จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
นีออน
|
|
|
นีออนในตารางธาตุ
|
ลักษณะปรากฏ
|
เป็นแก๊สไม่มีสีแต่จะเรืองแสงสีส้มแดงในสนามไฟฟ้าแรงดันสูง

 เส้นสเปคตรัมที่มองเห็นได้ของนีออน
|
คุณสมบัติทั่วไป
|
ชื่อ สัญลักษณ์ และเลขอะตอม
|
นีออน, Ne, 10
|
การออกเสียง
|
|
อนุกรมเคมี
|
แก๊สมีตระกูล
|
หมู่ คาบและบล็อก
|
18 (แก๊สมีตระกูล), 2, p
|
มวลอะตอมมาตรฐาน
|
20.1797(6)
|
การจัดเรียงอิเล็กตรอน
|
[He] 2s2 2p6 2, 8
|
ประวัติ
|
การทำนาย
|
วิลเลียม แรมเซย์ (1897)
|
การค้นพบ
|
วิลเลียม แรมเซย์ & มอร์ริส ทราเวอร์[1] (1898)
|
การแยกครั้งแรก
|
วิลเลียม แรมเซย์ & มอร์ริส ทราเวอร์[2] (1898)
|
คุณสมบัติกายภาพ
|
สถานะ
|
แก๊ส
|
ความหนาแน่น
|
(0 °C, 101.325 kPa) 0.9002 g/L
|
ความหนาแน่นของเหลวที่จุดเดือด
|
1.207[3] g·cm−3
|
จุดหลอมเหลว
|
24.56 K, -248.59 °C, -415.46 °F
|
จุดเดือด
|
27.104 K, -246.046 °C, -410.883 °F
|
จุดร่วมสาม
|
24.556 K, 43.37[4][5] kPa
|
จุดวิกฤต
|
44.4918 K, 2.7686[5] MPa
|
ความร้อนของการหลอมเหลว
|
0.335 kJ·mol−1
|
ความร้อนของการกลายเป็นไอ
|
1.71 kJ·mol−1
|
ความจุความร้อนโมลาร์
|
5R/2 = 20.786 J·mol−1·K−1
|
ความดันไอ
|
P (Pa)
|
1
|
10
|
100
|
1 k
|
10 k
|
100 k
|
ที่ T (K)
|
12
|
13
|
15
|
18
|
21
|
27
|
|
คุณสมบัติอะตอม
|
สถานะออกซิเดชัน
|
1[6], 0
|
พลังงานไอออไนเซชัน
|
ค่าที่ 1: 2080.7 kJ·mol−1
|
ค่าที่ 2: 3952.3 kJ·mol−1
|
ค่าที่ 3: 6122 kJ·mol−1
|
รัศมีโควาเลนต์
|
58 pm
|
รัศมีวานเดอร์วาลส์
|
154 pm
|
จิปาถะ
|
โครงสร้างผลึก
|
รูปลูกบาศก์กลางหน้า
|
ความเป็นแม่เหล็ก
|
ไดอะแมกเนติก[7]
|
สภาพนำความร้อน
|
49.1×10−3 W·m−1·K−1
|
ความเร็วเสียง
|
(แก๊ส, 0 °C) 435 m·s−1
|
โมดูลัสของแรงบีบอัด
|
654 GPa
|
เลขทะเบียน CAS
|
7440-01-9
|
ไอโซโทปเสถียรที่สุด
|
บทความหลัก: ไอโซโทปของนีออน
|
|
|
อ้างอิง
|
นีออน (อังกฤษ: neon) เป็นธาตุในตารางธาตุที่มีสัญลักษณ์ Ne และเลขอะตอม 10 นีออนเป็นก๊าซเฉื่อย เป็นสมาชิกหมู่ที่ 8 ของตารางธาตุ เป็นแก๊สอะตอมเดี่ยวที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่นและเกือบจะไม่เกิดปฏิกิริยาเคมีใด ๆ และเกิดแสงเรืองสีแดงเมื่อใช้ในหลอดสุญญากาศ (vacuum discharge tube) กับไฟนีออน และพบในปริมาณเล็กน้อยในอากาศ (หนึ่งใน 55,000 ส่วน) ได้จากการนำอากาศเหลวมากลั่นลำดับส่วนและเกือบจะไม่เกิดปฏิกิริยาเคมีใด ๆ เลย
การค้นพบ[แก้]
นีออนค้นพบโดย Sir William Ramsay และ M.W. Travers ถูกค้นพบที่ กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1898 เป็นเศษส่วนที่ระเหยง่ายจากอาร์กอนเหลว ณ อุณหภูมิที่อากาศกลายเป็นของเหลว ส่วนอาร์กอนนั้นเป็นแก๊สเล็กน้อยที่เหลืออยู่เมื่อนำแก๊สไนโตรเจนจากอากาศมาทำปฏิกิริยากับแมกนีเซียมที่เผาจนร้อนแดง
คำว่า Neon มาจากคำกรีก neos ตรงกับคำอังกฤษ new แปลว่าใหม่ และต่อมาพวกเขาค้นพบธาตุซีนอนโดยใช้วิธีการที่คล้ายกัน
การใช้ประโยชน์[แก้]
