ศึกแห่งโอลด์แทรฟฟอร์ด

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ศึกแห่งโอลด์แทรฟฟอร์ด
รายการพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2003–04
วันที่21 กันยายน ค.ศ. 2003
สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด, แมนเชสเตอร์
ผู้ตัดสินสตีฟ เบนเนตต์ (เคนต์)
ผู้ชม67,639
สภาพอากาศอากาศแจ่มใส[1]

"ศึกแห่งโอลด์แทรฟฟอร์ด" (อังกฤษ: Battle of Old Trafford) เป็นชื่อเรียกจากสื่ออังกฤษ ที่หมายถึงนัดการแข่งขันพรีเมียร์ลีกเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน ค.ศ. 2003 ระหว่างสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกับอาร์เซนอล[2][3][4] ชื่อเรียกการแข่งขันนี้ ต่อมาได้นำมาใช้ในเหตุการณ์ลักษณะเดียวกัน ในฤดูกาลถัดมา ผลประตูคือเสมอ 0–0 ทำให้เป็นผลดีต่ออาร์เซนอล ด้วยการจบในลีกในฤดูกาลนั้นโดยไม่แพ้ใคร ก่อนหน้านี้มีเพียงทีมเดียวที่ไม่เคยแพ้ใครในฟุตบอลอังกฤษ คือ เพรสตันนอร์ทเอนด์ ในฤดูกาล 1888–89[5]

เหตุการณ์สำคัญของการแข่งขันนี้คือ กัปตันทีมอาร์เซนอล ปาทริค วิเอร่า ได้รับใบเหลืองที่สอง ถูกไล่ออกจากสนาม อีกทั้งรุด ฟาน นิสเตลรอย ศูนย์หน้าตัวเป้าของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก็ได้รับใบเหลืองไปอีกด้วย การตัดสินของผู้ตัดสิน สตีฟ เบนเนตต์ ให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดยิงลูกโทษ ในนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน ผู้เล่นทั้ง 2 ทีมถูกตั้งข้อกล่าวหาจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ หลังก่อเหตุหลังการแข่งขันจบ ผู้เล่นอาร์เซนอล 5 คน และผู้เล่นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2 คน ต้องจ่ายเงินค่าปรับในครั้งนี้[6]

อ้างอิง[แก้]

  1. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ stephenson
  2. Edgar, Bill (27 March 2004). "Arsenal put Battle of Old Trafford behind them". Times Online. The Times. สืบค้นเมื่อ 4 June 2009.
  3. Custis, Neil (31 December 2005). "Ruud's not a cheat". The Sun. News Group Newspapers. สืบค้นเมื่อ 20 January 2010.
  4. Wallace, Sam (4 January 2006). "Arsenal 0 Manchester United 0: Premiership's old guard draw blank in fight to a standstill". independent.co.uk. Independent News and Media. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-11-22. สืบค้นเมื่อ 20 January 2010.
  5. "Arsenal make history". BBC Sport. British Broadcasting Corporation. 15 May 2004. สืบค้นเมื่อ 20 January 2010.
  6. "Arsenal players banned". BBC Sport. British Broadcasting Corporation. 30 October 2003. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-05-03. สืบค้นเมื่อ 4 June 2009.