จันกษัตริย์กัมพูชา เอาพระทัยออกห่างจากกรุงเทพ ไปฝักใฝ่ญวนเวียดนามราชวงศ์เหงียนในที่สุด

สมเด็จพระอุทัยราชานักองค์จัน กษัตริย์กัมพูชา ไม่เสด็จมาร่วมพระราชพิธีฯที่กรุงเทพ ส่งให้พระอนุชาสองพระองค์คือ นักองค์สงวน และนักองค์อิ่ม เป็นผู้แทน เสด็จมาร่วมพระราชพิธีที่กรุงเทพ ในพ.ศ. 2353 พร้อมทั้งขุนนางกัมพูชาที่ฝักใฝ่สยาม ได้แก่ พระองค์แก้ว (ด้วง) พระยาจักรี (แกบ) พระยากลาโหม (เมือง เดิมเป็นหลวงพจนาพิจิตร ขุนนางไทยจากกรุงเทพ)[1] เมื่อเสร็จสิ้นพระราชพิธีแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงแต่งตั้งให้นักองค์สงวนเป็นสมเด็จพระมหาอุปโยราช และนักองค์อิ่มเป็นพระมหาอุปราช แห่งกัมพูชา ประกอบกับในเวลาเดียวกัน ฝ่ายพม่ายกทัพโจมตีเมืองถลางในพ.ศ. 2353 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงมีพระราชโองการให้พระมหาอุปโยราชนักองค์สงวน และพระมหาอุปราชนักองค์อิ่ม นำท้องตราไปมอบให้แก่สมเด็จพระอุทัยราชานักองค์จัน ให้เกณฑ์ไพร่พลชาวกัมพูชา[4]ออกไปช่วยกรุงเทพฯรบพม่า ซึ่งนักองค์จันกษัตริย์กัมพูชานิ่งเสีย ไม่เกณฑ์ไพร่พลไปช่วยตามท้องตราพระราชโองการ ขุนนางกัมพูชาที่ฝักใฝ่สยาม ได้แก่ พระยาจักรี (แบน) และพระยากลาโหม (เมือง) จึงดำเนินการเกณฑ์ไพร่พลไปช่วยกรุงเทพ เท่ากับเป็นการกบฏต่อพระเจ้ากัมพูชา [พระยาจักรี (แกบ หรือ แบน) เดิมเคยนำทัพของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) เข้าต่อสู้กับญวนเต็ยเซิน จนสามารถจับกุมเจ้าฟ้าทะละหะ (แทน)] ได้ในพ.ศ. 2333 พระอุทัยราชานักองค์จัน จึงลงพระอาญาให้ประหารชีวิตพระยาจักรี (แบน) และพระยากลาโหม (เมือง) ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2353 ด้วยข้อหากบฏ

การประหารชีวิตพระยาจักรีและพระยากลาโหมที่กัมพูชา ทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างกรุงเทพและกัมพูชา พระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง เตรียมการเกณฑ์ไพร่พลเสริมการป้องกันเมืองพระตะบอง จนกระทั่งในที่สุด พระมหาอุปโยราชนักองค์สงวน ได้กบฏขึ้นต่อนักองค์จันที่เมืองโพธิสัตว์ ในพ.ศ. 2354 ฝ่ายกรุงเทพส่งให้เจ้าพระยายมราช (น้อย) ยกทัพไปกัมพูชาระงับเหตุ นักองค์จันกษัตริย์กัมพูชาเสด็จหลบหนีไปยังเมืองไซ่ง่อน อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของพระเจ้าเวียดนามยาล็อง เจ้าพระยายมราช (น้อย) ให้เผาทำลายเมืองอุดง[8] ซึ่งเป็นราชธานีของกัมพูชามาเป็นเวลาสองร้อยปี นับตั้งแต่สมัยของพระศรีสุริโยพรรณ แล้วฝ่ายกรุงเทพจึงถอยทัพกลับ ฝ่ายพระเจ้ายาล็องส่งทัพญวนนำนักองค์จันกลับมาสนับสนุนครองกัมพูชาในพ.ศ. 2356 ทัพญวนสร้างราชธานีใหม่ให้แก่นักองค์จันที่พนมเปญ เรียกว่า เมืองบันทายแก้ว กัมพูชาจึงเปลี่ยนแปลงจากยุคสมัยที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของสยาม ไปสู่อิทธิพลของญวนเวียดนาม

