ข้ามไปเนื้อหา

ผลต่างระหว่างรุ่นของ "คาเมรอน ดิแอซ"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Stelios (คุย | ส่วนร่วม)
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
Stelios (คุย | ส่วนร่วม)
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
บรรทัด 33: บรรทัด 33:
และแม้ในปี ค.ศ. 1996 ดิแอซจะได้รับบทบาทนักแสดงนำในภาพยนตร์ถึง 3 เรื่อง ได้แก่ ''​She's the One - ​เพียงเธอเป็นหัวใจของเรา''​ [[ภาพยนตร์รักตลก|ภาพยนตร์โรแมนติก-คอมเมดี]]​ที่ได้แสดงร่วมกับ[[เจนนิเฟอร์ อนิสตัน]]​, ภาพยนตร์เรื่อง ''​Feeling Minnesota -​ กอดเธอฝ่านรก''​ ที่ได้แสดงคู่กับ[[เคอานู รีฟส์]]​ และ ''​Head Above Water'' ภาพยนตร์ตลก-ระทึกขวัญ ที่เป็นการนำภาพยนตร์จาก[[ประเทศนอร์เวย์]]​เรื่อง ''Hodet over vannet'' กลับมาสร้างใหม่ โดยภาพยนตร์ของเธอทั้ง 3 เรื่องไม่ประสบความสำเร็จ และทำรายได้ 3 เรื่องรวมกันไม่ถึง 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะเรื่อง ''​Head Above Water'' ที่ทำรายได้ใน[[บ็อกซ์ออฟฟิส]]​เพียงแค่ 3 หมื่นดอลลาร์
และแม้ในปี ค.ศ. 1996 ดิแอซจะได้รับบทบาทนักแสดงนำในภาพยนตร์ถึง 3 เรื่อง ได้แก่ ''​She's the One - ​เพียงเธอเป็นหัวใจของเรา''​ [[ภาพยนตร์รักตลก|ภาพยนตร์โรแมนติก-คอมเมดี]]​ที่ได้แสดงร่วมกับ[[เจนนิเฟอร์ อนิสตัน]]​, ภาพยนตร์เรื่อง ''​Feeling Minnesota -​ กอดเธอฝ่านรก''​ ที่ได้แสดงคู่กับ[[เคอานู รีฟส์]]​ และ ''​Head Above Water'' ภาพยนตร์ตลก-ระทึกขวัญ ที่เป็นการนำภาพยนตร์จาก[[ประเทศนอร์เวย์]]​เรื่อง ''Hodet over vannet'' กลับมาสร้างใหม่ โดยภาพยนตร์ของเธอทั้ง 3 เรื่องไม่ประสบความสำเร็จ และทำรายได้ 3 เรื่องรวมกันไม่ถึง 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะเรื่อง ''​Head Above Water'' ที่ทำรายได้ใน[[บ็อกซ์ออฟฟิส]]​เพียงแค่ 3 หมื่นดอลลาร์


