กระท้อน
กระท้อน | |
---|---|
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Plantae |
หมวด: | Magnoliophyta |
ชั้น: | Magnoliopsida |
อันดับ: | Sapindales |
วงศ์: | Meliaceae |
สกุล: | Sandoricum |
สปีชีส์: | S. koetjape |
ชื่อทวินาม | |
Sandoricum koetjape (Merr.) | |
ชื่อพ้อง | |
|
กระท้อน เป็นไม้ผลเขตร้อนยืนต้นในวงศ์กระท้อน (Meliaceae) ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลกระท้อนมีสีสะดุดตา เป็นต้นไม้ที่ทนแล้งได้ดี[1]
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
[แก้]กระท้อนเป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 15–30 เมตร อายุขัยเฉลี่ยประมาณ 40–50 ปี เปลือกต้นสีเทา ใบประกอบ มีใบย่อย 3 ใบ การเกาะติดของใบบนกิ่งแบบเรียงสลับ ใบย่อยรูปรีแกมไข่จนถึงขอบขนาน ขนาดประมาณ กว้าง 6–15 ซม. ยาว 8–20 ซม. เมื่อใบแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงดอกออกเป็นช่อ ที่ซอกใบบริเวณปลายกิ่ง ดอกย่อยจำนวนมาก กลีบดอกสีเหลืองนวล
ผล ผลอ่อนสีเขียวมีน้ำยางสีขาว เมื่อผลแก่เปลือกผลจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและมีน้ำยางน้อยลง รูปกลมแป้น ผิวมีขนแบบกำมะหยี่อ่อนนุ่ม ขนาดประมาณ 5–15 เซนติเมตร ภายในผลจะมีเมล็ด 3–5 เมล็ด และมีปุยสีขาวหุ้มอยู่ ปุยที่รับประทานได้นี้พัฒนามาจากเปลือกหุ้มเมล็ด ซึ่งลักษณะ ของปุยและรสชาติจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละพันธุ์ เมล็ดรูปรี มีปลอกเหนียวห่อหุ้ม[2]
ถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์
[แก้]เชื่อกันว่ากระท้อนมีถิ่นกำเนิดในอินโดจีนและมาเลเซียตะวันตก ก่อนจะถูกนำไปปลูกที่ประเทศอินเดีย, เกาะบอร์เนียว, ประเทศอินโดนีเซีย, หมู่เกาะโมลุกกะ, ประเทศมอริเชียส, และประเทศฟิลิปปินส์ และกลายเป็นพืชท้องถิ่นไป กระท้อนถูกปลูกเป็นพืชเชิงพาณิชย์ตลอดพื้นที่ในเขตนี้
ชื่อพื้นเมือง
[แก้]- ฟิลิปปินส์: santol
- อินโดนีเซีย: kecapi, ketuat, sentul
- อาเจะฮ์: seutui
- มลายู: kecapi, kelampu, ranggu
- มลายูเกอดะฮ์: ستول , setul (ชื่อจังหวัดสตูลมาจากภาษามลายูเกอดะฮ์ หมายถึงกระท้อน)
- ไทย: กระท้อน, สะท้อน; มะต้อง, มะตื๋น (ภาคเหนือ); หมากต้อง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); ล่อน, เตียน, สะตู, สะโต (ภาคใต้)
- พม่า: သစ်တို thi' tou [θɪʔ tò]
- เวียดนาม: sấu đỏ
- เขมร: បំពេញរាជ្យ (ក្រពេញរាជ [krɑpɨɲ riec], លោះ)
- ลาว: ໝາກຕ້ອງ [mȁːktɔ̂ːŋ]
- สิงหล: ඩොංකා [ḍoṁkā], donka
- มลยาฬัม: സാന്റോൾ
- ฝรั่งเศส: faux mangoustanier, santol
- อังกฤษ: santol
สายพันธุ์
[แก้]พันธุ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดเป็นพันธุ์กระท้อนห่อที่มีรสหวาน ได้แก่ พันธุ์อีล่า ปุยฝ้าย นิ่มนวล อินทรชิต ทับทิม ขันทอง เทพรส อีแดง ส่วนพันธุ์พื้นเมืองจะมีผลดก ผลมีขนาดเล็ก รสเปรี้ยว จึงนิยมนำมาทำเป็น กระท้อนดอง กระท้อนทรงเครื่อง[3]
พันธุ์ปุยฝ้าย
[แก้]พันธุ์ปุยฝ้ายหรือปุยฝ้ายแท้เป็นกระท้อนพันธุ์พื้นเมืองของ ตำบลตะลุง อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี เป็นที่นิยมบริโภคมากที่สุด เพราะผลกระท้อนมีรสหวาน มีเปลือกที่นิ่มเหมือนกำมะหยี่ และเม็ดกระท้อนมีปุยเหมือนปุยฝ้าย จึงเป็นกระท้อนที่จำหน่ายได้สูงสุด ขนาดของผลมีตั้งแต่เล็กไปถึงใหญ่ สีเหลืองนวลสวย ผลกลมแป้น เม็ดกระท้อนจะมีปุยมากกว่าสายพันธุ์อื่น ปุยกระท้อนเมื่อทานไปแล้วจะเหมือนว่า ปุยกระท้อนละลายในปาก ชาวสวนกระท้อนนิยมเรียกว่าปุยฝ้ายแท้ เป็นพันธุ์ที่กลายมาจากพันธุ์ทองหยิบ[4]
พันธุ์อีล่า