พระวิเศษสุนทร (รศ) บุตรของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระยาอภัยภูเบศร์ ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง เมื่อพ.ศ. 2357 ปีต่อมา พ.ศ. 2358 เหงียนวันถว่าย (Nguyễn Văn Thoại) ผู้สำเร็จราชการของญวนในกัมพูชา ยุยงให้สมเด็จพระอุทัยราชานักองค์จัน แต่งทัพเข้ามาโจมตีเมืองพระตะบอง เพื่อยึดเมืองพระตะบองกลับคืนไปแก่กัมพูชา พระยาอภัยภูเบศร์ (รศ) สามารถป้องกันเมืองพระตะบองไว้ได้ ตีทัพจากพนมเปญแตกพ่ายไป[1][4]

อานามสยามยุทธ

[แก้]

นักองค์สงวนถึงแก่พิราลัยที่กรุงเทพฯ ในพ.ศ. 2365 เหลือเพียงนักองค์อิ่มและนักองค์ด้วง เป็นเจ้าชายกัมพูชาประทับอยู่ที่วังเจ้าเขมร ในปีพ.ศ. 2370 ในรัชกาลที่ 3 พระยาอุดมภักดี (เชด) ได้กล่าวโทษพระยาอภัยภูเบศร์ (รศ) มาที่กรุงเทพฯ[10] เป็นเหตุให้พระยาอภัยภูเบศร์ (รศ) ถูกถอดออกจากตำแหน่ง แล้วย้ายมาเป็นที่พระพิพิธภักดีรับราชการที่กรุงเทพฯ ส่วนพระยาอุดมภักดี (เชด) ได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยาอภัยภูเบศร์ (เชด) ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบองคนต่อมา ในรัชสมัยของสมเด็จพระอุทัยราชานักองค์จันกษัตริย์กัมพูชา ซึ่งเป็นสมัยที่กัมพูชาอยู่ภายใต้อิทธิพลของเวียดนามนั้น ยังมีนักนางเทพ พระสนมของนักองค์จัน ซึ่งเป็นธิดาของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์แบน และมีนายมา บุตรชายของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์แบน ซึ่งรับราชการอยู่กับนักองค์จัน จนได้เลื่อนขึ้นเป็นที่พระองค์แก้ว เป็นกลุ่มการเมืองภายในราชสำนักกัมพูชาที่ฝักใฝ่สยาม[11] ถึงแม้ว่านักองค์จันจะฝักใฝ่ญวน แต่ยังส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายฯที่กรุงเทพ ในพ.ศ. 2372 สมเด็จพระอุทัยราชานักองค์จันทรงให้พระองค์แก้ว (มา) นำเครื่องราชบรรณาการมาถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯที่กรุงเทพฯ นักนางเทพได้ฝากสอดจดหมายลับ มาให้แก่พระยาศรีสหเทพ (เพ็ง ศรีเพ็ญ)[12] นำความขึ้นกราบทูลฯขอพระราชทานให้กรุงเทพยกทัพออกไปให้นักองค์จันสวามิภักดิ์ต่อกรุงเทพดังเดิม แต่เนื่องจากในขณะนั้น กรุงเทพเพิ่งเสร็จสิ้นสงครามเจ้าอนุวงศ์ ยังไม่จัดทัพลงไปตีเมืองกัมพูชาในทันที