จนในปี ค.ศ. 1997 ดิแอซมีผลงานในภาพยนตร์กระแสหลักและกลับมาโด่งดังอีกครั้งในภาพยนตร์ของค่าย[[ไตรสตาร์พิคเจอร์ส]]​เรื่อง ''My Best Friend’s Wedding -​ เจอกลเกลอ วิวาห์อลเวง'' ที่ต้องแสดงประชันบทบาทกับนางเอกรุ่นพี่อย่าง[[จูเลีย โรเบิตส์]] และประสบความสำเร็จเมื่อทำรายได้ทั่วโลกเกือบ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ<ref>[http://www.boxofficemojo.com/movies/?id=mybestfriendswedding.htm "My Best Friend's Wedding"]. ''[[Boxofficemojo]]''</ref>โดยติดสิบอันดับแรกของภาพยนตร์ที่ทำเงินได้มากที่สุดในปี ค.ศ. 1997 รวมทั้งได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งใน[[ภาพยนตร์รักตลก|ภาพยนตร์โรแมนติก-คอมเมดี]]​ที่ดีที่สุดตลอดกาล ต่อมาในปีเดียวกันได้แสดงร่วมกับ[[ยวน แม็คเกรเกอร์]] ใน ''A Life Less Ordinary -​ รักสะดุดฉุดเธอมากอด'' และผลงานแนวตลกเรื่อง ''There’s Something About Mary'' ที่ทำให้เธอได้รับรางวัลอย่าง ถึงรางวัลนักแสดงหญิงดีเด่นแห่งปีของกลุ่มนักวิจารณ์ภาพยนตร์ Circle ใน[[นิวยอร์ก]]
จนในปี ค.ศ. 1997 ดิแอซมีผลงานในภาพยนตร์กระแสหลักและกลับมาโด่งดังอีกครั้งในภาพยนตร์ของค่าย[[ไตรสตาร์พิคเจอร์ส]]​เรื่อง ''My Best Friend’s Wedding -​ เจอกลเกลอ วิวาห์อลเวง'' ที่ต้องแสดงประชันบทบาทกับนางเอกรุ่นพี่อย่าง[[จูเลีย โรเบิตส์]] และประสบความสำเร็จเมื่อทำรายได้ทั่วโลกเกือบ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ<ref>[http://www.boxofficemojo.com/movies/?id=mybestfriendswedding.htm "My Best Friend's Wedding"]. ''[[Boxofficemojo]]''</ref>โดยติดสิบอันดับแรกของภาพยนตร์ที่ทำเงินได้มากที่สุดในปี ค.ศ. 1997 รวมทั้งได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งใน[[ภาพยนตร์รักตลก|ภาพยนตร์โรแมนติก-คอมเมดี]]​ที่ดีที่สุดตลอดกาล<ref>{{cite news|url=http://www.vogue.com/13352768/15-best-romantic-comedies/|title=The 15 Best Romantic Comedies of All Time|work=[[Vogue (magazine)|Vogue]]|publisher=[[Condé Nast]]|date=September 15, 2015|first=Jessie|last=Heyman|accessdate=June 16, 2016}}</ref><ref>{{cite news|url=http://www.livingly.com/Friendship/articles/yT8mSNk7a6-/My+Best+Friend+Wedding+Taught+Life|title=What 'My Best Friend's Wedding' Taught Us About Life|work=[[Livingly Media]]|date=August 12, 2015|first=Kimia|last=Madani|accessdate=June 16, 2016}}</ref> ต่อมาในปีเดียวกันได้แสดงร่วมกับ[[ยวน แม็คเกรเกอร์]] ใน ''A Life Less Ordinary -​ รักสะดุดฉุดเธอมากอด'' และผลงานแนวตลกเรื่อง ''There’s Something About Mary'' ที่ทำให้เธอได้รับรางวัลอย่าง ถึงรางวัลนักแสดงหญิงดีเด่นแห่งปีของกลุ่มนักวิจารณ์ภาพยนตร์ Circle ใน[[นิวยอร์ก]]


ต่อมาในปี 1999 แสดงใน ''Being John Malkovich'' ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลหลายตัวด้วย ในปีเดียวกับเธอแสดงใน ''Any Given Sunday'' ต่อมาในปีถัดมา แสดงภาพยนตร์ที่สร้างจากซีรีส์ทางโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมในช่วงทศวรรษที่ 70 เรื่อง ''Charlie’s Angels'' และยังมีภาคต่อใน ''Charlie’s Angels: Full Throttle''
ต่อมาในปี 1999 แสดงใน ''Being John Malkovich'' ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลหลายตัวด้วย ในปีเดียวกับเธอแสดงใน ''Any Given Sunday'' ต่อมาในปีถัดมา แสดงภาพยนตร์ที่สร้างจากซีรีส์ทางโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมในช่วงทศวรรษที่ 70 เรื่อง ''Charlie’s Angels'' และยังมีภาคต่อใน ''Charlie’s Angels: Full Throttle''

รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:18, 18 กันยายน 2562

คาเมรอน ดิแอซ
คาเมรอน ดิแอซ ในงานเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องเชร็ค 3​ ที่ลอนดอน​ ประเทศอังกฤษ​ เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ.2007
คาเมรอน ดิแอซ ในงานเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องเชร็ค 3​ ที่ลอนดอนประเทศอังกฤษ​ เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ.2007
สารนิเทศภูมิหลัง
เกิด (1972-08-30) สิงหาคม 30, 1972 (51 ปี)
คาเมรอน มิเชลล์ ดิแอซ
เมืองแซนดีเอโก
รัฐแคลิฟอร์เนียสหรัฐอเมริกา
คู่สมรสเบนจี แมดเดน (สมรส 2015)
อาชีพ
  • นักจัดรายการวิทยุ
  • นักเขียน
  • อดีตนักแสดง
  • อดีตนักเดินแบบ
ปีที่แสดง1990−2016
ผลงานเด่นทีนา คาร์ไลล์ ใน หน้ากากเทวดา
แมรี เจนเซน ใน ​มะรุมมะตุ้ม รุมรักแมรี
​นาตาลี คุก ใน ​นางฟ้าชาร์ลี
​อแมนดา วูดส์ ใน ​เซอร์ไพรส์รักวันพักร้อน
ลีนอร์ เคส ใน ​หน้ากากแตนอาละวาด
อลิซาเบ็ธ ฮัลซีย์ ใน ​จารย์แสบแอบเอ็กซ์

คาเมรอน มิเชลล์ ดิแอซ (อังกฤษ: Cameron Michelle Díaz, เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1972)​ เป็นอดีตนักแสดง, อดีตนักเดินแบบ​ชาวอเมริกัน และเป็นภรรยาของเบนจี แมดเดน มือกีตาร์วงกู้ดชาร์ลอตต์​ เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ​ 4 ครั้ง, เข้าชิงรางวัลสมาคมนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์ 3 ครั้ง และถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแบฟตา​ 1 ครั้ง โดยคาเมรอน ดิแอซ เคยได้รับการบันทึกให้เป็นนักแสดงฮอลลีวูด​หญิงที่อายุเกิน 40 ปี ที่มีค่าตัวมากที่สุด[1]

ในปี ค.ศ. 2018 มีการเปิดเผยจากบ็อกซ์ออฟฟิส​ว่าภาพยนตร์ที่นำแสดงโดยคาเมรอน ดิแอซ สามารถทำรายได้รวมกันเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกามากกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำรายได้ทั่วโลกมากกว่า 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เธอเป็นนักแสดงเพศหญิงที่ทำรายได้ให้ภาพยนตร์ฮอลลีวูดสูงที่สุดลำดับ 6 โดยอยู่เหนือลูพีตา ญองอ​ และ จูเลีย โรเบิตส์[2]

นอกจากจะเป็นที่รู้จักในบทบาทนักแสดงแล้ว ดิแอซยังมีผลงานการเขียนหนังสือ โดยหนังสือ ​The Body Book ที่เธอเขียนในปี ค.ศ. 2013 อยู่ในอันดับที่ 2 ของอันดับหนังสือขายดีเดอะนิวยอร์กไทมส์ [3] และงานเขียนหนังสือเรื่องต่อมาของเธอคือ The Longevity Book วางจำหน่ายในเดือน มิถุนายน 2016.[4][5]ปัจจุบันหลังจากแสดงภาพยนตร์เรื่อง ​Annie - หนูน้อยแอนนี​ ในปี ค.ศ. 2014 คาเมรอน ดิแอซ ได้ประกาศยุติบทบาทการแสดงในภาพยนตร์ต่างๆ[6] โดยในปี ค.ศ. 2018 เธอได้เริ่มมีรายการวิทยุชื่อ Town Hall with Cameron Diaz ซึ่งได้รับคำแนะนำในช่วงแรกจาก นิโคล ริชชี ​ผู้เป็นทั้งเพื่อนสนิทและเป็นคู่สะใภ้ (สามีของนิโคล ริชชี และ สามีของคาเมรอน ดิแอซ เป็นพี่น้องฝาแฝดกัน)​