[แก้]พันธุ์อีล่าหรือปุยฝ้ายเกษตรเป็นกระท้อนพันธุ์พื้นเมือง จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งชาวบ้าน ต.ตะลุง ได้รับแจกสายพันธุ์มาจากกระทรวงเกษตร เล่ากันว่าชาวปราจีนบุรี เรียกกระท้อนพันธุ์นี้ว่าปุยฝ้ายเหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่รสชาติที่กระท้อนอีล่าเมื่อยังไม่แก่จัดจะมีรสอมเปรี้ยว และผลกระท้อนจะมีขนาดใหญ่มากบางผลน้ำหนักถึง 0.9 กิโลกรัม ขนาดของผลมีขนาดใหญ่ ผิวจะไม่เรียบ สีโทนเหลืองสด ผลคล้ายเป็นจุก รสอมเปรี้ยวเมื่อยังไม่แก่จัด หากผลแก่รสชาติจะหวานมีปุยเหมือนปุยฝ้ายกระท้อนพันธุ์อีล่า มักจะสุกช้ากว่ากระท้อนทุกพันธุ์
พันธุ์ทับทิม
[แก้]เป็นกระท้อนพันธุ์เมืองดั้งเดิม ของ ต.ตะลุง แต่ไม่มีคนรู้จักมากนัก เนื่องจากมีชาวสวนที่ปลูกกระท้อนพันธุ์ทับทิมไม่มาก แต่ด้วยรสชาติที่มีรสหวาน ลักษณะผลกลม มีขนาดไม่ใหญ่มาก สีเหลืองนวล ผิวกระท้อนเรียบเนียนสวย เปลือกนิ่ม ผลกลม
พันธุ์นิ่มนวล
[แก้]เป็นกระท้อนที่มีลักษณะ เปลือกบาง เนื้อหนานิ่ม ไม่กระด้าง ปุยหุ้มเมล็ดหนาฟู รสหวานจัดเป็นสายพันธุ์ที่นิยมบริโภคกันมาก ทรงผลกลมแป้น มีขั้วสั้น ผิวเปลือกเรียบมีสีเหลืองอมน้ำตาล เปลือกบาง ขนาดผล 300–600 กรัมต่อผล ผลกลม
การใช้ประโยชน์
[แก้]กระท้อนใช้ทำอาหารคาวหวานได้หลายชนิด ทั้งอาหารคาว เช่น แกงฮังเล แกงคั่ว ผัด ตำกระท้อน และอาหารหวาน เช่น กระท้อนทรงเครื่อง กระท้อนลอยแก้ว กระท้อนดอง แยม กระท้อนกวน และเยลลี่ หรือกินเป็นผลไม้สด กระท้อนเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง[4] ในเขตบีโคล ประเทศฟิลิปปินส์ นำกระท้อนไปแกงกับกะทิ
ทางด้านสมุนไพร กระท้อนมีสรรพคุณทางยาหลายประการ ใบสด ใช้ขับเหงื่อ ต้มอาบแก้ไข้ เปลือกต้นต้มน้ำดื่มแก้ท้องเสีย รักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน ราก เป็นยาขับลม แก้ท้องเสีย บิด เป็นยาธาตุ[5] หลายส่วนของกระท้อนมีฤทธิ์แก้อักเสบ[6] และสารสกัดจากกิ่งกระท้อนบางชนิดมีผลยับยั้งมะเร็งในหลอดทดลอง[7] สารสกัดจากเมล็ดกระท้อนมีฤทธิ์เป็นยาฆ่าแมลง[8]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ สวนอนุรักษ์และพัฒนาพรรณไม้เขตร้อน. กรมวิชาการเกษตร. ISBN 978-974-436-697-9.
- ↑ "กระท้อนป่า".ศูนย์วิจัยพืชสวนสุโขทัย สืบค้นเมือ 17-06-2567
- ↑ "เรื่องน่ารู้: กระท้อน". เดลินิวส์. 29 สิงหาคม 2016.
- ↑ 4.0 4.1 นิดดา หงส์วิวัฒน์ และทวีทอง หงส์วิวัฒน์. "กระท้อน" ใน ผลไม้ 111 ชนิด: คุณค่าอาหารและการกิน. กรุงเทพฯ: แสงแดด. ตุลาคม 2550. หน้า 23. ISBN 978-974-9665-74-9.
- ↑ "กระท้อน". เชียงใหม่นิวส์. 16 ตุลาคม 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 ตุลาคม 2007.
- ↑ Rasadah, M. A. et al. (2004). Anti-inflammatory agents from Sandoricum koetjape Merr. Phytomedicine. 11:2 261–3.
- ↑ Norito Kaneda, et al (พฤษภาคม 1992). "Plant Anticancer Agents, L. Cytotoxic Triterpenes from Sandoricum koetjape Stems". Journal of Natural Products. 55: 654–659.
- ↑ Richard G. Powell; Kenneth L. Mikolajczak; และคณะ (1 มกราคม 1991). "Limonoid antifeedants from seed of Sandoricum koetjape". Journal of Natural Products. 54 (1): 241–246. doi:10.1021/np50073a025.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Sandoricum koetjape ที่วิกิสปีชีส์
- Morton, J. 1987. Santol. หน้า 199–201. ใน: Fruits of warm climates. Miami, FL: J.F. Morton. ISBN 978-0-9610184-1-2.
- "Sandoricum koetjape". Germplasm Resources Information Network. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 ธันวาคม 2012.