ในพ.ศ. 2373 ฝ่ายญวนเวียดนามมีความสงสัยต่อพระองค์แก้ว (มา) ว่าฝักใฝ่สยามแอบส่งจดหมายลับถึงกรุงเทพ พระเจ้าเวียดนามมินมาง (Minh Mạng) จึงมีราชโองการให้จับกุมพระองค์แก้ว (มา) ไปไต่สวนที่เมืองเว้[11] เป็นเหตุให้พระองค์แก้ว (มา) จำต้องหลบหนีออกจากกรุงพนมเปญมาที่เมืองพระตะบอง ซึ่งพระองค์แก้ว (มา) ย้ายมารับราชการอยู่ที่เมืองพระตะบอง ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองสวายจิก[10]

ในช่วงสงครามอานัมสยามยุทธ เมืองพระตะบองเป็นฐานที่มั่นที่สำคัญของฝ่ายสยามในการยกทัพเข้าสู่กัมพูชา ในขณะที่ทางเมืองไซ่ง่อนเกิดกบฏของเลวันโคยนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯมีพระราชโองการให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) นำทัพกรุงเทพฯจำนวน 40,000 คน[12] ยกเข้ายึดครองกัมพูชา ในเดือนสิบสอง (พฤศจิกายน) พ.ศ. 2376[12] โดยที่ขุนนางกัมพูชาที่ฝักใฝ่สยาม ได้แก่ พระยาอภัยภูเบศร์ (เชด) เจ้าเมืองพระตะบอง พระองค์แก้ว (มา) รวมทั้งเจ้าชายกัมพูชานักองค์อิ่ม และนักองค์ด้วง ได้เข้าร่วมการทัพในครั้งนี้ด้วย นักองค์จันกษัตริย์กัมพูชาเสด็จหนีไปที่ล่องโห้ (Long Hồ) แต่ทว่าทัพเรือญวนจากเมืองไซ่ง่อน นำโดยเจืองมิญสาง (Trương Minh Giảng)[6] สามารถเอาชนะทัพสยามได้ในการรบที่คลองวามนาว ในเดือนยี่ (มกราคม) พ.ศ. 2376 (นับอย่างปัจจุบัน พ.ศ. 2377) เป็นเหตุให้ฝ่ายสยามต้องล่าถอย ชัยชนะของเวียดนามต่อสยามในกัมพูชานี้ เปิดโอกาสให้เวียดนามเสริมสร้างอำนาจในกัมพูชาได้มากขึ้น เมื่อสมเด็จพระอุทัยราชานักองค์จันถึงแก่พิราลัย ในพ.ศ. 2378 พระเจ้ามินมางทรงผนวกเอาดินแดนเมืองกัมพูชาเป็นมณฑลเจิ๊นเตย (Trấn Tây) นักองค์จันไม่มีโอรสมีแต่พระธิดาสี่พระองค์ เจ้าหญิงนักองค์แบน หรือนักองค์แป้น ธิดาของนักองค์จัน ที่ประสูติแต่นักนางเทพ ซึ่งเป็นบุตรีของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์แบน (นักองค์แบนเป็นหลานของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์แบน) เป็นธิดาองค์โต แต่มีสายสัมพันธ์แน้นแฟ้นกับฝ่ายสยาม[11] พระเจ้ามินมาง และ"องเตียนกุน"เจืองมิญสาง ผู้สำเร็จราชการกัมพูชาของฝ่ายญวน จึงข้ามนักองค์แบนไปเลือกนักองค์มี ให้ขึ้นเป็นกษัตริย์สตรีแห่งกัมพูชาแทน