การใช้ประโยชน์ของนีออนในเชิงพาณิชย์ที่สำคัญที่สุดได้แก่ กลไกการทำให้เกิดแสงสว่าง และที่เราคุ้นเคยมากที่สุดคือหลอดนีออนที่ใช้เป็นไฟโฆษณา หลอดเรืองแสง (fluorescence lamp) หลอดนำแก๊ส (gaseous conduction lamp) หลอดไฟที่บรรจุด้วยนีออนที่ความดันต่ำมาก (เพียงไม่กี่ mm Hg) ให้แสงส้มแดงที่สว่าง ส่วนหลอดไฟนีออนที่ใช้เป็นไฟโฆษณาอาจบรรจุด้วยแก๊สอื่นด้วย เช่น ฮีเลียม อาร์กอนหรือปรอท และสีของแสงไฟขึ้นกับชนิดของแก๊สผสมและสีของแก้วของหลอดไฟ นอกจากนี้แล้วหลอด Geiger-Muller ที่ใช้ในการจับและนับอนุภาคนิวเคลียร์ ก็บรรจุด้วยของผสมของนีออนและโบรมีน หรือของผสมของนีออนและคลอรีน Ionization chambers, proportional counters, neutron fission counter, scintillation counters และ cosmic ray counters ก็อาจใช้นีออน อาร์กอน ฮีเลียม หรือของผสมของแก๊สเหล่านี้กับไฮโดรคาร์บอน เฮโลเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สเลเซอร์ (gas lasers) ก็ใช้ของผสมของฮีเลียมและนีออน นีออนที่ใช้ในหลอดสุญญากาศใช้เป็นตัวชี้วัดไฟฟ้าแรงสูง, ดักฟ้าผ่าหลอดเมตรคลื่นหลอดโทรทัศน์, นีออนเหลวถูกนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์เป็นสารทำความเย็น อุณหภูมิในการใช้งานไม่จำเป็นต้องอุณหภูมิต่ำ และทั้งก๊าซนีออนและนีออนเหลวค่อนข้างมีราคาแพง เนื่องจากธาตุนีออนค่อนข้างจะมีอยู่น้อยในธรรมชาติ
ความเป็นพิษ[แก้]
นีออนไม่ติดไฟและไม่ปรากฏเป็นพิษแต่อย่างไร
ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับธาตุนีออน[แก้]
- -คิดเป็นร้อยละ 0.0018 ของชั้นบรรยากาศของโลกเป็นนีออน
- -แม้ว่ามันจะเป็นธาตุที่ค่อนข้างหายากบนโลกของเรา แต่นีออนเป็นองค์ประกอบที่มีมากที่สุด ลำดับที่ที่ห้าในจักรวาล
- -ธาตุนีออนไม่มีสารประกอบที่มีเสถียรภาพ[8]
ออกซิเดชันสามัญ ของธาตุนีออน[แก้]
ไอโซโทป |
มวลอะตอม |
ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ (%)
|
20Ne |
19.992 |
90.48
|
21Ne |
20.994 |
0.27
|
22Ne |
21.991 |
9.25
|
[9]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ Ramsay, William, Travers, Morris W. (1898). "On the Companions of Argon". Proceedings of the Royal Society of London. 63 (1): 437–440. doi:10.1098/rspl.1898.0057.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
- ↑ "Neon: History". Softciências. สืบค้นเมื่อ February 27, 2007.
- ↑ Hammond, C.R. (2000). The Elements, in Handbook of Chemistry and Physics 81st edition (PDF). CRC press. p. 19. ISBN 0849304814.
- ↑ Preston-Thomas, H. (1990). "The International Temperature Scale of 1990 (ITS-90)". Metrologia. 27: 3–10. Bibcode:1990Metro..27....3P. doi:10.1088/0026-1394/27/1/002.
- ↑ 5.0 5.1 Haynes, William M., บ.ก. (2011). CRC Handbook of Chemistry and Physics (92nd ed.). CRC Press. p. 4.122. ISBN 1439855110.
- ↑ "HNe". NIST Chemistry WebBook. National Institute of Standards and Technology. สืบค้นเมื่อ 23 January 2013.
- ↑ Magnetic susceptibility of the elements and inorganic compounds, in Lide, D. R., บ.ก. (2005). CRC Handbook of Chemistry and Physics (86th ed.). Boca Raton (FL): CRC Press. ISBN 0-8493-0486-5.
- ↑ http://www.webelements.com/neon/uses.html
- ↑ http://www.rsc.org/periodic-table/element/10/neon