ประวัติ

1972–1993: วัยเด็กและการเป็นนางแบบ

คาเมรอน ดิแอซ เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1972 [7] ที่เมืองแซนดีเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา​ ปู่ทวดและย่าทวดของเธอเป็นชาวคิวบา​ ที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่เมืองแทมปา รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา​ และให้กำเนิดปู่ของเธอ ​เอมีลีโอ กาดิซ ดิอัซ ยูนิออร์​ ที่รัฐฟลอริดา ทำให้ปู่ของเธอเป็นชาวอเมริกัน-คิวบา รุ่นแรกของครอบครัว ต่อมาปู่ของเธอได้ย้ายออกจากรัฐฟลอริดามาอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย และให้กำเนิดพ่อของเธอ ​เอมีลีโอ ลุยส์ ดิอัซ​ ที่รัฐนี้โดยพ่อของเธอมีอาชีพเป็นหัวหน้าคนงานของบริษัทน้ำมันแห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนีย[8][9] ​ส่วนแม่ของเธอ บิลลี (นามสกุลเดิม เออร์ลี)[10]มีเชื้อสายอังกฤษ​-เยอรมัน​ และกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกัน (เผ่าเชอโรกี)​ มีอาชีพเป็นตัวแทนนำเข้าและส่งออกสินค้า คาเมรอน ดิแอซ มีพี่สาวชื่อว่า ​คิเมเน ดิแอซ

หลังจากเธอเกิด เธอได้ย้ายจากเมืองแซนดีเอโก มาที่ลองบีช ลอสแอนเจลิส​ และเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนประถมลอสเซอริทอส ก่อนจะต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนมัธยมลองบีชโพลีเทคนิค[11] โดยในสมัยเรียนนั้นเธอเป็นเพื่อนห้องเดียวกันกับสนูป ด็อกก์​ และได้เซ็นสัญญาเป็นนางแบบกับบริษัทอีลิท โมเดล แมเนจเมนต์ ตั้งแต่อายุ 16 ปี โดยเธอได้ถ่ายแบบให้กับบริษัทคาลวิน ไคล์น และลีวายส์ [12]จากนั้นพออายุได้ 17 ปี เธอก็ได้ขึ้นปกนิตยสารเซเวนทีน และได้เป็นนางแบบช่วงสั้นๆที่ประเทศออสเตรเลีย​รวมถึงได้เป็นนางเอกโฆษณาเครื่องดื่มโคคา-โคล่า​ ในปี ค.ศ. 1991[13][14][15]

ปี ค.ศ.1992 ขณะอายุ 19 ปี คาเมรอน ดิแอซ ได้รับงานถ่ายแบบให้กับชุดชั้นในสตรี​แนวซาดิสม์และมาโซคิสม์ ซึ่งเป็นการใส่ชุดชั้นในหนังแบบเปิดเต้านม โดยมีการถ่ายภาพนิ่งและบันทึกไว้เป็นวิดีโอ โดยจอห์น รัทเทอร์[16][17][18][19][20]อย่างไรก็ตามภาพชุดและวิดีโอดังกล่าวไม่ได้มีการเผยแพร่ออกไปในช่วงเวลานั้น จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2003 ที่เธอมีชื่อเสียงโด่งดังในฮอลลีวูด​ จอห์น รัทเทอร์ จึงติดต่อและเสนอขายภาพและวิดีโอที่บันทึกการถ่ายแบบชุดนั้นให้กับเธอ ในช่วงก่อนที่ภาพยนตร์เรื่อง ​นางฟ้าชาร์ลี: เสน่ห์เข้มทะลุพิกัด​ กำลังจะออกฉาย โดยรัทเทอร์เสนอขายภาพชุดดังกล่าวให้กับเธอในราคา 3.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหากเธอไม่ซื้อเขาจะขายให้คนอื่น ทางด้านดิแอซ มองว่าเธอกำลังถูกแบล็คเมล์จากภาพในอดีตจึงฟ้องร้องรัทเทอร์