พระยาอภัยภูเบศร์ (เชด) ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง ถึงแก่กรรมในพ.ศ. 2376 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯทรงแต่งตั้งให้นักองค์อิ่มเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง[10][10] และทรงแต่งตั้งพระยาปลัดเมืองพระตะบอง ชื่อว่า รศ เป็นที่พระยาวิเศษสุนทร[10] ซึ่งอาจเป็นคนเดียวกับพระยาอภัยภูเบศร์ (รศ) บุตรของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์แบน ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองพระตะบอง แล้วถูกถอดออกจากตำแหน่ง ในพ.ศ. 2380 เจ้าพระยาบดินทรเดชามีคำสั่งให้ย้ายเมืองพระตะบองจากบาเส็ทตำแหน่งเดิม มาอยู่ที่ริมแม่น้ำสังแก ตำแหน่งของเมืองพระตะบองในปัจจุบัน แล้วให้ก่ออิฐสร้างกำแพงเมืองพระตะบองใหม่[12] ฝ่ายญวนยกนักองค์มีขึ้นเป็นพระนางเจ้าแห่งกัมพูชาแต่ไม่มีเจ้าที่เป็นผู้ชาย "องเตียนกุน"เจืองมิญสางจึงมีจดหมายลับถึงเจ้าชายนักองค์อิ่มที่เมืองพระตะบอง เชื้อเชิญให้นักองค์อิ่มแปรพักตร์ไปอยู่กับญวน แล้วญวนจะตั้งขึ้นให้เป็นเจ้ากัมพูชา นักองค์อิ่มจึงแปรพักตร์ไปอยู่ฝ่ายญวน ทำการยึดอำนาจที่เมืองพระตะบองในพ.ศ. 2382 จับกุมพระยาปลัดรศ และกรมการเมืองพระตะบอง ลงไปหาองเตียนกุนที่เมืองพนมเปญ[12] ปรากฏว่าองเตียนกุนให้จับกุมตัวนักองค์อิ่มและพระยาปลัดรศไปไว้ที่เมืองเว้

ในพ.ศ. 2383 องเตียนกุนเจืองมิญสางค้นพบว่าเจ้าหญิงนักองค์แบน ได้แอบมีจดหมายลับติดต่อกับมารดาคือนักนางเทพและลุงคือพระองค์แก้ว (มา) ที่เมืองพระตะบอง เหตุการณ์นี้ทำให้พระเจ้าเวียดนามมินมางไม่ไว้วางพระทัยกัมพูชาอีกต่อไป พระเจ้ามินมางให้ถอดนักองค์มีออกจากที่กษัตรี แล้วให้เนรเทศเจ้าหญิงกัมพูชาไปไว้ที่เมืองไซ่ง่อน รวมทั้งจับกุมขุนนางพระยาพระเขมรชั้นผู้ใหญ่ไปที่เมืองเว้ องเตียนกุนเจืองมิญสางทำการสอบสวนเจ้าหญิงนักองค์แบน ส่งตัวนักองค์แบนจะไปเมืองญวนแต่เจ้าเมืองล่องโห้กลับสำเร็จโทษประหารชีวิตนักองค์แบน (หลานของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์แบน) ด้วยการถ่วงน้ำในแม่น้ำโขง ในปีเดียวกันนั้นขุนนางกัมพูชาและชาวกัมพูชาทั้งหลาย ต่างไม่พอใจการปกครองของเวียดนาม ลุกฮือขึ้นต่อต้านเวียดนามทุกตำบล

ในขณะที่กัมพูชาต่อต้านเวียดนามอยู่นั้น ในเดือนสิบสอง (พฤศจิกายน) พ.ศ. 2383 เจ้าพระยาบดินทรเดชานำทัพผสมลาวไทยเขมรป่าดง[12] จำนวนประมาณ 20,000 คน ยกเข้าโจมตียึดครองกัมพูชา พระเจ้าเวียดนามมินมางสิ้นพระชนม์ในพ.ศ. 2384 เป็นเหตุให้ฝ่ายญวนเวียดนามต้องล่าถอยออกจากกัมพูชาทั้งหมด และองเตียนกุนเจืองมิญสางตรอมใจดื่มยาพิษสิ้นชีวิต[12] เจ้าพระยาบดินทรเดชาตั้งนักองค์ด้วงเป็นเจ้าอยู่ที่เมืองพนมเปญให้อยู่เกลี้ยกล่อมชาวกัมพูชา และเจ้าพระยาบดินทรเดชาส่งทัพไทยนำโดยเจ้าพระยายมราช (บุนนาค) รวมทั้งนักองค์ด้วงเอง ยกทัพไทยเขมรเข้ารุกรานโจมตีเวียดนามภาคใต้ นำไปสู่การรบที่เมืองโจดก ในเดือนห้า (เมษายน) พ.ศ. 2385 ปรากฏว่าฝ่ายญวนสามารถป้องกันเมืองโจดกตีทัพสยามไทยเขมรแตกพ่าย สิ้นชีวิตไปทั้งสิ้น 1,200 คน พระองค์แก้ว (มา) บุตรของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์แบน ได้สิ้นชีวิตในสมรภูมินี้[11][12] รวมทั้งพระยาเขมรที่ฝักใฝ่ไทยอีกเก้าคน ล้วนแต่เสียชีวิตทั้งสิ้น