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2004 หลังจากภาพยนตร์เรื่อง ​นางฟ้าชาร์ลี: เสน่ห์เข้มทะลุพิกัด ออกฉายและประสบความสำเร็จทำรายได้ไปกว่า 259 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้มีคลิปวิดีโอการถ่ายแบบเปลือยอกของเธอในอดีตความยาว 30 นาที เผยแพร่ในเวปไซต์ของรัสเซีย[21][22][23][24]ในชื่อคลิปว่า She's No Angel หรือ เธอไม่ใช่นางฟ้า โดยรัทเทอร์ปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่คลิปวีดีโอ[25]ต่อมาในปี ค.ศ. 2005 รัทเทอร์ถูกตัดสินให้มีความผิดและถูกศาลสูงแห่งลอสแอนเจลิสพิพากษาให้จำคุก 3 ปี 8 เดือน[26]

1994–1998: ภาพยนตร์เรื่องแรกและการประสบความสำเร็จ

เมื่ออายุ 21 ปี ดิแอซได้ไปสมัครคัดเลือกเพื่อเป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง The Mask -​ หน้ากากเทวดา ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่บริษัทเอลิท ที่เธอทำงานเป็นนางแบบอยู่ โดยเธอสมัครคัดเลือกในบทบาทนักแสดงนำซึ่งต้องเล่นคู่กับจิม แคร์รี่ย์​ นักแสดงเจ้าบทบาทที่โด่งดังมาจากเรื่อง ​เอซ เวนทูร่า นักสืบซูเปอร์เก๊ก​ และด้วยความไม่มีประสบการณ์ทางการแสดงภาพยนตร์มาก่อน เธอจึงเริ่มฝึกการแสดงเป็นครั้งแรกก่อนจะทำการคัดเลือกเพื่อแสดงในบทบาทนี้ [27] ต่อมาเมื่อเธอผ่านการคัดเลือกจึงได้รับบท ​ทีนา คาร์ไลล์​ นักร้องเพลงแจ๊สซึ่งเป็นนางเอกของเรื่อง และจากการที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จโดยทำรายได้ทั่วโลกมากกว่า 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ คาเมรอน ดิแอซ ได้รับการจับตามองในฐานะนางเอกคนใหม่ของวงการฮอลลีวูดที่มีภาพลักษณ์เซ็กซี ซึ่งนับตั้งแต่เธอโด่งดังจากภาพยนตร์เรื่องแรก ชื่อเสียงของเธอกลับดูเงียบหายไป โดยในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1995–1996 ผลงานการแสดงของเธอไม่ประสบความสำเร็จโดยในปี ค.ศ. 1995 เธอได้ตกลงแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง มอร์ทัลคอมแบท ซึ่งส่วนหนึ่งของภาพยนตร์มีการถ่ายทำที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาประเทศไทย​ และเธอได้รับบทเป็น ซอนย่า เบลด ทหารหญิงหน่วยกรีนเบอเรต์ของกองทัพบกสหรัฐ​ แต่ระหว่างฝึกซ้อมบทเธอได้รับบาดเจ็บหนักที่ข้อมือจนไม่สามารถแสดงต่อได้ ทำให้ต้องถอนตัวออกจากการแสดง[28]​ หลังจากพลาดจากการแสดงเรื่อง Mortal Kombat เธอจึงหันไปเล่นภาพยนตร์แนวเสียดสีสังคมฟอร์มเล็กๆที่ใช้ต้นทุนต่ำเรื่อง The Last Supper โดยรับบทเป็นหนึ่งในกลุ่มนักศึกษาที่มีความเชื่อฝ่ายเสรีนิยม​ ที่จะชวนผู้ที่มีความเชื่อแบบการเมืองฝ่ายขวาจัด มาทานอาหารค่ำที่บ้านและ​ทำการฆาตกรรมทีละคนๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้แม้ไม่ประสบความสำเร็จทางรายได้ แต่ได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกจากนักวิจารณ์ภาพยนตร์[29]

และแม้ในปี ค.ศ. 1996 ดิแอซจะได้รับบทบาทนักแสดงนำในภาพยนตร์ถึง 3 เรื่อง ได้แก่ ​She's the One - ​เพียงเธอเป็นหัวใจของเราภาพยนตร์โรแมนติก-คอมเมดี​ที่ได้แสดงร่วมกับเจนนิเฟอร์ อนิสตัน​, ภาพยนตร์เรื่อง ​Feeling Minnesota -​ กอดเธอฝ่านรก​ ที่ได้แสดงคู่กับเคอานู รีฟส์​ และ ​Head Above Water ภาพยนตร์ตลก-ระทึกขวัญ ที่เป็นการนำภาพยนตร์จากประเทศนอร์เวย์​เรื่อง Hodet over vannet กลับมาสร้างใหม่ โดยภาพยนตร์ของเธอทั้ง 3 เรื่องไม่ประสบความสำเร็จ และทำรายได้ 3 เรื่องรวมกันไม่ถึง 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะเรื่อง ​Head Above Water ที่ทำรายได้ในบ็อกซ์ออฟฟิส​เพียงแค่ 3 หมื่นดอลลาร์

จนในปี ค.ศ. 1997 ดิแอซมีผลงานในภาพยนตร์กระแสหลักและกลับมาโด่งดังอีกครั้งในภาพยนตร์ของค่ายไตรสตาร์พิคเจอร์ส​เรื่อง My Best Friend’s Wedding -​ เจอกลเกลอ วิวาห์อลเวง ที่ต้องแสดงประชันบทบาทกับนางเอกรุ่นพี่อย่างจูเลีย โรเบิตส์ และประสบความสำเร็จเมื่อทำรายได้ทั่วโลกเกือบ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[30]โดยติดสิบอันดับแรกของภาพยนตร์ที่ทำเงินได้มากที่สุดในปี ค.ศ. 1997 รวมทั้งได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์โรแมนติก-คอมเมดี​ที่ดีที่สุดตลอดกาล[31][32] ต่อมาในปีเดียวกันได้แสดงร่วมกับยวน แม็คเกรเกอร์ ใน A Life Less Ordinary -​ รักสะดุดฉุดเธอมากอด และผลงานแนวตลกเรื่อง There’s Something About Mary ที่ทำให้เธอได้รับรางวัลอย่าง ถึงรางวัลนักแสดงหญิงดีเด่นแห่งปีของกลุ่มนักวิจารณ์ภาพยนตร์ Circle ในนิวยอร์ก

ต่อมาในปี 1999 แสดงใน Being John Malkovich ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลหลายตัวด้วย ในปีเดียวกับเธอแสดงใน Any Given Sunday ต่อมาในปีถัดมา แสดงภาพยนตร์ที่สร้างจากซีรีส์ทางโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมในช่วงทศวรรษที่ 70 เรื่อง Charlie’s Angels และยังมีภาคต่อใน Charlie’s Angels: Full Throttle

เธอยังมีผลงานเรื่อง Shrek และได้แสดงร่วมกับทอม ครูซใน Vanilla Sky และในภาพยนตร์เรื่อง The Sweetest Thing เธอได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ต่อมาปี 2002 เธอรับบทเป็นนักวิ่งราวตามถนนในเรื่อง Gangs of New York[33]