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 1.13 1.14 1.15 1.16 1.17 1.18 1.19 1.20 1.21 1.22 1.23 1.24 1.25 1.26 1.27 1.28 1.29 1.30 1.31 1.32 หนังสือราชพงษาวดารเขมร.
  2. พัชรพรรณ กะตากูล; นิพัทธ์ แย้มเดช. ประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองเมืองพระตะบอง ในเอกสารภาษาเขมร เรื่อง บาต่ฎํบงสมัยโลกมฺจาส่ (พระตะบองสมัยท่านเจ้าคุณ). มหาวิทยาลัยศิลปากร, พ.ศ. ๒๕๖๗. https://so05.tci-thaijo.org/index.php/sujthai/article/view/262263/181370
  3. 3.0 3.1 3.2 ศานติ ภักดีคำ. เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) เหตุที่ทำให้สยามปกครองพระตะบองกว่า 1 ศตวรรษ. ศิลปวัฒนธรรม, พ.ศ. ๒๕๖๕. https://www.silpa-mag.com/history/article_10843
  4. 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา. พระราชพงษาวดาร กรุงรัตนโกสินทร รัชกาลที่ ๒. ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ปีมโรงอัฐศก พ.ศ. ๒๔๕๙; พิมพ์ที่โรงพิมพ์ไทย ณสพานยศเส
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 พระราชพงศาวดารฉบับพระพนรัตน์วัดพระเชตุพน ตรวจสอบชำระจากเอกสารตัวเขียน มูลนิธิ "ทุนพระพุทธยอดฟ้า" ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดพิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศลในการพระราชทานเพลิงศพ พระธรรมปัญญาบดี (ถาวร ติสฺสานุกโร ป.ธ.๔) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม อดีตพระธานกรรมการมูลนิธิ"ทุนพระพุทธยอดฟ้า"ในพระบรมราชูปถัมภ์ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิริรนทราวาส วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558, ห้องสมุดรัฐสภา. Link
  6. 6.0 6.1 6.2 Quốc Triều Chánh Biên Toát Yếu 國朝正編撮要. Quốc Sử Quán Triều Nguyễn, พ.ศ. ๒๔๕๑.
  7. ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณแปลใหม่.
  8. 8.00 8.01 8.02 8.03 8.04 8.05 8.06 8.07 8.08 8.09 8.10 8.11 8.12 8.13 8.14 8.15 8.16 8.17 ทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑. พิมพ์ครั้งที่ ๖.
  9. 9.0 9.1 9.2 David P. Chandler. Cambodia's Relation with Siam in the Early Bangkok Period: The Politics of a Tributary State. Journal of the Siam Society, พ.ศ. ๒๕๑๔.
  10. 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 10.5 10.6 ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ ๑๖: พงษาวดารเมืองพระตะบอง ของเจ้าพระยาคทาธรธรณินทร์ พระอภัยพิทักษ์ (เลื่อม อภัยวงศ์) พิมพ์ครั้งแรกในงานปลงศพ นางสงวน อภัยพิทักษ์ ปีมะแม พ.ศ. ๒๔๖๒ พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร.
  11. 11.0 11.1 11.2 11.3 11.4 Bun Srun Theam. CAMBODIA IN THE MID-NINETEENTH CENTURY:A QUEST FOR SURVIVAL, 1840-1863.
  12. 12.0 12.1 12.2 12.3 12.4 12.5 12.6 12.7 เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค). พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๓.