อ้างอิง

  1. Siegel, Tatiana (June 5, 2013). "From Cameron Diaz to Sandra Bullock, the A-list of actresses is aging along with the moviegoer as their clout (and salaries) skyrocket, and Hollywood fails to groom another generation amid franchise fever". The Hollywood Reporter. สืบค้นเมื่อ October 26, 2013.
  2. https://www.boxofficemojo.com/people/?view=Actor&sort=sumgross&p=.htm​
  3. 'Body book' author and actor Cameron Diaz's healthy tips, News.com.au, April 14, 2014
  4. "The Longevity Book". สืบค้นเมื่อ August 26, 2016.
  5. "6 Things I Learned From Cameron Diaz's 'The Longevity Book'". April 7, 2016. สืบค้นเมื่อ August 26, 2016.
  6. https://www.businessinsider.com/cameron-diaz-movie-career-hollywood-2017-6
  7. "Tom Ford and people born between August 24th and 30th". Vogue Italia. Condé Nast. August 24, 2018.
  8. "YouTube interview about her Spanish-Cuban roots". Youtube.com. June 28, 2011. สืบค้นเมื่อ November 16, 2012.
  9. Fischer, Paul (n.d.). "Cameron Diaz: A Life Less Ordinary: Interview". Urbancinefile.com.au. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 28, 2014. สืบค้นเมื่อ March 5, 2010.
  10. Fleeman, Mike; Jordan, Julie (เมษายน 23, 2008). "Cameron Diaz's Family Pays Tribute to Her Father". People. Meredith Corporation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ตุลาคม 20, 2018. สืบค้นเมื่อ ตุลาคม 20, 2018.
  11. "Cameron Diaz". Yahoo! Movies. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 10, 2006. สืบค้นเมื่อ June 9, 2011.
  12. Powers, Lindsay (มิถุนายน 24, 2011). "'Bad Teacher's' Cameron Diaz: 5 Things You Didn't Know". The Hollywood Reporter. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ มีนาคม 23, 2013. สืบค้นเมื่อ ตุลาคม 20, 2018.
  13. "Cameron Diaz: 34 fun facts". Live Well Network. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 6, 2014. สืบค้นเมื่อ February 14, 2014.
  14. "Cameron Diaz got alcohol poisoning in Sydney". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กันยายน 7, 2014. สืบค้นเมื่อ กุมภาพันธ์ 14, 2014.
  15. Meares, Joel (April 16, 2014). "The Other Woman's Cameron Diaz debunks myths about monogamy and living in Australia". The Sydney Morning Herald. Fairfax. สืบค้นเมื่อ April 16, 2014.
  16. Média, Québecor. "Les débuts coquins de cinq acteurs".
  17. "Cameron Diaz furious over S&M video". Female First. สืบค้นเมื่อ March 24, 2005.
  18. "Man who blackmailed Cameron Diaz over topless photos faces jail". The Daily Telegraph. July 27, 2005. สืบค้นเมื่อ August 13, 2016.
  19. "Diaz photographer convicted". The Guardian. July 26, 2005. สืบค้นเมื่อ August 13, 2016.
  20. "Cameron Diaz photographer jailed". BBC News. September 16, 2005. สืบค้นเมื่อ August 13, 2016.
  21. "Cameron Diaz S&M film hits the Web; Beyonce mistaken identity; Usher moons London". SF Gate. July 8, 2004. สืบค้นเมื่อ August 13, 2016.
  22. "Hot Sex video shocked Cameron Diaz". Bild (ภาษาGerman). June 28, 2014. สืบค้นเมื่อ August 13, 2016.{{cite news}}: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์)
  23. "Topless Diaz hits internet". News24.com. July 9, 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 28, 2006. สืบค้นเมื่อ August 13, 2016.
  24. "Kinky Cameron Diaz video hits web". China Daily. July 9, 2004. สืบค้นเมื่อ August 13, 2016.
  25. "Diaz fit to be tied over video on web". New York Daily News. July 8, 2004. สืบค้นเมื่อ August 13, 2016.
  26. http://news.bbc.co.uk/2/hi/entertainment/4251410.stm
  27. "Actress of the week – Cameron Diaz" เก็บถาวร เมษายน 27, 2007 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน askmen.com. Retrieved November 20, 2006.
  28. "Cameron Diaz Was Almost In Mortal Kombat?". HEAVY. December 23, 2009. สืบค้นเมื่อ February 22, 2011.
  29. Ebert, Roger (เมษายน 12, 1996). "The Last Supper". Chicago Sun-Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ เมษายน 28, 2013. สืบค้นเมื่อ ตุลาคม 20, 2018.
  30. "My Best Friend's Wedding". Boxofficemojo
  31. Heyman, Jessie (September 15, 2015). "The 15 Best Romantic Comedies of All Time". Vogue. Condé Nast. สืบค้นเมื่อ June 16, 2016.
  32. Madani, Kimia (August 12, 2015). "What 'My Best Friend's Wedding' Taught Us About Life". Livingly Media. สืบค้นเมื่อ June 16, 2016.
  33. คาเมรอน ดิแอซ (Cameron Diaz) movieseer.com